ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 2“ทำให้เจ็บ ก็ต้องรับผิดชอบสิ”เพราะไอ้แมวยักษ์มันพูดแบบนั้น ผมเลยต้องมานั่งมองมันสวาปามน้ำแข็งใส 2 ถ้วย ข้าวโพดอบเนย 3 แก้ว กับชาเขียวอีก 1 ขวด...ที่ซื้อจากเงินในกระเป๋าของผม
“พี่สาวคร้าบ ขอน้ำแข็งใสอีกถ้วย เอาถั่วแดงเยอะๆ นะ” ไอ้คนที่เพิ่งยกด้วยน้ำแข็งใสขึ้นซดจนหมดเกลี้ยง หันไปสั่งใหม่อีก
“จ้า เมโล่นี่ชอบถั่วแดงจริงๆ นะ” คนขายน้ำแข็งใสเหมือนจะคุ้ยเคยกับลูกค้าคนนี้ดี
‘คาร์เมโล เดนธ์’ ดาวเด่นจากภาคอากาศยาน(ผมจำได้แล้วว่าเคยได้ยินเรื่องของหมอนี่มาจากนิ่มหลายครั้ง) คือคนที่ผมบังเอิญเดินไปชนเข้า
“ช่ายยย ถั่วแดงอร่อยดีเนอะ” มันหันไปคุยกับเพื่อนสนิทของมันที่นั่งข้างกัน
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ไอศูรย์ วงศ์ฐิติ’ มนุษย์กวนตีนหลบใน ดาวดังจากภาคเครื่องกล ที่ผมเพิ่งจะหันหลังให้มันไม่ถึงสามนาทีนั่นล่ะ ก็ไม่รู้ทำไมมันถึงต้องมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับเราด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็นั่งอยู่อีกโต๊ะแท้ๆ
“ลูกชิดก็อร่อยนะ” ไอแนะนำเพื่อนของมัน
“งั้นเหรอ..” เมโล่ทำหน้าสนใจ มันหันไปหาคนขายเหมือนจะสั่งเพิ่ม แต่เสียงของไอทำให้ต้องหันกลับมาฟัง
“จริงๆ รากบัวเชื่อมก็อร่อย”
“เหรอ..” เมโลหันไปหาคนขายอีกที แล้วก็ต้องหันกลับมาเพราะเสียงเดิมอีกทีเหมือนกัน
“มันเชื่อมก็อร่อย”
“มีอะไรอร่อยอีกไหม?” คราวนี้เมโล่ไม่รีบหันไป แต่ถามให้รู้เรื่องกันไปทีเดียวเลย
“อร่อยทุกอย่างแหล่ะ” ไอ้นั่นก็ตอบง่ายๆ “แต่เขาให้ใส่ได้แค่สามอย่างไม่ใช่เหรอ?”
เมโล่นั่งคิด คิด คิด.. คิดหนักอยู่หลายอึดใจก็ยังเลือกไม่ได้ สุดท้ายก็หันมาหาไออีกรอบ
“แต่ถ้าเอาอย่างอื่นด้วย ก็ต้องได้ถั่วแดงน้อยลงใช่เปล่า?”
“งั้นดิ” ไอพยักหน้า พูดทั้งที่ข้าวเต็มปาก
“งั้นไม่เอาดีกว่า” หมอนั่นยอมตัดใจง่ายๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตารอน้ำแข็งใสถ้วยใหม่อย่างจดจ่อราวกับเด็กๆ
“เฮ้ย จะกินไปถึงเมื่อไหร่?” ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะเรียกความสนใจอีกฝ่าย (หาจังหวะพูดมานานละ เพิ่งจะเจอ)
“ทำคนอื่นเจ็บยังพูดมากได้อีกเหรอ?” มันหันมาถามกลับหน้าตาเฉย
“นี่มันเข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์กันแล้วไม่ใช่หรือไง? แล้วก็ไม่เห็นจะเจ็บตรงไหน ท่าทางสบายดีออก”
“หน้าตาก็ไม่เห็นเหมือนคนถูกขู่เลย..” ไอสอดปากเบาๆ พอผมมอง มันก็ทำยิ้มๆ แล้วกินข้าวต่อ
“ไม่ต้องใส่น้ำแข็งเยอะนะพี่สาว” ส่วนเพื่อนของมันทำเป็นหูทวนลมซะงั้น
เกลียดไอ้คู่นี้จริง.. ผมนั่งมองพวกมันอย่างชั่งใจ ปกติผู้ชายเป็นกันแบบนี้หรือไง?
ผมก็ไม่ค่อยรู้จักผู้ชายคนอื่นนอกจากตัวเองด้วยสิ(แต่ผมแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบนั้น) ความคิดที่ว่าอยากตีสนิทกับผู้ชายชื่อ ‘ไอ’ นั้นเอาลงหลุมฝังกลบโบกปูนทับไปได้เลย เออ รวมผู้ชายชื่อ ‘เมโล่’ เข้าไปด้วยแล้วกัน จากนั้นก็ต้องมองหาเป้าหมายใหม่ที่มันเข้าท่ากว่านี้แล้วล่ะ
“ถ้วยนี้จ่ายเองแล้วกัน ไปล่ะ” ผมลุกขึ้น
“ได้ไง?” เมโล่รีบคว้าแขนผมไว้ ..มือใหญ่ชะมัด หมอนี่มันใหญ่ทั้งตัวเลยหรือไง
“ใครกินใครก็จ่ายไปสิ.. เอานี่ไปแล้วกัน” ผมวางป๊อกกี้ที่แย่งมาจากไอก่อนหน้าให้
เมโล่หยิบป๊อกกี้ไปไว้ข้างตัวเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ แล้วจับสีข้างข้างที่ถูกผมชน
“เจ็บ..”
“ห๊ะ?”
“เจ็บๆๆๆๆๆ” มันฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ปล่อยมือข้างที่จับแขนผมแล้วเอาไปทุบโต๊ะแทน
“.........” ผมมองไอ มันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ กินข้าวต่อไป
“ได้แล้วจ้า” คนขายเอาน้ำแข็งใสมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะอย่างกระตือรือร้น แล้วเดินกลับร้านไป
“เจ็บจะตายแล้ว..” มันเหลือบมองถ้วยน้ำแข็ง ก่อนย้ายมาที่หน้าผม วางคางไว้บนโต๊ะ แล้วสารภาพ “ไม่มีตังค์อ่ะ จ่ายให้หน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ตังค์ไปไหนหมด เมโล่?” ไอขมวดคิ้ว
“ก็...” ไอ้แมวยักษ์กลายร่างเป็นเด็กยักษ์กลัวความผิดไปเมื่อถูกถาม “เมื่อวีคที่แล้วพรีออเดอร์เกมกับไอไปใช่ไหมล่ะ แล้วเมื่อวาน เมื่อวานก่อน เมื่อวานนู้น เมื่อวานนู้นอีก..” เมโล่นับนิ้วตัวเองไปเรื่อย
“สรุปว่าทุกวัน?” ไอรวบรัดตัดความ
“อือ ไปร้านเลอโนทมา”
“เข้าใจนะว่าชอบเค้ก..” คนพูดถอนหายใจ “แต่ถ้าไม่รู้จักวางแผนใช้เงิน เงินมันก็จะไม่พอใช้แบบนี้แหล่ะ นี่ยังไม่ถึงกลางเดือนเลยด้วยซ้ำ เหลืออีกตั้งหลายวันกว่าค่าขนมจะออกไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไงดีอ่ะ ลุงบอกไม่ให้ขอใหม่ถ้ายังไม่สิ้นเดือนด้วย” เมโล่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เหมือนมันเพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเข้าให้แล้ว
ผมล่ะเชื่อสนิทเลยว่าหมอนี่ท่าทางจะโตแต่ตัวเท่านั้นล่ะ
“ก็รับกรรมไปสิ เคยเตือนไปหลายทีแล้วนี่ แล้วเดี๋ยวเดือนหน้าค่อยตั้งต้นใหม่”
“ไหงพูดง่ายงั้น แล้วระหว่างนั้นเพื่อนนายจะกินอะไรล่ะ?” ผมที่ฟังมานานอดพูดบ้างไม่ได้ เห็นหน้าตาซึมๆ ของมนุษย์แมวยักษ์นั่นแล้วก็ค่อนข้างจะ...เห็นใจ ล่ะมั้ง
“หรือคุณชายต่ายจะรับอุปการะล่ะ? แต่หมอนี่กินเยอะนะ” ไอชี้เพื่อนตัวโต แต่มองหน้าผม
“เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ เพื่อนใครก็ดูแลกันเองสิ”
“ก็นึกว่าจะใจดี” ไอพูดยิ้มๆ ที่เหมือนจะเยาะๆ ด้วย ..ยิ่งคุยยิ่งไม่ถูกชะตาแฮะ
แต่ก็นะ ถ้าบ้านผมรวยกว่านี้ผมก็อาจจะใจดีกว่านี้ก็ได้ แต่พอดีว่าบ้านผมแค่ฐานะปานกลาง แล้วทั้งบ้านก็มีแม่หาเงินอยู่คนเดียว ผมเองก็ต้องประหยัดเหมือนกันแหล่ะ
“อ้าว จะไปแล้วเหรอ?” พอผมหันหลัง เสียงตัวกวนประสาทนั่นก็ดังขึ้นอีก “เอ้า เมโล่ ขอบคุณคุณชายต่ายที่ใจดีเลี้ยงขนมหน่อยสิ”
“ขอบคุณคร้าบบบ”
ผมหันกลับไปมอง แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มจริงใจแบบเด็กๆ ของแมวยักษ์เมโล่เป็นครั้งแรก
“แล้วมาเลี้ยงอีกนะ บันนี่~”บันนี่?
“ร้อน..”
ผมแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่กำลังร้อนแรงได้ที่แล้วก็อยากจะละลายหายไปจากตรงนี้เลย ไม่รู้คิดอะไรของพวกรุ่นพี่ ชั่วโมงรับน้องวันนี้อยู่ดีๆ ก็ให้ออกมาวิ่งรอบคณะซะงั้น
“ไหวเปล่า คุณชาย?” ไอวิ่งมาตีเสมอผม เหงื่อเปียกเต็มเสื้อ แต่ท่าทางยังดูชิลล์ๆ ..หรือพยายามทำให้ดูเหมือนแบบนั้น
“ห่วงตัวเองเถอะ”
“ก็ไม่ได้บอกสักหน่อยนี่ว่าห่วงนาย”
ไอ้นี่.. ผมเร่งฝีเท้าวิ่งหนีมัน แต่มันก็ยังไล่ตามจนทัน แถมยังหัวเราะอีก
“น้ำไหม?” อยู่ดีๆ มันก็ยื่นขวดน้ำที่กินไปแล้วเกือบครึ่งมาให้
“ไปเอามาจากไหน?” เท่าที่เห็นยังไม่มีใครได้รับอนุญาตให้หยิบน้ำที่รุ่นพี่เตรียมไว้ให้เลยนี่นา
“ความลับ” หมอนั่นยักคิ้ว “เอาไม่เอา?”
“เอา” ผมคว้าขวดน้ำมาเปิดฝาแล้วกระดก ได้ยินเสียงหมอนั่นหัวเราะแต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปซะ
“มีคนล้มลงไปแล้ว!” เสียงคนที่วิ่งข้างหน้าทำให้ผมสนใจ มองหาคนล้มที่ว่า เห็นอยู่ไกลลิบๆ แต่ก็บอกได้ทันทีเลยว่าเป็นใคร
“นั่นเพื่อนนายนี่?” ผมคืนน้ำที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยให้ไอ อีกมือชี้ไปทางมนุษย์แมวยักษ์ที่นอนเหยียดยาวคว่ำหน้าอยู่บนลานกลางของคณะ
พูดถึงได้หมอนั่น.. ที่ผมเป็นห่วงว่ามันจะอดตายเพราะใช้ค่าขนมหมดก่อนสิ้นเดือนนี่ช่างเสียเปล่าจริงๆ เพราะไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมผ่านไปทางโรงอาหาร ผมก็จะเห็นมันสิงสถิตย์อยู่ที่นั่นตลอด ประหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง แล้วโต๊ะไหนที่มันนั่งก็มักจะมีขนมนมเนยวางอยู่ไม่เคยขาด แน่นอนว่ายาจกชั่วคราวอย่างมันไม่ได้ซื้อเองอยู่แล้ว ทั้งหมดนั่นมาจากบรรดามิตรรักแฟนคลับทั้งนอกและในคณะที่มาหลงใหลในความแปลกคนของมันล้วนๆ
แม้แต่อาจารย์ในคณะ ผมยังเคยเห็นแกซื้อข้าวให้มันกินเลย ..ท่าทางจะเป็นที่เอ็นดูของหลายคนอยู่นะ หมอนั่น
แบบนี้ต่อให้เงินค่าขนมไม่ออกไปตลอดชีวิต ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเดือดร้อนหรอก
“ไม่ห่วงหรือไง?” ผมเห็นไอดูเฉยๆ เลยสงสัยว่าปกติพวกเพื่อนผู้ชายนี่เขาไม่เป็นห่วงกันหรือไง
“มันแค่ขี้เกียจน่ะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“ห๊ะ?”
“เมโล่ อย่าอู้!” เสียงตะโกนของพี่ว้ากทำให้ผมหันไปมองทางเจ้าของชื่ออีกครั้ง
ร่างเหยียดยาวที่นอนแน่นิ่งเริ่มกระดุกกระดิก สักพักก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขึ้นยืน แล้วก็วิ่งต่อ..
“เห็นมะ?” ไอยิ้มกว้างทิ้งท้าย แล้ววิ่งนำห่างออกไป
ยิ้ม.. แบบนั้นอีกแล้ว
“ว้าย!”
เพราะหยุดวิ่งกระทันหันโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนที่วิ่งตามมาชนเข้ากับหลังผมอย่างจัง หันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จากเสคอุตสาหการ ที่ชื่อ ‘ก้อย’ ผมจำได้ก็เพราะนิ่มชอบฝากขนมให้ผมเอาไปเทคเธอบ่อยๆ
“โทษที เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ผมเข้าไปช่วยจับเธอลุกขึ้น
“โอ๊ย..” แต่เหมือนว่าข้อเท้าเธอจะแพงซะแล้ว
“ไหวไหมเนี่ย ก้อย?” เพื่อนที่วิ่งมากับเธอเป็นคนถาม
“น้อง พี่ว่าพาไปตรงที่พวกพี่พยาบาลอยู่ดีกว่า” พี่ว้ากที่ยืนคุมอยู่บริเวณนั้นเข้ามาดู
“ให้เราช่วยนะ” ผมเห็นท่าพวกเธอทุลักทุเลน่าดู เลยอาสา “โทษนะ ไปแบบนี้แล้วกัน”
“ว้าย..” ก้อยหวีดสั้นๆ ผวากอดคอผมไว้แน่นเมื่อผมช้อนอุ้มเธอขึ้น จากนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าชิดอกโดยไม่พูดอะไรอีก
จนมาถึงจุดสวัสดิการ ที่มีทั้งพี่สวัสดิการและพี่พยาบาลรวมตัวกันอยู่...
“ชายต่ายเป็นไงบ้าง?”
“เอาน้ำหวานไหม?”
“เหงื่อชุ่มเชียว พี่เช็ดหน้าให้นะ?”
“พี่ปีสอง! น้องคนนั้นไม่ได้เจ็บ ไปดูแลแค่คนเจ็บก็พอ” พี่ว้ากปีสามทำเอาพวกปีสองถึงกับสะดุ้งไปตามกัน
“ส่วนคนที่ไม่เจ็บก็กลับไปวิ่งซะ!” พี่ว้ากอีกคนสั่งโดยไม่มองหน้าผม
“ครับ..” ผมรับคำ กำลังจะกลับออกไป ก็เจอกุ้งนางเดินมึนๆ เข้ามาพอดี
“อ้าว คุณชายต่ายไม่พักเหรอ?”
“เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนี่” ผมยิ้มตอบเธอไป
“หืมม เหรอ” หน้าเธอดูแดงๆ บวมๆ นิดหน่อย ผมสงสัยว่าอาจเป็นเพราะฤทธิ์แดด
จะว่าไปแล้วผู้หญิงคณะนี้ก็อึดกันน่าดูเลยแฮะ แม้แต่คนที่รูปร่างดูบอบบางอย่างกุ้งนางก็เถอะ
“แล้วน้องมาทำอะไรตรงนี้?” พี่ว้ากคนหนึ่งถามกุ้งนาง
“ก็หนูสงสัยว่าคุณชายต่ายอุ้มใครมาอ่ะ”
“แล้วรู้ยัง?”
“รู้แล้วค่ะ”
“งั้นก็กลับไปวิ่งได้แล้ว ทั้งคู่เลย อย่าเอาเปรียบเพื่อน”
ผมรู้สึกว่าถูกจ้องจากด้านข้างมาพักหนึ่งแล้ว เลยเห็นไปดู เลยได้สบตากับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้า เธอหลบสายตาผม แล้วเดินมาละกิดเพื่อนที่เป็นว้ากเกอร์
“กูว่าพอแค่นี้ไหม?” เธอพูดแบบนั้น แล้วเหลือบมองผมอีกที “วันนี้พวกน้องมันก็เหนื่อยกันมากแล้วนะ”
“แล้วมึงว่าไง?” พวกรุ่นพี่ปีสามหันไปปรึกษากันสักพัก สุดท้ายผลสรุปก็ออกมา..
“เออ งั้นก็ไปเรียกพวกมันกลับมารวมตัวกัน”
“อิอิ เพราะคุณชายต่ายเลยนะเนี่ย” กุ้งนางเข้ามากอดแขนผม ดีใจที่ไม่ต้องกลับไปวิ่งอีก
“ไม่เหม็นเหงื่อเหรอ?” ผมรับผ้าเช็ดหน้ากับน้ำหวานเย็นๆ จากพี่สวัสดิการคนหนึ่งด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้างกุ้งนางยังเกาะไว้แน่น “ขอบคุณครับ”
“ผ้าพี่เอง ใช้เสร็จแล้วขอคืนนะ” พี่สวัสดิการคนนั้นกระซิบบอก ก่อนแยกไปดูแลคนอื่น
“กลิ่นเร้าใจดีออก” กุ้งนางก็ยังปากตรงกับใจตามเคย
อีกพักใหญ่ๆ นั่นแหล่ะเธอถึงจะยอมปล่อยผม
“อะไร?” ผมถามยิ้มๆ กับตาที่มองมาแบบเยิ้มๆ ของนิ่ม
“กำลังคิดว่าทำไมชายต่ายของเพื่อนถึงได้เป็นสุภาพบุรุษจุฑาเทพขนาดนี้นะ อยากจะคลานเข่าเข้าไปกราบเท้าหญิงแม่ที่เลี้ยงดูมาจริงๆ”
“ว่าไปนั่น” ผมหัวเราะ กำลังแยกขนมที่อยากกินกับไม่อยากกินออกจากกัน อันไหนไม่อยากกินก็ตั้งใจว่าจะเอากลับไปฝากน้องสาวที่บ้าน ทั้งหมดนี่ได้มาจากพวกผู้หญิงต่างคณะที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเมื่อเช้าเองแหล่ะ
“วันนี้เดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่วีรกรรมที่นายทำไว้เมื่อวาน” สจีพูดหน้าตายเหมือนเช่นทุกวัน
“ถ้าคนเจ็บเป็นนิ่ม ชายต่ายจะอุ้มเปล่าอ่ะ?” นิ่มทำตาเป็นประกายวิบวับตามประสาสาวช่างฝัน
“ใครเขาจะไปอุ้มกระสอบปุ๋ยอย่างแกไหววะ?”
“ฉันเกลียดแก!” นิ่มหันไปบอกสจีด้วยสีหน้าเจ็บปวดเกินจริง
“เมื่อเช้าเห็นก้อยมาหา?” สจีถามผม
“ซื้อขนมมาฝากน่ะ”
“มีแฟนแล้วนะนั่น” นิ่มเบ้ปาก
“เขาคงแค่อยากขอบคุณเรื่องเมื่อวานมั้ง”
“ถ้าแค่นั้นก็ดี แฟนยัยนั่นอยู่โยธา กลุ่มเดียวกับรักชาติ ได้ยินว่าตอน ม.ปลายเกเรกันน่าดู” สจีบอก
“เหรอ..” ผมฟังผ่านๆ หู
“ทางนี้โว้ย! ส่งมาทางนี้!”
ระหว่างเดินไปห้องสมุด ผมเห็นกลุ่มของไอกำลังเล่นฟุตซอลอยู่ในสนามของคณะ ดูน่าสนุกดีก็เลยหยุดยืนมอง
“ปิดเชี่ยไอ! ปิดมันไว้!”
พอไอได้แตะลูก ฝ่ายตรงข้ามเกือบทั้งทีมก็กรูกันมาล้อมเขา ทั้งยื้อทั้งดึงแบบผิดกติกากันเห็นๆ แต่สุดท้ายหมอนั่นก็อุตส่าห์เลี้ยงบอลฝ่าทีมศัตรูออกมาทำประตูจนได้ ..เก่งเหมือนกันแฮะ
“กรี๊ดดดดด ไอสุดยอด!” เสียงสาวๆ ข้างสนามดังเจี๊ยวจ๊าว
หมอนั่นยิ้มร่ารับแรงใจล้นหลามจากแฟนคลับ รวมทั้งเพื่อนทีมเดียวกันและต่างทีมที่เข้ามาตบหัวตบตูดหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม
“เมโล่ นี่มึงไม่คิดจะขยับตัวเลยหรือไงห๊ะ?!”
นั่นล่ะ ที่บอลมันเข้าไปง่ายๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผู้รักษากระตูฝ่ายตรงข้ามคือเจ้าแมวยักษ์จอมขี้เกียจนั่นล่ะ
“เอ๋.. ก็มันเหนื่อยนี่”
“ฮ่าๆๆๆ เมโล่ก็สุดยอดเหมือนกัน”
“น่าสนุกจังเลยน้า..” ผมพูดกับตัวเอง
อยากจะมีช่วงเวลาแบบนี้กับเพื่อนๆ บ้างเหมือนกัน ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสหรือเปล่านี่สิ
“เล่นด้วยกันไหม คุณชาย?”เพราะมัวแต่เหม่อมองกลุ่มคนในสนาม เลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าไอมายืนพิงรั้วเหล็กอีกด้านตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอ๊ะ ได้เหรอ?”
หมอนี่เป็นผู้ชายคนแรกเลยที่เข้ามาชวนผมไปเล่นด้วย.. รู้สึกดีใจหน่อยๆ แฮะ
ถึงคนชวนจะเป็น ‘ไอ’ คนนั้นที่ผมตัดออกจากรายชื่อคนที่อยากสนิทด้วยไปแล้วก็เหอะ
“ก็เป็นสนามของทุกคนอยู่แล้วนี่” หมอนั่นกระดกขวดน้ำอึกๆ เสื้อเปียกชุ่มไปทั้งตัว
“งั้นเหรอ..”
“แล้วนี่กำลังจะไปไหน?”
“ว่าจะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดมาเขียนรายงาน”
“ดรออิ้ง?”
“อือ ทำแล้วเหรอ?”
“ยังเลย” หมอนั่นหันมาชูสองนิ้ว ยิ้มยิงฟัน
“ก็ว่างั้น”
“หมายความว่าไง?”
“ไม่นี่..” ผมมองไปทางเพื่อนของไอที่วิ่งไล่เตะกันในสนาม “นายนี่เพื่อนเยอะดีนะ ดูสนิทกันดีด้วย”
“ก็ปกตินี่”
“อิจฉานิดๆ แฮะ”
“เห..” ไอหันมามองผมยิ้มๆ “ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่น่าอิจฉา ใครๆ ก็พูดกันทั้งนั้นว่าอิจฉาคุณชายต่าย”
“เพื่อนเรามีแต่ผู้หญิง”
“แต่พวกเธอก็เป็นเพื่อนที่ดีของนายไม่ใช่เหรอ?”“อือ..” ไอพูดถูก
“ใช่ไหมล่ะ? ฮ่ะๆๆ”มาพูดแบบนั้น มายิ้มเต็มหน้าแบบนั้น..
หมอนี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่นะ
“เป็นอะไร?” ไอเอียงคอมองมือที่ยกขึ้นกดอกของผม
“เหมือนจะเป็นโรคหัวใจ” มันเต้นแปลกๆ
“พูดเล่นพูดจริงเนี่ย?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ๊า”
“ไปแล้วนะ”
“อะไรวะ?”
ผมเดินไล่หาหนังสือที่ต้องการตามชั้นมาเรื่อยๆ แต่พอเจอกลับถูกใครบางคนหยิบตัดหน้าไปก่อน
“อ๊ะ..”
ผู้ชายที่หยิบหนังสือไปมามองผม ผมเลยยิ้มให้หวังสร้างมิตร แต่เขากลับยกยิ้มมุมปากคล้ายเยาะเย้ยกันซะงั้น
“แบ่งให้เราเล่มหนึ่งไม่ได้เหรอ?” ผมชี้หนังสือสองเล่มในมือเขา มันเป็นแบบเดียวกัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาไปทำไมตั้งสองเล่ม
“ไม่อ่ะ” หมอนั่นตอบหน้าตาเฉย ผมชักยั้วะแต่ก็ยังยิ้มอยู่ เห็นมันไม่ได้คล้องป้าย เลยนึกกลัวว่าอาจจะเป็นรุ่นพี่
“น้ำใจอ่ะ” ผมว่า ทางนั้นดันยิ้มชอบใจ
“อ๊ะ รักชาติ หนังสือนั่นน่ะ ขอพวกเราเล่มหนึ่งได้เปล่า?” มีเพื่อนร่วมชั้นปีสองคนเดินเข้ามาถาม
‘รักชาติ’ ..? ใช่คนเดียวกับที่อยู่เสคโยธาหรือเปล่า? งั้นก็ไม่ใช่รุ่นพี่น่ะสิ
ผมหันไปมองหน้าหมอนั่น มันยกยิ้มมุมปากอีกแล้ว แล้วก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้คนที่มาทีหลังนั่นเฉยเลย
“เอาไปดิ”
“ขอบใจนะ” สองคนนั้นเดินจากไปด้วยท่าทางดีใจ ขณะที่ผมมองตามหลังไปด้วยความเสียดาย
“จริงๆ แล้วควรจะให้เราไม่ใช่เหรอ?” ผมสงสัย
“ก็แค่ไม่อยากแบ่งให้พวกที่ชอบแย่งของคนอื่น” หมอนั่นหันหลังเตรียมเดินออกไป
“แย่ง..”
“โดยเฉพาะพวกที่ชอบแย่งผู้หญิงของคนอื่น”แย่งผู้หญิงของคนอื่น.. หรือหมอนี่จะฟังข่าวลือที่คนเขาพูดกัน?
ผมเอื้อมมือไปดึงเสื้อของอีกฝ่ายไว้ หมอนั่นหันกลับมา ผมชี้หน้าตัวเอง
“นั่นแค่ข่าวลือน่ะ”
พยายามยิ้มเข้าไว้ เผื่อมันจะเปลี่ยนใจยกหนังสือเล่มที่เหลืออยู่ให้ผม
“แค่ข่าวลือได้ไง ก็กูเจอมากับตัวเอง”ห๊ะ?
TBC.เปิดตัว 3 ผู้ท้าชิง อิอิ
พูดถึงชายต่าย
เขาไม่ใช่คนหล่อประเภทที่หล่อแบบ..ทำให้ชายแท้ๆยอมเป็นเกย์ได้อะไรแบบนั้นนะ
แต่ทั้งหน้าตาและบุคคลิกของเขามันเป็นประเภทที่ทำให้ผู้ชายด้วยกันรู้สึกว่าแพ้ราบคาบอ่ะ แล้วก็พาลทำให้ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะไม่อยากถูกเปรียบเทียบ ประมาณว่าอยู่ให้ห่างๆ มันเอาไว้ชีวิตจะสดใสกว่า อะไรทำนองนั้น
ด้วยสาเหตุนี้แหล่ะ ทำให้ชายต่ายไม่ค่อยมีผู้ชายเข้ามาหา ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชาย(ฮา..) แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่นะ ฮ่ะๆๆๆ
ถ้าชอบก็กดบวก กดเป็ด กดเม้นบอกความในใจให้คนเขียนได้รู้บ้างนะจ๊ะ จะได้เป็นกำลังใจต่อไป