ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6  (อ่าน 47960 ครั้ง)

ออฟไลน์ piggyfree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
«ตอบ #120 เมื่อ13-02-2015 13:10:11 »

คิดถึงนะคะ   ไม่ได้เข้ามาสักพักเหมือนกัน
สารภาพว่า ลืมหมดแล้ว  เดี๋ยวไปอ่านย้อนใหม่

ออฟไลน์ Flor-de-Amor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
«ตอบ #121 เมื่อ13-02-2015 20:47:36 »

คิดถึงเรื่องนี้มากๆ

ยังรออยู่นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 9 (ครึ่งแรก)

ฝากคุณแม่ด้วยนะ...

ไม่เอา ษิตอย่าร้อง... ยิ้มให้พี่หน่อย พี่จะจำไว้

... แต่พี่จะไม่ได้ฟังเสียงกีตาร์ษิตแล้วสิ...


เสียงปรบมือดังก้องทำให้เขาหลุดจากภวังค์ รักษิตเห็นน้องรหัสของศิวัชก้าวไปเบื้องหน้าเมื่อรุ่นพี่ปีหกคนที่อยากให้ฟังแหวกผู้คนด้านหน้าเวทีมาหา แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความขัดเขินอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างคงคลี่คลายลงด้วยดี คุ้มค่ากับที่ต้องลงไปหัดอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ใต้หอเพราะเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง

รักษิตจับกีตาร์เมื่อตอนมัธยมต้น พี่สาวคอยเชียร์มาโดยตลอด ตั้งแต่ฝีมือยังไม่เข้าขั้นจนเป็นเพลง พี่สาวเคยให้กำลังใจเขาเท่าไร เมื่ออาการของโรคทรุดหนักลง คนป่วยเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด บางครั้งเศร้าหมอง... เขาก็ใช้ดนตรีช่วยบรรเทา พยายามให้กำลังใจกลับไปเท่านั้น บางครั้งเพียงแต่นั่งข้างกัน น้องชายเกากีตาร์ไปเบาๆ เล่นเพลงตามแต่จะนึกออก พี่สาวก็เหมือนสบายใจขึ้น

... พอคนฟังคนแรกไม่อยู่แล้วผนวกกับเรื่องการเรียนที่เริ่มหนักหนารักษิตจึงวางมันลง ไม่นึกว่าจะได้เล่นอีก

เขาลงจากเวทีไปเงียบๆ เพื่อนๆ ต่างติดงานติดธุระกันหมด แวบมาเจอพี่ในสายตัวเองตอนหัวค่ำแล้วก็ต้องไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รักษิตก็พบรุ่นพี่ส่งยิ้มกว้างมาให้

ธีรพัทธ์เป็นคนยิ้มได้ทั้งปากและตา ส่งให้ดวงหน้านั้นกระจ่าง รักษิตไม่นึกแปลกใจว่าทั้งรุ่นน้องและเหล่าพยาบาลออกจะ ‘ปลื้มๆ’ รุ่นพี่อยู่ไม่น้อย ในการทำงานที่ทุกคนต่างเหนื่อยและเคร่งเครียด มีหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านที่ไม่ช่วยให้เครียดขึ้นไปกว่าเก่าถือเป็นโบนัส

อันที่จริงก่อนธีรพัทธ์ลงมา จะว่าชีวิตวอร์ดในวันนี้ของเขาราบรื่นเหมาะสมกับการตั้งใจจะมาฟัง ‘เพลงเพราะๆ’ ตามที่เจ้าตัวหมายมั่นไว้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ใบคอนซัลต์เจ้ากรรมใบหนึ่งจากแผนกผู้ป่วยนอกดันเขียนมาแค่ ‘ปรึกษาอายุรกรรม’ เป็นตัวย่อภาษาอังกฤษโดยไม่ขยายความว่าจะปรึกษาเรื่องอะไร โทรไปก็ไม่มีใครรู้เรื่อง กว่าเขาจะให้รุ่นน้องตามควานตัวเรสิเดนท์แผนกอื่นที่เขียนใบขอปรึกษาเจอ แน่นอนว่าคนเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านต้องรองรับอารมณ์เฟลโลว์ที่หัวเสียกับฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานไปแล้วไม่น้อย

แต่พอลงจากตึก เดินเข้าที่จัดงาน ธีรพัทธ์ก็ทิ้งเรื่องปวดหัวทั้งหลายไว้เพียงนั้น ไม่ยอมให้มันมาขัดความรื่นรมย์ในเย็นนี้ของเขา ยืนรอรุ่นน้องเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าจนเรียบร้อย

“ผมลืมโน้ต หน่อยนึง...” คนเพิ่งเล่นเสร็จสารภาพ จริงๆ เขาควรจะเอาโน้ตขึ้นไปด้วย แต่อารามรีบร้อน พอนึกได้ก็หยิบไม่ทันแล้ว ต้องปล่อยเลยตามเลย “พอดีน้องเขาเก่ง เลยไม่ล่ม”

“เรื่องลืมเป็นเรื่อง...”

“... ที่เกิดขึ้นได้” รุ่นน้องต่อให้พลางหัวเราะ “... นั่นสินะ”

“เก่งทั้งคู่น่ะ...” เสียงชมนั้นจริงใจ “คนเล่นกีตาร์ยิ่งเก่ง...”

รักษิตก้มลงวางกีตาร์ จะได้หยิบกระเป๋าหนังสือตัวเองขึ้นก่อนสะพายกีตาร์กลับเข้าไปใหม่ แท้ที่จริงก็เพื่อซ่อนสีหน้าไปด้วย เขาไม่คิดว่ารุ่นพี่จะอยู่ในงาน อาจจะไปๆ มาๆ บ้าง แต่อีกฝ่ายทำราวกับตั้งใจมาฟังเขาเล่น ทำให้คนที่ไม่ได้ขึ้นเวทีเสียนานออกจะขัดเขินอยู่บ้าง

ธีรพัทธ์กลับยกกระเป๋ากีตาร์มาหิ้วไว้เสียเอง แล้วบอกรุ่นน้องว่า “พี่ช่วยแล้วกัน แค่หนังสือก็พะรุงพะรังอยู่แล้ว... นี่น้องยังต้องรอเจอพี่รหัสอีกหรือเปล่า”

“พี่เขายังอยู่โรงพยาบาลนอกเลยครับ กลับมาไม่ทัน ไว้ค่อยนัดกินข้าวกันเองอาทิตย์หน้า”

ธีรพัทธ์พยักหน้ารับรู้ เห็นเพื่อนแพทย์ประจำบ้านที่โต๊ะกำลังมองน้องนักร้องปีสี่ที่คงมีโลกส่วนตัวไปแล้วกับคนรู้ใจอย่างเสียดาย อีกเดี๋ยวพวกนั้นคงจะหันมาสอดส่ายสายตาหาเขาเพื่อเรียกให้กลับไปร่วมวงด้วย จึงรีบเอ่ยขึ้น

“งั้นเราก็ออกไปกินกันบ้าง... หิวไหม”

รักษิตต้องยอมรับเพราะก่อนขึ้นไปเล่นเขายังไม่ได้กินอะไรเลย แต่ก็เสียเวลางงอยู่อึดใจก่อนจะถึงบางอ้อว่าอีกฝ่ายหมายถึงไปข้างนอก

“อ้าว แล้วในงาน...”

“ไม่ค่อยอร่อย” รุ่นพี่ว่าเสียอย่างนั้น “คนก็เยอะ”

รักษิตเดินตามคนชวนไปโดยดี แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการที่อาหารไม่อร่อยกับคนเยอะมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรก็ตามทีเถอะ
พอไปถึงร้าน ได้ที่นั่งเรียบร้อย ธีรพัทธ์จึงถามขึ้นว่า “มีที่วนข้างนอกหรือยัง”

พอเป็นเอ็กซ์เทิร์นหรือขึ้นชั้นปีสุดท้าย นักศึกษาแพทย์จะต้องไปเรียนในโรงพยาบาลร่วมสอนซึ่งมักเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่บางครั้งถึงเลือกไปก็ไม่ได้อันดับแรก และไม่ได้อยู่กับพวกเพื่อนที่อยากทำงานที่เดียวกันด้วย ในกลุ่มรักษิตจึงตกลงว่าเลือกให้ตรงกันสักที่หนึ่งที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างไม่แย่กับชีวิตจนเกินไปนักทั้งโหลดของงานและความเป็นอยู่ นอกนั้นก็แล้วแต่ดวง

“ยังไม่ได้ดูให้แน่เลยครับ” เขาตอบตามจริงเพราะมัวแต่วุ่นวายกับการสอบที่กำลังจะมาถึง “เดี๋ยวคงลองไปถามพี่รหัสดูอีกที”

“ถ้ายังไม่มี... ไปที่โรงพยาบาลพี่ไหมล่ะ”

โรงพยาบาลที่ธีรพัทธ์ได้ทุนมาเรียนอายุรกรรมก็เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลร่วมสอนเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่างานหนัก สตาฟโหดไม่น้อย แต่ถ้าใครตั้งใจก็น่าจะได้ความรู้กลับไปมาก

รักษิตต้องหยุดถามรุ่นพี่ว่า “พี่พัทธ์พูดจริงหรือครับ”

“เอ้า แล้วกันสิ” ท่าทางหมดอาลัยนั้นทำให้รุ่นน้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คนเขาชวนจริงก็หาว่าพูดเล่น”

“เปล่าๆ” คนได้รับชวนรีบแก้ “คือพวกที่รุ่นพี่เล็งๆ ไว้ปกติจะเรียนเด่น ระดับท็อปของสาย อะไรอย่างนี้ ผมก็ไม่เชิง...”

“หมอดีๆ น่ะเขาไม่ได้ดูกันที่เกรดอย่างเดียวหรอก” ธีรพัทธ์ว่า เป็นความจริงที่เขาเองเคยประสบทั้งจากอาจารย์และรุ่นพี่ที่มีโอกาสร่วมงานกัน การตั้งใจทำงาน อุทิศตัวเพื่อคนไข้มีความสัมพันธ์น้อยมากกับระดับเกรดเฉลี่ยสะสม ขอให้มีความรู้ดีพอจะรักษาได้มาตรฐานเท่านั้น เรื่องที่เขาเห็นว่ารุ่นน้องมีแววเป็นหมอดีก็จริงอีกเหมือนกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับ... เรื่องอื่นที่เขาอาจจะ ‘เล็งๆ’ เอาไว้แต่อย่างใด

รักษิตพึมพำขอบคุณ บอกจะชวนเพื่อนด้วยซึ่งรุ่นพี่ก็ไม่ได้ขัดข้อง เพียงแต่ถามว่า “มีเบอร์พี่แล้วนะ?”

"มีสิครับ" คนตอบตอบได้ทันที หมายเลขโทรศัพท์มือถือของหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านไม่ใช่ความลับ "ตรงเคาน์เตอร์พยาบาลติดอยู่หราเลย ในใบตารางเวรปรึกษาก็เขียนไว้"

ปกติหากมีการโทรตามจะเริ่มที่วอร์ด ซึ่งดังที่ห้องพักแพทย์ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าโทรหาวอร์ดไม่เจอจึงจะมีการโทรเข้ามือถือ ข้อนี้ธีรพัทธ์ต้องยอมรับว่าเบอร์โทรของเขาไม่ใช่ของหายาก เลยบอกช้าๆ “เบอร์พี่ใครก็มีจริงแหละ แต่... มีที่อยากให้โทรหาอยู่ไม่กี่คน”

รักษิตเงยหน้าขึ้นส่วนรุ่นพี่พูดต่อไปด้วยเสียงเจือหัวเราะ “ถ้าน้องโทรมา จะได้รับด้วยความสบายใจบ้าง”

รักษิตคิดว่า สำหรับหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านอย่างธีรพัทธ์นั้นถ้าเสียงโทรศัพท์ดังเป็นอันว่าส่วนใหญ่จะต้องเกิดเรื่อง ไม่ว่าจะเคสด่วน ฉุกเฉินจากรุ่นน้องหรือพยาบาล เฟลโลว์หรืออาจารย์โทรมาตามความคืบหน้าต่างๆ ส่วนเขาลงจากวอร์ดไปแล้ว ไม่น่าหาเรื่องร้อนไปให้ได้ เลยยิ้มรับอย่างเต็มใจ

รุ่นพี่ยิ้มตอบ พลางบอกเหมือนเคยว่าให้เขากินให้หมด


ช่วงพักเที่ยงสองสามวันต่อมา รักษิตกำลังจะลุกจากโต๊ะเพื่อกลับเข้าตึก ก็พอดีเห็นศิวัชเดินมากับรูมเมตคนหนึ่งที่ขึ้นวอร์ดเดียวกัน จึงรออยู่ก่อน

รูมเมตโบกมือให้เขา แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้รักษิตค่อยเห็นว่าหน้าตาศิวัชออกจะบอกบุญไม่รับ ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีท่าทีขำขันอย่างไรอยู่

ศิวัชกระแทกตัวลงนั่ง ไม่ต้องรอให้มีคนถามก็บอกแล้วว่า “กูนี้ไม่รุ่งกับทางศัลย์ แน่นอน”

เพื่อนที่เดินมาด้วยกันหัวเราะ ก่อนจะช่วยขยายความให้

“คือไอ้ตี๋ สัปหงกคารีแทรคเตอร์ โดนอาจารย์ด่าเช็ด”

“ยืนอยู่เฉยๆ มันก็มีบ้างแหละ” ศิวัชอุบอิบ การยืนถือเครื่องมือถ่างแผลส่วนใหญ่เป็นงานยาวนานพอสมควร “ที่จริงยังไม่ทันหลับด้วยแค่เคลิ้ม... ห้องผ่าตัดก็เย้นเย็น พี่บอกถือนิ่งๆ นิ่งๆ...”

“นิ่งจนหลับเลยไงล่ะ” รูมเมตของรักษิตว่า คุยกันอีกสองสามประโยคก่อนปลีกตัวไปเตรียมบทความที่จะเข้าสัมมนา เหลือศิวัชนั่งอยู่ สีหน้าค่อยดีขึ้นเมื่อได้น้ำเย็นที่เพื่อนยกให้ เอ่ยบอก

“เออ... ขอบใจอีกทีนะษิตเรื่องเมื่อวันงาน น้องมันแฮปปี้เอ็นดิ้งไปแล้ว”

รักษิตว่าไม่เป็นไร ตัวเขาเองนั้นคิดว่าแฮปปี้อาจจะใช่ ดูจากเมื่อค่ำวันนั้น แต่เอ็นดิ้ง... อาจต้องใช้เวลากว่าจะตัดสินได้ ถามเพื่อนเลยไปว่า

“เมื่อวานลาครึ่งวันเป็นไงบ้าง”

ศิวัชถูกที่บ้านกำชับให้ไปปรากฎตัวในงานรับปริญญาของลูกพี่ลูกน้องให้จงได้ สองสามชั่วโมงก็ยังดี มิไยที่เจ้าตัวจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งทุกครั้งที่ครอบครัวโทรมาเตือน อ้างงานสารพัด สุดท้ายก็ต้องไปหลังอากงยื่นคำขาด ‘ให้มันรู้ไปว่ายังไม่จบก็ไม่มีเวลาให้พ่อแม่ญาติพี่น้องแล้ว เจอกันอีกทีมันคงเอาหลานมาให้อุ้ม... ถ้าอั๊วยังอยู่ถึงวันนั้นนะ’

“อากงก็หน้าบานไปสิ หลานคนโปรดจบเสกทะสากเกียรตินิยม” ศิวัชเลียนเสียงคนเป็นปู่ได้ไม่มีผิดเพี้ยนก่อนว่า “หมั่นไส้!”

รักษิตคิดว่าความรู้สึกของเพื่อนน่าจะใกล้เคียงกับ ‘น้อยใจ’ มากกว่า แต่ไม่ได้พูดออกไป สักวันหนึ่งศิวัชก็คงเข้าใจเอง สายใยผูกพันในครอบครัวนั้นไม่ขาดกันง่ายๆ ถ้าไม่เป็นห่วงคงไม่รีบมาหาทันทีที่รู้ว่าหลานชายคนเล็กป่วย ในบางครอบครัวที่ยังมีญาติผู้ใหญ่อย่างอากง หวังจะให้ลูกหลานอยู่ใกล้ๆ ช่วยงานบ้าง ได้เห็นหน้า เป็นเรื่องธรรมดา

เพียงแต่ในเส้นทางนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ใช้ทุนใกล้บ้าน การลาติดต่อกันยิ่งไม่ง่ายดาย วันหยุดยาวที่ใครๆ อาจจะถือโอกาสกลับไปเยี่ยมครอบครัว เพื่อนร่วมวิชาชีพของเขาบางคนยังต้องเข้าเวรอยู่...

ศิวัชเลิกหงุดหงิดแต่เพียงนั้นแล้วเปิดรูปในไลน์กลุ่มที่เพิ่งขึ้นเตือนให้เขาดู ญาดาส่งรูปที่ถ่ายกับเกตุวดีมาให้ ทั้งคู่ใส่เสื้อกาวน์ตัวสั้นดูต่างไปจากกาวน์ยาวที่เคยเห็นกันมา กิจกรรมพักหลังนี้ของนักศึกษาแพทย์ปีห้าเมื่อว่างลงจากงานในวอร์ดหรือหนังสือหนังหา ก็คือการไปลองเสื้อนักศึกษาแพทย์เวชปฏิบัติ นับเป็นสัญลักษณ์ของปีสุดท้ายที่อาวุโสสุดในหมู่นักศึกษาแพทย์ก่อนจะจบไปทำงานจริงๆ เพื่อนๆ เห่อกัน ถ่ายรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นทิวแถว รอจะได้ใส่เต็มตัวในอีกไม่กี่เดือน

รักษิตไปลองมาเมื่อวาน ได้แต่มองเงาของตัวเองในกระจกอย่างแปลกตาอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าเวลาที่เขาจะได้ใช้ในโรงเรียนแพทย์ อยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ทำงานโดยมีรุ่นพี่คอยดูแล อาจารย์สั่งสอนควบคุมใกล้หมดลงแล้ว นับจากปีหน้าเขาก็ต้องมีภาระความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เป็นปีสุดท้ายที่จะมีลายเซ็นรุ่นพี่หรืออาจารย์กำกับ ต่อจากนั้นหลังการสอบใหญ่ ในใบสั่งการต่างๆ ก็จะเป็นลายเซ็นของเขาเอง และเขาต้องรับผิดชอบการตัดสินใจด้วยตัวเอง

เพียงแต่... เส้นทางหลังจบจากคณะแพทยศาสตร์ จะยังเป็นอย่างที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มที่ได้เข้ามาหรือไม่

รักษิตลาเพื่อนเมื่อหมดเวลาพัก เดินเข้าไปชั้นล่างของแผนกออร์โธปิดิกส์ ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นห้องตรวจผู้ป่วยนอก และห้องเฝือก หากไม่ใช่ ‘เมเจอร์วอร์ด’ หรือวอร์ดหลัก ได้แก่ อายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินรี และกุมาร นักศึกษาแพทย์ก็ใช้เวลาศึกษางานระยะสั้นกว่ามาก

เขาเห็นธีรพัทธ์เดินผ่านหน้าต่างกระจกไปแวบๆ กะจะทัก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็น เพราะยังคุยติดพันอยู่กับเพื่อนแพทย์ หยุดตรงหน้าแผนกผู้ป่วยนอกพอดี มองออกไปจากที่รักษิตยืนอยู่นี้พอเห็นได้ค่อนข้างชัด

ธีรพัทธ์นั้นพูดไปยิ้มไปซึ่งเป็นลักษณะปกติเวลาเล่าอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเคสคนไข้ ส่วนอีกคนกอดอกฟังเฉยๆ เขาเห็นหน้าไม่ถนัดนักเนื่องจากอีกฝ่ายยืนหันข้าง แต่คิดว่าน่าจะเป็นแพทย์ประจำบ้านในออร์โธปิดิกส์

เมื่อรุ่นพี่ดูจะมีธุระรักษิตจึงกลับไปอยู่ในห้องเฝือกตามเดิม ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่ห้องเฝือกประจำเฉพาะด้วย แต่ไม่แน่อีกเหมือนกัน อย่างไรนักศึกษาแพทย์ก็ต้องเรียนรู้เฝือกแบบต่างๆ อย่างถี่ถ้วน
 
หลังจากอาจารย์เข้ามาสาธิตแล้ว พี่ในแผนกจึงมาดูต่อ มีการหาอาสาสมัครและเริ่มปฏิบัติ

ซึ่งทำให้รักษิตเริ่มคิดว่า ออร์โธปิดิกส์นั้นไม่ได้ ‘เบา’ ไปกว่าเมเจอร์วอร์ดทั้งหลายเลย...


เขากะโผลกกะเผลกลงจากตึกเอาตอนเย็น ทุกคนได้เวลาพักราวครึ่งชั่วโมงก่อนพี่นัดอีกที ตั้งใจจะไปกินข้าวเสียให้เสร็จเพราะไม่รู้ว่ารอบเย็นจะยืดเยื้อขนาดไหน ยิ่งมีเวลาเรียนไม่มากทั้งพี่ทั้งอาจารย์ยิ่งพร้อมใจกันอัดความรู้กระหน่ำใส่นักศึกษาแพทย์ แม้ว่าในปีสุดท้ายจะยังมีวิชาของออร์โธปิดิกส์แทรกให้เรียนอยู่อีกช่วงสั้นๆ แต่พี่และอาจารย์คงคิดว่าต้องเตรียมความพร้อมให้เสียแต่เนิ่นๆ

รักษิตมุ่งไปทางโรงอาหาร มาชะงักเพราะได้ยินเสียงคุ้นๆ ทักขึ้น

“นี่ไปโดนอะไรมา” พร้อมเจ้าตัวก้าวพรวดเดียวถึงเขา มองกวาดทั่วสภาพเบื้องหน้าซึ่งรักษิตรู้ตัวดีว่าคงดูไม่จืดจากเฝือกทั้งแขนทั้งขาอย่างละข้าง

เขาได้แต่ตอบธีรพัทธ์อ่อยๆ “หัดพันเฝือกกันมาครับ... รอบนี้ผมเป็นอาสาสมัคร”

สีหน้ารุ่นพี่คลายลงจนเป็นเกือบจะขำ เมื่อพิจารณาดูละเอียดขึ้นก็เห็นว่า... เฝือกหัดทำชัดๆ ส่วน ‘อาสาสมัคร’ ก็มอมแมมไม่น้อย ทำให้เขาคิดถึงตอนเพื่อนลงจากออร์โธปิดิกส์โดยมีน้ำปูนเปื้อนไปครึ่งขากางเกงเมื่อมาเรียนแพทย์ประจำบ้านแล้วอยู่บ่อยๆ

“เล่นเอาตกใจ... แล้วนึกยังไงลงมาทั้งอย่างนี้ล่ะน้อง”

“พี่... เกี้ยวบอกว่าให้ลองใช้ชีวิตแบบ... ติดเฝือกดูบ้างน่ะครับ”

แม้ว่ากรองพรจะเป็นพี่สาวของเพื่อนสนิทรักษิตและคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี แต่ในแผนกของเธอเองเวลาที่ทำหน้าที่หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านและต้องสอนน้องนั้นถือว่าเข้มงวดสุดๆ

ธีรพัทธ์นึกถึงอดีตพี่เอ็กซ์เทิร์นสายของตัวเองแล้วต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เรื่องเฮี้ยบไม่แพ้ใคร เรื่องอำน้องก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ถึงคราวนี้เขาคิดว่ากรองพรตั้งใจจะสอนอะไรบางอย่างกับน้องมากกว่าอำ ก็ยังว่า “พี่เขาพูดเล่นหรือเปล่า... คนอื่นล่ะ”

“อ๋อ บางคนก็ให้เพื่อนซื้อข้าวขึ้นไปให้...”

ธีรพัทธ์คร้านจะถามว่าแล้วทำไมคนตรงหน้าเขาจึงไม่คิดจะทำอย่างนั้นบ้าง เพราะเจ้าตัวบอกออกมาเองอย่างมุ่งมั่น “แต่พอพี่เกี้ยวบอกผมเลยอยากลองดู”

นั่นไง...

ธีรพัทธ์เลิกพูดเรื่องเฝือก รักษิตจึงตั้งท่าจะเดินต่อ บอกว่า “ผมจะไปโรงอาหาร”

ธีรพัทธ์ถอนใจเฮือก ก้าวตามมา “เอ้า ไป พี่ไปด้วย”

รุ่นพี่ไม่ได้ประคับประคองอะไรก็จริง แต่ก็ทำให้อุ่นใจกว่าโขยกเขยกไปคนเดียวมาก ธีรพัทธ์ลดฝีเท้าลงมาจนเดินเคียงกันไปได้ พอถึงโรงอาหารหาโต๊ะ ให้เขานั่งก่อนบอกสั้นๆ

“เดี๋ยวซื้อมาให้”

ธีรพัทธ์ผละไปโดยทำเป็นไม่เห็นท่าทางจะค้านของอีกฝ่าย เพราะขืนปล่อยรุ่นน้องลากเฝือกเบียดคนในโรงอาหาร อีกครึ่งชั่วโมงก็คงยังไม่ได้ซื้อ

เขากลับมาในเวลาไม่นาน วางจานลงให้พลางว่า “ข้าวผัดนะ กินง่ายๆ หน่อย”

รักษิตกินไปด้วยมือซ้ายอย่างออกจะทุลักทุเล พยายามไม่สนใจสายตาขำๆ ของคนที่นั่งตรงข้าม ถามขึ้นว่า “แล้วพี่พัทธ์ไม่กินหรือ”

“เดี๋ยวพี่ค่อยไปกินข้างบน” อีกฝ่ายตอบ กับข้าวเวรนั้นจะว่าอร่อยก็ไม่เต็มปาก แต่สำหรับคนกินง่ายอยู่ง่ายอย่างธีรพัทธ์ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น...

... บางที อาหารตาก็สำคัญเหมือนกัน

รักษิตเลยกินต่อไป พลางพึมพำว่าน่าจะให้เพื่อนพันเฝือกข้างที่ไม่ถนัดแทน

เมื่อมีคนมีน้ำใจซื้อข้าวให้ เขาจึงทำเวลาได้ดีพอใช้ รุ่นพี่อุตส่าห์เดินตามไปจนถึงตึก รักษิตคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลัวเขาล้มวัดพื้นเสียกลางทางมากกว่า

ตั้งแต่ขึ้นชั้นคลินิก ถ้าเจอเพื่อนสนิทด้วยกันรักษิตแทบไม่ระบายปัญหาอะไรที่ตัวเองได้ประสบ ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานในวอร์ดหรือการเรียน เพราะมีเวลาน้อยจนเขาคิดว่าน่าจะพูดเรื่องที่ทำให้สบายใจกว่านี้ หรือไม่ก็รับฟังเพื่อนคนอื่นในกลุ่มมากกว่า เพื่อนๆ ก็หนักกันทั้งนั้น สำหรับบางคนอย่างศิวัชหรือญาดาถ้าไม่ได้พูดออกมาจะยิ่งแย่ แต่สำหรับเขา ถึงไม่มีโอกาสนั้นก็ไม่เป็นไร

ในโรงพยาบาล รักษิตจึงเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ น้อยๆ มาช่วยฟื้นฟูกำลังใจ จากการที่รู้สึกว่าได้ช่วยดูแลคนไข้ จากป่วยจนหายกลับบ้าน จากการที่ลุงป้า คุณย่าคุณยายจำเขาได้เมื่อแวะเวียนไปในตอนเช้าและเย็น จากการที่คุณปู่คุณตาขอบอกขอบใจเขา อวยพรให้บุญรักษาเมื่อจะต้องย้ายแผนกไป

หรือบางที ทุกครั้งที่เจอรุ่นพี่... รักษิตก็รู้สึกดีขึ้นมากพอจะกลับไปสู้ต่อบนวอร์ดเหมือนกัน

ธีรพัทธ์เอ่ยขึ้นเมื่อเขากำลังจะเดินเข้าไปในตึก “วันก่อนที่ชวน พี่ชวนจริงนะ...”

“ผมก็จะไปจริงๆ” รักษิตหันกลับมาตอบพลางหัวเราะ “พี่พัทธ์ต่างหาก พอพูดแล้วก็ชอบยิ้ม อย่างเนี้ย... บางทีชวนให้คิดว่าล้อเล่นหรือเปล่า”

อีกฝ่ายกำลังจะตอบ พอดีกับแพทย์ประจำบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน คงเพิ่งเสร็จงานวันนี้

พี่เรสิเดนท์คนนั้นมองเขาพลางขมวดคิ้วน้อยๆ รักษิตจำได้ว่าพิธานเป็นหนึ่งในทีมของกรองพร ซึ่งหมายความว่าจะต้องสอนสายเขาด้วย เพียงแต่วันนี้ยังไม่ได้เจออาจเพราะอยู่ในห้องผ่าตัด พอก้มดูตัวเองก็พบสภาพเฝือกที่พูดไม่ได้ว่าจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์ ฝีมืออนันต์ที่จับคู่กันนั้นห่างไกลจากคำว่าเรียบร้อยสวยงามอยู่มาก

... ไม่รู้ว่าสายตาอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ชื่อ โดยเฉพาะนามสกุลของเขาที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2015 03:44:45 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณปุยหมาม่วง ขออภัยค่ะตอบช้าไปมาก ขอบคุณที่ไปอ่านเรื่องเก่าๆ ด้วยนะ ใช่แล้วค่ะตอนนี้มีแค่สีเรื่องค่ะ คุณปุยหมาม่วงไม่ได้พลาดเรื่องไหนเลย (ขอบคุณมากค่ะ) ส่วนแฟนเพจไม่มี T_T พยายามเขียนนิยายเนี่ยแหละถ้าต้องดูแลอย่างอื่นเดี๋ยวร้างอีกละแย่

คุณ iforgive ขอบคุณสำหรับการอ่านมากค่ะ อีกคู่มันยากอะ อีกเดี๋ยวนะ

คุณ B52 ตอนนี้ก็หายไปนานอีกแล้ว T_T จะพยายามไม่หายนานอย่างนี้อีกแล้วค่ะ หน่วงอีกนิดนึงนะ ก่อนจะรู้ความจริงกัน

คุณ sirin_chadada ขอบคุณที่อ่านค่ะ พี่ลภแกไม่ได้ชอบงานที่บริษัทเพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติตัวแกเท่าไหร่ (คนอื่นอาจจะแฮปปี้กว่า แต่พอดีคนมันไม่ชอบอะ 55) คนใช้อาจจะไม่ถึง แต่เรื่องที่แกต้อง 'ใช้' ให้ครอบครัวนี้มันมี สมควรหรือเปล่าแล้วแต่คนอ่านจะตัดสิน รับรองว่ามันจะค่อยๆ กระจ่างขึ้น เหตุผลของแม่น้องษิตก็มีเหมือนกัน

คุณ BeeRY ดูอย่างครอบครัวน้องตี๋สิคะ 55 อากงแกไม่แฮปปี้อยู่ เดี๋ยวครึ่งหลังของบทนี้จะได้รู้มากขึ้นความหลังของคู่อึมครึมนั่น ขอบคุณที่อ่านมากนะคะ

คุณ insomniac ขอบคุณสำหรับการอ่านมากๆ ค่า ฝากติดตามต่อด้วยน้า

คุณ yisren. คือคนเขียนต้องขอโทษมาก เพิ่งเข้ามาอ่านแล้วดิฉันก็หายไปนานเลย ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ sweetbasil ขอบคุณนะคะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim-lovemj หวังว่าจะชอบบทนี้นะคะ ขออภัยด้วยที่เหมือนทิ้งไปพักหนึ่ง แต่ตั้งใจไว้แล้วว่ามันต้องจบ (ตอนนี้ถึงครึ่งยัง T_T) คนอ่านก็อย่าทิ้งเค้าน้า

คุณ sanri ขอบคุณมากค่า ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณภานุเมศพลัง คราวนี้ก็นานอีกแล้ว T_T จะพยายามรักษาร่างกายให้ดีค่ะ 55 พี่พัทธ์เธอเริ่มเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ส่วนพี่ลภไม่อยู่ค่ะบทนี้ เดี๋ยวบทหน้าเจอกัน  แฟนเพจอิฉันยังไม่มีค่ะ เดี๋ยวไม่มีเวลาดูแลอีก ฝากติดตามกันทางนี้ไปก่อนน้า ขอบคุณมากๆ ที่อ่านค่ะ

คุณ Once จะพยายามค่า ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ Nemasis อีกนิดหนึ่งมันจะค่อยเคลียร์ขึ้นนะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim_onelove กลับมาแล้วค่ะ T_T อีกนิดมันจะมีจุดเปลี่ยน ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ malula ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเนอะ อีกคู่คือถ้าบางอย่างไม่เคลียร์มันก็ทำใจยากอยู่นะ เดี๋ยวพอรอเคลียร์แล้วดูกันอีกที

คุณ milkteabeige ยินดีต้อนรับกลับมาค่า ขอบคุณมากนะคะที่อ่าน ดิชั้นพยายามจะพาเรื่องให้พ้นน้ำอยู่ (หมายถึงอย่าหยุดเขียนใช่มั้ย) แนวนี้ใช้เวลาเขียนนาน เพราะรายละเอียดด้วย แล้วตัวละครก็ค่อนข้างซับซ้อน (พี่พัทธ์เขียนง่ายสุดเพราะ baggage แกไม่เยอะเท่าคนอื่น) ขอบคุณนะคะ ฝากเชียร์ต่อด้วยน้า

คุณ warin ขอบคุณที่แวะมานะคะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ ๛ナーリバス๛ ขอบคุณนะคะ พอดีโมช่วยกู้กลับมาเพราะเหมือนระบบจะผิดพลาด ลบไปอัตโนมัติ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ

คุณ piggyfree คือถ้าคนอ่านจะลืมคงเป็นความผิดคนเขียนเองค่ะที่ช้า แหะๆ ยอมรับ ถ้าว่างก็ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ Flor-de-Amor ขอบคุณมากนะคะ ขอโทษที่ต้องรอนานเลย ฝากอ่านต่อด้วยนะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คือ... กลับมาแล้วค่ะ T_T ถือว่าหายไปนานสุดตั้งแต่เขียนนิยายมา ปาฏิหาริย์มากที่ยังไม่ถูกย้าย แต่ถึงถูกย้ายก็ตั้งใจว่าจะต่อไปให้เรื่อยๆ จนจบในอีกห้อง คือตั้งใจมากที่จะเขียนให้จบ (แต่มันยังไม่จบในบทสองบทนี้หรอก T_T)

จะรีบมาต่ออีกครึ่งหนึ่งนะคะ (แต่ครึ่งแรกก็ไม่สั้นมากนะคะ ออกตัวก่อน อิอิ) น้องษิตมาออร์โธแล้วต้องเจอพิธานสิ เจอเต็มกว่านี้ด้วย แล้วบทหน้าพี่ลภคัมแบ็ค ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่าง...

สุดท้ายต้องขอบคุณคนอ่านมากจริงๆ เราจะพยายามให้อะไรต่างๆ มากระทบความรับผิดชอบตรงนี้ให้น้อย จะพยายามเขียนต่อไปเรื่อยๆ ให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
:กอด1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ฮือออ

นึกว่าตาฝาด นี่แอบขยี้ตา 2 ครั้ง
ปริ่มน้ำตาจะไหลค่ะ

คิดถึงคุณเดหลีทุกวัน
วันก่อนก็กลับไปอ่านน้องโอบกับพี่แทคอีกรอบ
เมื่อวานนั่งย้อนอ่านทวิตเตอร์ของตัวเอง เจอว่าคิดถึงพี่พัทธ์กับน้องษิต
แอบงงอยู่แปปนึงว่าเรื่องอะไร แหะๆ แต่วันนี้คุณเดหลีมาแล้ว

**********

เง้อออแ พี่พัทธ์น่ารักกับน้องษิตมากเลยค่ะ อ่านแล้วสดใสสส
รอครึ่งต่อไปค่ะ เริ่มเข้มข้นแล้ว เค้าเจอกันแล้วสินะ หมอพิธานกับน้องษิตเนี่ยยย ลุ้นๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2015 12:10:35 โดย milkteabeige »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดีใจที่ได้อ่านตอนใหม่ :hao5: รู้ว่าจะพัฒนาขึ้นหรือเปล่าคู่นี้เจอกันบ่อยเหมือนกันน่ะ

ออฟไลน์ LEO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-3
คุณเดหลี กลับมาแล้ว

รู้สึกคู่ใหม่กำลังพัฒนา  แต่คู่เก่าล่ะจะมาแบบไหน

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
มาแล้วววว  ต้องเพิ่งมองถึง 2-3 รอบ  มาแน่ใจก็ตอนเห็นปี พ.ศ. นี่แหละ  ตอนใหม่แน่นอน 555555
อ่านตอนนี้แล้ว  คิดว่ารักษิตน่าจะพอเดาได้หรือเปล่านะ  ว่าโดนจีบแล้วน่ะ
แต่คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหา  เพราะท่าทางจะใจตรงกัน  อีกคู่นี่สิ  เฮ้ออ

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :heaven น้องรักษิตกะพี่หมอพัทธ์กลับมาแล้ว โอ๊ยยยย ดีใจปลื้มปริ่มน้ำตาจะไหล
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่กลับมาต่อให้หายคิดถึงบ้าง
รอติดตามคร่าาาาา

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 9 (ครึ่งหลัง)

ธีรพัทธ์ซึ่งไม่ทันสังเกตความผิดปกติยกมือทักเพื่อน คิดว่ารักษิตกำลังเรียนออร์โธปิดิกส์ แพทย์ประจำบ้านในแผนกนี้อาจจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้า ส่วนรุ่นน้องรู้สึกว่าไม่ควรจะเถลไถลต่อเพราะได้เวลาที่พี่นัดก่อนพักแล้ว จึงรีบก้มศีรษะให้เป็นการลารุ่นพี่ทั้งสองคนก่อนหันหลังจากไป
 
พิธานยังแลเลยตามนักศึกษาแพทย์ในเสื้อกาวน์ยาวที่เพิ่งลับสายตา จนเพื่อนเอ่ยทักขึ้นยิ้มๆ

“มีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวน้องมันจะฝ่อเสียหมดก่อนลงวอร์ด”

พิธานนิ่งไปนิด แล้วจึงตอบ “... เห็นชื่อว่าอยู่ในสายให้เข้าช่วยผ่าตัดพรุ่งนี้”

“อ้อ...” ธีรพัทธ์คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องฝากฝังรักษิตเพราะรุ่นน้องคงเอาตัวรอดด้วยความขยันและอดทนส่วนตัวอย่างที่เขาเห็นมาแล้ว พิธานเองก็ไม่ใช่แพทย์ประจำบ้านประเภทที่ต้องมี ‘คนโปรด’ หรือ ‘คนไม่โปรด’ ไว้ในสาย ข้อนี้เขารู้นิสัยเพื่อนดี แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ “น้องคนนี้โอเคนะ ตั้งใจ เรื่องทัศนคติไม่มีปัญหา”

พิธานเดินลงบันไดมาโดยไม่ตอบ ธีรพัทธ์จึงเอ่ยต่อ “เป็นเด็กธรรมดาๆ ดี...”

เขาหมายถึงรักษิตไม่ได้ทำตัวหัวสูงหรือหนักไม่เอาเบาไม่สู้อะไร เหล่าพยาบาลตลอดจนคนไข้ที่นอนติดเตียงอยู่ก็เห็นเอ็นดูรุ่นน้องกันทั้งนั้น

“พิพิธนันท์เนี่ยนะ ธรรมดา?” เสียงคนพูดราบเรียบเฉกเคย หากเจือรอยขื่นเล็กน้อยแทบไม่ได้ยิน

ธีรพัทธ์ชะงักไป ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่านามสกุลนี้มีความหมายอย่างไรในแวดวงวิชาชีพ นอกจากพวกเป็นหมอกันทั้งสายประหนึ่งสืบทอดทางสายเลือด ลูกหลานอาจารย์หมอทั้งหลายแล้ว ตระกูลยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจเครื่องมือแพทย์ก็เป็นที่รู้จักดีไม่แพ้กัน

เพียงแต่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยเมื่ออยู่กับรักษิต เขาไม่เคยสนใจ... ในเมื่อรุ่นน้องก็ทำตัว ‘ธรรมดาๆ’ จริงๆ อย่างที่เขารู้สึก อยู่หอใน มีรูมเมต รถก็ไม่ได้ขับมาเรียน ข้าวของเครื่องใช้ไม่มีอะไรที่แสดงว่าเจ้าตัวจะอวดร่ำอวดรวย

ธีรพัทธ์ยังเคยยิ้มขันยามผ่านไปเห็นรุ่นน้องให้ข้าวหมาแมวอยู่ริมรั้วโรงพยาบาล ให้แล้วก็ลงนั่งยองๆ มองพวกมัน รอเก็บเพื่อกันความเลอะเทอะในภายหลัง

“เอาเถอะ...” เขาบอกเพื่อน “นามสกุลดัง บ้านรวยมายังไง แต่น้องนี่ก็ติดดินพอที่คนไข้อนาถาจะถามถึงทุกวันตอนยังอยู่เมด”

พิธานคงจะไม่พูดอะไรอีกตามเคย พอดีกับตอนนั้นแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์คนหนึ่งเดินลงตึกมา น่าจะเป็นรุ่นน้องของพิธาน พอเห็นเข้าก็รีบพูดว่า

“ผมไม่เจอพี่เกี้ยวเลย ติดต่อก็ไม่ได้ เรื่องตารางเวรผ่าตัดวันมะรืน ผมมีธุระด่วนจะลาตั้งแต่พรุ่งนี้สองวันติดกัน เรียนอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว”

“ไว้จะบอกให้” พิธานว่า “เขียนใบลาให้เรียบร้อยแล้วกัน”

“ใครจะเข้าแทนผมล่ะพี่”

“แล้วแต่ชิฟ” เป็นคำตอบสั้นๆ แต่ดูเหมือนเรสิเดนท์รุ่นน้องจะยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่

“หลังวันมะรืน พี่เกี้ยวเขาให้ผมเข้าโออาร์เลย น่าจะมีเฟลโลว์แผนกเราเข้าไปดูคนหนึ่ง แล้วก็...”

พิธานเลิกคิ้ว เหมือนจะถามว่าเรื่องที่พูดมานี้มีความสำคัญอะไรหรือไม่ อีกฝ่ายจึงรีบพูดต่อ

“เห็นชื่อเฟลโลว์จากวาส ชื่อหมอลภ เขาเป็นไงมั่งพี่...”

การที่แพทย์ประจำบ้านจะถามข้อมูลหมอที่ยังไม่เคยเข้าผ่าตัดด้วยกันจากรุ่นพี่เป็นเรื่องธรรมดา หากมีอะไรที่ควรระวังจะได้ระวังไว้เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างบางคนชอบคุยระหว่างผ่าตัด หรือบางคนชอบให้ห้องเงียบก็ตาม

พิธานยังเฉย ธีรพัทธ์ที่รู้จักกันมาหลายปีพอมองออกว่าเพื่อนกำลังไตร่ตรองคำตอบอยู่ ส่วนเดนท์รุ่นน้องเอ่ยอย่างจะอธิบาย

“ผมเห็นพี่เข้ากับพี่ลภหลายหนแล้ว พี่เกี้ยวบอกว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ตอนพี่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ก็เลย...”

หลังจากครั้งแรกที่เจอกันในห้องผ่าตัด พิธานยังมีโอกาสทำงานกับลภอีกสองสามครั้ง ทุกครั้งเป็นไปอย่างราบรื่นจนนางพยาบาลพูดกันกึ่งเย้าว่า ‘เขาสื่อสารกันด้วยใบมีด’ อาจารย์เข้ามาดูบ้าง แต่บางครั้งก็ออกไปก่อน ปล่อยให้ลูกศิษย์ที่ฝีมือไว้ใจได้ทั้งคู่ดำเนินการต่อจนผ่านพ้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี

“ในฐานะศัลยแพทย์ ไว้ใจได้ เขา... เก่ง” รุ่นพี่ตอบช้าๆ “รับฟังความคิดคนอื่น แต่ก็ตัดสินใจได้เด็ดขาดถ้าจำเป็น”

เดนท์คนนั้นมีท่าทางโล่งใจ “ผมค่อยสบายใจ แสดงว่าอีโก้น้อยหน่อย”

สีหน้าพิธานเปลี่ยนไปนิด ก่อนจะกลับมาเรียบสนิทดังเดิม

ธีรพัทธ์ผู้ห่างไกลชีวิตในห้องผ่าตัดตั้งแต่กลับมาเรียนต่อได้แต่คิดว่าอีโก้ไม่จำกัดอยู่ในหมู่ศัลยแพทย์เท่านั้นหรอก ราวกับการยอมรับว่าตนเองผิดได้พลาดได้ไม่อยู่ในดีเอ็นเอของแพทย์บางคน ทั้งๆ ที่หมอก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า

รุ่นน้องดูจะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ จึงกล่าวลาพร้อมก้มศีรษะให้แพทย์ประจำบ้านรุ่นพี่ในแผนกเดียวกัน และเลยมาถึงรุ่นพี่ต่างแผนกอย่างเขาด้วย

พิธานยังมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่แม้เมื่ออีกฝ่ายเดินห่างไปไกลแล้ว ธีรพัทธ์อยากจะเชื่อว่าเพื่อนพูดถึงศัลยแพทย์ที่ชื่อลภได้อย่างปกติโดยไม่มีอะไรในใจ แต่ความรู้สึกของเขามันบอกไปในทางตรงกันข้าม

ภายนอกนั้นคนทั่วไปคงคิดว่าเรสิเดนท์กับเฟลโลว์คู่นี้แม้จะเคยพบกันมาก่อนในโรงเรียนแพทย์แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นพิเศษ พอมาทำงานร่วมกันก็มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงานทั่วไปนั่นเอง ดีหน่อยที่ดูจะเข้าขากันในเรื่องดูแลคนไข้ อาจมีเพียงคนที่เคยรู้จักทั้งสองมาจริงๆ อย่างเขา หรือกรองพร ที่รับรู้ถึงความ ‘ไม่เหมือนเดิม’ ของทั้งคู่ ถึงไม่รู้ลึกในรายละเอียดก็ตาม

“พูดถึงเรื่องหมอลภ...” ธีรพัทธ์เอ่ยลอยๆ ราวเป็นเพราะเดนท์ออร์โธปิดิกส์คนเมื่อครู่ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ “จริงๆ ก็ไม่ได้ข่าวเสียนาน แต่... ตอนแรกเหมือนว่าจะตามไปทำงานด้วยไม่ใช่หรือ”

เขามองเพื่อน พอกรองพรบอกเขาเรื่องนี้ และธีรพัทธ์รู้ว่าพิธานอยากกลับไปภาคเหนือที่เป็นภูมิลำเนาเดิม เขาถึงได้เลือกสถานที่ใช้ทุนให้ไปคนละทิศคนละทางที่สุด เนรเทศตัวเองให้พ้นหูพ้นตาเสีย

เมื่อนายแพทย์ลภสอบจบได้บอร์ดศัลยศาสตร์ในอีกสองปีถัดมา ไม่ติดใช้ทุนอะไรเพราะมาเรียนเองอย่างที่เรียกว่า ‘ฟรีเทรน’ จะได้ไปสมัครเข้าทำงานที่เดียวกัน

“ไม่ได้ไป” พิธานตอบสั้นๆ

ธีรพัทธ์จำได้ว่าเขาเคยพยายามถามเรื่องนี้มาแล้ว และได้คำตอบเพียงว่า ‘บางทีก็ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าใช่’ ซึ่งไม่ช่วยให้ความกระจ่างขึ้นมาแม้แต่น้อย อันที่จริงธีรพัทธ์ไม่ได้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัว และเขาเคารพพื้นที่นี้ของเพื่อนเสมอมา เพียงสังหรณ์ว่ามีบางอย่างชอบกล ถ้าเป็นกรณีอย่างเหินห่างกันไปเองเขาคงจะไม่ติดใจ แต่ถ้ามีเรื่องอื่น คนอื่น แทรกเข้ามา...

“คืองี้...” ธีรพัทธ์ลองใหม่ เขาบุ้ยใบ้ไปยังทิศที่รักษิตเดินหายเข้าไป “น้องคนนี้น่ะ เคยเล่าให้ฟังแล้วไงว่าแกขยันทำงาน ใช่มั้ย ทีนี้ไปห้องฉุกเฉินเจอแกป่วยขึ้นมา ไอ้เรากะจะเอาไว้โรงพยาบาลก่อน แต่หมอลภเขามารับกลับไปบ้านพอดี...”

เขาวางไพ่ลงทุกใบ บอกตัวเองว่าไม่ได้พูดเท็จ พิธานกำลังมีปัญหา หรือปัญหานี้อาจกัดกร่อนจิตใจอีกฝ่ายมานานแล้ว ถ้าเขาพอช่วยอะไรได้จะไม่ลังเล ขั้นตอนไม่สำคัญเท่ากับการเริ่มต้น ต้องเริ่มที่อะไรสักอย่าง แม้ว่าจะเป็นเพียงการบอกความจริงเท่าที่รู้ก็ตาม

อีกอย่าง หากเรื่องนี้เกี่ยวกับรักษิตจริง เขายิ่งปล่อยไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้

“ปีหน้าน้องคนนี้จะไปวนนอกที่โรงพยาบาล...” ธีรพัทธ์เอ่ยชื่อโรงพยาบาลต้นสังกัดที่ให้ทุนเขามาเรียนอายุรกรรม ซึ่งพิธานก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสมทบของโรงเรียนแพทย์แห่งนี้ “ก็ต้องดูเขา ชวนไปนี่... ถ้าหมอลภเป็นผู้ปกครอง หรืออะไร... จะได้รู้ไว้”

เขาลงท้าย แล้วรอ

พิธานนิ่งจนธีรพัทธ์เกรงว่าอีกฝ่ายจะบอกให้เขาไปถาม ‘น้อง’ เสียเอง แต่ชะรอยพิธานจะเหนื่อยล้ากับการแบกรับบางสิ่งมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็บอกว่า

“เป็น... พี่เขย”

“ปัดโธ่... พิธาน” ธีรพัทธ์คราง พร้อมกันนั้นก็นึกเคืองนายแพทย์ลภขึ้นมาติดหมัด

... มาสนิทสนมกับเพื่อนเขา แล้วไปแต่งงานเสียดื้อๆ!

เจ้าสาวไม่เป็นใครไปได้นอกจากพี่สาวคนเดียวของรักษิต พิพิธนันท์แม้เป็นนามสกุลทรงอิทธิพลในแวดวงธุรกิจเครื่องมือแพทย์ แต่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ที่มีหลายสาย ผู้ที่ถูกวางตัวให้สืบทอดกิจการน่าจะเป็นรสรินบุตรสาวคนโต เพียงแต่จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณตรีรัตน์จึงยังต้องเป็นเสาหลักต่อมา

ความจริงแล้วหากทายาทเจ้าแม่นักบริหารผู้กว้างขวางเข้าพิธีสมรสคงเป็นข่าวใหญ่โตไม่น้อย แต่บางทีคนรวยก็ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงลิ่วเป็นพิเศษ

ธีรพัทธ์คิดว่าเขามีความรับผิดชอบที่จะต้องให้พิธานรู้เรื่องหนึ่ง

“พี่สาวเขาเสียมาสามปีกว่าแล้ว...”

คราวนี้ธีรพัทธ์มองไม่ออกว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ พิธานเดินจากไปเสียดื้อๆ ตรงนั้น


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณ milkteabeige มีแต่คนตาฝาดเนอะ แหะๆ ขอบคุณมากค่ะที่ยังรอและคิดถึงกันอยู่นะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องเก่าด้วยยย เดี๋ยวพิธานเจอษิตเต็มๆ บทหน้านะคะ

คุณ B52 ขอบคุณสำหรับการอ่านค่า ตอนนี้ก็เจอกันบ่อยหน่อยเพราะเดี๋ยวพอขึ้นปีหกพี่พัทธ์จะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแพทย์เดียวกันละ

คุณ LEO กลับมาแล้วค่ะ T_T คู่เก่าฝากลุ้นต่อบทหน้า แต่เราจะมีภูมิหลังเพิ่มขึ้นล่ะ

คุณ iforgive มาอีกทีขึ้นปีพ.ศ. ใหม่เลยเนอะ T_T จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานขนาดนี้อีกนะคะ เรามาลุ้นอีกคู่กันต่อปายยย

คุณ pim-lovemj ขอบคุณมากนะคะ คนเขียนก็ปริ่มเหมือนกันค่ะสำหรับการติดตาม จะพยายามมาเร็วๆ นะคะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เอิบ ครึ่งหลังสั้นนิด... แต่ถือว่ามาเร็วเนอะๆ 55 จริงๆ วางบทนี้ไว้ยาวอีกหน่อย แต่ด้วยความต่อเนื่องของพล็อตและตำแหน่งแห่งที่ในโครงเรื่อง ควรไปอยู่อีกบทดีกว่า จะพยายามเขียนมาลงเร็วๆ ค่ะ

จริงๆ เรื่องนี้ทุกคนก็มีแผลแต่หนหลังมา หนักเบาต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าต่อจากนี้จะไปยังไงต่อ...

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านสำหรับการติดตามมากๆๆ ค่ะ
:กอด1:

ออฟไลน์ pim_onelove

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณเดหลีกลับมาแล้ว  :pig2:

ออฟไลน์ i c u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
 :impress2:

ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ เราเป็นติ่งพิธานแหละ  อยากให้พิธานเจอคนดีๆที่จะไม่ทำให้เสียใจอีกอ่า คุณเดหลีอย่าใจร้ายกับพิธานนักเลยนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อยากให้ถึงตอนหน้าไวๆ จังคาะ
กำลังเข้มข้นมากทีเดียว

ทางเดินของหมอพี่ลภกับหมอพิธานมืดเทามากเลยค่ะ
แต่หมอพัทธ์นี่คงตกลงปลงใจแล้ว

น้องษิตน่ารัก

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
หูยยยย มาต่อเเล้วดีใจเหมือนถูกเลขท้าย

พี่พัทธ์มาเล็งๆน้องษิตอยู่น่านนนเเหล่ะ ออกตัวไปเลยเเรงๆ น้องษิตจะได้รู้ตัวเร็วๆเดี๋ยวยังต้องผ่านด่านคุณพี่เขยลภอีก ดูท่าพี่ลภเเล้วน่าจะหวงน้องอยู่เหมือนกัน
เอ..เเต่ไม่เเน่ ถ้าได้พิธาน Keep him busy เก๊าะอาจจะง่าย

เวิ่นเว้อใส่เสียเลย ค่าที่ไม่ได้อัพมานาน  ห้าห้าห้า

เมศจะตั้งตารอคู่พี่ลภพิธานว่าเมื่อไหร่จะเลิกสื่อสารกันด้วยใบมีดเเล้วคุยกันอย่างเปิดเผยเสียทีค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณเดหลีนะคะ
 





ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรี.....เอ๊ะ ผิดเรื่อง ก็คนเขียนว่ามีคล้ายๆแผลเก่า อะไรซักอย่าง :m20:
เอาล่ะๆ เหมือนจะค่อยคลี่คลายไปบางส่วน เรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง(?)ของพี่หมอลภกับหมอพิธาน
แต่บอกตามตรง ใครคู่ใคร อะไรยังไง ยังคงสับสนต่อไป :katai1:
เฮ้อ คิดถึงจัง ต้องกลับไปอ่านทวนตอนเก่า เค้าจำไม่ได้อ่าาา :o8:

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :serius2: พี่หมอพัทธ์ที่หงายไพ่ทั้งหมดเนี่ย ต้องการความมั่นใจเพื่อเดินหน้าจีบน้องรักษิตใช่มั๊ยคะ
รออ่านต่อนะคะคุณเดหลี

ออฟไลน์ piggyfree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
คุณเดหลี...
คิดถึงมากนะคะ 
สารภาพก่อน  ว่าหากระทู้คุณเดหลีไม่เจอ...
จำได้ว่า อ่านถึงบทที่ 2 แล้วตัวเองก็ไม่ได้เข้ามาในเล้า ถึงจะแวะเข้ามาก็แป๊บๆ  ออกไป
เข้ามาอีกครั้งหากระทู้ไม่เจอ จนวันนี้ค้นไปค้นมา เจออย่างจัง
ดีใจมากนะคะ และขอบคุณที่ยังสละเวลามาลงนิยายให้อ่านกันอีก
ไว้จะค่อยๆ กลับไปอ่านใหม่ 
รักษาสุขภาพนะคะ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
เห็นชื่อก็เลยตามมาค่ะ เพราะชอบเรื่องก่อนหน้านี้^^
เรื่องคราวนี้เนื้อหาวิชาการแน่นจังค่ะ
แสดงว่าคนแต่งใส่ใจรายละเอียดมากเหลือเกิน
ขอบคุณกับความทุ่มเทนี้ค่ะ^^
ภาษายังคงงดงามเช่นเคย แม้จะยังๆมึนๆอยู่บ้าง5555เพราะเพิ่งอ่านได้แค่สองตอน  แต่อยากให้กำลังใจคนแต่งค่ะ^^
 ตัวหนังสือเยอะมากกกกกกก  ตาลาย5555
แต่เข้าใจค่ะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยววิชาชีพเฉพาะและมีศัพท์เทคนิคเยอะแยะ ง่า...
ให้กำลังค่ะ^^
สู้ๆนะคะ
ติดตามค่า^^


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เย้ ๆๆ มาต่อแล้ว (คนอ่านมาช้ากว่าคนเขียนอีกค่า คิคิ)
หมอธีรพัทธ์อวยเด็กตัวเองน่าดู
ส่วนหมอพิธานผู้มืดมนอย่ามาเขม่นน้องรักษิตนะ ไม่เกี่ยวกันนะ เคืองหมอลภก็ไปลงที่หมอลภนู่น

ถึงมาต่อช้าแค่ไหนก็ยังตามอ่านนะคะ คุณเดหลีเป็นนักเขียนในดวงใจของอิฉันนะคะ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 10

รุ่งเช้าวันต่อมา รักษิตรีบขึ้นไปสมทบกับเหล่านักศึกษาแพทย์กลุ่มใหญ่หน้าวอร์ดออร์โธปิดิกส์เพื่อรอการมอบหมายงาน นับเป็นกิจวัตรทุกสัปดาห์นอกเหนือไปจากการเข้าสัมมนา เลคเชอร์ หรือตามอาจารย์และรุ่นพี่ไปแผนกผู้ป่วยนอกที่ลงไว้ในตารางอยู่แล้วรวมทั้งเวรอื่นๆ แต่วันนี้ผิดแผกออกไปเพราะนักศึกษาแพทย์บางคนอาจจะได้เข้าห้องผ่าตัด ที่เหลือก็อยู่ช่วยในวอร์ดหรือลงไปโอพีดีตามปกติ

ก่อนหน้านี้นักศึกษาแพทย์มักเคยได้เห็นและช่วยทำการผ่าตัดเล็กๆ อย่างก้อนเนื้อบริเวณข้อมือหรือแก้ไขอาการนิ้วล็อก ต่อมาจึงเข้าช่วยในผ่าตัดใหญ่ขึ้น

เสียงกระซิบคุยกันจางหายไปเมื่อแพทย์ประจำบ้านปีสามผู้จะทำการผ่าตัดในวันนี้คนแรกก้าวมาเบื้องหน้า เริ่มแนะนำตัว และกล่าวถึงคนไข้กับกระบวนการที่รับผิดชอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน

รอบตัวเขาเงียบกริบ โดยเฉพาะอนันต์นั้นยืนตัวลีบทีเดียว รักษิตจำได้ว่าพี่เรสิเดนท์ที่ชื่อพิธานผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเคยทำเอาเพื่อนกลัวไปตามๆ กันตั้งแต่ปีสี่ แต่เขาไม่มีประสบการณ์ตรง ยังคิดอยู่เลยว่าพี่ที่เข้มงวดแต่สอนเพราะอยากให้รุ่นน้องไม่พลาดในภายหน้าก็ยังดีกว่าปล่อยตามยถากรรม

เขาคิดว่าพิธานคงเป็นคนจริงจัง เห็นได้ชัดว่าการเป็นที่นิยมในหมู่รุ่นน้องไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่มีมุกตลกตอนต้นๆ ก่อนเข้าสู่เคส ไม่มีรอยยิ้ม แต่รุ่นพี่พูดโดยแทบไม่ต้องดูเอกสารหรือโน้ตอะไร รายละเอียดของอาการและคนไข้แจ่มชัด แสดงถึงความเอาใจใส่ของแพทย์เป็นอย่างดี

... จบท้ายลงด้วยการขานชื่อนักศึกษาแพทย์ที่จะเข้าช่วย

“นักศึกษาแพทย์รักษิต นักศึกษาแพทย์ทัศนีย์” รุ่นพี่เอ่ยเพียงนั้น “เตรียมตัวเลย”

ได้ยินอนันต์ถอนใจเฮือกอยู่ข้างๆ รักษิตรู้ว่านี่เป็นการเรียกให้เข้าช่วยจริง ไม่ใช่แค่ไปสังเกตการณ์โดยยืนห่างจากบริเวณผ่าตัดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน หลักการอย่างหนึ่งที่จะลดการติดเชื้อคือจำกัดจำนวนคนในห้องผ่าตัดให้มีเท่าที่จำเป็น และคนไข้ยังมีอายุค่อนข้างมากด้วย เพราะฉะนั้นนักศึกษาแพทย์ที่ได้เข้าเคสจึงต้องน้อยอยู่แล้ว

ที่ไม่รู้คือจากนักศึกษาแพทย์ในสายทั้งหมด พอสุ่มออกมาแล้วก็ยังเป็นเขาคู่กับทัศนีย์อยู่ดี

ตามลำพังรักษิตไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากเข้ากับเพื่อนๆ ที่สนิทกันมากกว่า แว่วเสียงแพทย์ประจำบ้านที่จะช่วยอาจารย์หรือทำผ่าตัดเองในวันนี้เรียกชื่อนักศึกษาแพทย์เข้าห้องผ่าตัดเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนก็มีเนื่องจากเคสคนไข้ต่างกันออกไป ได้แต่นึกทบทวนกระบวนการที่จะเจอในห้องผ่าตัดของตัวเองซึ่งอ่านทวนมาเมื่อคืนพอดี แม้รู้ว่าในขั้นนี้สิ่งที่เน้นก็คือการเตรียมตัวเข้าผ่าตัดให้ถูกต้องนั่นเอง

ทัศนีย์ไม่พูดอะไรกับเขาตลอดทางที่เดินไปห้องผ่าตัด จากอายุรกรรมมารักษิตคิดว่าทัศนีย์กับเพื่อนน่าจะไม่มีมูลอะไรให้ยังเชื่อว่าเขาทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้คนในกลุ่มกับรุ่นพี่ถึงได้สนิทกับรุ่นพี่ที่ว่า เพราะตอนคะแนนออกก็ได้มากกว่าเขากันทั้งนั้น (จากปากคำของอนันต์ ซึ่งรู้เพราะแม้จะอยู่เฉยๆ ก็ได้รับการเผื่อแผ่ข่าวมาให้) ถึงคะแนนตอนปฏิบัติงานในวอร์ดของเขาไม่เป็นรองใครก็เถอะ

แต่ก่อนเริ่มขั้นตอนการขัดล้างมือ รักษิตก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ทำให้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้น

“ตุ้มหู... ถอดก่อนดีกว่านะ” เขาพยายามไม่ให้ฟังเป็นการตำหนิ ความตั้งใจคือเตือนเพื่อนร่วมสายด้วยความหวังดีจริงๆ “เดี๋ยวหล่นลงฟิลด์...”

ทัศนีย์มองเขาตาเขียว การถอดเครื่องประดับทุกอย่างออกก่อนล้างมือเตรียมเข้าห้องผ่าตัดเป็นเรื่องต้องปฏิบัติอยู่แล้ว รักษิตเข้าใจว่าบางครั้งก็ลืมกันได้ แต่จนแล้วจนรอดคนยืนล้างมือห่างจากเขาไปสองสามช่วงก๊อกก็ยังไม่ยอมถอด

แพทย์ประจำบ้านผู้นำการผ่าตัดเดินตามมาข้างหลังอย่างเงียบๆ พิธานมองแวบเดียว แล้วบอก “ตุ้มหู”

รักษิตเริ่มเข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงได้ออกจะเกรงรุ่นพี่ อีกฝ่ายไม่ได้เกรี้ยวกราด แต่มีกังวานของความเด็ดขาดอยู่ในน้ำเสียงแบบผู้ที่เคยชินกับการควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

เมื่อถูกตักเตือนเอาตรงๆ เช่นนั้น ทัศนีย์จึงจำต้องถอดตุ้มหูออกอย่างกระฟัดกระเฟียด ซึ่งแน่นอนว่า... ล้างมือใหม่

พอแต่งตัวเสร็จ ทุกคนเข้าประจำที่ คนไข้ได้รับการเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าเรียบร้อย และปูผ้าปราศจากเชื้อแล้วจึงเริ่มกระบวนการ

การลดโอกาสติดเชื้อหลังผ่าตัดนอกจากสภาพแวดล้อมต่างๆ แล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือบุคลากร โดยเฉพาะทักษะและเทคนิกของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดนั่นเอง ในสาขาออร์โธปิดิกส์มักจะเปรียบเปรยกันว่าหมอเหมือนช่างไม้ เพราะอุปกรณ์ที่ต้องใช้ช่างคล้ายคลึง เลื่อย สว่าน คีม สกรู น็อต ไขควง... แต่ก็ต้องเป็นช่างที่มีฝีมือละเอียดลออ ผสานวิธีการเข้ากับความรู้ทางกายวิภาคของคนเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด

รักษิตตั้งใจดูหัตถการที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจดจ่อ เพราะหมอพิธานนั้นทำเคสได้สวยราวกับในตำรา ในจุดที่สำคัญรุ่นพี่จะอธิบายจนกระจ่าง เขารู้สึกทึ่งเมื่อมีโอกาสเห็นของจริงอยู่ตรงหน้า

การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งแพทย์ประจำบ้านเรียกให้เข้าช่วยจากอีกฝั่ง ความจริงการเคลื่อนไหวในห้องผ่าตัดมีแบบแผนของมันอยู่ ทีมผ่าตัดที่เข้าขาจะมีจังหวะที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี ในการผ่าตัดยากๆ บางเคส อาจารย์หมอถึงได้ระบุตัวผู้ร่วมตั้งแต่วิสัญญีแพทย์ไปจนถึงพยาบาลส่งเครื่องมือ ความจริงก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรถ้านักศึกษาแพทย์คนหนึ่งไม่หันไปทางซ้ายในขณะที่อีกคนหนึ่งหันขวาและปะทะกันเข้าอย่างจัง

รักษิตมองมือหุ้มด้วยถุงมือยางของเพื่อนร่วมสายที่ไพล่โดนเขาตั้งแต่หัวไหล่เลยไปถึงด้านหลังอย่างตกใจ อีกฝ่ายก็ดูจะตะลึงไม่แพ้กัน

“อ้าว คอนเสียแล้วหมอ...” พยาบาลในห้องผ่าตัดเอ่ยขึ้น ส่วนนายแพทย์พิธานยังเอาใจใส่กับเคสต่อไปโดยไม่ได้เหลือบแลมายังนักศึกษาแพทย์สองคนที่ยืนประจันกันอยู่ข้างเตียง

คำว่า ‘คอน’ ก้องอยู่ในหูรักษิต คอนแทมิเนต... ปนเปื้อน อันจะทำให้สภาวะปลอดเชื้อเสี่ยงถ้ายังหยิบจับอะไรต่อ...

... เข้าห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ครั้งแรกก็แจ็กพ็อตเลย

ทัศนีย์ได้สติก่อน ร้องขึ้นอย่างกล่าวหา

"เธอมาชนเรา"

รักษิตมองเพื่อนร่วมวอร์ดอย่างอ่อนใจ สีหน้าสีตา ท่าทางนั้นราวกับว่าเขาตั้งใจชนเจ้าหล่อนไม่ปาน ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรจะแกล้งกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นก็ต้องออกมาทั้งคู่อยู่ดี ไม่ใช่เขาได้อยู่ดูต่อเสียเมื่อไร

“ถ้ารีบออกไปสครับใหม่ตอนนี้ อย่างน้อยจะได้ช่วยเย็บตอนหลัง” พิธานเอ่ยทั้งๆ สายตายังอยู่กับบริเวณผ่าตัดตรงหน้า

อันที่จริงการเข้าๆ ออกๆ ห้องผ่าตัดควรมีให้น้อยที่สุด แค่นี้รักษิตก็ถือว่ารุ่นพี่ใจดีมากแล้วที่ไม่ตะเพิดนักศึกษาแพทย์สองคนออกจากห้องผ่าตัดโดยไม่ต้องกลับเข้ามาอีก เพราะการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนด้วยวิธีใดๆ ระหว่างที่เข้าเคสนั้นถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้กำลังจะเป็นเอ็กซ์เทิร์นในอีกไม่นานต้องขึ้นใจ

... ดูเหมือนทัศนีย์จะไม่คิดอย่างเขา เพราะเจ้าตัวพูดเสียงสูง 

"แต่รักษิตชนหนู!"

คราวนี้พิธานเงยหน้าขึ้น พูดเรียบๆ "... เห็นว่าบังเอิญมาโดนกันทั้งคู่" 
   
“แต่...”

รักษิตคว้าแขนเพื่อนร่วมสายก่อนที่ทัศนีย์จะทำตัวเธอเองให้ลำบากมากไปกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าทัศนีย์เข้าใจสถานการณ์หรือเปล่า แต่แน่ใจว่าการยืนยันกระต่ายขาเดียวกับแพทย์ประจำบ้านผู้กำลังต้องการสมาธิในการผ่าตัดต่อไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าตัวคนต่อล้อต่อเถียงนั่นแหละ

“ขอโทษครับ” เขารีบพูด แล้วลากทัศนีย์ออกจากห้องไปโดยเร็ว ไม่สนใจอาการขืนและสายตาจ้องเขม็งของอีกฝ่าย

พอพ้นห้องทัศนีย์ก็สะบัดแขนหลุดพอดีกับที่รักษิตคลายมือ เขาถอนใจ มองเพื่อนร่วมสายล้างคราบเลือดที่เลอะถุงมือออกก่อนถอดทิ้งลงถังข้างอ่างอย่างกระแทกกระทั้น

... หากแต่พอหันมาอีกที รักษิตกลับเห็นเพียงหลังของอีกฝ่ายที่เดินลิ่วด้วยท่าทียังฉุนเฉียวไม่หาย เขาเรียกไม่ทัน ได้แต่ล้างมือต่อให้เสร็จเปลี่ยนชุดใหม่กลับเข้าไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ

“อีกคนไปไหนแล้วล่ะหมอ” พยาบาลถามเมื่อเห็นเขากลับเข้ามาคนเดียว

รักษิตเหลือบมองแพทย์ประจำบ้าน เขาไม่มีเหตุผลน่าเชื่อพอจะหาข้ออ้างให้กับการหายตัวของทัศนีย์ ถ้ามดเท็จอะไรออกไป เขาแน่ใจว่าพิธานดูออกแน่ๆ และคนที่จะโดนหนักที่สุดก็ไม่พ้นเพื่อนร่วมสายนี่แหละ

รักษิตจึงได้แต่ตอบว่า “ไม่ทราบครับ”

แพทย์ประจำบ้านไม่ว่าอะไร เพียงแต่เรียกให้เขามาดูการเย็บ และให้ลองทำช่วงสั้นๆ

เสร็จสิ้นเคสรักษิตจึงได้เดินออกมาและระลึกว่าวันยังไม่สิ้นสุด เขายกมือป้องตามองออกไปข้างนอก แสงแดดยังแรงร้อน ชวนให้คิดว่าคงเป็นช่วงเที่ยง นาฬิกาแขวนผนังบอกตรงตามนั้น... แปลกที่เขาไม่รู้สึกหิว

การผ่าตัดใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี... ถ้าไม่นับอุบัติเหตุช่วงกลางที่ไม่กระทบกระเทือนอะไรกับการผ่าตัดโดยรวม ฝีมือและการสอนของพิธานทำให้เขาอยากจะไปอ่านให้รู้มากขึ้น ถือว่าเขาเริ่มสนุกกับออร์โธปิดิกส์ก็ได้... รักษิตคิดมาตั้งแต่ขึ้นชั้นคลินิกว่าทุกอย่างไม่อาจดีเลิศดังใจไปหมด อย่างน้อยเหตุการณ์ในวันนี้จะได้ทำให้ระวังการเคลื่อนไหวในห้องผ่าตัดมากขึ้น 

พอลงลิฟต์ไปข้างล่างก็พบอนันต์อยู่หน้าแผนกผู้ป่วยนอก ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ด้วยสีหน้าหมดอาลัย

... รายชื่อของนักศึกษาแพทย์ที่จะต้องทำงานกลุ่มร่วมกันในออร์โธปิดิกส์ ซึ่งรวมถึงการเลือกเคสมาอภิปราย ค้นคว้าข้อมูล จนถึงการนำเสนอและเขียนออกมาเป็นรายงาน

มีชื่อของเขา ชื่อเพื่อนผู้ยืนเซ็งอยู่ข้างๆ กันนี้ และชื่อของทัศนีย์...

รักษิตสบตาเพื่อนแล้วตัดสินใจ “เดี๋ยวคุยเลยดีกว่า จะเสาร์อาทิตย์แล้วจะได้แบ่งกันไปค้น เอ้เห็นนีน่าไหม”

“ก็เข้าด้วยกันไม่ใช่หรือ” อนันต์ตอบกลับมา ท่าทางสงสัย

รักษิตถอนใจ คร้านจะเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ เพียงแต่บอกสั้นๆ “พอดีเขาออกมาก่อน ลองไปถามพวกกลุ่มเพื่อนเขาแล้วกัน เผื่อจะรู้”

ไม่นานอนันต์ก็เดินกลับมา คิ้วขมวดยุ่งหนักกว่าเก่า “ทางโน้นบอกนีน่าไปเข้าเคสผ่าตัด ก็เพิ่งเข้าไปเองนี่”

รักษิตคิดว่าตัวเองถอนใจเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ววันนี้ ท่าทางทัศนีย์จะโมโหเขาน่าดูที่ทำให้ไม่ได้อยู่ตลอดทั้งการผ่าตัด เมื่อเสร็จสิ้นการเข้าเคสทุกครั้ง นักศึกษาแพทย์จะต้องได้ลายเซ็นของแพทย์ประจำบ้านหรืออาจารย์เพื่อรับรอง แต่อันที่จริงถ้าห่วงเรื่องนี้ เมื่อสักครู่พอเขาช่วยต่อจนเสร็จ พิธานก็เซ็นสมุดให้ ทั้งๆ ที่รักษิตกลับเข้าไปโดยไม่ได้หวังเรื่องนี้เป็นหลักแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดว่าควรจะอยู่จนจบเท่านั้นเอง เสียดายที่ทัศนีย์ไม่กลับเข้าไปพร้อมกับเขา

รักษิตบอกอนันต์ว่าจะขึ้นไปมองหาทัศนีย์อีกรอบ เพื่อนก็พยักหน้าแล้วเสนอจะซื้อข้าวไว้รอ รักษิตได้แต่ยิ้มขอบคุณในน้ำใจนั้น หวังว่าเมื่อลงมาอีกรอบเขาคงหิวขึ้นบ้าง

คนแรกที่เขาเจอเมื่อออกจากลิฟต์กลับเป็นคนที่รักษิตไม่ได้พบหน้ามาสักพักแล้วแม้จะอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันแท้ๆ อีกอย่าง เขาไม่ค่อยได้กลับบ้านเนื่องจากอยู่เวรติดๆ กัน โดยเฉพาะห้องฉุกเฉินในคืนที่ยุ่งหนักแล้วทำเอาหมดแรงทีเดียว

“พี่ลภ” เขาเอ่ยเสียงระโหย เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนในครอบครัวแล้วใจก็เต็มตื้นขึ้น

“ษิต เป็นไง” อีกฝ่ายทักเขากลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “จะมาเข้าเคสหรือ”

รักษิตสั่นศีรษะ ลภเดินเข้ามาใกล้เขา ยังอยู่ในเสื้อแขนสั้นกางเกงเขียวที่จะใส่ไว้ข้างในชุดผ่าตัด ปีกนี้เป็นส่วนที่ออร์โธปิดิกส์ใช้ รักษิตจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงมาช่วยเคสส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยหลอดเลือด

“เพิ่งออกมา... วันแรกก็คอนเลย” รักษิตสารภาพ “ตอนแรกนึกว่าพี่เขาจะไม่เซ็นให้แล้ว”

“เข้ากับใครล่ะ” ลภถาม

“พี่พิธาน...”

คำตอบทำให้เขาอดเหลียวมองราวหวังจะได้พบเจ้าของชื่อไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่มีใครรู้ และลภก็ไม่เคยให้กรองพรช่วยเหลืออีก นั่นคือหากศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์มีเคสที่เกี่ยวพันกับหน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือด เขาก็มักจะอาสาอาจารย์เสียเอง
 
โอกาสน้อยนิดที่เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงสองปีของเขา ยิ่งลดถอยเมื่ออีกฝ่ายดูราวจะไม่ยินยอมข้องแวะกันอีกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ถึงกระนั้น เพียงได้ยินชื่อ ได้ฟังเรื่องราวก็ทำให้เป็นสุขในใจได้ เขาวางมือลงบนศีรษะของคนที่กำลังเล่ายิ้มน้อยๆ

คุยกันอยู่ครู่รักษิตจึงผละจากไป ไม่ลืมให้เขาสัญญาว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านตอนเย็นวันอาทิตย์ พร้อมกับเสียงอาจารย์เรียกมาจากทางเดิน ลภจึงเดินเข้าไปสมทบ

“คนไข้พร้อมแล้วแน่ะ” อาจารย์บอกเขา แล้วจึงหันไปหาผู้ที่เดินมาด้วยกัน “หมอจะเข้าด้วยไหม แจ้งชิฟเดนท์ไว้ แล้วค่อยลงไปโอพีดี”

“ผมขอตัวครับ อาจารย์” พิธานตอบอย่างสุภาพ “เดนท์ขาดไปสองคน ข้างล่างน่าจะยุ่ง”

“เอ้า! คราวหน้าแล้วกัน” อาจารย์รับ พูดกับเฟลโลว์ศัลยศาสตร์หลอดเลือดที่จำต้องละสายตามาจากเรสิเดนท์ “ไปหมอ เข้าเคสกับน้องรุ่นใหม่ๆ นี่ผมรู้สึกหนุ่มขึ้นแยะเชียว”

พิธานเอ่ยขึ้นราบเรียบ “มีคนเคยบอกผมว่า วิธีหนึ่งที่จะรู้จักใครให้เร็วที่สุด คือเข้าห้องผ่าตัดด้วยกัน”

“น่าสนใจ” อาจารย์ว่า “จะคุมสติได้หรือเปล่า ใจเย็นใจร้อน ทำงานเป็นทีมได้ดีแค่ไหนก็เห็นกันตรงนี้ละ... แต่ผมไม่ห่วงหมอลภหรอก อาจารย์ภาคเขารับรองมาแข็งขัน”

พิธานยกมือไหว้อาจารย์ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ


ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 10 (ต่อ)

เขาตรงไปยังห้องพักแพทย์ ดูงานเอกสารที่คั่งค้างเหลือมาก่อนเริ่มงานในช่วงบ่าย แต่พบว่าจิตใจไม่สงบอย่างที่หวัง

พิธานเริ่มโกรธตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ เรื่องที่ผ่านมานั้นอาจจะไม่ลบเลือนไปโดยง่ายดาย เหมือนเคยเกิดแผลขึ้นครั้งหนึ่ง ถึงจะสมานกลับ ก็ยังเหลือแผลเป็น... แต่เขาอยู่กับมันได้ เป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ มีเรื่องเจ็บปวดบ้าง สูญเสียบ้าง แต่ก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ต่อไปให้ได้

หากยิ่งต้องพบ ยิ่งเจอ ก็เหมือนตะกอนถูกก่อกวนให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีก เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่นั่นแหละ... อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่พอตั้งใจจะตัดให้ขาด ก็ขาดสิ้นราวกับไม่เคยมีอะไรอยู่เลย

เขาเห็นภาพที่ซ้อนทับกับในอดีต เมื่อสักครู่

... รอยยิ้มอ่อนโยน มือที่ลูบผมของอีกฝ่ายอย่างถนอม...

พิธานคิดว่า รักษิตคงมีประพิมพ์ประพายคล้ายพี่สาวไม่น้อย ความเอื้อเอ็นดู อาทร... ฉายชัดอยู่ในสีหน้าและแววตาของผู้ที่ยืนผินหน้ามาหาทางเดินนั้น

ผลประโยชน์ของการเป็นเขยตระกูลพิพิธนันท์ มีส่วนแบ่งในบริษัทเครื่องมือทางการแพทย์ใหญ่โตย่อมเป็นเครื่องล่อใจในตัวเองอยู่แล้ว หากดอกฟ้ายอมโน้มกิ่งลงมา หัวใจของคนที่ไม่มั่นคงก็อาจรวนเร

เมื่อรูปการณ์เป็นไปในทางนั้นแล้ว พิธานจำได้ว่าความรู้สึกของเขาสับสนปนเป จู่ๆ คนสำคัญกำลังจะหลุดลอยโดยไม่มีท่าทีสัญญาณใดล่วงหน้า ความหวัง ความฝัน มลายหายไปกับอากาศ โดยผู้ที่หยิบยื่นมันมาให้แก่เขาเอง

ในเวลานั้น พิธานไม่แน่ใจแล้วว่ายังควรเชื่อมั่นอะไรต่อ...

'รอหน่อยนะ พี่ยังมีภาระทางนี้... มีหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปหา กลับไปทำงานที่เดียวกับธาน ธานอยู่ไหน พี่ก็จะไป'

เคยมีคนบอกเขาอย่างนั้น เหมือนกับที่เคยมีคนบอกเขาในวันแรกของวอร์ดศัลยศาสตร์ในปีที่สองของชั้นคลินิก ว่าจะรู้จักใครให้เร็วที่สุด... ต้องเข้าห้องผ่าตัดด้วยกัน

‘พี่อยากรู้จักน้อง...’ แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มพลางสบตากับเขา แล้วเอ่ยต่อว่า ‘... ทุกคน ให้ดีกว่านี้’

สมองของเขาต้องทำงานหนักทีเดียวหลังจากนั้น ในการโน้มน้าวหัวใจให้เชื่อว่า... สุดท้ายผลประโยชน์จะชนะ อาจเป็นโชคร้ายของหญิงสาวคนนั้นที่ต้องถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเธอพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ

แต่... หากไม่ใช่... ถ้าไม่ใช่การเข้าหาเพื่อผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ก็แปลว่าความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างกันเป็นเรื่องโกหก และการสร้างครอบครัวกับเธอผู้นั้นต่างหาก เป็นเรื่องจริง ความสัมพันธ์กับรุ่นน้องในสถาบันศึกษาเป็นเรื่องฆ่าเวลา เป็นเรื่องชั่วคราว... สลัดทิ้งไปได้เมื่อรุ่นน้องคนนั้นจบออกไปทำงานในจังหวัดที่ห่างไกล ในเมื่อความตั้งใจแต่เดิมของนายแพทย์เมื่อจบเฉพาะทางแล้วคือการทำงานในบริษัทใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง ด้วยข้อผูกพันว่าเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวโดยสมบูรณ์

... พิธานไม่รู้ว่าเหตุผลใดทำให้เขาเจ็บได้มากกว่ากัน

เขาวางปากกา มองออกไปนอกหน้าต่างเล็กแคบ เห็นแต่ทิวตึกแน่นขนัด ท้องฟ้าที่เห็นผ่านกระจกตัดแสงสีชาดูขมุกขมัว ภายในอบอวลด้วยเครื่องปรับอากาศ... แต่เขาคิดถึงท้องฟ้าภาคเหนือที่จากมา คิดถึงช่วงเวลายามย่ำค่ำ ยามรุ่งสาง... ที่ในบางฤดูแทบไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศเหมือนในกรุงเทพฯ ที่เปิดกันชั่วนาตาปี

ถ้ารู้อนาคต เขาจะไม่ไปค่ายอาสาครั้งนั้น จะไม่ขาหัก จะไม่...

แต่เพราะไม่รู้ เขาจึงได้มีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ   

ความทรงจำก็คือความทรงจำ ปิดผนึกแน่นหนาเอาไว้ในส่วนลึกสุดของใจ มีบางคราวที่เผลอปล่อยสลักคลายลง จึงได้ผุดพรายขึ้นมาให้ได้นึกถึง

‘เรื่องอีโก้น่ะนะ...’

‘ผมต้องเขียนรายงาน...’ เขาบอก ‘ต้องเก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์รุ่นพี่ที่เป็นหมอแล้ว ไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาหรอก แบบที่เข้าใจกันทั่วไปน่ะแหละ พวก... มั่นใจว่าตัวเองถูกเสมอน่ะ’

‘แล้วทำไมถามพี่ล่ะ’ คนพูดเอ่ยเจือหัวเราะ มองเขาเหมือนมีเรื่องสนุก

‘ก็ดูแล้ว... พี่มีน้อย’ พิธานตอบตามตรง จากที่เขาสังเกต และได้ยินทั้งอาจารย์และรุ่นพี่พูดกันมา นายแพทย์ลภถือว่าตัวเองต้องเรียนรู้อยู่เสมอ จึงคอยสำรวจแก้ไขหากมีผู้ท้วงติง

‘ใครว่า’ คำตอบทำเอาคนจะมาสัมภาษณ์อึ้งไปอึดใจ ‘พี่ว่าพี่ไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นนะ’

นับเป็นคำตอบที่ผิดคาดสำหรับพิธาน แต่อีกฝ่ายก็บอกเขาต่อ ‘ขนาดถือมีดจะไปผ่าคน ยุ่งกับอวัยวะสำคัญๆ ของเขานี่มันก็ต้องมีระดับหนึ่ง... คือมั่นใจว่าทำได้ แล้วก็มั่นใจว่านำทีมได้ ถ้าเป็นผู้ผ่าตัดหลัก แต่ที่ยากคืออะไรรู้ไหม’

เขาจดยิก เงยหน้าขึ้นถาม ‘อะไรครับ’ 

‘ก็พอออกมานอกห้องผ่าตัดแล้ว เราเจอญาติคนไข้ไง ขืนใช้อีโก้คุยกัน ไม่รู้เรื่องพอดี ต้องลดลงทั้งสองฝ่าย’


การผ่าตัดสำเร็จสำหรับหมอบางครั้งก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของญาติ ถึงจะดีเหมือนใหม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อย คนไข้ควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

และเมื่อเห็นเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็คนคนเดียวกันนี้ที่ถามเขาว่า

'จะแข่งกับใคร? ธานอยากชนะใคร อาจารย์หรือ? ถ้าต้องเทียบกับคนอื่น กับใครต่อใครไปเรื่อยๆ ก็ไม่จบสิ้นเสียทีหรอก เครื่องจักรมันยังต้องพัก นับประสาอะไรกับคน'
 
พิธานจำได้ว่าเขาไม่พอใจนัก ที่ทำทุกอย่างอยู่นั้นเขาไม่ได้หวังจะไล่ตามเอให้ครบทุกวิชาในทรานสคริปต์เพื่อเอามาอวดใคร ผลการเรียนที่ดีและคะแนนสูงสุดในบางครั้งเป็นผลพลอยได้ ความภาคภูมิใจของเขาอยู่ที่ความรู้ อยู่ที่การเป็นส่วนหนึ่งในทีมของการรักษาต่างหาก

'ผมจะแข่งกับตัวเอง'

ภาษาอังกฤษที่ตอนแรกไม่ถนัดเท่าเพื่อนร่วมชั้นปีที่จบจากโรงเรียนในเมือง เขาก็ต้องขวนขวายเพื่อให้อ่านตำราหรือบทความบางชิ้นที่อาจารย์สั่งให้ได้ ฐานข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตที่จะเอามาใช้อ้างอิงก็เป็นภาษาอังกฤษอีก พิธานนึกขวางคนเตือนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ราวภาษาแม่ จึงไม่เข้าใจความยากลำบากข้อนี้ของเขา

ลภเดินหายไป แล้วจึงกลับมาพร้อมด้วยเสบียง บอกว่า

‘ถ้าหมอหมดแรงตายก่อนก็ช่วยคนไข้ไม่ได้หรอก’

พิธานจำต้องรามือจากกองหนังสือชั่วคราว เพราะห้องสมุดไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารข้างใน โถงข้างหน้าที่เปิดโล่งสู่ภายนอกรับลมธรรมชาติมีเพียงแสงไฟสลัวกับม้านั่งยาววางเป็นระยะชิดฝาผนัง ตอนนั้นห้องสมุดใหม่ยังไม่ได้สร้าง พอมาตอนนี้... ตึกเก่าที่เขาเคยไปอ่านหนังสือจนดึกตอนยังเป็นนักศึกษาแพทย์ก็ทรุดโทรม รอวันทุบทิ้งเพื่อสร้างอาคารใช้งานขึ้นมาใหม่อีก

ทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...

‘... ไม่เคยมีใครเตือนผมอย่างนี้’ พิธานเอ่ยออกมาในที่สุด

รุ่นพี่หัวเราะหึ 'แสดงว่า ต่อไปต้องฟังนะ เพราะตอนนี้ธานต้องรู้แล้วสิว่า นอกจากคนไข้ ก็ยังมีคนอื่นที่รออยู่เหมือนกัน'

แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว... นับจากวันที่พิธานเริ่มประจักษ์ คนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของนายแพทย์ลภไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป

ช่วงนั้น เขาจบออกไปใช้ทุนแล้ว แน่นอนว่ายังติดต่อกับอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆ จนวันที่พิธานมีสัมมนาที่กรุงเทพฯ เมื่อกำลังใช้ทุนจะครบปีที่สอง เขาไม่ได้บอกลภว่าจะลงมา อยากให้ประหลาดใจ

แต่คนที่พบกับความประหลาดใจ กลับเป็นเขาเสียเอง

เมื่อเสร็จสัมมนาที่โรงแรม พิธานตั้งใจจะกลับไปที่โรงเรียนแพทย์ หากตอนกำลังจะเดินออกมาเรียกแท็กซี่ข้างหน้า หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินเลี้ยวมาจากทางห้องอาหาร ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูซึ่งมีพนักงานเตรียมพร้อมจะเปิดให้ และรถคันหรูแล่นมาเทียบหน้าตึกไว้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มคงมาส่งหญิงสาวขึ้นรถ สาวน้อยจับมือเขาไว้อย่างสนิทสนม ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่า

... รอยยิ้มอ่อนโยน มือที่ลูบผมของอีกฝ่ายอย่างถนอม...
 
ถ้ามันจะไม่ใช่รอยยิ้มที่เขาเคยเห็นจนเจนตา... และเจนใจ

พิธานลังเล เขาตั้งใจมาพบลภ เขาก็ควรจะเข้าไปหา ตอนนั้นเองที่เพื่อนแพทย์ที่เขาเจอในงานสัมมนาเดินออกมาเป็นกลุ่มใหญ่ บดบังคลองสายตาไป

เมื่อหลุดออกมา ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว

พิธานละล้าละลัง ตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แต่ผู้ที่รับสายไม่ได้มีน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยเลย

เป็นเสียงผู้หญิง แต่คงไม่ใช่สาวๆ แล้ว เอ่ยขึ้นอย่างติดจะรำคาญ ‘ฮัลโหล’

เขาอึ้งไปอึดใจ ถามว่า ‘นี่... โทรศัพท์หมอลภหรือเปล่าครับ’

‘ใช่ พอดีหมอเขาลืมไว้ รีบลุกไปส่งน้อง’

‘อ้อ...’ เขาว่า ทั้งๆ ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเอาเลย ก็พอดีปลายสายเอ่ยขึ้นอย่างนึกอะไรได้

‘หมอลภเขาเมมชื่อคุณไว้ นี่...’

‘ผมเป็นรุ่นน้องครับ เคยเรียนด้วยกัน’ พิธานตอบอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามว่าอะไร นึกเดาว่าอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ได้ ‘พอดีผมลงมากรุงเทพฯ ก็เลยกะว่าจะมา...’

ปลายสายนิ่งไป ในที่สุดก็พูดว่า ‘หมอลภเขาเคยบอกเหมือนกันว่าเทรนเสร็จแล้วจะไปทำงานกับรุ่นน้อง’

‘ครับ...’

‘ขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่หมออย่ารอเลย บอกเพื่อนๆ ด้วย’ อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ ‘หมอลภเขาไม่ไปหรอก’

พิธานกำหูโทรศัพท์แน่น คิดว่าตัวเองหูฝาด ‘อะ... อะไรนะครับ เขาบอกคุณอย่างนั้นหรือ ขอโทษ นี่ผมกำลังพูดอยู่กับใคร...’
 
คำถามสุดท้ายของเขาไม่ได้รับคำตอบ คู่สนทนาเพียงบอกว่า

‘ใช่ เพราะเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทางนี้ต่อ แล้วก็ต้องไปทำธุระสำคัญกับลูกสาวฉันที่อังกฤษ’

‘ผม... ผม...’ พิธานต้องรวบรวมสติอยู่เป็นนาน จึงพูดต่อไปได้ ‘ขอคุยกับพี่... เอ้อ... หมอลภหน่อยครับ’

‘ตอนนี้หมอเขายุ่งมากนะ’

‘ผมต้องคุยกับเขาก่อน ผม...’

มีเพียงความเงียบ อีกฝ่ายวางหูไปแล้ว

พิธานลองโทรกลับไปอีก แต่ติดต่อไม่ได้ เขานั่งเครื่องกลับเย็นนั้นด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อขึ้นรถแล้วจึงได้โทรอีกครั้ง ฟังเสียงสัญญาณดังที่ปลายสายก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคย ‘ครับ...’

‘พี่ลภ!’ เขาจำได้ว่าทิ้งศีรษะพิงพนักด้วยความโล่งใจ ‘ติดต่อไม่ได้เลย’

'พี่เข้าห้องผ่าตัดตอนบ่าย กลางวันออกไปกินข้าวแล้วก็ลืมโทรศัพท์เอาไว้ด้วย เพิ่งได้คืนนี่เอง' หางเสียงทอดอ่อนโยนดังเดิม
   
'พี่ลภ... เข้าห้องผ่าตัด?'

'ใช่สิครับ มีด่วนมา กว่าจะได้ออกก็... นี่ละ ค่ำ'

‘เรา...’ พิธานสูดลมหายใจเข้าลึก ถามออกไปว่า ‘ผมมีหยุดครึ่งวัน อาทิตย์ที่จะถึงนี้ พี่ลภ... ขึ้นมาอีกได้ไหม’

เมื่อก่อนปลายสายเป็นฝ่ายถามไถ่วันหยุดเขาล่วงหน้า หรือหากปลีกตัวมาได้ก็มาเอง ทั้งๆ ที่เขายังต้องทำงาน แต่ลภให้เหตุผลว่าแค่ได้มากินข้าวด้วยกันสักมื้อ... ก็คุ้มแล้ว ช่วงหลังพิธานเพิ่งสังเกตว่า ห่างออกไป แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะอีกฝ่ายอยู่ในช่วงเรียนเฉพาะทางปีสุดท้ายเพื่อจบออกไปเป็นศัลยแพทย์

‘พักนี้พี่มีเรื่องยุ่งหลายอย่าง... คง... ขึ้นไปหาไม่ได้อีกสักพัก ธานเข้าใจพี่นะ’

‘ครับ...’ เขาตอบด้วยหัวใจที่รู้สึกว่าหน่วงหนัก... ราวเต้นช้าลงกว่าเดิมเป็นเท่าทวี

ที่จริงพิธานไม่ได้หยุด เพียงแต่คิดว่าจะขอแลกเวรกับเพื่อนแพทย์หรือรุ่นพี่ ยังไม่แน่ใจว่าจะแลกได้หรือไม่ พอคำตอบเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

ปลายสายลงท้ายเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่เขาเชื่อเสมอว่ากลั่นออกจากหัวใจ

คิดถึง...

แต่เขาก็ยังรู้สึกว้าวุ่นอยู่ดี พิธานนอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น รู้สึกถึงความเหินห่างที่กำลังก่อตัวขึ้น

เมื่อการติดต่อขาดหายลงทุกที พิธานจึงหายไปออกหน่วยแพทย์ เดินทางลำบากลำบน บุกป่าขึ้นดอยไปหาคนไข้ อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เขาจะได้เลิกฟุ้งซ่าน

เขากลับมาโรงพยาบาลพร้อมกับข้อความที่ลภฝากเอาไว้ในระหว่างนั้น

‘ธาน... ทำไมไม่รับสายเลย ยุ่งมากหรือ’
‘โทรกลับหาพี่หน่อย เป็นห่วง’
‘พี่ต้องไปอังกฤษ ด่วนมาก... กลับมาคุยกันนะ’


อังกฤษ...

... ต้องไปทำธุระสำคัญกับลูกสาวฉันที่อังกฤษ...

นั่นเอง ฟางเส้นสุดท้าย แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังรอ รอจนเริ่มไม่มีหวัง ขอบตาช้ำแดงไปตรวจคนไข้ รุ่นพี่ทักแต่ว่าอดนอน...

เพราะเมื่อเขาลองโทรไป ก็มีแต่ติดต่อไม่ได้ หลังจากข้อความที่บอกว่าจะไปอังกฤษนั้นแล้ว ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย ธุระสำคัญที่ต่างประเทศจะต้องยาวนานกี่เดือน กี่ปี หรือเป็นแต่เพียงข้ออ้างของคนที่หมดใจแล้วเท่านั้น

จนถึงตอนนี้ เมื่อกลับมาพบกันอีก... และแม้เธอคนนั้นจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว เขาก็ไม่คิด ไม่คาดหวัง ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

พิธานลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อได้เวลา เขากันทุกเรื่องออกไปได้เพราะบอกตัวเอง ปัญหาของหมอไม่ใช่ปัญหาของคนไข้! หากเขายอมให้ตัวเองละเลยจนไม่ตั้งใจฟังคนไข้เล่าประวัติ คงรู้สึกผิดต่อวิชาชีพรวมทั้งอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้

เขาออกไปช่วยอาจารย์ที่คลินิกเฉพาะทางในช่วงบ่ายด้วยสมาธิแน่วแน่เหมือนทุกครั้ง

เพราะถึงจะไม่มีใครแล้ว แต่คนไข้ก็ยังรอเขา...


ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณ milkteabeige ฮืออ ขอบคุณมากๆ สำหรับการอ่านเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องเก่าซ้ำด้วย พิธานเจอน้องษิตแล้วเป็นไงบ้างคะ 55

คุณ B52 ขอบคุณมากที่อ่านต่อเหมือนกันค่ะ แอบพัฒนาหน่อยๆ

คุณ LEO ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ คู่เก่า... ก็ยังเก่าต่อไป 55 รออีกเดี๋ยวว

คุณ iforgive อายอะค่ะ เอิ๊ก ข้ามปีกันเลยทีเดียว เรื่องนี้ใช้พลังงานมากต้องกันเวลาเอาไว้เขียนเลย จะพยายามเขียนมาเรื่อยๆ ค่ะ ทุกคนก็มีปัญหาให้ต้องแก้ไปแหละ แต่ท่าทางคู่นั้นจะราบรื่นไปก่อน

คุณ pim-lovemj ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim_onelove ขอบคุณมากค่ะที่อ่านต่อน้า ฝากบทต่อไปด้วยน้า

คุณ i c u เราก็รักพิธานน ขอบคุณที่เชียร์พิธานค่ะ (แต่ดูเธอสิ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตลอด) อดทนไว้นะ อีกนิดนึง

คุณ titansyui ขอบคุณค่า ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณภาณุเมศพลัง ขอบคุณสำหรับการอ่านมากค่า พี่พัทธ์แกถือคติ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามค่ะ 555 พิธานน่าจะอยาก keep himself busy มากกว่าจะได้ไม่ต้องยุ่งกับใคร 55 จวนแล้วค่ะ จะต้องมีสถานการณ์ให้คู่นี้ปะทะกันตรงกว่านี้แน่ เพราะแฟลชแบ็คสำคัญๆ เสร็จละ เหอๆ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ

คุณ BeeRY 55 เพลงลอยมาเลย บทนี้ก็จะได้รู้สิ่งที่พิธานรู้หมดล่ะค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า แอบอายอะหายนานจนคนอ่านเริ่มลืมเนื้อเรื่องงง

คุณ piggyfree ขอบคุณมากนะคะ ไว้ว่างๆ ก็ค่อยมาอ่านไปน้า แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ สารภาพว่า เรื่องนี้แต่ละตอนเขียนนาน ใช้เวลานาน งานประจำก็ยุ่ง ก็เลยช้ากว่าจะลง รักษาสุขภาพเช่นกันค่ะ

คุณ sine ขอบคุณมากๆ ค่า ฝากอ่านด้วยน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ไว้ว่างๆ ก็ค่อยอ่านไปเรื่อยๆ เนอะ

คุณ malula ขอบคุณมากค่ะสำหรับการติดตาม หมอพัทธ์แกปลื้มน้องษิตเป็นพิเศษก็เลยชมเยอะเป็นพิเศษ 55 พิธานออกจะยุติธรรมนะ 555 ไม่แกล้งน้องษิตหรอก ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ คือจะพยายามมาเรื่อยๆ ค่ะอาจจะช้าเพราะงานประจำยุ่งมากจริงๆ ขอบคุณนะคะ ปลื้มจังเลย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คิดถึงนีน่ากันไหม... (เดี๋ยวๆๆ) เพื่อนร่วมวอร์ดมีปัญหานี่ก็เป็นหนึ่งในวิบากกรรมที่น้องรักษิตจะต้องผ่านพ้นไปก่อนจบหมอ ไม่นับเรื่องอื่นๆ 55

บทนี้หมดสิ้นทั้งปวงฝั่งที่พิธานรู้ละนะคะ ต่อจากนี้เราจะได้มีพัฒนาการกันต่อไป หวังว่ากองเชียร์พี่ลภจะยังไม่หดหายนะ อิอิ เราต้องรู้ทั้งหมดทั้งมวลก่อนตัดสินใจ...

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะ ฝากด้วยน้า
:กอด1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
นีน่า เธอมาก่อกวนอีกแล้วววว เราเชื่อว่าทุกสายงานมีแบบนีน่าแน่นอนค่ะ และไม่รู้จะจัดการยังไงด้วยกับคนแบบนี้ แต่น้องษิตเป็นคนดีมากเลย มองโลกในแง่ดีมากๆๆ น้องษิตน่ารัก

พาร์ทนี้พี่หมอพัทธ์ไม่ออกอ่ะ คิดถึงจัง คิคิ

พี่หมอพิธานน่ารักค่ะ เป็นคนที่เก่งมากที่แยกทุกเรื่องออกจากกันอย่างขาดเลย เราว่าน้องษิตต้องประทับใจหมอพิธานแน่ๆ

ฟังเรื่องจากฝั่งหมอพิธานแล้วบีบหัวใจมาก ตอนแรกเข้าใจว่าพี่หมอพิธานไม่ฟังพี่หมอลภ แต่พอมาแบบนี้แล้วก็เข้าใจทั้งพี่หมอธานและพี่หมอลภ มันเศร้ามากเลย ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายต่างประคับประคองกัน  มันอาจจะยากมากที่จะทะลายกำแพงในใจของพี่หมอธานอีกครั้ง แต่พี่หมอลภต้องสู้ๆ นะคะ ขอให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ขอให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดีได้ค่ะ พี่หมอพิธานก่อนที่จะปิดตัวเอง เป็นคนที่น่ารักมากเลยค่ะ

อ่านตอนนี้แล้วอินกับพี่หมอธานมาก ต้องพยายามกลั้น กลัวจะร้องไห้
ไม่อยากจะโทษคุณแม่ของน้องษิต แต่ถ้าต้องโทษใครซักคน อ่านมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจให้โทษคุณแม่ไว้ก่อนค่ะ แต่ก็เชื่อว่าคุณแม่อาจจะมีเหตุผลอะไรซักอย่าง ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันว่าจะยกโทษให้คุณแม่ได้ไหม 5555

คิดถึงทุกๆ คนเลยค่ะ ยกเว้นคุณแม่น้องษิตกับน้องนีน่า 5555
ขอบคุณคุณเดหลีด้วยค่ะ จะขอติดตามไปเรื่อยๆๆ เลย

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
กระโดดถีบทัศนีย์  นี่หรือพฤติกรรมของคนที่จะเป็นหมอ  อีโก้จัดจริง ๆ

ออฟไลน์ i c u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
 :mew4:
พิธานยังน่ารักน่าสงสารเหมือนเดิมเลยยยย   แยกแยะเสมอระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว  ไม่กลั่นแกล้งน้องษิต  สนใจคนไข้  ยังไงก็ทีมพิธานนะคะ  สงสารจังเมื่อไหร่จะมีความสุขกับเค้าซะที///แม่ยกน้ำตาไหลพรากๆ

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :hao5: ตอนนี้ช่างหน่วงหนักกันทุกคนเลยอ่ะ หมั่นไส้ทัศนีย์เหลือเกิน น้องษิตช่างแสนดีเกินไปนะจ๊ะ
เค้ายังรอฉากหวานๆ ของพี่พัทธ์น้องษิตอยู่นะคะคุณเดหลี

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
โถโถโถ...สงสารหมอออร์โธฯผู้เคยอกหัก เอ้ย! ขาหัก!!

เท่าที่อ่านดูเหมือนฟังความฝั่งพิธานข้างเดียว ต้องรอพี่ลภมาเฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นทางฝั่งพี่ลภกันเเน่ พิธานของเราก็เหมือนจะผิดจังหวะไปหน่อย เลยไม่ได้พูดกันให้เคลียร์ สุดท้ายเลยเข้าใจผิดจนต้องเข้าป่าไปทำใจ นี่ขนาดไปทำใจมาเเล้วยังเเอบหวั่นไหวนิดส์ๆ อิอิ

เเต่พิธานเก่ง เเยกงานออกจากอารมณ์ได้ หน่วยก้านดูจะเป็นครูที่ดีได้ด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าจะเเยกเหตุผลกับความรู้สึกต่อพี่ลภได้ดีเเค่ไหน

#ทีมพิธาน (เเต่เริ่มหวั่นๆจะเป็น #ทีมพี่ลภ เเล้ว)
เป็นกำลังใจให้คุณเดหลีนะคะ
ปล.น้องษิตเป็นเด็กดีมาก อยากให้ตัวเองตอนอายุเท่าน้องคิดได้เเบบนี้ 55

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เมื่อไหร่ยัยนีน่าจะโดนจัง ๆ ซะที นิสัยแบบนี้คนอื่นเดือดร้อนนะ
สงสารหมอพิธาน เจอแบบนี้ใครจะไปทำใจได้ อยู่ ๆ คนรักก็ห่างออกไปโดยไม่บอกเหตุผล ถึงบอกก็ไม่รู้จะรับได้ไหม เฮ้อ...
หมอลภจะง้อก็ต้องพยายามมาก ๆ หน่อยนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด