เรื่อง: อ้างฟ้าอ้างฝน
เวลาในการเขียน: ๒๔ชั่วโมง(ไว้เตือนตัวเอง

)
************************************************************************
ฝนตกอีกแล้ว… ชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่งคิดหลังจากเบือนหน้าหันไปมองท้องฟ้ายามบ่ายคล้อย ที่เป็นสีขาวขุ่นมัวสลัวด้วยเมฆ ฝนโปรยลงเบาๆทว่าใบไม้บนต้นมะม่วงสงบราวไม่รับรู้สิ่งใด ร่างสูงโปร่งนั้นเหยียดริมฝีปากยิ้มบาง ดวงตาฉายประกายเหมือนหยันเยาะบางสิ่ง เขาเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบกระป๋องชามะนาวเปิดดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะเดินผ่านเข้าไปในห้องด้านใน ห้องนั่งเล่นอันแสนสบาย บัดนี้ตกอยู่ในความสลัวมืดของเมฆครึ้มที่บดบังแสงอาทิตย์ เสียงฝนที่กระหน่ำแรงเตือนว่าฝนกระเซ็นเข้ามาภายในห้องถูกเปียโนของรัก เจ้าของบ้านปิดหน้าต่างแล้วนั่งลงหน้าเปียโนนั้น ใช้ผ้าเช็ดหน้า รองกระป๋องเครื่องดื่ม ก่อนวางลงบนหลังเปียโนเบาๆ พลางนึกเพลงเหมาะๆสักเพลงมาเล่นประกอบ นิ้วเรียวนั้นบรรเลงเพลงหวานโศกแผ่นเบา
“ ฝนตกทำไมชอบเล่นเพลงเศร้า” ใครคนหนึ่งเคยบ่นกับเขาเช่นนั้น เมื่อนานมาแล้ว ณ ห้องนี้ และเขานั่งหน้าเปียโนตัวนี้
“เข้าบรรยากาศ” คำตอบที่เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก กลับจารจำในหัวใจอย่างน่าประหลาด
“ฝนตกต้องเล่นเพลงสนุกๆสิ” เสียงนุ่มนั้นยังคงท้วง
“สนุกยังไง?”
“ฝนตก ขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องเล่นเพลงสนุกๆสิถึงจะไม่เบื่อ”
“เพลงอะไรล่ะ?”
“หลายเพลงเลย singing in the rainเป็นไง?”
“เบื่อแล้ว” ร่างสูงโปร่งตอบ แล้วเริ่มเล่นเพลงหวานโศก เสียงเปียโนคีย์สูงฟังกรุ๊งกริ๊งทำให้รู้สึกเหงา ชายอีกคนถอนหายใจ ยกไวโอลินประจำกายขึ้น สีเลียนล้อเมโลดี้นั้น หวานโศกไม่แพ้กัน
แต่วันนี้ ไม่มีใครคนนั้น คนที่ถอนหายใจเบื่อหน่าย หากยอมร่วมเล่นดนตรีกับเขาโดยไม่เกี่ยงงอน แล้วมันจะอย่างไร ในเมื่อช่วงเวลานั้น ผ่านพ้นไปนานกว่ายี่สิบปี...มันนานจนป่านนี้ ใครคนนั้นอยู่ที่ไหน อยู่เป็น หรือตายจากก็สุดจะรู้ ทว่าเสียงไวโอลินของชายคนนั้นยังดังก้องในหู เหมือนคำพูดสุดท้ายที่เขาบอก ในวันฝนโปรยอันไกลโพ้นด้วยกาลเวลา
“จอมจักร์ รอผมนะ” จำได้ว่า มองหน้าเขานิ่ง
“แล้วถ้าไม่รอเล่า”
“สิฐธรจะเป็นฝ่ายรอจอมจักร์” จอมจักร์กลับหัวเราะ
“รอให้จริงเถอะ”
“รอสิ จะรอ”
ผลล่ะ?...กลายเป็นจอมจักร์รอสิฐธรมากว่ายี่สิบปี แล้วสิฐธร ที่ปากว่าจะรอจอมจักร์ เงียบหายราวสายลม ทำไมล่ะ?....จอมจักร์ก็ไม่ทราบ ไม่มีใครหรืออะไรให้คำตอบได้ และคร้านเกินกว่าจะหาคำตอบ
“ฝนตก ไปหาไม่ได้” ครั้งหนึ่งสิฐธรบอกเขาถึงสาเหตุที่ในระยะนั้นไม่มาเยี่ยมเยียนให้เห็นหน้า
“แล้วยังไงอีก?”
“ก็ฝนตก เดินทางลำบาก”
“ช่างเถอะ คร้านจะฟัง”จอมจักร์บอกปัด อย่างไม่สบอารมณ์มากนัก
“ฟังหน่อยน่า” สิฐธรยิ้มเอาใจ
“ไม่อยากฟังแล้ว”
“ไม่เอาน่า สิฐธรขอโทษ” จอมจักร์ทำหูทวนลม นิ้วเรียวนั้น กดแป้นคีย์เบาๆ เสียงเปียโนทุ้มนุ่มกระซิบโศกเบาๆ เสียงไวโอลินครวญสะอื้นตอบรับ จอมจักร์แอบยิ้ม
“ยิ้มแล้ว!”
“เปล่าสักหน่อย”
“เห็นอยู่กับตา!”
“ตาฝาด!” สิฐธรหัวเราะร่า เขายังยืนยันว่า ตาไม่ฝาด
แล้วครั้งนี่เล่า จะอ้างว่าอย่างไร ฝนตกหรือ? จะตกทั้งปีทั้งชาติกันเชียว!? จอมจักร์คิดแล้วส่ายหน้า พลางบอกตนเอง อย่าไปช่วยสิฐธรคิดเลย เหนื่อยเปล่า
“ทำไมฝนตกยังมา?”จอมจักร์ถามขึ้นในคืนฝนตก สิธฐรมองหน้าคนพูด เสียงฝนดังอยู่ไกลๆ
“เมื่อวาน เอ้อ....ฟ้าครึ้มๆ เลยไม่กล้าออกมา”จอมจักร์พยักหน้ารับรู้อย่างส่งๆ ใช้ดินสอเขียนตัวโน้ตด้วยลายมือหวัด ทว่าเป็นระเบียบนัก
“แล้วยังไงอีก?”
“ไม่เชื่อหรือ?”จอมจักร์ไม่ตอบ ยังคงขีดเขียนอย่างตั้งใจต่อไป
“ไม่เชื่อหรือ?”เสียงที่ถามอีกครั้งนั้น ไม่มั่นคง จนน่าใจหาย
“เปล่า เพียงแต่เบื่อ.... เบื่อที่จะฟัง”สิฐธรพยักหน้าเข้าใจ
ผลของการเบื่อที่จะฟัง ....คือไม่ได้ฟังอีกเลย สิฐธรหายไป เป็นนาน เกือบสองเดือน เขากลับมาหาในคืนหนึ่งที่อากาศชื้นเย็น บางทีน้ำตาหยาดเล็กๆของจอมจักร์ที่ระเหยไปในอากาศมาแรมเดือน อาจจะกำลังอัดแน่นกันอยู่ก็เป็นได้
“มาทำไม?”
“จอมจักร์”เสียงนั้นแห้งแล้งไม่แพ้กัน
“ไม่อยากฟังแล้ว!”จอมจักร์พูดเสียงดัง น้ำตาแห้งผากราวไม่มีจะไหลอีกสืบไป
“สิฐธรขอโทษ”
“บอกว่าไม่อยากฟัง” เสียงนั้นอ่อนลง ราวหมดสิ้นเรี่ยวแรง
“จอมจักร์รักสิฐธรไหม?”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นแผ่วเบาเหมือนกระซิบ
“รักแล้วจะทำไม ไม่รักแล้วจะทำไม?”
“สิฐธรรักจอมจักร์นะ ”
“ต้องการให้ฉันตอบอย่างไรเล่า” สิฐธรส่ายหน้า
“ไม่ต้องตอบหรอก สิฐธรแค่มาบอกจอมจักร์ให้รู้ว่ารัก ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”อาจเพราะหัวใจจอมจักร์กำลังสับสนจึงไม่อาจแยกแยะ เข้าใจ สิ่งใดๆได้อีก
“จอมจักร์ สิฐธรต้องไปเรียนต่อแล้วนะ ที่หายไปนานเพราะเรื่องนี้” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้น แผ่วเบา ฟังดูอ่อนไหวเหมือนหัวใจจอมจักร์ขณะนี้
“จะเดินทางอาทิตย์หน้า อยากให้จอมจักร์ไปส่ง...ได้ไหม?” จอมจักร์เงียบ ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอด มีเพียงสายตาของสิฐธรที่บัดนี้ฉายประกายผิดหวัง ร้าวราน
ชั่วขณะนั้น จอมจักร์ทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของใครคนนั้น หายไปกับความมืดสลัวยามค่ำคืน
จอมจักร์ไม่อาจข่มตาหลับสนิทได้เลย นับแต่คืนนั้น หัวใจมันเฝ้าเว้าวอนหาภายใต้ความรู้สึกหลากหลาย โดยเฉพาะคืนสุดท้าย ที่สิฐธรจะได้อยู่บนแผ่นดินมาตุภูมิ ไม่อยากให้ฟ้าสางมาเยือน แต่ใครเล่าจะหยุดเวลาได้ มันเดินอย่างสม่ำเสมอ ดั่งเย้ยเยาะ และหยิ่งผยองว่าไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดมันได้อีกแล้ว
ไก่ขันส่งเสียงเจื้อยแจ้ว จอมจักร์ลุกขึ้นแต่งกายเรียบร้อย มองหน้าตนเองในกระจกที่ดูเหมือนเจ็บไข้มาแรมปี แม้พยายามจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับจืดชืดไม่ชวนมอง จอมจักร์ พยายามทำตนให้สดใสก่อนดินออกจากบ้าน และแวะหยิบดินมาหยิบมือหนึ่ง ใส่ตลับเงินอย่างบรรจงแล้วเดินไปที่บ้านสิฐธร เสียงฟ้าครวญดังอยู่ปรายหู
“สวัสดีสิฐธร”
“สวัสดีจอมจักร์”
“เก็บข้าวของครบถ้วนดีแล้วหรือ?”จอมจักร์ออกปาก หลังความเงียบงันมาเยือนอยู่ครู่ใหญ่
“เรียบร้อยแล้ว ไม่นึกว่าจะได้เจอจอมจักร์ก่อนไป”
“สิฐธรจะเดินทางทั้งที ฉันจะไม่มาส่งได้หรือ?”
“ขอบใจนะ”จอมจักร์พยักหน้ารับเบาๆ ต่างไม่กล้าสบตากัน
“จอมจักร์ จวนได้เวลา...”สิฐธรออกปาก
“อ้อ....ไปเถอะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ”สิฐธรยิ้มบางตอบรับ ทว่าดวงตาคู่นั้นฉายประกายรานร้าวขึ้นวูบหนึ่ง วูบเดียวทิ่มแทงหัวใจจอมจักร์ให้เจ็บร้าวพอๆกัน
“ไปนะ”
“เดี๋ยว!...ช่วยรับสิ่งนี้ไว้ทีเถอะ เขาว่ากันว่า เมื่อนำไปแล้วต้องนำกลับมาคืนถิ่นที่อย่าให้ตกหล่น”จอมจักร์มอบตลับเงินนั้นใส่มือสิฐธร แล้วหันหลังรีบเดินจากไป ทำไมนะหรือ?....จอมจักร์เชื่อ หากร้องไห้ให้สิฐธรเห็นเขาย่อมไม่สบายใจ อย่าทำให้ใครๆกังวลใจจะดีกว่า ฟ้าครวญดังสนั่น ฝนเย็นฉ่ำโปรยปรายสู่ผืนดิน แตะต้องร่างของผู้คนผู้มิได้อยู่ใต้ร่มเงาสิ่งใดเช่นจอมจักร์
“จอมจักร์!”มือแข็งแรงนั้น ฉุดกระชากให้ซวนเซไปข้างหลัง ฝนลงหนาเม็ด จนคนทั้งสองชุ่มโชก เมื่อตาได้สบตากลับไร้คำพูด นานช้า กว่าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“จอมจักร์ รอผมนะ” ถ้อยความนั้นหนักแน่น เหมือนดวงตาคู่สวยอันทอประกายกล้า
“แล้วถ้าไม่รอเล่า”
“สิฐธรจะเป็นฝ่ายรอจอมจักร์” จอมจักร์กลับหัวเราะ
“รอให้จริงเถอะ”มือนวลช่วยเสยเส้นผมที่เปียกชุ่มตกระดวงหน้านั้นเบาๆ
“รอสิ จะรอ”
จอมจักร์ไม่รู้ ว่าคนที่ปากว่าให้รอนั้น คิดอย่างไร หลังจากใช้เวลายาวนานลองคิดพิจารณาถ้อยความสัญญานั้น จอมจักร์กลับเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน ที่เรียกร้องให้คนอื่นรอตนเอง ในขณะที่ตนเอง ลืมใครคนนั้น คนที่รออย่างสัตย์ซื่อมาช้านาน และที่น่าขันมากกว่า คือ คนที่ไปรับคำสัญญาของเขามานั้น กลับยึดมั่นถือมั่นต่อสัญญานั้นมากมาย ทั้งที่รู้......สัญญานั้น เหมือนกระแสลมอันกรรโชกพัด ให้หยดน้ำใหญ่น้อยล่องลอยไปตามลมนั้น หยดน้ำเหล่านั้นอาจไม่รู้ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ ว่าสายลมไม่แน่นอน เมื่อพัดผ่านมาถึง สักวันหนึ่งจะจากพลัด แล้วหลังจากนั้นเล่า?....ตกกระทบผืนดินกระเซ็นซ่าน เจ็บหรือ ก็อาจมีบ้าง ทว่าทรมานเล่า ....อาจเป็นตลอดกาล
ฝนเริ่มจางเหมือนอารมณ์รักที่บัดนี้จางหายบางเบา เสียงเปียโนอ่อนหวานโศกสลดในขณะนี้ไม่ใช่เสียงคราญจากหัวใจปวดร้าวอีกสืบไป เป็นเพียงเสียงครวญเพลงอย่างนึกสนุกในเพลงเศร้าเท่านั้น
เวลาผันผ่านมานานช้า จอมจักร์ได้เรียนรู้หลายสิ่งจากช่วงเวลาอันยาวนานนั้น ในขั้นแรกมันร่ำๆจะขาดใจ ต่อมาก็ปลงได้ สุดท้ายจึงเหลือเพียงความทรงจำที่สีสันของมันไม่เคยซีดจาง และแจ่มชัดยิ่งกว่าความทรงจำใด สิ่งที่ทำให้จำได้ติดตรึงใจ แต่แรกนั้นเป็นความรักลึกซึ้ง ทว่าเวลาผ่านพ้นความรักนั้นมิได้จืดจาง มันแปลผลเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ความสวยงามในชีวิต’ จอมจักร์ยินดีที่จะเก็บความรักเมื่อครั้งอดีตไว้ เตือนใจให้ระรึกว่า ครั้งหนึ่งเคยได้รัก....แต่ไม่มีจะรักตลอดไป
วันนี้ฝนก็ยังตก ตกเพราะหลายวันก่อนร้อนจัด หรือเริ่มเข้าหน้าฝนก็สุดจะเดา เพราะโลกไม่แน่นอน นี่ล่ะธรรมชาติกำลังสอนสั่งสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน ฝนตกเพียงไม่นาน...ก็จางหาย
เสียงเพลงหวานโศกล้ำลอยหายไปกับอากาศ จอมจักร์ในปัจจุบันรามือจากเปียโน ผินหน้ามองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างใหญ่ ปรากฏรุ้งริ้วงามเฉิดฉายทอดทอไปสุดฟ้า เขายิ้มต้อนรับรุ้งสวยอย่างยินดี เสียงฝีเท้าเบาๆ ทำให้จอมจักร์หันไปตามทิศทางนั้น
“ทำไมฝนตกชอบเล่นเพลงเศร้า” จอมจักร์ มองเห็นตลับเงินคุ้นใจคล้องคอใครอีกคนด้วยสายสร้อยเงิน จอมจักร์ส่งยิ้มให้เจ้าของคำถามก่อนจะตอบ
“เพราะเข้าบรรยากาศ”
“แต่ฝนหยุดแล้ว”
“ฝนหยุดมานานแล้ว” จอมจักร์ยืนยัน นิ้วเรียวเริ่มบรรเลงเพลงอีกครั้ง เพลงสำเนียงอ่อนหวานไม่มีเค้าความโศกสลดใดๆอีกสืบไป มีเพียงความรื่นรมย์สงบใจ เสียงไวโอลินทุ้มด้วยคีย์ต่ำสอดประสานดำเนินตาม อีกนานกว่าเสียงดนตรีจะเงียบหาย อีกนาน...กว่า ‘ความสวยงามในชีวิต’ จะจางสี
************************************************************************
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น กำลังหัดเขียนเรื่องสั้นอยู่ค่ะ
