ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 9ปี๊ดดดดดด~เสียงนกหวีดเป่าลากยาวเป็นสัญญาณหยุดพักครึ่งเกมแข่งขันฟุตบอลระหว่างคณะวิศวะของสถาบันเรากับอีกสถาบัน ในงานกีฬาวิศวะ ระหว่าง 3 สถาบัน ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และปีนี้พวกเราได้เป็นเจ้าภาพ
นักกีฬาทยอยเดินออกมาพักข้างสนาม บ้างก็เดินไปหากำลังใจที่มายืนเชียร์อยู่รอบๆ ผมเหลือบไปเห็นถังแช่ขวดน้ำดื่มอยู่แถวนั้นพอดี เลยหยิบออกมาหนึ่งขวด ตั้งใจจะเอาไปให้ ‘ไอ’ ที่เพิ่งเดินออกจากสนาม และกำลังส่งยิ้มมาให้
“ไอ~”ระยะห่างแค่ไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงตัวอีกฝ่าย ถูกกั้นกลางโดยสาวหมวยหน้าตาน่ารักที่มาพร้อมกับผ้าขนหนูและน้ำดื่มเย็นๆ
“อ้าว กี๋ มาด้วยเหรอ?”
“เมื่อวานก็บอกแล้วไงว่าจะมา ไอเก่งจังเลย ยิงเข้าด้วย เหนื่อยหรือเปล่าคะ?”
“นิดหน่อย”
ไอมองมาทางผม พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัว ผมจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างเข้าใจ ก่อนไอจะหันหลังเดินไปอีกทางพร้อมกับแฟนสาวสวยจากคณะบัญชี
“.........”
ผมก้มมองขวดน้ำในมือ แล้วยิ้มให้มันอย่างเห็นใจ..
“บ้าหรือเปล่า?”‘รักชาติ’ โผล่มาจากไหนไม่รู้ คว้าขวดน้ำที่เกือบจะเป็นหมันในมือผมไปเปิดแล้วดื่มอั้กๆ อย่างกระหาย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง หมอนี่เองก็อยู่ในทีมฟุตบอลเหมือนกัน
กีฬาที่จัดแข่งขันในประเพณีนี้มี 4 ประเภท ได้แก่ ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล และรักบี้ ตัวผมนั้นเล่นให้ทีมวอลเล่ย์ซึ่งแข่งเสร็จไปตั้งแต่เช้าแล้ว แน่นอนว่าทีมเราแพ้ เพราะงั้นผมถึงได้ว่างมานั่งดูฟุตบอลนี่ไงล่ะ ฮ่ะๆๆ
“ยืนยิ้มกับขวดน้ำก็ได้ด้วย?”
“ห้ามทำเหรอ?” ผมถามยิ้มๆ ขณะย่อตัวนั่งลงข้างๆ
“ไม่เคยเห็นใครทำ”
“งั้นเดี๋ยวจะทำให้ดูบ่อยๆ”
“สมงสมองอ่ะ”
“ฮ่ะๆๆ แล้วข้อมือเป็นไงบ้าง?” ผมจับมือข้างที่ยังมีผ้ายืดพันของหมอนั่นมาดู “เมื่อกี๊เห็นล้มด้วยนี่นา”
“ไม่เป็นไร” คนตอบเสียงอ้อมแอ้ม แถมยังหลบตาอีกต่างหาก
“แน่ใจ?” ผมลองจับบิด
“โอ๊ยยย! ทำไมมึงถึงชอบ..”
“ขอโทษ!” ผมใช้สองมือกุมข้อมือของอีกฝ่ายไว้ รีบพูดแทรกก่อนที่ทางนั้นจะโวยวายยาว “ขอโทษนะ แค่ไม่อยากให้ฝืนน่ะ แล้วก็อยากให้ระวังตัวมากกว่านี้ด้วย”
“อะ..เออ รู้แล้ว” ทางนั้นเสียงอ่อนลง พยายามจะดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม “ปล่อยดิ”
“โทษที” ผมยอมปล่อยง่ายๆ
“มึงก็เป็นแบบนี้ทุกที”
“อะไรนะ?” เพราะอีกคนพูดพึมพำ ผมเลยต้องเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ทำไมมึงถึงเป็นคนแบบนี้วะ?” จู่ๆ รักชาติก็หันมาถามจริงจัง ระยะห่างที่เหลือเพียงเล็กน้อยอยู่แล้วทำให้ปลายจมูกเราแทบแตะกัน เห็นทางนั้นเบิกตาตกใจ ผมเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่มีใครถอยหนีไปไหน
“แล้วจะให้ตอบว่ายังไงล่ะ?” ผมมองตา มองจมูก มองปากที่เพิ่งจะเคยเห็นใกล้ๆ ของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
หลังจดจ้องกันอยู่ชั่วอึดใจ รักชาติก็เป็นฝ่ายหันหนีไปก่อน
“ช่างเหอะ”
“อย่ามาถามแล้วก็เมินกันง่ายๆ แบบนี้สิ” ผมวางหน้าผากซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย แล้วถอนหายใจหนักๆ “ขออยู่แบบนี้แป๊บหนึ่งนะ”
“วันนี้มึงแปลกๆ ไปนะ”
“อือ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงนั้นฟังอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น?
“นิดหน่อย.. แค่รู้สึกเจ็บน่ะ” ผมยกมือขึ้นแตะอกซ้ายตัวเอง มันรู้สึกเจ็บแปลบๆ มาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว
“ตรงไหน? โดนอะไรมา?” รักชาติจับไหล่ผมดันออกให้เห็นหน้ากัน แล้วแววตาตื่นตระหนกคู่ตรงข้ามก็ทำให้ผมต้องอึ้งไป
หมอนี่เป็นห่วงผมเหรอ?
“ตรงนี้” ผมย้ายมือที่จับไหล่ขวามาทาบไว้ที่อกข้างซ้ายแทน ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็นึกอยากจะอ้อนคนตรงหน้าขึ้นมา
รักชาติมองหน้าผม มองมือตัวเองที่วางไว้อยู่ตรงตำแหน่งหัวใจผม แล้วก็กลับมามองหน้าผมอีกรอบ ก่อนจะ..
“โอ๊ยยยย” ผมหลุดร้องเสียงหลงเพราะถูกอีกคนบิดหัวนมเข้าอย่างแรง เล่นเอาน้ำตาเล็ด “ทำอะไรของนาย?”
“หมั่นไส้แม่ง” แล้วดูมันตอบ แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกโกรธกับความไร้เหตุผลนั้น กลับรู้สึกขำซะมากกว่า
“ลวนลามอ่ะ” ผมส่งสายตาล้อเลียน ทำเอาคนที่กำลังยิ้มร้ายๆ สะใจต้องถลึงตาใส่
“น่าลวนลามตายห่า”
“เสียหายนะเนี่ย” ผมขยับเข้าไปใกล้ ยื่นทั้งสองมืออกไปหา “มาให้จับคืนเลย”
“กล้าก็ลอง” ทั้งที่คิดว่าจะโวยวายผลักไส ทางนั้นกลับแอ่นอกท้าทายจนผมเองก็ชักหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“หึหึหึหึ..” ผมแกล้งหัวเราะโรคจิตๆ ข่มขวัญอีกฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อน แต่อีกคนก็ไม่มีท่าทีว่าจะยกธงขาวยอมแพ้ ผมเลยวางมือแหม่ะลงไปบนอกซ้ายของเขา
รักชาติยังคงเฉย ผมเลยใช้นิ้วโป้งกดบี้ตุ่มไตเม็ดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อกีฬาสีขาวมอมแมมนั่น เพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกคนเจ็บ ก็เลยไม่คิดจะบิดแบบเดียวกับที่ทางนั้นเคยทำ แต่แกล้งคลึงเล่นไปเรื่อยๆ คิดว่าอีกเดี๋ยวหมอนี่ก็คงจะหมดความอดทน แล้วก็โวยวายหาว่าผมโรคจิตพร้อมกับปัดมือผมออกแหงๆ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ผมกลับเริ่มรู้สึกว่าตุ่มเนื้อที่อยู่ใต้นิ้วโป้งกำลังชูชันขึ้นสู้กับแรงกดทับ จนผมอดเหลือบมองเจ้าหน้าของมันไม่ได้
!
และสิ่งที่ผมได้เห็นก็เป็นริ้วเรื่อสีแดงที่พาดผ่านแก้มทั้งสองข้างของอีกคน แววตาสั่นระริกที่มองตรงมาทำให้ผมเสหลบแบบไม่มีเหตุผล รู้ตัวอีกทีก็เห็นแค่มือของตัวเองที่ยังวางนิ่งอยู่บนอกของรักชาติ
“พะ..พอเลย” ทางนั้นปัดมือผมออก หันหน้าหนีพลางด่าด้วยเสียงที่เบาแสนเบา “โรคจิต”
“ทะ..โทษที”
แล้วทำไมผมต้องรู้สึกสั่นไปด้วยล่ะ..
“เขามุงอะไรกันน่ะ ชายต่าย?”
ระหว่างเดินออกมารับ ‘ลูกปลา’ และเพื่อนๆ ที่อยากมาดูงานกีฬาวิศวะที่หน้าสนามกีฬาของมหา’ลัย ขากลับก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงอะไรบางอยู่ ที่สะดุดตาผมที่สุดก็เห็นจะเป็นหัวสูงเด่นของใครบางคนที่มีโบว์สีม่วงลายจุดมัดติดอยู่กับผมด้วย
“เข้าไปดูกันไหม?” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มชวน
ผมพยักหน้าเห็นด้วย พอแหวกกลุ่มคนเข้าไปก็เห็น ‘เมโล่’ ในชุดนักบาสกำลังยืนร้องไห้ ในมือมีซากนกพิราบตัวหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไรตาย
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมรีบเข้าไปถาม
“บันนี่~” หมอนั่นหันมาหาผม สูดน้ำมูกฟูดใหญ่อย่างกับเด็กๆ
“เป็นอะไร? ร้องทำไม? แล้วนกนี่..”
“มันตายอ่ะ” “โอเค เห็นแล้ว แต่มันเป็นอะไรตายล่ะ?”
“ก็เค้าวิ่งมา แล้วนกนี่ก็บินตัดหน้า เค้าหลบไม่ทันก็เลยชนมัน”“.........”
เหมือนว่าทุกคนในที่นั้นก็เพิ่งจะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับผม ก็เลยพากันอึ้งไปทั้งหมด ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง ปกติรถวิ่งชนนกพิราบตายในมหา’ลัยเรานี่มีให้เห็นได้เรื่อยๆ เพราะนกที่นี่ไม่ค่อยกลัวคนก็เลยบินค่อนข้างต่ำ แต่คนที่วิ่งชนนกพาราบตายนี่มันออกจะ..
“แล้วมันก็ตายเลยอ่ะ บันนี่~” ที่ผมสงสัยก็คือ มนุษย์ต้องวิ่งด้วยความเร็วกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมงกัน ถึงจะสามารถทำให้นกพิราบตัวหนึ่งตายคาที่ได้ทันทีแบบนี้?
“เข้าใจล่ะ”
ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าได้เข้าใจอย่างที่ปากบอกไปหรือเปล่า เหลือบมองหน้าอีกฝ่ายก็เห็นว่าตรงหน้าผากมีรอยแดง สงสัยจะเป็นจุดที่นกบินชน พอเริ่มคิดก็เริ่มสงสัยอีกรอบ ..หรือสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้จะไม่ใช่มนุษย์จริงๆ?
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”
“จริงนะ?”
“อื้อ ส่งนกนั่นมาให้เราเถอะ”
เมโล่ยื่นซากนกมาให้ผมอย่างว่าง่าย ผมเลยเอามันไปใส่ถังขยะที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเอ่ยขอน้ำจากคนแถวนั้นมาช่วยล้างมือให้ทั้งหมอนั่นและตัวเอง เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นพาหะนำโรคอะไรหรือเปล่า จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช้ดหน้าเช้ดตาให้กลับมาดูเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม ..อย่างน้อยก็รูปลักษณ์ภายนอกล่ะ
“ตัวอย่างใหญ่แต่เสือกร้องไห้ ตุ๊ดเปล่าวะ? ฮ่าๆๆ”“นี่นาย..” ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะหันไปด่าคนพูด แต่ช้ากว่าเมโล่ที่คว้าคอเสื้อหมอนั่นไปแล้ว
“หา? เมื่อกี๊พูดว่าไงนะ?” คนถูกจับคอเสื้อไว้ได้แต่ส่งเสียงอึกอัก พูดไม่ได้ เพราะถูกเสื้อรั้งคอขึ้นไปจนตอนนี้เท้าแทบไม่ติดพื้นแล้ว
“พอดีหูมันอยู่สูงอ่ะ เลยไม่ค่อยได้ยิน” เมโล่เอียงหูเข้าไปใกล้ๆ ปากอีกฝ่าย “ไหนลองพูดชัดๆ อีกที?”
“ปะ..ป่อ..ปล่อย..” ทางนั้นเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เพื่อนที่มาด้วยกันก็ได้แต่ยืนหน้าซีด ไม่กล้าเข้ามาช่วย คงจะเพิ่งสังเกตุเห็นความสูงที่ต่างกันเกินไประหว่างตัวเองกับไททั่นสองเมตรอย่างเมโล่ล่ะมั้ง
ดูจากเสื้อคลุมที่ใส่แล้วเป็นวิศวะจากสถาบันอื่น แถมชุดข้างในยังเป็นชุดนักบาสซะด้วย ดูเหมือนจะซวยไปนะ
“อ๊ะ นายเป็นทีมคู่แข่งนี่นา” เมโล่ก็สังเกตเห็นเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ชะ.ใช่”
“เก่งเปล่า?”
“แน่..แน่นอน..ปล่อย..นะ” แรงดิ้นรนของทางนั้นเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ
“งั้นถ้าทำให้ใช้การไม่ได้ซะตั้งแต่ตรงนี้ ทางนี้ก็ไม่ต้องเหนื่อยมากสินะ”“อย่านะ!” คนที่มาด้วยกันห้ามเสียงเบาหวิวด้วยความกลัว
“อย่าไปขู่เขาแบบนั้นสิ เมโล่ มีสปีริตหน่อย” ผมปรามเมื่อคิดว่าน่าจะพอหอมปากหอมคอแล้ว
“เอ๋~ เค้าแค่ล้อเล่นเองนะ”
พอเมโล่ปล่อยมืออย่างหมดความสนใจ อีกฝ่ายก็ร่วงลงไปกองกับพื้นเพราะเข่าอ่อน
“แล้วบันนี่จะไปเชียร์เค้าเปล่า? ไอยังแข่งไม่จบเลยยังไปไม่ได้ แต่เค้าอยากได้กำลังใจ”
“แค่นี้พอไหม?” ผมยื่นลูกอมคาราเมลที่มักพกเป็นเสบียงฉุกเฉินให้ไอ้เด็กยักษ์ไปหนึ่งเม็ด
“โอ้ คาราเมล คาราเมล~ เค้าก็ชอบคาราเมลเหมือนกัน” มันชูลูกอมขึ้นด้วยท่าทางดีใจ ก่อนเอามาแกะแล้วโยนใส่ปาก “ขอบใจนะ บันนี่~”
คนพูดโบกมือหยอยๆ แล้ววิ่งตรงไปทางโรงยิมโดยไม่เซ้าซี้อยากได้กำลังใจจากใครอีก
“ปกติก็เป็นแบบนั้นแหล่ะ” ผมหันไปยิ้มให้นักบาสต่างสถาบันที่ยังนั่งอยู่บนพื้น “อย่าถือสาเลยนะ”
“แก! ฉันขอตามไปเชียร์เมโล่นะ” สาวๆ ส่วนหนึ่งขอแยกตัวไปสนามบาส อีกส่วนยังยืนยันจะไปที่สนามบอลเหมือนเดิม
“มองบ่อยนะชายต่าย ถูกใจหรือไง?” เสียงลูกปลาที่นั่งขนาบซ้ายพูด
“ยัยนั่นชูคอเป็นผีกิ้งก่าแล้วนั่น ตอนนี้คงจะภูมิใจสุดๆ ไปเลยสิ ทั้งเป็นแฟนไอ ทั้งสะดุดตาคุณชายต่าย ชิ ถึงจะทำเป็นนั่งคอแข็งก็รู้หรอกน่าว่าแอบชำเลืองมาอ่อยทางนี้บ่อยๆ” เสียงกุ้งนางที่นั่งขนาบขวาพูด
“ถ้าไม่แต่งหน้าก็อาซิ้มดีๆ นี่ล่ะ อย่าให้ภาพมายาราคาเคาน์เตอร์มันหลอกเอาได้สิ ชายต่าย!” เสียงนิ่มที่นั่งถัดไป
“พวกขี้อิจฉา” เสียงสจี
“ฮ่ะๆๆ” ผมอดหัวเราะไม่ได้หลังจากนั่งฟังอะไรแบบนี้มาพักใหญ่ พวกผู้หญิงนี่ตลกดีนะ
ก่อนหน้านี้พวกเธอก็กระพือข่าวลือที่ว่าไอสารภาพรักกับผมแล้วถูกปฏิเสธ หลังจากนั้นก็มีข่าวลือสับสนว่าผมกับไอตกลงคบกันเพราะไปเห็นพวกเราเดินเข้าคณะพร้อมกันในเช้าวันหนึ่ง แต่ตอนนี้ข่าวลือพวกนั้นถูกกลบจนมิดเพราะข่าวจริงเรื่องไอมีแฟนเป็นเด็กบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว
ใช่สิ นั่นแหล่ะที่ทำให้ผมไม่เคยเบื่อเวลาอยู่กับพวกเธอ ทั้งแตกตื่นง่าย ทั้งตลก ทั้งน่ารัก.. แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้น ‘กี๋’ ไม่ว่าจะหันไปมองกี่ทีต่อกี่ที ผมก็ไม่อาจมองเห็นความน่ารักในตัวของเธอได้เลย
ตาของผมมันพร่ามัว เพราะใจของผมมันเต็มไปด้วยอคติซะแล้วน่ะสิ
แย่แฮะ
“ผมช่วยครับ”
หลังบอลแข่งจบ ผู้คนก็แยกย้ายไปเชียร์บาสกันต่อ แต่แฟนของไอยังคงช่วยทีมสวัสดิการของคณะเก็บกวาดข้าวของระหว่างรอไอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเห็นเธอยกกระติกที่ดูท่าว่าจะหนักก็เลยอาสาเข้าไปช่วย
“ขอบคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ ผมจึงตอบกลับน้ำใจด้วยรอยยิ้มอย่างเดียวกัน
“ใจดีจังเลยนะครับ อุตส่าห์มาช่วยพวกเรา” ผมชวนคุยระหว่างเดินไปยังจุดรวบรวมของ
“ก็รอไอว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรน่ะ”
“ฮ่ะๆๆ เห็นแบบนี้ชักอิจฉาไอนิดๆ แล้วสิ”
“งั้นก็รีบหาแฟนบ้างสิคะ”
“โอ้ ยากครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ
“ที่ว่ายากนี่เพราะไม่รู้จะเลือกดาววิศวะหรือดาวนิเทศน์ใช่ไหมคะ?” กี๋ส่งสายตาล้อเลียนผม “เมื่อกี๊เห็นน้า~ กี๋ว่าคุณดูน่าอิจฉากว่าไอซะอีกนะ แต่ถ้าให้ไอถูกห้อมล้อมด้วยสาวสวยแบบคุณก็ไม่ไหวค่ะ กี๋คงได้หึงหน้ามืดวันละหลายรอบแหง”
“ฮ่ะๆๆ เพื่อนทั้งนั้นแหล่ะครับ”
“คนเจ้าชู้ก็มักจะพูดแบบนี้แหล่ะ”
“แล้วไอพูดแบบนี้ด้วยหรือเปล่าล่ะ?” ผมถามยิ้มๆ อีกฝ่ายสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบมาแบบไม่มีอะไรให้กังวล
“พูดค่ะ”
“งั้น..”
“แต่กี๋รู้ว่ากี๋เชื่อใจไอได้ เพราะคำว่า ‘เพื่อน’ ของไอไม่เคยมีอะไรแอบแฝง”
“อย่างนั้นเหรอครับ” ผมยิ้มรับ วางกระติกลงเมื่อถึงที่หมาย ขณะภายในใจกำลังนึกสมเพชตัวเองเมื่อเก็บเอาคำพูดของเธอคนนั้นมาคิด “ไอนี่โชคดีจังเลยนะครับที่มีแฟนเข้าใจและเชื่อใจมากขนาดนี้”
“กี๋ก็คิดว่ากี๋โชคดีเหมือนกันค่ะ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”
พวกเขาเหมาะสมกันแล้ว...ผมบอกตัวเอง แล้วเธอก็น่ารัก...ผมบอกตัวเองซ้ำๆ
เรายืนยิ้มให้กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของกี๋
“อาม้าเรียกให้กลับบ้านตอนนี้เลยค่ะ ไม่รู้มีเรื่องอะไร กี๋ฝากคุณช่วยบอกไอให้ทีได้ไหมคะ?” หลังกดรับเธอก็หันมาฝากฝังกับผม
“แน่นอนครับ”
คล้อยหลังผู้หญิงคนนั้นครู่เดียว ไอก็เดินหัวเปียกออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่
“อ้าว คุณชาย ยังอยู่อีกเหรอ?”
“อื้อ”
“เห็นกี๋ไหม?” ไอมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นแฟนสาวของตัวเองก็หันมาถามผม
“เพิ่งกลับไปเมื่อกี๊ บอกว่าคุณแม่โทรมาตาม ฝากให้เราบอกนาย” ผมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างครบถ้วน
“เหรอ.. ขอบใจนะ” ไอยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ผมเคยชอบ แต่วันนี้กลับรู้สึกแปลบๆ ในใจเมื่อได้เห็นมัน
“อืม งั้นเราไปนะ” ผมหันหลังเดินจากมาโดยลืมที่จะยิ้มตอบเหมือนทุกที ซึ่งคงไปทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดสังเกต จนต้องเร่งเดินตามมา
“เป็นอะไร?” ไอถามเมื่อขยับมาเดินตีคู่
“อะไร?”
“ก็วันนี้นายดูแปลกๆ”
“ปกติ”
“ไม่ นายแปลก!” ไอดักหน้า ทำให้ผมต้องหยุดเดิน
“ยังไง?”
“ก็นาย..” คนถูกถามเหมือนจนใจ “ห่างเหิน”
“ห๊ะ?”
“นายดูห่างเหินกว่าทุกที”
ผมก้มมองระยะห่างระหว่างปลายเท้าของเราทั้งสองคนด้วยความสงสัย ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม
“นี่ไม่ใช่ระยะห่างของเพื่อนหรอกเหรอ?” “ก็..ใช่.. ไม่รู้สิ” ไอเองก็ดูไม่แน่ใจ “แต่ปกตินายจะเข้ามาใกล้กว่านี้”
“เรากำลังเรียนรู้วิธีเป็นเพื่อนที่ดีอยู่..” ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินผ่านไอมา “ก่อนหน้านี้เราไม่รู้ แต่หลังจากนี้จะไม่ทำอีก”
“พูดบ้าอะไรของนาย?” ไอคว้าไหล่ผม กระชากให้หันกลับไป “วันนี้นายแปลกไปจริงๆ นั่นแหล่ะ”
“อื้อ นั่นสิ” ผมเลือกที่จะปั้นยิ้มที่ดีที่สุดออกไป คิดว่าถ้ายิ้มแล้วทำให้อีกฝ่ายยอมจบ ผมก็อยากจะจบช่วงเวลานี้ให้เร็วที่สุด แล้วขอเวลาตั้งหลักสักครู่ “เราคงเหนื่อยน่ะ โทษทีที่ทำตัวแปลกๆ นะ เดี๋ยวขอตัวไปหาที่งีบสักหน่อยแล้วกัน”
“เรารู้จักที่ดีๆ”
ไอไม่รอให้ผมปฏิเสธ แต่คว้าแขนผมแล้วลากพามายังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมาก แต่แทบจะไม่มีใครเดินผ่าน แถมบรรยากาศยังร่มรื่นเย็นสบาย
“เป็นไง?” ไอหันมายิ้มก่อนวาดมือไปรอบๆ ‘ที่ดีๆ’ ที่ตัวเองแนะนำ
“อืม น่านอนนะ” ผมตอบไปอย่างฝืนๆ
มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าตอนนี้ไม่มีไออยู่ด้วย.. แต่จะให้ผมพูดออกไปได้ยังไงล่ะ? ขืนทำแบบนั้นแม้แต่ความเป้นเพื่อนก็อาจจะไม่มีเหลือเลยก็ได้
จนถึงตอนนี้ผมก็แน่ใจแล้วล่ะว่าตัวเองรู้สึกยังไง
ว่าทำไมต้องรู้สึกเจ็บ..
“งั้นก็นอนสิ!” ไอโยนกระเป๋าลงบนพื้นหญ้า แล้วทิ้งตัวตามลงไป “แต่วางหัวกับพื้นไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวตัวอะไรไต่เข้าหู”
คำพูดของอีกคนทำให้ผมที่กำลังจะเอนตัวลงนอนรีบดีดตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ยังหลอกง่ายเหมือนเดิม”
ผมหันไปส่งสายตาดุๆ ใส่คนขี้อำทีหนึ่ง ทางนั้นก็หัวเราะชอบใจ
“มานี่สิ” ไอขยับไปนั่งพิงโคนต้นไม้ แล้วตบที่ตักตัวเองพลางเรียกผมไปหา
ผมเลิกคิ้วเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อนั้นถูกต้องตรงกันหรือเปล่า ลังเลอยู่เล็กน้อย เห็นทางนั้นไม่มีท่าทีเปลี่ยนใจ ผมเลยค่อยๆ ขยับเข้าไปหา
“เพื่อนนี่นอนหนุนตักกันได้เหรอ?” ผมถามเมื่อวางหัวแนบกับตักของอีกคนแล้ว
“ก็ถ้ามันจำเป็น.. เรื่องที่อาจมีตัวอะไรไต่เข้าหูตอนหลับบนพื้นหญ้ามันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ” ไอตอบอย่างไม่ใส่ใจ “นี่นายกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘เพื่อน’ อยู่หรือไง? เห็นพูดอะไรไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว”
“เราแค่อยากเป็นเพื่อนที่ดีของไอ”
“นายก็ไม่ใช่เพื่อนที่ร้าย”
“สักวันเราอาจจะร้ายก็ได้”
ไอจ้องตาผมนิ่ง จนผมนึกกลัวใจว่าอาจจะไปทำให้ฝ่ายนั้นโกรธเข้าแล้วหรือเปล่า?
“เราแค่..” ผมจะแก้คำพูดใหม่ แต่ไอแทรกขึ้นก่อน
“ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็จะไม่ให้อภัยนายเป็นครั้งที่สอง”“เอ๊ะ?”
“นอนเถอะ” คนพูดเอื้อมมือมาปิดตาผม ทำให้ผมไม่สามารถเห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ได้
“ไอ” ผมจะแกะมือที่ปิดตาออก แต่ไอก็เอามืออีกข้างมาจับมือผมไปวางไว้บนอกแทน
“ถ้ารีบนอนตอนนี้ เราอาจจะไปดูเมโล่แข่งรอบชิงทันนะ”
“อือ..”
ผมเลิกอยากรู้อยากเห็น แล้วปล่อยจิตใจให้ว่าง
เตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา..
TBC.ผ่านไปอีกตอน
ขอบคุณทุกบวก ทุกเป็ด ทุกเม้นท์ และทุกโหวตนะจ๊ะ
ปล.ใครที่ยังอ่านตอนที่แล้วไม่ครบ กลับไปอ่านได้ที่ reply เดิมเลยแจ้