ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 27“ไงแก?” เสียงทักพร้อมกับฝ่ามือที่ตบลงกลางหลังแบบไม่เบาแรงทำผมสะดุ้ง
“สจี..” เจ้าของชื่อขยับขึ้นมาเดินตีคู่กับผม
“เดินเป็นร่างไร้วิญญาณเชียว” คนพูดยกยิ้มนิดๆ “บูธประชาสัมพันธ์งานหนักหรือไง?”
“นิดหน่อย” ผมยิ้มแหย
วันนี้เป็นวันงานโอเพ่น เฮาส์ ตั้งแต่เช้าที่ผมเข้าไปประจำการที่บูธประชาสัมพันธ์เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจมาดูงานก็ถูกรุมถามนู่นนี่อยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีเวลาได้หายใจหายคอเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะพวกนักเรียน(หญิง) ม.ปลาย ถามแล้วถามอีก ถามชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยไม่ยอมออกจากบูธสักที.. ก็พอเข้าใจจุดประสงค์ของพวกเธออยู่บ้างล่ะนะ แต่บางทีผมก็เหนื่อยบ้างอะไรบ้างไง(ก็เล่นไม่ยอมไปถามคนอื่นด้วยสิ เกาะกลุ่มรุมล้อมผมอยู่คนเดียวเลย) จนพี่เปิ้ลมาตรวจความเรียบร้อยนี่ล่ะ วงเลยแตก ผมเลยได้โอกาสหลบออกมาพักเบรคสักหน่อย
“จีไปไหนมา?” ผมเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนควรจะอยู่ที่บูธของเสคเรามากกว่ามาเดินอยู่แถวนี้นี่นา
“ ‘จารย์เด่นเรียกไปคุยเรื่องโครงงานที่เพิ่งส่งไปน่ะ นี่กำลังจะกลับไปที่บูธภาค แล้วแกล่ะ?”
“ว่าจะไปหาอะไรเย็นๆ...”
เสียงของผมหายลงคอไปดื้อๆ เพียงเพราะสายตาเหลือบไปเห็นรักกับกลุ่มเพื่อนของเขากำลังเดินมาทางนี้พอดี.. ถือเป็นการเจอหน้ากันตรงๆ ครั้งแรกของพวกเราหลังจากที่เขาบอกเลิกลาและออกจากบ้านผมไปในวันนั้น
“.........”
ขาของผมยังก้าวไปข้างหน้าในจังหวะเดิม แต่หัวใจของผมมันเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะที่ได้สบตากับอีกฝ่าย
“.........”
ก่อนจะกลับมาเต้นอีกครั้งในจังหวะที่ราวกับแผ่วช้าลงกว่าเดิม เมื่อร่างสูงโปร่งนั้นเดินผ่านพ้นไป..
“.........”
ไม่มีคำทักทาย.. ไม่มีแม้แววหวั่นไหวในดวงตาคู่คุ้นเคยนั้น..
ไม่มี.. ต่างหูที่เขาเคยใส่อยู่เสมอตั้งแต่ผมให้ไป
“.........”
ครั้งนี้รักคงตัดผมออกจากชีวิตเขาแล้วจริงๆ
“แกโอเคนะ?” เสียงคนข้างๆ ดึงผมกลับมา
“โอเค..” ผมยิ้มน้อยๆ
เพื่อนตบหลังผมอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินแซงหน้าไป ทำให้ผมต้องรีบก้าวตามให้ทัน แต่กระนั้นก็บังคับตัวเองให้ไม่หันกลับไปมองแผ่นหลังของรักอีกรอบไม่ได้
“.........”
“วิ่งตามไปไม่ดีกว่าเหรอ?” คำพูดลอยๆ ของคนข้างตัวดึงผมกลับมาอีกครั้ง
สจีไม่ได้กำลังมองมาที่ผม แต่มองไปยังกลุ่มเด็ก ม.ปลายที่กำลังสนใจบูธหุ่นยนต์ของพวกเครื่องกลอยู่ แต่ผมก็ส่ายหัวแม้เพื่อนจะมองไม่เห็น
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่ลองไม่รู้”
“ไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้น่ะ” ผมยิ้มกับตัวเอง
ถ้าจะมีสักอย่างที่ผมพอจะทำเพื่อเขาได้บ้าง ก็คือยอมรับการตัดสินใจของเขา รักคงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาแล้ว ผมควรยอมปล่อยเขาไป ดีกว่ายื้อไว้แล้วทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก...แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็ตาม
“เป็นผู้ชายที่แย่จังเลยนะ”
“อื้อ อย่าเผลอมาหลงรักล่ะ”
“อย่าพูดให้ขนลุกหน่อยเลย”
“อ้อ ลืมไปว่าจีไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“เดี๋ยวตบคว่ำ”
“ฮ่ะๆๆ”
ผมเดินไปส่งสจีที่บูธและอยู่ช่วยงานเพื่อนในเสคพักหนึ่ง ก่อนขอแยกตัวออกมาหาอะไรทานที่ร้านคอฟฟี่ช็อปประจำคณะอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่พอเข้ามาในร้านที่คนแน่นขนัดกว่าปกติผมก็เจอเมโล่นั่งเกาะกระจกตู้โดนัทหน้าตาเศร้าซึมเหมือนคนมีเรื่องกังวลใจ
ผมยืนมองหมอนั่นอยู่สักพักก็ไม่เห็นว่ามันมีทีท่าจะขยับเขยื้อนตัว แถมยังทำให้ลูกค้าคนอื่น(ที่ไม่ใช่คนในคณะ)พลอยกลัวกันไปด้วย พนักงานก็ไม่กล้าพูดอะไร ผมเลยตัดสินใจเข้าไปถามหลังจากสั่งชาเขียวปั่นให้ตัวเองแล้ว
“ทำอะไรอยู่น่ะ เมโล่?”
หมอนั่นหันหาที่มาของเสียงช้าๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์ “บันนี่?”
“ทำอะไรอยู่?” ผมถามซ้ำอีกครั้ง
เมโล่หันกลับไปมองโดนัทในตู้ แล้วว่า “เค้าไม่รู้จะเลือกกินอันไหนดี”
ผมเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร อีกคนก็แบมือที่กำเงินเอาไว้มาให้ดู มีแบงค์ 20 ยู่ยี่ 1 ใบ เหรียญ 10 2 เหรียญ เหรียญ 5 อีก 2 เหรียญ
“มีแค่นี้” เจ้าของเงินว่า
วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนมองเห็นหูกับหางมันตกลู่ลง แต่คงแค่คิดไปเองแหล่ะ
“50..?”
“ถ้าซื้อโกโก้ปั่น..” คนพูดหยิบออก 35 บาท จึงเหลือเพียง 15 บาทอยู่บนฝ่ามือ “พอซื้อโดนัทแค่ชิ้นเดียว..”
“ทั้งตัวมีอยู่แค่นี้เหรอ?” ผมสงสัย มองเงินสองกองน้อยๆ บนฝ่ามือใหญ่นั่นสลับไปมาก็นึกเห็นใจ
“ช่ายยย”
“แต่นี่เพิ่งจะกลางเดือนเองนะ?”
“แย่เนอะ”
ยังมีหน้ามา ‘แย่เนอะ’ อีก
“แล้วพรุ่งนี้จะกินอะไรเนี่ย?”
“พรุ่งนี้ค่อยคิดพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้จะกินอันไหนดี.. เลือกยากจัง” มันหันกลับไปจ้องเขม็งที่โดนัทในตู้ต่อ
เป็นหมอนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะดี
“แต่ถ้ากินหมดตอนนี้ แล้วตอนเย็นจะกลับบ้านยังไงล่ะ ไม่มีเงินค่ารถนี่?”
“เดี๋ยวก็มีคนพากลับเองแหล่ะ”
น่า ก็พอรู้อ่ะนะว่าหมอนี่มันเป็นที่เอ็นดูของคนอื่น ไม่มีเงินกินข้าว เดี๋ยวก็มีคนซื้ออะไรให้กิน กลับบ้านไม่ได้ก็คงจะมีคนเต็มใจไปส่ง ไม่ก็คงออกเงินค่ารถให้ ชีวิตนี้ช่างง่ายดาย..
“แต่ถ้าไม่มีล่ะ?”
“เดี๋ยวลุงหรือไอก็มารับเองแหล่ะ”
“.........” นะ ไม่อับจนหนทางง่ายๆ ด้วย
“อันนี้...ไม่..เอาอันนี้...ไม่...อันนี้ดีกว่า..หรือว่าอันนี้...”
แต่จู่ๆ เสียงพึมพำๆ ของเมโล่ก็หายไป ร่างโย่งเกินมาตรฐานของเขาลุกยืนเต็มความสูง เรียกสายตาจากคนทั้งร้านให้มองมาที่จุดเดียวกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ตกลงรับชิ้นไหนดีคะ?” พนักงานที่ยินยิ้มแหยอยู่นานเอ่ยปากถาม
“ไม่เอาละ”
“คะ?” ไม่ใช่แค่พนักงานที่งง ผมก็งงเหมือนกัน
“เดี๋ยวไม่มีค่ารถกลับบ้าน” พูดแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากร้านด้วยท่าทางหงอยๆ “ไปก่อนนะ บันนี่”
“อ่า..”
ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เมโล่ที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เรียกร้องความสนใจได้อีกหน
จ๊อกกกกกกกกก... เสียงท้องดังลั่นนั่น
“....!....”
เมโล่ยกมือกุมท้องตัวเอง แล้วหันกลับมาทำตาละห้อยใส่ผม “หิวจัง..”
“.........”
มันต้องวางแผนไว้แล้วแน่ๆ
“บันนี่ไม่กินเหรอ?” เมโล่ยื่นโดนัทที่กัดแล้วมาให้ผมขณะเดินอยู่ข้างกัน
“กินไปเถอะ” ผมเหลือบมองแล้วปฏิเสธ ก่อนยกชาเขียวปั่นในมือดูด “เมโล่..”
สุดท้ายแล้วหมอนี่ก็ทั้งอิ่มท้อง และยังเหลือเงินค่ารถไว้กลับบ้าน คงไม่ต้องถามแล้วมั้งว่ามันได้โดนัทเต็มถุง(กระดาษ)กับโกโก้ปั่นอีกแก้วมาจากใคร? ก็ผมนี่ไง มันบอกว่าถ้ามีเงินแล้วจะคืนให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังหรอก เพราะของครั้งก่อนๆ ก็ยังไม่ได้คืนเลยสักแดงเดียว
“อะไอออ” เจ้าของชื่อขานรับทั้งที่ขนมเต็มปาก
“เราเป็นเจ้าของตุ๊กตาที่ไอเก็บไว้เองล่ะ”“เหรอ..”
ท่าทีเรียบเรื่อยไร้ปฏิกิริยาของเมโล่ทำให้ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ ทั้งที่ผมเตรียมใจรับสถานการณ์เลวร้ายขั้นสุด(?)ไว้ก่อนพูดแล้วแท้ๆ
“งั้นบันนี่ก็เป็นคนที่ไอชอบมากกว่าเค้า..” คนพูดยัดโดนัทคำสุดท้ายเข้าปาก ไล่ดูดเลียนิ้วที่ติดน้ำตาล แล้วก็หยิบชิ้นใหม่จากในถุงออกมากินต่อ
“แล้วไม่โกรธเหรอ?” ผมถามพลางลอบสังเกตปฏิกิริยาอีก
“อื่อ” หมอนั่นรอเคี้ยวหมดปากจึงพูด “เรื่องคนที่ไอชอบบันนี่อาจเป็นที่หนึ่ง ส่วนเค้าได้แค่ที่สอง แต่คนที่ไอเกลียดบันนี่ได้แค่ที่สองนะ”
“อ่า.. แล้วใครได้ที่หนึ่ง?”
“เค้าไง” คนพูดเอานิ้วก้อนชี้หน้าตัวเอง
“ห๊ะ?”
“ถือว่าเสมอกันเนาะ”
“.........” ตรรกะไหนเนี่ย?
ว่าแต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ถ้าบอกว่าไอเกลียดผมก็พอเข้าใจนะ เขาเผลอแสดงมันผ่านแววตาที่อ่านยากของเขาเป็นครั้งคราว ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ และเลือกที่จะมองข้ามมัน แต่มันเผยออกมาให้เห็นชัดเจนในวันนั้นที่สนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาล..
ผมพอจะรู้ตัวว่าถูกไอเกลียด(แม้ไม่ค่อยแน่ใจในเหตุผลสักเท่าไหร่) แต่ผมก็ไม่สามารถตัดเขาออกไปจากวงจรชีวิตได้ เพราะผมรู้สึกว่าผมยังติดค้างเขาในเรื่องอดีตที่ผ่านมา ..ผมทิ้งเขาไม่ได้ ก็แลยคิดว่าบางทีถ้าเราได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะในฐานะไหน ความเกลียดชังที่เขามีต่อผมมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไป...ในทางที่ดีขึ้น...นั่นเป็นสิ่งที่ผมหวัง แต่สุดท้ายแล้วผมก็สะดุดขาตัวเองหกล้มก่อนไปถึงเส้นชัย ผมล้มเหลวทั้งการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของไอ หรือการดูแลรักษาความรู้สึกของรักไว้ ทุกอย่างพังหมด ผมประเมินตัวเองสูงเกินไป..
ถึงแม้อยากแก้ตัว แต่คงยากที่จะเป็นไปได้แล้ว วันที่ไอมาหาที่บ้าน ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธและพาลมากไปหน่อย เลยพูดออกไปแบบนั้น และมันก็ทำให้ไอหนีไป เขาหลบหน้าผมจนถึงตอนนี้ วันนั้นถ้าผมระงับอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ไม่ไปพูดจี้จุดเขาแบบนั้น สายใยบางเบาระหว่างพวกเราอาจจะยังคงเหลืออยู่ และคงมีสักวันที่ความหวังของผมจะเป็นจริงได้
ส่วนรัก.. เขาคงไม่ยอมให้ผมเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วล่ะ
เอ้อ ช่างเรื่องของผมก่อนแล้วกัน ว่าแต่ทำไมไอถึงเกลียดเมโล่ล่ะ? แถมยังยกให้เป็นคนที่เกลียดมากที่สุดด้วย? และเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีอีกต่างหาก?
“ทำไม..ถึงถูกเกลียดล่ะ?” ผมอดใจไม่ถามไม่ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยมีจะมีเหตุผลเลย” เมโล่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโทนปกติ “บันนี่ว่ามะ?”
“.........” คือ.. ไม่รู้สิ ผมไม่กล้าฟันธง
มาลองคิดๆ ดู เมโล่เหมือนจะเป็นประเภทที่ชอบทำตามใจตัวเอง ไม่คิดอะไรมาก ไม่ค่อยมีความรู้สึกผิดสักเท่าไหร่(อ้างอิงจากตอนที่ทำตุ๊กตาพัง) ถ้าจะเผลอทำเรื่องให้ไอเกลียดโดยไม่รู้ตัว ก็อาจจะพอเป็นไปได้มั้ง..?
“ไอบอกเมโล่เหรอ ว่าเกลียด?”
“ช่ายยย พูดว่าเกลียดกันซึ่งหน้าเลยล่ะ”
มันแปลกไม่ใช่เหรอแบบนั้น?
“แล้วเจ็บไหม?” ผมถามอีก
“ตรงไหน?” เมโล่หันมามอง
“ก็ตรงนี้ไง” ผมเอามือทาบหน้าอกซ้ายของตัวเอง ต่อให้ไม่ใช่ไอ ต่อให้เป็นใครก็ตาม ถ้ามาพูดว่าเกลียดกันซึ่งหน้า และไม่ใช่ในอารมณ์ล้อเล่น เป็นผมผมคงจี๊ดในใจนะ ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็คงแล้วแต่ระดับความสัมพันธ์
“ไม่นี่ เค้าแข็งแรงดี” เมโล่ตอบตาใส
สรุปแล้วคำว่า ‘เกลียด’ ของไอมันก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อเมโล่เลยไม่ใช่เหรอนั่น?
“เอาไหม?” เมโล่ยื่นโดนัทเคลือบน้ำตาลมาให้ผมอีก แต่สายตาละห้อยแสนเสียดายนั่นมันอะไรกัน?
“ไม่ล่ะ กินไปเถอะ” ผมปฏิเสธอีกหน ..ก็นะ ใครจะไปกล้ารับ เล่นมองกันด้วยสายตาแบบนั้น
“เป็นคนดีจริงๆ” มันเอาหัวมันมาถูหัวผม อ้อนอย่างกับแมวแน่ะ ปากก็หม่ำโดนัทด้วยท่าทางมีความสุขสุดๆ
น่า.. เกิดเป็นหมอนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหล่ะ
“คนดีนี่เป็นแบบไหนเหรอ เมโล่?” ผมถามเล่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย พลางหันไปยิ้มรับคำทักทายคนรู้จักที่เดินสวนมา
“คือคนที่ชอบแบ่งขนมให้คนอื่น..หรือเปล่า?” คนตอบเหมือนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
“แค่นั้นก็เป็น ‘คนดี’ แล้วเหรอ?” ผมหัวเราะ
“อื้อ”
“งั้นอย่างเราก็เป็นคนดีเหมือนกันสิ เขาซื้อขนมในเมโล่บ่อยออก”
“ช่ายยย บันนี่เป็นคนดีมากๆ”
ผมหัวเราะอีก อดเอื้อมมือไปลูบผมยาวปรกหน้าปรกตาของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูไม่ได้ ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของตัวเองเลือนลงอย่างช้าๆ
“แล้วถ้า..คนนั้นชอบแบ่งขนมให้คนอื่นก็จริง ..แต่ก็มักจะทำให้คนอื่นร้องไห้บ่อยๆ ล่ะ?”
“ชอบแย่งขนมคนอื่นด้วยเหรอ?”
“ห๊ะ?”
“เมื่อก่อนเค้าก็ร้องไห้เพราะถูกเด็กคนอื่นแย่งขนมบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งไอไปช่วยเอากลับมาให้ แล้วก็เอามันมาปาใส่หัวเค้า แล้วก็ดุว่าจะร้องทำไม ตัวโตซะเปล่า ถ้าไม่อยากแบ่งก็ซัดคนแย่งให้หมอบไปเลยสิ ..ไออย่างเท่อ่ะ!” คนพูดตาวาววับ เข้าสู่โหมดแฟนบอยโดยสมบูรณ์ “..หลังจากนั้นเค้าก็ซัดคนที่จะมาแย่งขนมจนหมอบตามที่ไอบอกเลย แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาแย่งของเค้าอีกเลยล่ะ ไอพูดถูก”
ชักจูงง่ายจนน่ากลัวเลยแฮะ
“อ่ะ เค้าเคยซัดคนที่จะมาแย่งไอไปจากเค้าด้วย”
“ห๊ะ?” ผมตกใจ
“แต่ตอนนั้นไอดันโกรธล่ะ ทั้งที่เค้าก็ทำตามที่ไอบอกแท้ๆ ก็ไม่อยากแบ่งไอให้ใคร ก็เลยซัดคนที่มาชวนไอไปเตะบอลทั้งที่ไอกำลังเล่นเกมส์อยู่กับเค้าจนหมอบไปเลย ..แต่ทำไมถึงถูกโกรธก็ไม่รู้”
นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเพราะอะไร?
“แล้วหลังจากวันนั้นหมอนั่นก็ยังมาทำไอร้องไห้อีก ..เค้าก็เลย ‘ตี’ มัน”
“....!....”
“แต่เค้าก็ต้องไปเรียนที่โรงเรียนใหม่ แต่เค้าไม่ชอบโรงเรียนที่ไม่มีไอ ก็เลยกลับไปหาไอที่โรงเรียนเก่าทุกวัน แต่วันหนึ่งไอก็ย้ายไปโรงเรียนอื่น เค้าไม่รู้จักโรงเรียนใหม่ของไอ ก็เลยไปหาไอที่บ้านแทน แต่คนที่บ้านไอไม่ค่อยเปิดประตูให้เค้าหรอก เลยได้นั่งอยู่แค่หน้าประตูรั้วบ้านบ่อยๆ ..อ่ะ! แต่ถ้าวันไหนอากู๋ของไอกลับมาเห็น เค้าก็จะได้เข้าไปเล่นกับไอล่ะ”
“.........”
“แต่พอขึ้น ม.ต้น เราก็ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน.. อ๊ะ! ไอนี่นา” เมโล่เดินตรงดิ่งไปหาคนที่กำลังสาละวนอยู่กับเครื่องเสียงบนเวทีที่จัดไว้ตรงลานกลางคณะ ที่จะใช้สำหรับงานตอนกลางคืน
“ไอออออ”
ไอหันมาตามเสียงเรียก เขามองเลยเมโล่มายังผม ก่อนจะดึงสายตากลับไปที่เมโล่อย่างรวดเร็ว
“ว่าไง?” เขายิ้มถามเมโล่
“กินโดนัทไหม?” เมโล่ยื่นถุงโดนัทให้ เขาดูเหมือนหมาเวลาเจอเจ้าของยังไงยังงั้นเลย คือไม่ได้พูดในทางไม่ดีนะ แต่มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และคนแถวนั้นก็คงคิดไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ เลยเข้าไปหยอกแซวเล่นหัวด้วยแบบนั้น
ผมยืนมองทั้งคู่โดยไม่คิดเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ไอดูใจดีกับเมโล่เหมือนทุกที เรื่องทะเลาะกันเพราะตุ๊กตาคงจะเคลียร์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมก็ยินดีด้วยที่ทั้งคู่ไม่โกรธกันนาน แต่เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาเมื่อครู่มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วไอคิดยังไงกับเมโล่กันแน่นะ?
เกลียด..?
หรือเข้าใจ..?
ไม่ว่าจะอย่างไหนผมก็รู้สึกสงสารไอ เขาดูจะแบกรับอะไรไว้มากเกินไปจริงๆ
เป็นแบบนี้ผมจะยังยอมแพ้ แล้วปล่อยมือจากเขาไปได้อีกเหรอ?
ไม่..
บางทีผมน่าจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง
“เอามาติดตรงนี้ตัวดิ๊ ไอ้ชาติ?”
เสียงจากกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกับการติดตั้งระบบไฟแสงสีตรงด้านหลังและคานด้านบนของเวทีทำให้เท้าผมที่กำลังจะก้าวไปหากลุ่มไอหยุดชะงัก ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ และได้เห็นคนที่คิดว่าจะได้เห็นจริงๆ
“ตรงไหนวะ พี่?” รักเดินหิ้วไฟมินิแฟรชขึ้นมาจากหลังเวที เขาชะงักไปเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ คงไม่คิดว่าจะได้เจอผมแถวนี้นั่นล่ะ เขาไล่สายตาต่อไปทางไอที่ก็หันไปมองทางเขาพอดีเหมือนกัน
มันเป็นความอึดอัดชั่วอึดใจที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราสามคน ก่อนรอยยิ้มหยันน้อยๆ จะปรากฏบนมุมปากของรัก เขาขยับปากเหมือนสบถอะไรสักอย่างแล้วเมินพวกเราไปสนใจงานของตัวเองแทน
“ไอ!” ไอเองก็ถูกกวักมือเรียกให้ไปดูกล่องเครื่องดนตรีที่คนเพิ่งยกมาวางไว้
“บันนี่” พอไอยุ่ง เมโล่ก็กลับมายืนกินขนมข้างผมอีกครั้ง
ผมหันไปมองเมโล่ที่คงไม่สนใจอะไรนอกจากไอกับของกิน แล้วก็กลับไปมองรัก มองไอ ที่อยู่บนเวทีแต่คนละมุม แล้วก็นึกสงสัยตัวเองว่าแล้วผมมาทำอะไรอยู่ตรงนี้
ผมต้องการอะไรกันแน่
โครม!!เสียงเก้าอี้ต่อขาลมฟาดเวทีกระชากผมออกจากภวังค์ เพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งเกาะคานตั้งไฟด้านบนเวทีห้อยต่องแต่งพลางยิ้มแหย ก่อนจะปล่อยมือและกลับลงพื้นอย่างปลอดภัยท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน โชคดีที่คานอยู่ไม่สูงมาก(เพราะเวทีเล็กๆ)
“ทำเหี้ยไรของมึงวะ!” ทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่พร้อมใจเข้าไปตบหัวรับขวัญกันยกใหญ่ จนเจ้าตัววิ่งหนีลงจากเวที แต่เพื่อนละพี่ผู้ห่วงใยก็ยังไม่วายวิ่งตามไปไล่เตะอีก
“.........” ระหว่างนั้นผมไม่ได้สนใจพวกที่วิ่งไล่กันรอบเวทีนัก สายตาผมจับจ้องอยู่บนคานเหล็กที่เหมือนจะขยับได้มาตั้งแต่เมื่อกี๊ ยิ่งมีคนปีนนั่งร้านด้านหลังเพื่อติดตั้งไฟ ก็ยิ่งเหมือนว่าคานมันจะขยับมากขึ้นทีละนิด
โอ้ ไม่นะ..
“ไอ! รัก!” ผมเดินเข้าไปใกล้เวที ปากร้องเรียกทั้งคู่
“คาน!!” ใครสักคนที่คงจะสังเกตเห็นเหมือนผมตะโกนพร้อมกับชี้ไปด้านบน พวกคนที่อยู่ใกล้รัสมีพากันแตกฮือ
“ไม่..ไม่!” ผมกระโดดขึ้นเวทีแบบไม่ทันคิด สมองผมหยุดทำงานไปตั้งแต่ตอนที่เห็นคานเริ่มหล่นลงมาแล้ว แต่คนแถวนั้นกลับตามมาล็อคตัวผมแล้วกระชากลงจากเวทีก่อนที่คานจะร่วงลงมากระแทกพื้นไม่กี่วินาที
“รัก!” ผมผุดลุกได้ก็ตะกายขึ้นเวทีอีกรอบ ผมมองเห็นรักนั่งอยู่เกือบสุดขอบเวทีด้านข้าง วินาทีนั้นไม่ได้คิดอะไรแล้วนอกจากโล่งใจ นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาปลอดภัย
“รัก” ผมทรุดลงตรงหน้าเขา และกอดเขาเอาไว้แน่น ลืมคนอื่นที่นอกเหนือจากเขาไปทั้งหมด
รักนั่งนิ่งยอมให้ผมกอด โดยไม่ผลักออก โดยไม่มีคำพูด เขาเพียงฝังหน้านิ่งๆ ไว้กับไหล่ของผม
“รัก..”
“ไออออ!”!
เสียงร้องของเมโล่ทำให้ทั้งผมและรักได้สติ
จริงสิ
ไอ!
TBC.ไม่จบ ...ซะง้านนน
คือตอนแรกที่วางโครงไว้ดันลืมฉากของเมโล่ไปค่ะ
พอนึกได้ ก็จัดลงไป แล้วมันก็ไม่จบในตอนนี้อย่างที่เห็น
ไม่เป็นไร ตอนหน้าเนาะ ตอนหน้าจบแน่!!!
Edit. ลืมพูดถึงคอมเม้นตอนก่อนๆ หน้านี้เลย
คือแต่ละคนฮาร์ดคอร์มากอ่ะ อ่านแล้วรู้สึกหวาดกลัวแทนอิชายจับใจ
แต่ไวท์ชอบนะ อิอิ
คนอ่านอินกับรัก เกลียดอิชาย
อิคนเขียนก็อินกับคอมเม้นต์มากมาย
วิน-วินเนาะ :]