ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 28“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมถามคนข้างๆ ที่จู่ๆ ก็คู้ตัวงอลงไป
“..เปล่า” ทางนั้นตอบกลับมา เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ยังวางศอกไว้บนหน้าขาตัวเอง ตาจ้องมองพื้น
“เมโล่ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมคิดว่าเขาอาจจะกำลังกังวลเรื่องที่เมโล่ได้รับบาดเจ็บและตอนนี้กำลังทำแผลอยู่ในห้องฉุกเฉิน จึงพูดออกไปแบบนั้นหวังช่วยปลอบใจ
“รู้แล้ว” คำตอบห้วนๆ ตามมาด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด
เหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บ 1 คน คือ ‘เมโล่’ หมอนั่นวิ่งเข้าไปเพราะห่วงไอจนลืมนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง เร็วจนไม่มีใครรั้งไว้ทัน และใช้ตัวเองบังไอไว้ตอนที่คานเวทีหล่นลงมา เลยถูกไฟมินิแฟรชที่กระเด็นหลุดออกจากคานเหล็กร่วงใส่ท้ายทอยแตก แต่ยังถือว่าโชคดีที่ไม่โดนจุดตาย หลังคลายจากความตกใจและเริ่มตั้งสติได้ พวกเราจึงรีบพาหมอนั่นมาที่โรงพยาบาลของมหา’ลัย และตอนนี้ก็กำลังทำแผลอยู่ในห้องฉุกเฉิน
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงเมโล่ร้องเรียกชื่อไอก็เพราะหมอนั่นถูกไอตีหรืออะไรสักอย่าง ผมหันไปมองไม่ทัน จำได้แค่ตอนนั้นไอดูทั้งโกรธทั้งกลัวที่เห็นเลือดของเมโล่ เขาคงช็อคนั่นแหล่ะ ผมว่านะ
“ไอ” ผมเรียก แล้วเงียบรอการตอบสนองจากเขา
ไอเงียบอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ยอมหันมามองทางผม
“เมโล่ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมพูดซ้ำคำที่เคยพูดไปแล้ว
ไอขมวดคิ้วหงุดหงิด
“ไม่ใช่ความผิดของไอหรอก”
“ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?”
“.........” ผมเงียบ
ผมแน่ใจว่าตอนนั้นไม่ได้คิดไปเอง ไอจงใจที่จะไม่หนี ทั้งที่เขามีโอกาสหนีมากกว่ารักด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ทำ สายตาท้าทายของเขามองมายังผม ราวกับกำลังบอกว่าถ้าอยากให้เขาหลบ ผมต้องขึ้นไป.. ใช่ ผมจำสายตานั้นได้ แต่วินาทีนั้นใจของผมมันไปรวมกันที่รักหมดแล้ว ต่อให้ขึ้นไปได้จริงผมก็คงพุ่งไปหารักก่อน มันอาจจะผิดต่อไอแต่ผมคงไม่สามารถบิดเบือนความจริงข้อนี้ได้ ..สุดท้ายคนที่ขึ้นไปหาไอก็เป็นเมโล่ ไม่ใช่ผม
ตอนนี้ถ้าเขาไม่กำลังรู้สึกโกรธผม เขาก็คงกำลังรู้สึกผิดต่อเมโล่อยู่ ..ไม่มากก็น้อย
ไอหันกลับไปมองพื้น เขาเองก็เงียบเช่นกัน
“ขอโทษนะ” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูด สายตาเหม่อมองตัวอักษร ‘EMERGENCY’ เหนือประตูห้องตรงข้าม
ได้ยินเหมือนเสียงหายใจที่สะดุดไป ผมจึงพูดต่อ “..ทั้งเรื่องวันนี้ ทั้งเรื่องที่บ้านเราก่อนหน้านี้”
“.........” ไอยังเงียบ
“วันนั้นเราพาลไปหน่อย.. พอมาลองคิดๆ ดู ที่เราถูกบอกเลิกมันก็ไม่ใช่ความผิดของไอเลย มันเป็นความผิดของเราทั้งหมดนี่แหล่ะ เราทำตัวของเราเอง ทุกอย่างเราเป็นคนเลือกเอง ต่อให้ไม่มีไอเข้ามา ก็ไม่แน่ว่าเราจะสามารถรักษาความรักนั้นเอาไว้ได้..” ผมหันมามองเสี้ยวหน้าของคนข้างตัว
“ไอ”
เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก
“ให้อภัยเราได้ไหม?”
“.........”
“กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา”
“แล้วจากนั้นล่ะ?” ไอถามโดยไม่หลบตากัน
“เริ่มต้นกันใหม่” ผมตอบกลับโดยไม่คิดหลบตาเช่นกัน
ไอนิ่งไป ก่อนหลุบตาลง จากนั้นก็หันหน้ากลับไปทางเดิม
“ง่ายดี..” ไอพูด แล้วเขาก็เงียบไปสักพัก
“ที่ผ่านมาก็เคยคิดนะ ว่าทำไมต้องไปโกรธนาย มันไร้สาระมากเลยที่ไปยึดติดกับนายเพราะเรื่องสมัยเด็กแบบนั้น... แต่พอเห็นหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราวของนายทีไรก็อดโกรธไม่ได้ทุกที”
ผมปล่อยให้ไอได้พูดความในใจของเขาออกมา เผื่อว่ามันอาจจะช่วยบรรเทาสิ่งที่เขาแบกรับเอาไว้ได้บ้าง
“ทำไมถึงมีแค่เราที่จำได้..” เขาเว้นช่วง ก่อนพูดต่อ “คิดมาตลอดว่ามันไม่แฟร์.. ก็แค่..อยากให้คนอย่างนายรู้สึกเจ็บบ้าง...อยากให้รอยยิ้มระรื่นบนหน้านั่นหายไป...อยากให้รับรู้ถึงความเกลียดชัง...คนที่ได้รับแต่ความรักความสนใจจากคนอื่นอย่างนายคงไม่มีวันเข้าใจ”
“เรายินดีนะ” ผมบอก
ไอหันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“จะความโกรธ ความเกลียด หรืออะไรก็ได้.. เรายินดีรับไว้ และจะไม่มีวันเกลียดไอด้วย”
ถ้าความเจ็บของผมจะช่วยทุเลาความเกลียดชังในใจไอได้บ้าง ผมก็ยินดี
ผมไม่อยากให้เขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกเกลียดชังอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งที่เกิดในใจของตัวเอง ทั้งที่ซึมซับมาจากคนรอบข้าง มันมากเกินพอแล้ว ผมอยากช่วยดึงไอออกมาจากตรงนั้น ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน หรือผมอาจจะต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่าความรักครั้งนี้ แต่ผมได้ตัดสินใจแล้ว ผมอยากเห็นเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยความต้องการของตัวเขาเอง ไม่ใช่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังแบบนี้
“ทำไม..” น้ำเสียงที่เปร่งนั้นฟังเบาหวิว
“เพราะไอเป็นเพื่อนคนสำคัญของเรา” ดวงตาคู่ตรงข้ามเบิกกว้างขึ้น
“ถ้าไอเจ็บ เราก็อย่างแบ่งปันความเจ็บกับไอ”
ไอนิ่งมองหน้าผม ก่อนดวงตาของเขาจะหลุบลงต่ำ
“พอเถอะ..”
“ไอ?”
“ขอรับแค่บทตัวร้ายก็พอ ไม่ต้องยื่นบทน่าสงสารมาให้หรอก ..เราสมเพชตัวเอง”
“ไอ..” ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นน้ำใสๆ เริ่มหยดลงบนหลังมือไอ ขณะที่เขายังก้มหน้า
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเกลียดนายให้ถึงที่สุด..” คนพูดพยายามที่จะไม่สะอื้น “เกลียด..จนไม่อยากสนใจ เกลียด..จนลบนายออกไปจากชีวิต เกลียด..จนลืมนายไปซะ”
ไอยกหลังมือปาดน้ำตาออกโดยไร้เสียงสะอื้น แต่จนแล้วจนเล่าก็ปาดไม่หมดสักที
ผมยื่นมือหวังไปช่วยเช็ดให้ แต่ก็นึกได้ว่าไม่ควร ถ้าผมทำแบบนั้นแล้วมันจะต่างอะไรกับครั้งที่เราอยู่ด้วยกันในสนามเด็กเล่น?
“.........” ผมอยากจะฉุดเขาขึ้นมา ไม่ใช่กอดเขาไว้แล้วจมลงไปด้วยกัน
ขณะนั่งเหม่อมองฝ่ายมือที่ไร้ประโยชน์ของตัวเอง ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนใกล้เข้ามา
“ไอ้เหมียวยังทำแผลไม่เสร็จอีกเหรอ?” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถาม
ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็น ‘กี้’ เลิกคิ้วเป็นเชิงถามมาให้
กี้คือเพื่อนคนที่ให้เคยให้ตั๋วหนังรอบสื่อฯแก่ไอกับผมมา และเป็นคนเดียวกับที่รั้งผมไม่ให้ขึ้นไปบนเวทีตอนคานหล่นลงมาด้วย ตอนนี้เขามาพร้อมกับถุงใส่เสื้อที่คงเอามาให้เมโล่เปลี่ยน(เพราะเสื้อที่หมอนั่นใส่อยู่ตอนนี้เปรอะเลือดของเจ้าตัวเอง) และขนมขบเคี้ยวที่อัดแน่นมาในถุงของร้านสะดวกซื้อใบเขื่อง คงจะเอามาปลอบใจคนเจ็บล่ะมั้ง
ผมหันไปมองคนข้างตัว เห็นเขายังก้มหน้าอยู่ แต่ยกสองมือพนมประกบหัวตาและดั้งจมูกคล้ายพยายามเช็ดคราบน้ำตา ผมหันกลับไปที่กี้อีกครั้ง แต่เห็นเขากำลังมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินที่เพิ่งมีพยาบาลเดินสวนออกมา ดูไม่ได้ติดใจสงสัยเอาคำตอบจากคำถามเมื่อครู่
“แปลกแฮะ ไม่ยักได้ยินเสียงมันแหกปาก” กี้พูดแล้วหัวเราะ ผมก็ยิ้มตามน้ำไป
ไอลุกจากเก้าอี้ ทำให้ทั้งผมทั้งกี้หันไปมองที่เขา
“.........” แล้วไอก็เดินเข้าห้องฉุกเฉินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
กี้เลิกคิ้มขณะมองตามหลังเพื่อน แต่แล้วก็ยักไหล่ แล้วหันมาถามผม “เข้าไปด้วยกันไหม?” เขาพยักพเยิดไปทางประตูที่ไอเพิ่งเดินเข้าไป
ผมมองผ่านกระจกใสของประตู เห็นพยาบาลเปิดม่านที่ล้อมรอบเตียงของเมโล่ออก เห็นคนป่วยนั่งอยู่บนเตียง หมอคงทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว
“ไม่ดีกว่า” ผมตอบกี้ทั้งที่สายตายังจับจ้องไอที่เดินเข้าไปคุยกับเมโล่
“อ่อ” กี้ส่งเสียงตอบรับ เขายกถุงขนมพาดบ่า แล้วทำท่าจะตามไอเข้าไปอีกคน
“เอ้อ..” ผมส่งเสียงรั้งไว้เมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“ฮึ?” กี้หันกลับมา
“เมื่อกี๊..” ผมหมายถึงตอนที่เขาห้ามผมเอาไว้ไม่ให้ขึ้นไปบนเวที ผมเข้าใจว่าเขาคงทำไปเพราะความหวังดี “ขอบคุณนะ”
ถ้าไม่ได้เขา บางทีตอนนี้ผมอาจจะอยู่บนเตียงข้างๆ เมโล่ แทนที่จะเป็นเก้าอี้นั่งรอตัวนี้ก็ได้
“นายติดหนี้เราครั้งนึงแล้วนะ” กี้ยิ้มกว้าง ทำให้ตาที่เรียวเล็กอยู่แล้วของเขาปิดแทบสนิท
“.........” ขณะที่ผมกำลังอึ้งเขาก็ผลักประตูห้องฉุกเฉินเข้าไปสมทบกับเมโล่และไอข้างใน
ผมมองคนทั้งสามพูดคุยกันด้วยท่าทางสนิทสนมด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนตัดสินใจลุกออกไปจากตรงนั้น แต่เพราะสายตาที่ดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวางอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ไอเพิ่งลุกออกไปเสียก่อน จึงทำให้ผมยังอยู่ที่เดิม
“...?...”
มันเป็นถุงกำมะหยี่เล็กๆ สีดำ แบบเดียวกับถุงที่เอาไว้ใส่พวกเครื่องประดับอย่างสร้อยหรือแหวน คิดว่าน่าจะเป็นของที่ไอทำตกเอาไว้ มันคงจะหล่นออกมาจากกระเป๋าตอนที่เขานั่ง
ผมหยิบมันขึ้นมา ตั้งใจว่าจะเอาเข้าไปคืนให้ไอ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมนึกอยากรู้อยากเห็นถึงสิ่งที่อยู่ข้างในถุงเล็กใบนี้ ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยปกติของผม แต่กลับเหมือนมีแรงดึงดูดที่อธิบายไม่ได้คอยยั่วใจผมอยู่ตลอดเวลา ผมเลยลองคลำรูปร่างสิ่งของที่อยู่ข้างในดูก่อน และเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นปากถุงก็ถูกเปิดออก
ผมเทของที่อยู่ข้างในลงบนฝ่ามืออีกด้านของตัวเอง..
“.........”
สายตาผมเลื่อนไปยังแผ่นหลังของคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน แล้วกลับมาที่ฝ่ามือตัวเอง ก่อนตัดสินใจเก็บสิ่งนั้นใส่ถุงสีดำไว้ตามเดิม ยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้วลุกออกมาจากตรงนั้น..
ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของใครอีกคนที่ยังอยู่แถวหน้าโรงพยาบาล
“ยังอยู่เหรอ” ผมเป็นฝ่ายทักก่อนเมื่อเดินมาเกือบถึงตัวเขา
“ไอ้นั่นเป็นไงมั่ง?” รักตอบรับด้วยคำถาม
ตอนที่พาเมโล่มาโรงพยาบาล เราก็ได้รักนี่แหล่ะเป็นคนพามาส่ง เพราะเขาจอดรถไว้ใกล้แถวที่เกิดเรื่องด้วย อันที่จริงเขาจะไม่ช่วยก็ได้ ตอนนั้นเขาเองก็ยังไม่หายตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี แต่เขาก็ช่วย ซึ่งผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมรู้ว่าลึกๆ แล้วรักเป็นคนใจดี ถึงเขามักจะแสดงออกให้คนส่วนใหญ่เข้าใจไปอีกทางก็เถอะ
“ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว หมอทำแผลให้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
คนฟังพยักหน้ารับรู้ ผมอดมองติ่งหูข้างขวาของเขาที่เคยมีต่างหูของผมอยู่ไม่ได้ ยอมรับว่าใจหายที่ไม่ได้เห็นมันอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
“รักจะกลับไปที่คณะไหม?”
“อือ” เขาตอบแล้วลุกขึ้น “มึงล่ะ?”
“เหมือนกัน” ผมเดินตามรักไปที่รถ ระหว่างทางก็ชวนเขาคุย “ตอนนี้พวกรุ่นพี่คงถูกอาจารย์สวดอยู่ บางทีอาจจะถูกสั่งให้รื้อเวที งดทำกิจกรรมตอนกลางคืนก็ได้ ..อ่า แต่เตรียมงานกันมาขนาดนี้แล้ว คิดว่ารุ่นพี่คงพยายามโน้มน้าวอาจารย์กันสุดฤทธิ์ล่ะเนอะ”
รักไม่มีความเห็น เหมือนว่าเขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่มากกว่าจะฟังที่ผมพูด
“.........” ผมหยุดเท้า เหม่อมองแผ่นหลังตรงหน้า ทั้งที่ห่างเพียงเอื้อมมือถึงแท้ๆ แต่ทำไมความรู้สึกตอนนี้ถึงได้ห่างกันไกลแสนไกล ผมสงสัยว่ารักจะรู้สึกเหมือนกันไหม? เขาหวั่นไหวกับอ้อมกอดของผมเมื่อครู่บ้างหรือเปล่า? เขา..
“รัก” ก่อนจะรู้ตัวผมก็ร้องเรียกเขาออกไปแล้ว
คนถูกเรียกหยุดเดินแล้วหันกลับมาพร้อมสายตาสงสัย ผมจึงได้สติ
“เอ่อ..” ผมรีบคิดถึงสิ่งที่ต้องพูด “คืนนี้...งานเลิกแล้ว..ให้เราขับรถไปส่งรักที่บ้านนะ?”
รักนิ่งไปอึดใจ คล้ายว่านึกไม่ถึงว่าผมจะพูดแบบนั้น
“ไปทำไม เดี๋ยวก็ต้องเสียเวลานั่งแท็กซี่กลับบ้านตัวเองอีก”
“ไม่เป็นไร เราเห็นรักวิ่งวุ่นมาตั้งแต่เช้า แล้วกว่างานคืนนี้จะเลิกอีก กลัวว่ารักจะเหนื่อยเกินไป ปล่อยให้ขับรถกลับบ้านคนเดียวมันอันตราย ถ้าเกิดเผลอหลับในขึ้นมา..”
“กูว่าจะชิ่งตั้งแต่เล่นหนุ่มน้อยตกน้ำจบเลย คงไม่รออยู่เก็บของตอนเลิกงานหรอก”
“งั้นเหรอ..”
“เออ เพราะงั้นห่วงตัวมึงเองเหอะ” เขาหัวเราะลงคอแล้วเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงรถที่จอดเอาไว้
“รัก” ผมเรียกพลางรีบเดินตามให้ทัน
“อะไรอีก?” เขาหันกลับมาโดยที่มือยังยื่นไปดึงประตูรถให้เปิด
“เราจำได้ว่าลืมเสื้อเชิ้ตไว้ที่ห้องรักตัวหนึ่ง..”
“.........” คนที่กำลังจะมุดเข้าไปในรถชะงัก
“ถ้ายังไงให้เรากลับไปเอา..” ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจพูด “เพราะรักคงไม่อยากเก็บไว้...”
“กูทิ้งไปแล้ว”คำพูดเรียบๆ ของเขาราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงกลางอกผม
“แค่เสื้อตัวเดียวคงไม่ว่ากันนะ?” รักหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“อือ” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มตอบกลับไป “ถ้าทิ้งไปแล้วก็ช่างเถอะ..”
ผมไม่ทันได้สังเกตว่าน้ำเสียงตัวเองแห้งโหยเพียงใด ภาพที่ผมมองรักก้าวขึ้นรถ ราวกับผมกำลังมองดูเขาก้าวออกไปจากโลกของผม โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ในวันที่แน่ใจว่าตกหลุมรัก ผมก็ได้สูญเสียความรักไปอีกครั้ง TBC.เรื่องราวใน SS1 ระหว่างต่ายกับรักและไอจบแค่ตรงนี้นะจ๊ะ
(แต่ SS2 ทั้งคู่ก็ยังอยู่นะ ไม่ได้หายไปไหน อิอิ)
ปล. ตอนหน้าเป็นตอนส่งท้ายแจ้