ลุงหมอกะน้องหมา
คนเรามันก็ต้องมีเรื่องให้หมั่นไส้ใครสักคนกันบ้างในชีวิต แล้วไอ้ผมก็คนธรรมดาเดินดินเหมือนทุกคนก็เลยรู้สึกหมั่นไส้จนแทบอยากจะยกเท้าถีบมันให้ลงไปนอนกับพื้น แต่ด้วยจรรยาบรรณแพทย์มันค้ำคอแถมหนักมากซะด้วย ก็เลยได้แต่อดทน … ในช่วงอายุยี่สิบแปดปีก็ทำให้ผ่านอะไรมามากพอควรทั้งสังคมไทยและสังคมเมืองนอกที่ไปร่ำเรียนมาหลายปี
ไอ้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘วัยรุ่น’ ก็เคยเป็นมาเหมือนกัน ก็รู้ว่าไอ้พวกกลุ่มนี้มันทั้งอารมณ์ร้อน บ้าดีเดือด คิดน้อย แล้วคะนอง โดยเฉพาะ ‘วัยรุ่นชาย’
แล้วค่านิยมด้านสีผิวของประเทศไทยก็ดันเข้าสู่จุดวิกฤต วิกฤตมากเสียด้วย เพราะมันกระทบกับผมอย่างจริงจังเมื่อเทรนด์คลั่ง ‘ความขาว’ กำลังฟีเวอร์ในระดับเลเวลสูงสุด ไอ้ตัวผมซึ่งมีสีผิวตรงข้ามแบบยอดภูเขากับก้นเหวกับเทรนด์นี้ก็เลยกลายเป็นของแสลงไปทันที เมื่อโดนทั้งแซวขำๆ แซวจริงจัง หรือถูกมองด้วยสายตาเหยียดๆเมื่อผมอยู่ในชุดอยู่บ้านแล้วเดินออกไปซื้อของเซเว่นหน้าปากซอย มีกลุ่มเด็ก ม.ต้น กระซิบกระซาบเรียกผมกันว่า ‘ไอ้พม่า’ หรือแม้แต่ ‘ตัดอ้อย’
ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กไม่ค่อยรู้เรื่องผมล่ะอยากจะว้ากถามจริงๆ ว่าจะให้กูใส่สูทผูกไทค์มาซื้อของเซเว่นหน้าหมู่บ้านหรอครับ ? แล้วผมบนหัวก็ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ แต่คนอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนมันจะฟูฟ่องชี้โด่เด่บ้างมันผิดตรงไหน ?
แต่หลังจากที่ได้ตีปีกไปอยู่เมืองนอก ปรากฏว่าผมกลับเป็นหนุ่มฮอตของมหาลัยก็ว่าได้ เพราะฝรั่งเขาถือว่าคนผิวคล้ำแดดหรือออกแทน(ขาว)แบบผมคือคนมีตัง มีปัญญาไปอาบแดดไกลๆ ทำให้ผมมีชีวิตเหมือนดาวโรงเรียนในนิยายวัยรุ่นอะไรทำนองนั้นอยู่หลายปี แต่นั่นล่ะมียุครุ่งเรื่องก็ต้องมียุคเสื่อมถอยเพราะพอกลับเมืองไทยผมก็ยังโดนเด็กวัยรุ่นกลุ่มเดิมที่อัพเลเวลจาก ม.ต้น เป็น ม.ปลาย มองเหยียดๆเช่นเดิมที่เซเว่นหน้าหมู่บ้านเหมือนเดิม ทำใจ …
วกกลับมาเรื่องความหมั่นไส้ของผม มันก็คงเกี่ยวพันกับสีผิวอันไม่ ‘อินเทรนด์’ ของผมนี่ล่ะครับ เพราะวันนี้ผมไปวิ่งมาราธอนกับเตะฟุตบอลการกุศลที่มหาลัยแห่งหนึ่ง พูดแล้วมันน่าฟาดให้ตาย ไอ้เด็กเปรต !
กีฬากับการบาดเจ็บเป็นของคู่กันเมื่อนักเตะในทีมผมซึ่งเป็นรุ่นน้องผมเอง ไอ้แชมป์ มันถลาพรืดตอนวิ่งตามลูกบอลกลิ้งหลุนๆไปกับสนามหญ้า แล้วจบด้วยการกุมข้อเท้าร้องโอดโอย ประสาคนเป็นหมอเห็นคนเจ็บอยู่ตรงหน้าจะปล่อยไว้ได้ยังไง ? ผมเลยสั่งรุ่นน้องในทีมคือ ‘ไอ้ปัณณ์’ ช่วยกันพยุงออกมา เพราะเช็คดูแล้วกระดูกไม่น่าจะหัก น่าจะแค่ข้อเท้าแพลงหรือเคล็ดเท่านั้น อ้อ .. ผมเป็นหมอกระดูกหรือที่มีชื่อสุดเวอร์กว่าหมอสาขาอื่นว่า ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์
แต่พอไปถึงปรากฏว่าเต็นท์พยาบาลกลับไม่มีหมออยู่สักคนเดียว !
“ไอ้ปัณณ์วางพี่แชมป์บนเตียงก่อน เฮ้ยเราน่ะไปเอาถุงน้ำแข็งมาเร็ว”
ผมหันไปเรียกไอ้เด็กสตาฟงานที่พูดจ้อเป็นต่อยหอยอยู่ ไอ้เด็กนี้มาเป็นสตาฟเต็นท์พยาบาลกลับไม่สนใจคนเจ็บมันใช่ได้ไหมเนี่ย ?
ไอ้เด็กพูดมากมันก็ชี้หน้าตัวเอง งงๆ
“เออเราน่ะล่ะมัวแต่คุยอยู่ได้ เอาน้ำแข็งมาเร็ว สักสองสามถุง ผ้ายืดพันด้วยนะ”
แต่ไอ้เด็กนี่ถ้ามันทำตามคำสั่งผม มันคงไม่ได้ฉายาจากผมว่าไอ้เด็กเปรตหรอกครับ …
“นี่ลุง ! เป็นหมอรึไงมาสั่งผมน่ะหา ต้องให้พี่หมอหรือพยาบาลเค้าดูแลดิ ลุงมาสั่งๆๆแบบนี้พี่เค้าเจ็บหนักกว่าเดิมใครจะรับผิดชอบว้า ! หน้าตาไม่ได้เหมาะจะรักษาคนเลยลุง ถอยๆ ให้พี่พยาบาลเค้าดูแล”
ดูมันพูด ! คิ้วผมเริ่มกระตุก
เอ่อ .. น้องครับพี่กรเขาเป็นหมอนะครับ ไปเอาน้ำแข็งมาเถอะก่อนพี่แชมป์จะขาบวมก่อน”
ไอ้ปัณณ์เข้ามาไกล่เกลี่ยแต่ดูจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
“หน้างี้เป็นหมอ ได้เรอะ ! หลวกลวงชะมัด”
ไอ้เด็กเวรนี่ ! เป็นหมอมันต้องหน้าแบบไหน แล้วไอ้หน้าแบบกูนี่มันทำไม กูได้ปริญญามาแบบถูกต้องนะโว้ย เป็นหมอนะเป็นหมอ ! มีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง !
แต่ถึงมันจะบ่นงุ้งงิ้งอะไรสักอย่างต่อไปมันก็หันไปหาน้ำแข็งมาให้ ก็แค่นั้น ! หลังจากได้อุปกรณ์ครบไอ้ปัณณ์ก็สะกิดว่าควรจะไปแข่งต่อได้แล้ว ผมเลยสั่งมันให้ประคบน้ำแข็งให้ไอ้แชมป์ซะ
“อะไรอ่ะ ผมไม่ใช่พยาบาลนะลุง !”
“คนเจ็บอยู่ตรงหน้าน้ำใจน่ะมีมั้ยเอ็ง แค่ประคบเท้ามันไม่ต้องเรียนพยาบาลหรอก มาทำเร็วๆ จะไปแข่งครึ่งหลังต่อ ไอ้แชมป์ประคบไปสักสิบห้านาทีนะ เดี๋ยวกูกลับมาพันผ้าให้”
“ขอบคุณมากพี่กร ไปไอ้ปัณณ์ไม่ต้องห่วง ไปเอาชัยชนะมาฝากกูไป”
แต่ไปแข็งต่อไม่นานก็จบเกมส์เพราะบาดเจ็บช่วงใกล้จะหมดเวลาแล้ว ทั้งทีมก็เลยพากันแห่ไปดูสภาพไอ้แชมป์ แต่ไอ้เด็กเปรตมันก็ยังนั่งหน้าสลอนอยู่เหมือนเดิม
“กลับได้นะแชมป์ ?”
“ได้ดิพี่ ดีนะเมื่อเช้ามากับไอ้ยุทธ เดี๋ยวกลับกับมันทางผ่าน”
“เออก็ดี แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย พักเท้าประคบน้ำแข็งบ่อยๆ”
“ครับพี่กร”
ระหว่างที่ผมพูดผมก็ยังอุตส่าห์ตาดีไปเห็นไอ้เด็กผีมันทำปากงุบงับล้อเลียนคำพูดผม ผมเลยแกล้งลุกขึ้นแม่งดูดิ๊ว่ามันจะกล้าจริงปะ ! แต่สุดท้ายไอ้เด็กเปรตมันก็ปอดแหกวิ่งจู๊ดออกจากเต็นท์ไปด้วยความเร็วแสง
“ไอ้เด็กเปรต”
“เอาน่าพี่กร เด็กมันกวนประสาทปล่อยมันไปเหอะ”
ไอ้ปัณณ์บีบไหล่ผมขำๆ เออเพราะมันเด็กนี่ล่ะถ้าเป็นลูกเป็นหลานจะอบรมชุดใหญ่
“อย่าให้จับได้ จะฟาดให้เข็ดเลยแม่ง”
“ฮ่าๆ พูดจาแก่ไปได้ เออพี่กรตอนพี่ไม่อยู่ไอ้เด็กนั่นมันนินทาพี่ด้วย”
“อะไรนะ ?”
“ก็มันประคบให้ผมไปปากมันก็บ่นไป บอกว่าดำแบบพี่ไม่น่าเป็นหมอ ต้องขาวๆจั้วๆแบบหมออีกคนที่พึ่งออกไป นั่นสิราศีหมอจับ”
“ไอ้เด็กผี ! กลับโว้ย คนดำหงุดหงิด !”
พวกแก๊งฟุตบอลก็ฮากันใหญ่ รู้ว่าผมไม่ได้ถือโกรธเรื่องสีผิวเป็นจริงเป็นจัง เพราะมันชิน ! แต่ไอ้เด็กนี่มันกล้าเอาผมมานินทาทั้งๆที่รู้ว่าไอ้แชมป์ก็รู้จักผมแล้วก็ต้องเอามาเล่าให้ผมฟังอยู่แล้ว มันหยามกันชัดๆ !
- ----------------------------------------
อิอิ
เป็นครั้งที่สองที่ใช้พระเอกดำเนินเรื่อง ถ้ายังไงติดชมกันได้นะคะ
