(ต่อจากด้านบน)
ฟีโน่สีฟ้าของไอ้อั้มถูกพี่เฟยไถมาหลังจากสะสางงานได้พอสมควร มันดูไม่สมศักดิ์ศรีเลยเมื่อรถราคาถูกมาจอดรถในลานจอดขนาดมโหฬารของคอนโดหรู ผมถอดหมวกกันน็อก เก็บไว้ใต้เบาะ เดินนำพี่เฟยเข้าตึกเพราะมีคนเปิดประตูพอดี ยามแถวนั้นไม่ได้ว่าอะไร พอจะคุ้นหน้าอยู่เพราะพักหลังผมพักอยู่ที่นี่หลายวัน ที่ลานกว้างมีรถบีเอ็มดับบลิวซีรีส์สามทะเบียนสวยจอดไว้เป็นหลักฐานว่าเจ้าของรถไม่ได้ไปไหน ผมกดเลขชั้น มองมันขึ้นสูงไปเรื่อยๆ กระทั่งหยุดลง ตอนแรกพี่เฟยเองก็จะไม่มา แต่ก็กลัวผมทะเลาะกับอินแล้วจะยืนเอ๋อแดกเหมือนทุกครั้งที่มันไปเจอเลยอดมาเฝ้าไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้ขัดอะไร ตั้งใจจะพามาดูเลขห้องแล้วไล่มันลงไปรอข้างล่างเหมือนกัน
“ลูกคนมีตังค์”
พี่เฟยพูดพลางยักยิ้ม คอนโดนี้มันรู้ราคาดีครับ เป็นเครือของญาติ ของญาติห่าง ๆ มันอีกที ผมเพิ่งรู้ทีหลังว่ามันเคยเสนองานให้บริษัทนี้ด้วยตอนสมัยเรียน แค่เป็นไอเดียเฉย ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมาก
“เคาะก่อน เผื่อมันไม่อยู่”
พี่เฟยพยักพเยิดบอก ผมเคาะประตูสองสามครั้งแต่เห็นมันเงียบอยู่เลยยืนรอสักพักก่อนมันจะเปิดออก อินทรีสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้น มีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มดูโทรมลงไปพอสมควร
“มีอะไร”
เสียงนั้นเรียบเฉยและกรุ่นไปด้วยกลิ่นควันบุหรี่ ไม่คิดว่ามันจะทำตัวเหลวแหลกอะไรขนาดนี้ มองเข้าไปในห้องปิดม่านจนมืดทึบ มีควันลอยฟุ้งจนเหมือนเป็นหมอก “มึงดูดเยอะแค่ไหนเนี่ย”
“มันใช่เรื่องของพี่ปะ”
“อิน...”
“ไม่มีอะไรก็กลับไปซะ ผมจะนอน”
“น่าสมเพช” เสียงสุดท้ายไม่ใช่ของผมกับอินครับ ไอ้พี่เฟยแสยะยิ้มอยู่ข้างหลังจนผมแทบไปตะครุบปากมันไม่ทัน ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไหนว่าจะมาส่งเฉย ๆ หาเรื่องมันทำไมวะ ทว่าอินทรีกลับสงบกว่าที่ผมคิด มันเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองเลยผมไป ท่ามกลางระหว่างเราสามคนมีเพียงเสียงเงียบและความกดดันกระจายอยู่รอบตัว
“กู...”
ผมยังไม่ทันได้เริ่มประโยคเจ้าของห้องก็หันหลังกลับ ผมรีบดันประตูค้างเอาไว้ มันเมินผมอีกแล้ว โคตรไม่ชอบเลยว่ะแบบนี้
“คุยกันก่อน”
อินทรีชะงักมือลง พลิกตัวหันหลังกลับมามองผม มองหน้าพี่เฟย แล้วก็มองผมอีก ผมไม่รู้ว่ามันคิดยังไง แววตามันเยือกเย็นจนอ่านไม่ออก ผมเอื้อมมือไปแตะข้อศอกมันแต่อีกฝ่ายก้าวถอยหนีราวกับโดนของร้อน มันถอนหายใจเสียงหนักเบือนหน้าไปยังทางเดินที่ทอดยาว แต่ก่อนจะได้พูดหรือคิดอะไร ผมก็ถูกดันออกให้พ้นรัศมี อินทรีโถมตัวเข้าต่อยพี่เฟยสุดกำลัง
ผลั่ก!!!!
“ไอ้เหี้ยอิน!”
ผมตกใจรีบไปผลักรุ่นน้องออกจากพี่เฟย อินทรีโถมตัวเข้าใส่อีกแต่ผมยืนขวางไว้มันเลยได้แต่เลียริมฝีปากเบา ๆ สายตาคมมองคนถูกทำร้ายไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมหันไปเห็นพี่เฟยใช้หลังมือเช็ดเลือกที่กลบปาก
“ไสหัวไปให้พ้นหน้ากูเลย!”
“ใจเย็นดิวะสัส! เป็นไงบ้างพี่”
“เชี่ย! แม่ง!”
ผมยกมือข้างเดียวขึ้นขอโทษ เพราะอีกข้างยังต้องยื่นออกกันไม่ให้อินทรีเข้าใกล้ ไอ้เวรเอ๊ย หมาบ้าชัด ๆ
“กลับไปก่อนพี่เฟย ผมขอเคลียร์ก่อน”
พี่เฟยฉุนขาด มองอินทรีตาค้อนแต่เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนจากผมก็พยักหน้าส่ง ๆ พอรุ่นพี่ก้าวขาไปไอ้อินก็ขยับตามจะไปซ้ำผมเลยต้องรีบคว้าไหล่มันไว้
“เดี๋ยวก่อนดิวะ”
มันสะบัดมือผมออก มองด้วยแววตาขุ่นเคืองวูบเดียวแล้วเบือนหนี พอจะกลับเข้าห้องผมก็แทรกตัวผ่านเข้าไปตามอย่างฉิวเฉียด กลิ่นควันบุหรี่ลอยตลบคลุ้ง ผมเห็นซองและซากของมันเกลื่อนไปหมด
“แม่บ้านไม่เข้ามาทำความสะอาดบ้างหรือไง”
มันไม่ตอบ เดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็น นี่ก็พอกัน กระป๋องเบียร์วางเกลื่อนไปหมด ผมรู้ว่ามันเป็นคนแบบนี้ เอาแต่ใจ เลือดร้อน แต่เกลียดที่สุดคือตอนที่มันเมินหรือไม่เห็นความสำคัญ ที่ถามนี่เพราะเป็นห่วงแต่กลับได้รับเพียงแค่ความว่างเปล่ากลับมาแม่งยอกในอกชอบกล
อินทรีเดินออกไปที่ระเบียง จุดบุหรี่ขึ้นสูบสลับกับดื่มเบียร์ในกระป๋อง หน้านิ่งเฉยเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่จนลึก ๆ แล้วผมก็แอบกลัว อินทรีเวลาโวยวายหรือเอาแต่ใจยังดีกว่าตอนนี้เป็นไหน ๆ ใจมันเหมือนน้ำนิ่งที่ลึก ๆ แล้วผมคาดเดาไม่ถูกเลยสักนิดว่ามันกำลังแปรปรวนมากน้อยเพียงใด
“เอามานี่”
ผมดึงบุหรี่ออกจากมืออินเมื่ออีกฝ่ายเผลอ ตาคมเหลือบมองผมเมื่อจรดริมฝีปากลงไปบนก้นกรองก่อนตีมือผมดังจนบุหรี่หลุดมือลงไปด้านล่าง ผมจิ๊ปากขัดใจแต่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงกัน
“พามันมาเยาะหรือไง”
“พี่เฟยน่ะเหรอ”
“จะใครล่ะ”
ผมถอนหายใจยาว ที่มันโกรธคงเป็นเรื่องนี้ “เขาพามาส่ง อยากให้กูเคลียร์กับมึง”
“ยูกับมันจะได้คบกันได้สะดวก?”
“อย่ารวนสิวะ” ผมบ่น ไอ้อินเงียบไปก่อนยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม “เป็นแค่พี่น้องกัน ไม่ได้คิดอะไร”
“บอกมันว่ากับผมก็เป็นแค่พี่น้องกับยูเหมือนกันสินะ”
“มึงก็รู้ว่ากูยอมมึงคนเดียว กูยอมมึงขนาดนี้แล้วจะเอาอะไรอีก มึงสงสัยอะไรในความรู้สึกกู ที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนอีกหรือไงว่ากูคิดยังไงกับมึง”
อินทรีชะงักมือที่จะยกเบียร์ขึ้นดื่มค้าง มันเหลือบตามองผมแล้วหลุบสายตาลงต่ำ
“มึงกับนัทเป็นยังไงบ้าง”
“คุยกับมันครั้งสุดท้ายวันที่มันสร่างเมานั่นแหละ”
“เลิกกันแล้วเหรอ”
“แล้วจะคบกันทำไม ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ผมพยักหน้า อันที่จริงก็เดาได้ไม่ยากแต่อยากได้ยินจากปากมันชัด ๆ ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าครั้งนี้มันจะไม่หลอกผมอีกแต่แปลกที่ผมเชื่อมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ยังจะเชื่อมันอยู่ดี
“แล้วนี่ไม่ได้ไปเรียนบ้างเหรอ”
ผมถามขึ้นมา ถามคำถามปัญญาอ่อนแบบที่ตัวเองถนัดนักเวลาที่มันเงียบใส่ จากสภาพตอนนี้ถ้าไปก็ทุเรศเต็มทน ผมไม่เคยนึกออกเลยด้วยซ้ำว่าคนอย่างอินทรีจะมีวันที่ออร่าดับจนถ้าลงมาจากบีเอ็มคงคิดว่าเป็นคนขับรถให้เจ้านายแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่ใช่อินทรีที่น่าหมั่นไส้เหมือนเมื่อก่อน เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่กำลังผิดหวังในความรักและพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกของตัวเองโดยสิ้นเชิง
น่าแปลกที่คนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ได้คือผม ผมที่ยังไม่เจอข้อดีของตัวเองสักอย่าง
“ผิดหวังมากไหม”
ผมเหลือบตาขึ้นมองคนถาม มันคว่ำกระป๋องเบียร์ลงแต่ไม่มีของเหลวไหลออกมาแล้ว สีหน้าของมันเจ็บปวด หวาดกลัวและเต็มไปด้วยความสับสน
“ขอโทษที่ทำแบบนั้น ถ้ายูจะไปรักคนที่ดีกว่าอย่างไอ้หน้าสวยนัน ผมก็เข้าใจ ผมทำตัวเอง”
“มึงพูดแบบนี้อีกแล้ว”
ยกผมให้คนนั้นคนนี้ ขี้หึงน่ะรู้ แต่อาการน้อยเนื้อต่ำใจที่แสดงออกมาแบบนี้ไม่สมกับเป็นมันเลยสักนิด ถามว่าผิดหวังไหม เสียใจไหมมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เหมือนจะล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมามันโกหก กระนั้นก็ความรู้สึกของผมมันก็มีจริง ถ้าไม่รักก็คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
“ผมรู้ว่าคำขอโทษคงไม่พอ... ผมอยากปรับความเข้าใจกับยู แต่ติดต่อไปไอ้นั่นก็รับสาย ผมไปหาที่ม.หรือไปดักเจอที่หอยูก็อยู่แต่กับมัน ไม่รู้ว่ะ ผมเหนื่อย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำตัวน่ารำคาญใส่ยูหรือเปล่า ยูกับมันอาจจะชอบกัน คบกันแล้วก็ได้ถึงได้อยู่แบบไม่เดือดร้อนอะไรเลยที่ไม่มีผมในชีวิต...”
ในน้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความน้อยใจ มันเหลือบตามองผมแต่เมื่อสบตากันก็เบือนไปทางอื่น “ผมไม่รู้ต้องทำยังไง...ถามจริง ๆ ยูคบกับมันหรือเปล่า”
“ถ้าคบแล้วจะทำไม”
“ผมจะได้ยินดีด้วยไง พอใจหรือยังล่ะ”
“ไม่...” ผมตอบเสียงนิ่งก่อนพูดต่อ “กูเพิ่งบอกไปว่าคิดกับพี่เฟยแค่พี่น้อง”
“ผมไม่รู้ ผมอยู่ตรงนี้แบบที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง... ผมไม่รู้ว่าทำยังไงยูถึงจะหายโกรธ ผมไม่รู้ว่ายูเกลียดผมแล้วหรือยังา ผมไม่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสอยู่ไหม ผมไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ “
ผมเงียบ เข้าใจความสับสนและเคว้งคว้างในอกมัน อินทรีทอดสายตาออกไปไกลเกินกว่าจะไล่ตามทันว่ามันไปหยุดอยู่ที่ไหน ผมเอื้อมมือไปจับมือมันไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ใจอ่อนยวบได้ง่ายดายขนาดนี้ บางทีแล้วอาจเป็นเพราะลึก ๆ ผมอยากให้มันอยู่ใกล้ ๆ โกหกอีกสักร้อยครั้งพันครั้งก็ได้ วางแผนการปั่นหัวผมให้เป็นบ้า ทำยังไงก็ได้เพียงแค่อยากอยู่กับมันให้นานที่สุด ทุกข์ตอนที่ต้องหลบหน้า เทียบไม่ได้กับความสุขเมื่อได้พบกันเลยแม้แต่น้อย ผมเข้าใจความหมายชองพี่เฟย เข้าใจที่อินเคยบอกด้วยว่าต่อให้ผมทำร้ายมันกี่รอบมันก็พร้อมจะให้อภัยเสมอ
“ผมรู้แค่อย่างเดียว
ผมรักยู”
อินทรีมองหน้าผมอีกครั้ง สายตามันเว้าวอนคล้ายใกล้ขาดใจ เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่กำลังอ่อนระโหยโรยแรงเต็มแก่
“ผมอาจจะขออะไรตลก ๆ แต่ก็อยากขอมันอีกครั้ง..กลับมาหาผมได้ไหม”
ผมมองปลายนิ้วที่อีกฝ่ายเลื่อนมาสอดประสานเอาไว้ เสียงนั้นอ่อนแรงและอ้อนวอนราวกับใกล้จะขาดใจ อินทรีครางเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่กลั่นมาจากใจ “ผมไม่ชอบตัวเองตอนที่ไม่มียูอยู่ด้วยเลย”
“ก็อยู่ด้วยแล้วนี่ไง” ผมตอบ อินทรีทิ้งกระป๋องเบียร์ลงบนพื้น พลิกตัวดึงผมเข้าไปกอด เสียงถอนหายใจดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายซบหน้าลงบนบ่าผม ร่างกายเราแนบชิดกัน หัวใจเต้นอยู่ข้างกันเพียงแค่คนละฝั่ง กลิ่นของผิวกายและลมหายใจ ทุกอย่างที่เป็นของมันกลับมาอยู่ในอ้อมแขนผมอีกครั้งและมันทำให้ผมรู้สึกดีเป็นบ้า ไม่ได้มีคำขอโทษทั้งจากผมและมันหลุดออกมาแล้ว แต่ความรู้สึกตอนนี้มีแต่คำว่าไม่เป็นไรนะ เรามาเริ่มกันใหม่เต็มไปหมด คนอื่นอาจจะใจแข็ง คนอื่นอาจจะคิดว่าผมยอมง่ายไป ถูกมันทำขนาดนี้ยังหายโกรธได้ง่าย ๆ แต่สำหรับผมแล้วถือว่าคุ้ม เจ็บอีกครั้งจะเป็นไรไป ในเมื่อผมรักมันไปแล้วหมดทั้งใจ
“ยู...”
ผมเอียงหน้าไปจูบที่คอมันแล้วครางในลำคอ อินทรีเพิ่มแรงกอดรัดมากกว่าเก่า ผมรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแรง และเมื่ออีกฝ่ายกระซิบเสียงเบาก็ยิ่งแรงขึ้นทวีเท่าตัว
“อยู่แบบนี้ตลอดไปนะ ผมอาจจะทำให้ยูเสียใจอีก อาจจะทำให้ยูผิดหวังอีก... แต่อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวได้ไหม”
ผมเงียบ รู้สึกผิดขึ้นมาถนัดเพราะก่อนหน้านี้เอาแต่หนี ทั้ง ๆ ที่รับปากมันไว้ว่าจะไม่ไปไหนแท้ ๆ คนที่วิ่งหา คนที่ไม่ยอมปล่อยมือ คนที่จนถึงเมื่อกี๊ก็ยังต่อยพี่เฟยเพราะความหึงหวงก็มีแค่มัน
“ผมรักยู เป็นเรื่องที่ไม่เคยโกหกจริง ๆ ผมไม่รู้จะทำยังไงให้ยูเชื่อ ผมไม่มีอะไรจะรั้งยูไว้ได้เลยสักอย่าง ผมรู้ตัวตั้งนานแล้วว่าสำหรับยูผมมันก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ ที่ยูจะทิ้งไปเมื่อไรก็ได้...ผม...”
“พอแล้ว อิน”
อินทรีเพิ่มแรงที่กอดผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้ากอดเบากว่านี้ผมจะหลุดมือ ที่ผ่านมาอาจเป็นผมที่ให้ความเชื่อมั่นกับมันไม่พอว่าจะไม่ไปไหนอินทรีถึงได้หวาดระแวงขนาดเสียความเป็นตัวเองไปขนาดนี้
“กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน”
ก่อนหน้านี้ผมอาจรับปากส่ง ๆ เผลอยืนยันให้อีกฝ่ายมั่นใจไปเพราะบรรยากาศหรืออะไรก็ตาม แต่ครั้งนี้เป็นความหนักแน่นที่ไม่ได้ตั้งใจจะบอกแค่อิน แต่หมายถึงผม คนที่ยืนกอดมันอยู่ตรงนี้อีกคนว่าจะอยู่เคียงข้างมัน ร่างกายของผมร้อนขึ้น มันก้มหน้าลงกับซอกคอผมทั้งที่ตัวสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าหัวเราะหรือร้องไห้ ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่มันอบอวลอยู่ตรงนี้กลับทำให้ผมรู้จักคำว่าความสุขอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายมานาน
“ต่อไปนี้มีอะไรต้องพูดกันนะ อย่าเอาไปคิด เอาไปกลัวคนเดียว”
คู่สนทนาพยักหน้าเหมือนเด็ก ๆ ดูไปดูมามันก็น่ารักดี อาจเป็นเพราะแบบนี้ ผมถึงรักมันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ อินทรีเป็นเหมือนคนที่สับสน มันอาจเกเรแต่ไม่เคยดื้อ ไม่เคยคณามือที่ผมจะจัดการได้จริง ๆ สักครั้ง ผู้ชายโตแต่ตัวกอดผมไว้กลม กระซิบเสียงทุ้มต่ำ
“U, I do love you”
อินทรีอาจพูดแบบนั้น แต่สิ่งที่รู้สึกในใจผมมันไม่ใช่ ผมไม่รู้ว่าจะนิยามมันว่าอะไร มากกว่ารัก มากกว่าหลงไหล มากกว่าคำใดใดจะมาจำกัดความได้ ผมพร้อมจะเจ็บปวดอีกร้อยครั้งพันครั้ง จะจับมือมันไว้และก้าวผ่านเรื่องทั้งดีทั้งร้ายไปด้วยกัน ชดเชยเวลาที่หายไป ตอบแทนความรักที่ทำให้เราบ้าคลั่งได้ขนาดนี้
“I love you more…”
“……………”
“ Even more than anyone that you adore can.”
“ยู–”
“คิดถึงจะแย่”
“ไม่ไปไหนแล้วนะ...ผมจะดีกับยู ผมยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง...”
ผมยิ้ม ผละออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายเพื่อประคองหน้าอินทรีให้รับสัมผัสได้ถนัดถนี่ ปิดปากได้รูปนั้นด้วยริมฝีปากของตัวเอง จูบให้สมกับที่อยากจูบ กอดให้สมกับที่คิดถึง และรักให้สมกับที่โหยหา ก่อนดึงมันกลับเข้ามาในห้องแล้วผลักร่างสูงลงบนโซฟา
ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นมื่อผมล้วงมือเข้าไปใต้สาบเสื้อตัวใหญ่
“ยู!! จะทำอะไร”
ผมเห็นอินทรีหน้าแดงก่ำ มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ผมยกยิ้มขึ้นบนมุมปากแต่ไม่ตอบ แตะนิ้วไล่ระดับจนถึงยอดอกของอีกฝ่ายแล้วยืดตัวไปจูบบนหน้าผาก
“คิดถึง...”
“เฮ้ย! แต่...” ไม่ต้องมีคำพูดอะไรอธิบาย อินทรีรู้ดีว่าผมกำลังพยายามจะทำอะไร เราไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ ต่างผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาโชกโชนจนสบตาก็รู้ถึงความปรารถนาที่ซ่อนไว้ ไอ้อินทำสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ผมท้าวแขนข้างหนึ่งลงบนโซฟา มืออีกข้างใช้ปัดไรผมที่เหนียวปรกหน้า
“...อึดอัดเหรอ”
ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ผมใช้หลังมือไล้ไปตามกรอบหน้าที่สากไปด้วยไรหนวด ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยข้างแก้มก่อนจูบเบา ๆ ผมคิดถึงสัมผัสของมัน คิดถึงกลิ่นกายของมัน คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสามารถหลอมรวมเราเป็นหนึ่งอีกครั้ง
หากแต่สัญชาตญาณเบื้องลึก ก็เรียกร้องให้ผมเป็นคนที่พิเศษเหมือนที่มันพิเศษที่สุดสำหรับผมบ้าง
ผมอยากเป็นคนแรก และคนเดียวที่สามารถกอดมันได้ลึกสุดใจ
“ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร...พี่เข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ทำใจยาก...”
“ไม่...พี่ยู ผม...”เสียงทุ้มแผ่วไป ก่อนเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “ผมโอเค”
ผมสบตากับคนพูด อินทรีกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
“แค่ยู...รักผมก็พอ”
จบประโยคผมก็โน้มตัวลงต่ำ อินทรีหลับตาลงยกมือข้างหนึ่งประคองข้างแก้มผม ส่วนอีกข้างก็เลื่อนไปแตะบนสีข้างแผ่วเบา ผมมองภาพตัวเองที่จ้องอีกฝ่ายตาเยิ้มจากภาพสะท้อนบนดวงตาหวานฉ่ำสีดำขลับของอีกฝ่าย โน้มตัวลงไปก่อนแตะกลีบปากนั้นผะแผ่วและทวีความรุนแรงขึ้นตามความปรารถนา ฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เราสบตากันแม้จะจูบอีกฝ่ายราวกับพยายามสื่อว่าสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้นมันทวีความรุนแรงมากแค่ไหน
ลมหายใจ... เหมือนเต็มอิ่มในปอดอีกครั้งเพียงได้อยู่ใกล้ ๆ มัน
“พี่รักอิน”
บางทีประโยคนั้น อาจเป็นจิ๊กซอว์ตัวเดียวที่ผมทำพลาดไปตั้งแต่เริ่มรู้สึกตกหลุมรักมัน และเมื่อรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ขาดหายไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะรีรอมองข้ามคำนั้นไปสักนาที
อินทรีสบตากับผม ไม่ต้องมีคำพูดอะไรให้มากความ สิ่งที่ต่อจากนั้น ใช้เพียงสัมผัสและอัตราเต้นของหัวใจสื่อสารซึ่งกันและกันก็พอ
---------- END ----------

สารภาพค่ะว่าเป็นคนเขียนตอนจบได้ห้วนมาก คือลงไม่เป็น ไม่เคยหาทางลงได้สวยงามเลย โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
จะพยายามพัฒนาในนิยายเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ พาร์ทที่ยูเล่าจบเพียงเท่านี้ เดี๋ยวตอนพิเศษจะเอามาลงให้ เป็นอินบรรยายแทน (เช่นฉากหลังอินทรีเสียตัว) /เราบอกแล้วว่าเรื่องนี้มีหักมุม 5555555555
ไม่รู้ว่าเขียนได้โอเคมั้ย บอกตรง ๆ ว่าอยากได้ฟีดแบคสำหรับตอนจบมากกกกกกก (ขาดความมั่นใจในเรื่องนี้สูง) ต่อไปถ้ามีอินมาเล่าต่อนิด ๆ หน่อย ๆ อาจจะสมบูรณ์กว่านี้ คือพยายามจบแต่ยิ่งจบมันยิ่งยืดย้วยไปเรื่อย(และก็หาทางลงไม่ได้สักที) พี่ยูใจอ่อนเกินไปมั้ย? แต่สงสารอินเถอะ ไม่มียูก็เป็นนกปีกหักแล้ว ถ้าถามว่าอินทรีทำไมงี่เง่าแบบนี้ นิสัยนางก็งี่เง่าอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มเรื่องค่ะ 555555 อารมณ์เหมือนเขมชาติในเรื่องอย่าลืมฉันชอบกล และพระเอกเรื่องนี้มาตอนท้ายอย่างที่เคยบอก(?) พี่เฟย กรี๊ดดด นางเป็นคนดีเน้ออ #ติดป้ายFeuFCรัวๆ พอจะคิดพล็อตของนางไว้บ้างแล้วเหมือนกัน เมะสายแข็งค่ะ อย่าให้เสียชื่อ 5555
ส่วนเรื่องนี้ตั้งใจจะรวมเล่มสักประมาณต้นเดือนมิถุนาจะมาแจ้งข่าวอีกทีนะคะ ช่วงนี้กลับมาเครียดเริ่องสอบอีกแล้ว ยังเขียนตอนพิเศษไม่ออกเลย หลังจากเรื่องนี้ยังติดตามผลงานกันได้ใน Special Happiness (แต่เรื่องนั้นมาต่อเดือนละตอน) แล้วจะเข้าสู่ช่วงเก็บตัวเขียนนิยายวันเกิดให้สำนักพิมพ์เฮอร์มิทค่ะ (งานดองต้องขุด) ถ้าคิดถึงไปเมาท์ในเพจ/ทวิตเตอร์ได้ เป็นมิตร ใจดี ไม่กัดค่ะ
สุดท้าย ท้ายสุด กราบขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตาม ให้กำลังใจ และติติงทุกอย่าง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้แบงปันความสุขในการเขียนให้กับทุกคนโดยถ้วนหน้า
ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้
สวัสดีค่ะ