Chapter 4
“อาโปเป็นน้องชายแท้ๆของผมเอง”
“น้องชาย?!”
เสียงที่ไม่เบานักของเดียร์ ทำให้ลูกค้าในร้านหันมามองอย่างตกใจ
ไม่ต่างจากโต้งและพู่กันที่หันมามองเดียร์เป็นตาเดียว
เดียร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำพลาดจนได้ รีบหันไปขอโทษทุกคนในร้าน
พลางล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาชู คล้ายเป็นเชิงขอโทษที่คุยโทรศัพท์เสียงดัง
เมื่อสถานการณ์อยู่ในสภาวะปกติ เดียร์หันมาแค่นเสียงกระซิบคุยกับธาตุอากาศข้างๆ
“นั่นน้องรหัสฉันนะ อย่าเอามุขน้องชายมาหลอกให้ช่วย”
เดียร์หวังว่าเสียงเย็นๆของตัวเองจะทำให้วายุเงียบได้บ้าง
แต่เดียร์คิดผิด เมื่อวายุยังตีหน้าระรื่นมาให้เดียร์อย่างต่อเนื่อง
“อาโปเป็นน้องรหัสเดียร์หรอ! อย่างนี้ก็ดีสิ เดียร์จะได้ยอมช่วยผมสักที”
วายุยิ้มแป้น หันไปมองน้องชายที่ตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเหม่อลอย …. อาโปเป็นอะไร?
“ทำไมอาโปดูเหม่อๆ”
วายุอดพึมพำเบาๆไม่ได้ และเมื่อมีแค่เดียร์ที่ได้ยิน คนที่ได้ยินเลยหันไปกระซิบกับธาตุอากาศทันที
“บอกว่าอย่าเอามุขน้องชายมาหลอก”
แค่นั้นเดียร์ก็หันไปจัดการกับออเดอร์ที่เพิ่งรับมา โดยไม่ได้สนใจวายุที่ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น
ร่างสูงตัดสินใจปล่อยเดียร์ไว้คนเดียว ค่อยๆเดินไปหาน้องชายที่นั่งอยู่ในมุมของร้าน
วายุคิดไปเองหรือเปล่าว่าอาโปดูเศร้า คล้ายกำลังคิดถึง หรือเป็นห่วงอะไรสักอย่าง
อยากถามออกไปด้วยความเป็นห่วงน้อง แต่ในสภาพแบบนี้ วายุก็จนปัญญาจะสื่อสารกับอาโปได้
หันไปมองคนตัวเล็กที่ก้มๆเงยๆอยู่กับถังไอศกรีมเลยได้แต่ทำท่าถอนหายใจ(เพราะไม่มีลมหายใจออกมาจริงๆ) ไม่ว่ายังไงวายุก็ต้องรู้ให้ได้
ร้านไอศกรีมของล็อค ปิดตอนสามทุ่มของทุกวัน
พนักงานในร้านรวมไปถึงเจ้าของร้าน จะเริ่มทำความสะอาดร้านตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง
เมื่อถึงเวลาทำความสะอาดร้าน เดียร์ตั้งหน้าตั้งตาล้างถ้วยชามที่อ่างล้างจานเหมือนทุกครั้ง
แต่ช่วงหลังมานี้ เดียร์ล้างถ้วยไอศกรีมเสร็จเร็วขึ้น
โต้งสังเกตอยู่เงียบๆ แต่ไม่ได้ทักออกไป คิดเอาเองว่าเดียร์มันคงมีสกิลล้างจานเพิ่มขึ้น
“อย่ามายุ่งได้ไหม! มันล้างจานไม่ถนัด”
เดียร์มองซ้ายมองขวาเห็นโต้งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ไกลๆ ก่อนหันไปโวยธาตุอากาศที่ยืนล้างจานอยู่ข้างๆ
ถึงเดียร์กับวายุจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่วายุหยิบจับสิ่งของได้ปกติ
แม้ว่าจะต้องเพ่งสมาธิเพิ่มอีกนิดหน่อย
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่วายุจะช่วยเดียร์ล้างจานอยู่แบบนี้
คนตัวเล็กพยายามแย่งถ้วยชามที่กองอยู่มาล้าง แต่วายุก็คอยแย่งไปล้างเอง
ร่างสูงเพียงส่งยิ้มให้เดียร์แค่นั้น ก็กลับไปล้างจานต่ออย่างเงียบๆ ปล่อยให้เดียร์ฟึดฟัดอยู่คนเดียว
คนตัวเล็กผละออกไปที่เคาน์เตอร์ สุดจะทนกับวิญญาณที่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
กวาดสายตาไปรอบๆร้าน เห็นอาโปยังนั่งอยู่ที่เดิม
เดียร์หันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง 2 ทุ่ม 45 แล้ว
พู่กันกลับหอไปตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ทำไมอาโปยังไม่กลับ?
“เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง เดียร์หันไปมองที่อ่างล้างจาน พบว่ามันสะอาดใสกิ๊ง จานทุกใบถูกล้างและเช็ดเข้าที่เรียบร้อย คนตัวเล็กหันมายู่หน้าใส่ร่างสูงอย่างหมั่นไส้ ก่อนเดินออกไปหารุ่นน้องที่นั่งอยู่คนเดียวในร้าน
“อาโป” เสียงหวานเรียกคนตัวเล็กที่นั่งมองบรรยากาศนอกร้าน ผ่านกระจกบานใส “ร้านจะปิดแล้วนะ” รุ่นพี่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามรุ่นน้อง
อาโปหันมองส่งยิ้มเล็กๆให้รุ่นพี่ มองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง
“ขอโทษครับ” สีหน้าอาโปไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิมมากนัก แต่ก็ยังดีที่น้องหลุดจากภวังค์ได้
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เดียร์ถามคำถามนี้หลายรอบแล้ว
แม้ว่าคำตอบที่ได้คือ..“ปล่าวครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
สีหน้าของอาโปไม่ทำให้เดียร์เชื่ออย่างนั้น
น้องนั่งเหม่อมาตั้งแต่ช่วงเย็น จนตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว
จะบอกว่าไม่เป็นอะไรคงไม่ได้ ยังไงเดียร์ก็ไม่เชื่อ สภาพแบบนี้จะให้น้องกลับหอคนเดียวคงไม่ดีแน่
“เดี๋ยวพี่เลิกงานแล้ว พี่จะไปส่งเราที่หอ” เดียร์เห็นล็อคโผล่มาจากหลังร้านพอดี รีบลุกขึ้น เดินไปเช็ดโต๊ะข้างๆที่อาโปนั่งอยู่
อาโปเห็นปฏิกิริยาของรุ่นพี่ที่มีต่อเจ้าของร้านแล้ว อดไม่ได้ รุ่นน้องตัวเล็กเดินไปช่วยจัดดอกไม้บนโต๊ะ
หยิบผ้าที่เดียร์เผลอวางไว้ มาเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้ด้วย ก่อนเอ่ยตอบรุ่นพี่ “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
เดียร์เห็นรุ่นน้องคว้าผ้าเช็ดโต๊ะไป รีบกลับไปคว้ามาคืน “เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง”
รุ่นน้องเพียงส่งยิ้มบางๆให้รุ่นพี่ ไม่ได้คืนผ้าเช็ดโต๊ะให้รุ่นพี่แต่อย่างใด “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์”
เดียร์เห็นอาโปตั้งใจช่วยแล้วก็เผลอยืนมองน้อง
ท่าทางแบบนี้ แค่ไปส่งคงไม่ได้แล้ว อย่างนี้ต้อง
“พาอาโปไปที่ห้องเดียร์เลย”
“รู้แล้วน่า!”
ประโยคแรก แน่ล่ะ ว่าเดียร์ไม่ได้เป็นคนพูด เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เดียร์ไม่พอใจ แต่ประโยคที่เดียร์โพล่งออกมา ทำให้อาโปเงยหน้ามองทันที
“ครับ?”
“อะ.. พี่จะบอกว่า คืนนี้เรามาค้างกับพี่ดีกว่า”
เดียร์พูดจบก็ต้องหันไปส่งสายตาเคืองๆให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่รู้ว่าเดียร์คิดไปเองหรือเปล่า แต่แอบสังเกตสีหน้าวายุแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าวายุคงคิดไม่ต่างกัน
“ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผม…” เดียร์ไม่ปล่อยให้น้องปฏิเสธอีก รุ่นพี่ตัวเล็กเลยรีบขัด “ไม่เป็นไรอาโป มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้ ไม่ต้องคิดมาก ไอ้กันมันก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงความเกรงใจ แค่รุ่นน้องที่ดูเหมือนมีปัญหาแบบนี้ พู่กันมันไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
สุดท้าย อาโปยอมรอกลับหอพร้อมเดียร์ แม้ว่าเดียร์จะต้องใช้เวลากล่อมอยู่นาน ได้โต้งช่วยกล่อมอาโปด้วย น้องเลยยอมใจอ่อน
“พี่ล็อค พวกผมกลับแล้วนะครับ” โต้งกับเดียร์เข้าไปล่ำลาเจ้าของร้านเหมือนทุกวัน
สายตาคมมองตามพนักงานสองคนที่เดินออกจากร้านไปพร้อมกับคนตัวเล็กที่ล็อคไม่คุ้นหน้า
ล็อคจะกลับเป็นคนสุดท้ายของร้าน รอจนทั้งเดียร์และโต้งกลับไปแล้ว ถึงกลับบ้าง
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าของร้านจะกลับบ้างแล้ว
ยามค่ำคืนใจกลางเมืองหลวง แม้ว่าจะไร้แสงของดวงอาทิตย์สาดส่องเหมือนตอนกลางวัน
แต่ความสว่างไสวไม่ได้จางหายตามพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป
แสงสว่างถูกประดับอยู่ตามบาทวิถี ท้องถนน ตึกสูงเฉียดฟ้า และอาคารบ้านเรือนทั่วไป
โต้ง เดียร์ และอาโป อาศัยแสงไฟสีส้มที่ประดับอยู่ตามบาทวิถี เป็นหนทางนำไปสู่หอพักของเดียร์
พี่รหัสของอาโปชวนน้องรหัสคุยไม่หยุด เดียร์เพียงแค่คิดว่า เผื่อคุยๆไปแล้วอาโปจะหลุดปากบอกอะไรมาได้บ้าง แต่เดียร์ไม่เห็นว่าจะมีประโยคไหนของรุ่นน้องที่มันสะกิดใจเลย
“มึงไม่กลับหอรึไง?” เมื่อเดียร์ชวนอาโปคุยจนเริ่มท้อแล้ว เลยหันมาแขวะเพื่อนตัวเองบ้าง
โต้งยังคงอยู่หอเดิม หอที่เดียร์ตัดสินใจพาพู่กันย้ายออกมา
ระยะทางจากหอโต้งมาหอเดียร์ไม่ไกลนัก ตอนย้ายหอจึงไม่ลำบากเท่าไร ยิ่งมีโต้งช่วยด้วยแล้ว เอ่อ…ยิ่งตอนนั้นมีพี่ล็อคมาช่วยอีกแรงด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเดียร์กับพู่กันแทบไม่ได้ออกแรงขนของอะไรเลย
โต้งดูร่าเริงมากเมื่อตอนที่รู้ว่าเดียร์กับพู่กันจะย้ายหอ ถ้าเทียบกับตอนอยู่หอเดียวกันแล้ว ตอนนั้น โต้งชอบชักสีหน้าหงุดหงิดเวลารู้ว่ามีขนมหรือของขวัญ มาวางหน้าห้องของเดียร์กับพู่กัน แล้วดูโต้งจะหงุดหงิดมากขึ้น ถ้ารู้ว่าของสิ่งนั้นมีโน้ตแปะไว้ว่า “ให้พู่กัน”
ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตัวอาคารที่บ่งบอกว่าเป็นหอพัก
อาโปชะงักไปทันทีที่เห็นรุ่นพี่ทั้งสองคนเดินเลี้ยวเข้าไปในตัวตึก
อาโปแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รุ่นน้องตัวเล็กมองไปรอบๆอย่างต้องการพิจารณาว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เดียร์หันไปมองรุ่นน้องทันที ค่อยๆเดินเข้าไปหาอาโปที่ยืนนิ่งอยู่ “เป็นอะไรหรือเปล่าอาโป?”
อาโปสะดุ้งเหมือนหลุดจาภวังค์ แค่นส่งยิ้มน้อยๆให้รุ่นพี่ “ปะ…ปล่าวครับ “
เดียร์พิจารณาสีหน้าของอาโป ยังไงก็ปักใจเชื่อคำพูดของรุ่นน้องไม่ได้จริงๆ
เดียร์แทบลืมไปแล้วว่ามี ‘อะไรบางอย่าง’ เดินตามมาตลอด ธาตุอากาศบางใสขมวดคิ้วมุ่น สายตาจับจ้องอาโปคล้ายถวิลหา
เดียร์ไม่รู้ว่าวายุเดินอยู่ใกล้ๆอาโปมานานแค่ไหน
สายตาที่เดียร์เห็นวายุมองอาโป ทำให้เดียร์เริ่มสะกิดใจกับคำพูดของวายุที่บอกตัวเองในร้านไอศกรีม
… อาโปเป็นน้องของวายุอย่างนั้นหรือ?
เดียร์เผลอสบตากับสายตาคมนั้น คนตัวเล็กเบนสายตาแทบไม่ทัน ก่อนจับมือรุ่นน้องไว้แน่น “ไปกันเถอะอาโป เดี๋ยวก็ถึงห้องพี่แล้ว”
อาโปออกเดินตามแรงฉุดที่ข้อมือของรุ่นพี่ตัวเล็ก
โต้งปล่อยให้เดียร์กับอาโปเดินนำเข้าลิฟต์ไปก่อน
ห้องของเดียร์อยู่ชั้น 4 ใช้เวลาขึ้นลิฟต์ไม่นาน ก็เดินทางมาถึงห้องพักของเดียร์
อาโปมองไปรอบๆ ตลอดทางเดิน เดียร์สังเกตสีหน้าของรุ่นน้องอยู่เงียบๆ สีหน้าของน้องดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก อาโปชะงักไปเมื่อเห็นหมายเลยห้อง ห้องที่รุ่นพี่หยุดยืนอยู่หน้าห้องนั้น
เดียร์ลองหมุนลูกบิดประตู และพบว่ามันไม่ได้ล็อค ไม่ต้องรอมารยาทมาเคาะประตูให้ เดียร์เปิดประตูเข้าไปทันที มีโต้งที่เดินรั้งท้าย ปิดประตูให้อีกที
เมื่อเข้ามาในห้อง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาเดียร์คือพู่กันหลับ
เพื่อนตัวเล็กหลับคากระดาษวาดรูป บนพื้นห้อง มีดินสอหลายขนาดกระจายอยู่รอบๆตัว ในมือพู่กันยังมีดินสอคามืออยู่อีกหนึ่งแท่ง
เดียร์ตั้งท่าจะเดินไปปลุกเพื่อน แต่ก็ช้ากว่าโต้งที่ก้าวยาวๆมาอุ้มพู่กันขึ้นแนบอก เดียร์คิดว่าโต้งจะพาพู่กันไปนอนในห้องนอนดีๆ แต่ผิดคาด เมื่อโต้งอุ้มพู่กันให้มานั่งบนโซฟา แล้วตั้งหน้าตั้งตาปลุกพู่กันให้ตื่นขึ้นมาให้ได้
“พู่กัน ตื่นเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เสียงโต้งไม่ได้เบานัก ทำให้พู่กันสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมา ดินสอในมือพู่กันหล่นไปตอนไหนไม่รู้ คนเพิ่งตื่นยกมือสองข้างขยี้ตาไปมา พลางบิดขี้เกียจน้อยๆ แต่ก็ทำได้ไม่สบายตัวนัก เมื่อถูกจับให้นั่งบนโซฟาแบบนี้
เดียร์ที่เห็นอย่างนั้น เลยรีบพาอาโปมานั่งคุยกันบ้าง
อาโปถูกพามานั่งนั่งอยู่ที่มุมหนังสือของห้อง มีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่ เป็นมุมเงียบๆ อยู่คนละฟากกับโซฟาที่โต้งกับพู่กันตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันอยู่ มีชั้นหนังสือกั้นแบ่งสัดส่วนมุมหนังสือกับห้องนั่งเล่น
อาโปเข้าไปนั่ง พลางมองไปรอบๆด้วยสีหน้าที่เดียร์แปลความหมายไม่ออก เดียร์ผละไปหาน้ำหวานมาให้รุ่นน้องดื่ม ระหว่างนั้นก็แอบได้ยินโต้งดุพู่กันอยู่
“ทำไมไม่ล็อคห้องฮะ พู่กัน?”
“ยังไงเดี๋ยวเดียร์ก็ต้องมานี่”
“เดียร์ก็มีกุญแจ!”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“ไม่เป็นไร? ไม่ล็อคห้อง แถมยังหลับคาพื้นแบบนี้เนี่ยนะ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาจะทำยังไง?!”
เดียร์รู้สึกว่าเสียงพู่กันเงียบหายไป เดียร์เดาได้ไม่ยากว่าพู่กันคงตีหน้าบึ้งใส่โต้งอยู่แน่ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่แน่ โต้งมันอาจจะไม่กลับห้องมันเลยก็ได้ มันคงต้องงอนง้อกันไปอีกพักใหญ่
เดียร์ถือแก้วน้ำสองแก้ว มาวางที่โต๊ะญี่ปุ่น
อาโปนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น น้องนั่งนิ่งเกินไป สายตาหม่นเศร้าของอาโปจับจ้องไปทางประตูห้องนอน
เดียร์เห็นวายุนั่งตรงข้ามอาโป เดียร์นั่งอยู่ทางด้านข้างของอาโป สายตามองอาโปทีมองวายุที
เดียร์กำลังพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ‘อาโปกับวายุเป็นพี่น้องกัน’ ถามว่าอาโปหน้าเหมือนวายุไหม จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือน ถ้ามองเผินๆ ด้วยขนาดรูปร่างแล้ว แน่ล่ะ ว่าดูไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพิจารณาดวงตา ริมฝีปาก หรือ รูปหน้าแล้ว ก็ไม่ต่างกันนัก … แต่คนบนโลกนี้ ที่ไม่ใช่พี่น้องกันก็หน้าเหมือนกันได้เหมือนกันนี่
“พี่เดียร์..” เสียงเรียกเบาๆของอาโป ทำให้เดียร์หลุดจากภวังค์ของตัวเอง เดียร์คิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงของอาโป ฟังดูสั่นเครือแปลกๆ
“พี่เดียร์… ผมคิดถึงพี่ชาย…” เดียร์แน่ใจแล้วว่าเสียงอาโปสั่นจริงๆ เมื่อพบว่าดวงหน้าใสของรุ่นน้อง เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
อาโปหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อายอีกต่อไปแล้ว เดียร์โผเข้ากอดอาโปไว้แนบอกทันที มือบางลูบศีรษะรุ่นน้องคล้ายปลอบโยน “เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ที่เราเหม่อทั้งวันแบบนี้”
เดียร์รู้สึกถึงแรงขยับของศีรษะของคนในอ้อมกอด คล้ายพยักหน้าขึ้นลง เดียร์ปล่อยให้อาโปสะอึกสะอื้นไปพักใหญ่
เดียร์สบตากับวายุที่นั่งมองอยู่ สายตาวายุที่ทอดมองอาโปทำให้เดียร์เริ่มรู้สึกผิด
… ถ้าวายุกับอาโปเป็นพี่น้องกันจริงๆล่ะ?
“พี่วายุ… ห้องนี้… โรงพยาบาล…” เสียงอาโปอู้อี้มาจากอ้อมแขนของเดียร์ เดียร์จับใจความไม่ได้มากนัก แต่ได้ยินเป็นคำๆ ไม่แน่ใจว่าอาโปต้องการจะบอกอะไร
เดียร์ใช้เวลาพักใหญ่ ปลอบอาโปให้เงียบลง
มือบางคว้าทิชชู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆชั้นหนังสือ ใช้ทิชชู่ซับน้ำตาให้รุ่นน้อง อาโปใช้มือเปล่าเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกลวกๆ ไม่นานก้อนสะอื้นก็หายไป
“อาโป ได้ยินพี่ไหม?” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น เดียร์ไม่รู้ว่าวายุพยายามจะคุยกับอาโปมานานแค่ไหน เท่าที่จำได้ เดียร์รู้สึกว่าวายุจะพูดประโยคนี้หลายครั้งแล้ว
“เล่าให้พี่ฟังได้หรือเปล่า?” เสียงหวานถามรุ่นน้องอย่างอ่อนโยน
อาโปพยักหน้าน้อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มเล่าทุกอย่าง
“พี่ชายผมได้รับอุบัติเหตุ… ตอนนี้พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้ก็… สี่เดือนแล้ว” อาโปหยุดพูด ก่อนเริ่มเล่าต่อ
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่เดียร์พักอยู่ที่ห้องนี้…พี่วายุก็เคยพักอยู่ที่ห้องนี้” ชื่อที่อาโปเอ่ยถึง ทำเอาเดียร์เบิกตาน้อยๆ เดียร์เห็นวายุทอดสายตาอ่อนโยนมองมาที่อาโป
“มันนานมากแล้วที่พี่วายุไม่ฟื้นสักที…” เสียงเบาๆของอาโป ทำเอาเดียร์เริ่มใจไม่ดี
“พวกเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่พี่วายุก็ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่” เดียร์แอบเห็นว่า หน่วยตาใสของรุ่นน้อง คลอไปด้วยน้ำตา
“ต้องทำยังไง พี่วายุถึงจะฟื้น” แม้ว่าอาโปจะพึมพำเบาๆ แต่เดียร์ได้ยินทุกคำ
“พี่ชายเราต้องไม่เป็นอะไรนะ” เดียร์จับมืออาโปไว้แน่น ความรู้สึกเป็นห่วง ท่วมท้นเต็มอก
เรื่องที่อาโปเล่า ช่างคล้ายกับเรื่องที่ใครบางคนเคยเล่าให้ฟัง และใครบางคนที่ว่าก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
ใครบางคนที่เดียร์มองเห็น แต่อาโปไม่สามารถมองเห็นได้
“ผมพยายามคิด พยายามหาทางช่วยพี่วายุ แต่ผมก็มองไม่เห็นหนทางแล้ว ผมคิดถึงพี่วายุ ทุกคนที่บ้านก็คิดถึงพี่วายุ…” อาโปเล่าต่อไป เดียร์รับฟังอยู่เงียบๆ
ถ้านี่คือสาเหตุที่ทำให้อาโปเศร้า ทางที่จะช่วยอาโปได้ คือวายุต้องฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นสินะ
“อาโป… พี่… ขอดูรูปพี่ชายของอาโปได้ไหม?” ถึงแม้ว่าตอนนี้ 90% ที่เดียร์เชื่อว่าวายุที่เขารู้จัก เป็นพี่น้องกับอาโปจริงๆ แต่ก็ขอใช้อีก 10% ที่เหลือ ยืนยันให้ชัวร์หน่อยเถอะ
อาโปพยักหน้า ตอนนั้นเอง ที่เดียร์เพิ่งได้เห็นรอยยิ้ม ประดับบนใบหน้าใสของรุ่นน้อง
อาโปยื่นโทรศัพท์ให้รุ่นพี่ เดียร์มองรูปที่แสดงอยู่บนหน้าจออย่างพิจารณา เพราะวายุที่เขา”เห็น” เป็นเพียงอากาศบางใส วายุในภาพถ่ายออกจะไม่คุ้นตาเดียร์นัก แต่โครงหน้าคมสันของวายุ ที่ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ก็ไม่ต่างกันนัก เดียร์ค่อนข้างแน่ใจว่าวายุที่เดียร์เห็น กับวายุในภาพถ่าย คือคนเดียวกัน
“พี่ชายผม หล่อใช่ไหมล่ะครับ” สีหน้ายิ้มแย้มของอาโป ทำให้เดียร์ต้องยิ้มน้อยๆไปให้ อาโปดูภูมิใจกับพี่ชายมากๆ
“อาโป ขอให้เดียร์ช่วยสิ” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น รูปประโยคทำให้เดียร์หันขวับ แม้ว่าวายุรู้ว่าอาโปไม่ได้ยินแน่ๆ แน่ล่ะว่าวายุต้องการให้เดียร์ได้ยิน
“ถ้าพี่ชายผม ไม่มัวแต่เป็นเจ้าชายนิทรา ป่านนี้คง…”
“อาโป”
เดียร์ตัดสินใจขัดประโยครุ่นน้อง
อาโปมองเดียร์ด้วยสีหน้าสงสัย
“ถ้า…ถ้าพี่ช่วยพี่ชายของอาโปได้ล่ะ”
เดียร์ขบริมฝีปากล่าง ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจกับคำพูดของตัวเองนัก
“ครับ?”
แน่นอนว่าอาโปยังข้องใจกับประโยคของเดียร์
“ถ้าวายุฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” เดียร์พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ
เดียร์สบตากับรุ่นน้อง แม้ว่ารุ่นน้องจะแสดงสีหน้าไม่เข้าใจก็ตาม
ดวงตาใสของอาโป ทำให้เดียร์นึกถึงสายตาเศร้าๆของรุ่นน้องก่อนหน้านี้ ก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ความเป็นห่วง ทำให้เดียร์กล้าตัดสินใจมากขึ้น
ถ้าเรื่องที่วายุเคยเล่า มันเป็นเรื่องจริงล่ะก็นะ!
“วายุจะต้องฟื้น เชื่อพี่” เดียร์จับมือรุ่นน้องแน่นขึ้น
อาโปเข้าใจว่านั่นคือคำปลอบโยนของรุ่นพี่ เขาได้รับคำปลอบโยนแบบนี้มานับไม่ถ้วน แต่นั่นเป็นเพียงความเข้าใจของอาโป
แต่สำหรับวายุแล้ว สิ่งที่เดียร์พูดออกมา
เปรียบเสมือน...
คำสัญญา
# My dear
เรื่องนี้มีวิญญาณด้วย… ถามว่าแอมแต่งไปแอมกลัวมั้ย?
มากค่ะ >< !!!
แต่วายุคงไม่เป็นวิญญาณทั้งเรื่องหรอก >< … ใช่มั้ย?
เดี๋ยวเดียร์ก็คงทำให้วายุกลับเข้าร่างได้ … หรือเปล่า?
ไม่ม้างงง ถ้างั้นล็อคจะทำยังไงล่ะ? ล็อคก็ชอบเดียร์อยู่… ไม่ใช่หรอ?
เหิยยย สปอย?
โอ่ยยยย แอมเอ๊ย บอกขนาดนี้ ><

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^