20 เศษซาก หลังพายุปลายเดือนธันวาคมของไทยตรงกับฤดูหนาว แต่หนาวจนแล้วจนรอดยังไงก็ไม่มีทางทำให้ผมยืนแข็งอยู่ในหอพักของตัวเองได้กระทั่งฤดูหนาวของปีนี้ กับใครอีกคนที่เคยทำให้บรรยากาศมันอบอวลไปด้วยความอุ่นซ่านในจิตใจ
ใช่ครับ... เคย
เจ้าของรูปร่างเล็ก ผิวขาว หน้าหวานนั่งอยู่บนโซฟาที่เราเคยใช้ร่วมกัน กินข้าวบนนั้น ดูทีวี เรื่อยไปจนถึงขั้นมีเซ็กส์ ที่จริงแล้วแทบทุกตารางนิ้วของพื้นที่ห้องเลยก็ว่าได้ที่ผมกับนัทใช้ประกอบกิจอย่างว่ามาแรมปี โซฟามันฟ้องหรือทีวีเป็นคนบอกคนรักเก่าของผมก็ไม่รู้ว่าไม่นานมานี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาบ่อย ๆ กินข้าว กอดจูบ ทำทุกอย่างเหมือนที่ผมกับนัทเคยทำที่นี่ เขาถึงนั่งหน้านิ่งไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มบทสนทนายังไง เลยยืนกอดอกพิงตู้เย็นสีเทามองอีกฝ่ายร่วมสิบนาทีนับจากที่เปิดประตูให้เข้ามา รอกระทั่งอาคันตุกะคนเคยคุ้นเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“เมื่อวานพี่ยูไปทำอะไรที่พารากอนเหรอครับ”
สุดคำถามผมก็เลิกคิ้วขึ้น นัทคงเห็นผมโดยบังเอิญ ห้างไม่ได้ใหญ่อะไรมากถ้าเทียบกับคนที่เข้าไปใช้บริการแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิดถ้าเราจะได้เจอคนรู้จัก แต่ที่ผมสงสัยคือทำไมไม่ทักตั้งแต่เมื่อวานมากกว่า
“ไปหาพี่เฟยน่ะ จำได้ไหม นัทก็เคยเจอเมื่อปีก่อน”
“แล้วอินไปด้วยทำไมเหรอครับ”
คำถามที่ตามมาต่างหากที่ทำให้ผมเงียบไปพักใหญ่ นัทเป็นคนสุดท้ายที่ผมอยากให้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับอินทรี แต่สิ่งหนึ่งที่ผมควรตระหนักให้ไวกว่านี้คือความลับไม่ได้มีอยู่จริงบนโลก นัทมองหน้าผม ดวงตาสุกใสคู่นั้นแข็งกร้าวชัดเจนราวกับบอกเป็นนัย ๆ ให้ผมพูดสิ่งที่ปิดบังไว้เสียที
“นัทเริ่มสังเกตมาสักพักแล้วเรื่องอินกับพี่ยู ก่อนหน้านี้พวกไอ้หนุ่มมันก็พูดกันว่าเจอพี่กับอินอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ”
“อืม ก็...ประมาณนั้น”
“สนิทกันจังเลยนะครับ สนิทจนนัทไม่รู้ว่าจะมาเจอพี่ยูโดยที่ไม่มีอินอยู่ด้วยได้ยังไงเลย”
“ก็... ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหรอก” ผมอ้อมแอ้มตอบ เบือนสายตาไปทางอื่นที่ทำให้ไม่ต้องสบตากับคนรักเก่าโดยตรง นัทหัวเราะในลำคอ ไม่แน่ใจว่าเยาะหยันตัวเองหรือคำตอบที่เฉไฉของผมกันแน่
“วันนี้ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะพวกผมนัดกันไปติววิชาที่จะสอบพรุ่งนี้น่ะสิครับ”
ประโยคคำตอบนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าวันนี้นัทตั้งใจจะมาหาผมตั้งแต่แรก รอเวลาให้อินทรีแยกไปเป็นที่แน่ชัดก่อนเข้ามาหา และมันได้ผล ตอนนี้ผมถูกต้อนด้วยคำถามจนจนมุมคาบ้านตัวเองพูดขึ้นมาก่อน
“มีอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“พี่ยูต่างหาก มีอะไรจะบอกนัทบ้าง” น้ำเสียงนัทกระด้างขึ้นทุกที ผมถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน สุดท้ายก็ยังคงยืนเงียบ ผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรในเมื่ออินกับนัทก็จบลงแล้ว ผมกับนัทก็ไม่มีอะไรจะต้องเคลียร์กันอีก อันที่จริงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยสักนิดที่ผมจะต้องรายงานว่าตัวเองกำลังคบใครในลักษณะไหนให้คนรักเก่ารู้
แต่นัทไม่คิดอย่างนั้น
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนจากโซฟา ผมเหลือบตาทันมองเพียงนิดเดียวก็ถูกตบเข้าที่แก้มขวาสุดแรง เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังสะท้อนอยู่ในห้องแคบ ๆ ที่เราเคยใช้ร่วมกัน แม้อีกฝ่ายจะตัวเล็กกว่า แต่แรงของผู้ชายที่ซ่อนอยู่ก็ทำผมหน้าหันได้ไม่ยากเลยสักนิด
“พี่ยูทำอย่างนี้ได้ยังไง... อินเป็นของนัท พี่ก็รู้! พี่ทำได้ยังไง ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน ทำไมถึงทำแบบนี้!”
“นัท! พี่กับอินรักกัน และมันเกิดขึ้นหลังจากที่อินมันเลิกกับนัทแล้ว แยกให้มันถูกหน่อย”
“อย่ามาพูดนะ! คนอย่างพี่ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น” ตากลมจ้องมองผมเดือดดาล ผลักอกด้วยมือทั้งสองข้างแต่ผมก็ไม่ปัดป้อง
“หน้าด้าน! คิดว่ามันจริงจังกับพี่นักเหรอ พี่มันโง่ โง่ตั้งแต่ที่ถูกนัทหลอกแล้ว อินก็แค่โมโหที่นัทมานอนกับพี่มันเลยมาตีซี้ด้วย มันก็ทำอย่างนี้กับทุกคนแหละ พี่ลองทบทวนดี ๆ สิ”
รอยยิ้มหยันกดลงต่ำ ผมไม่เคยเจอนัทในมุมที่ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน มือเล็กกระชากคอเสื้อผมลงมาทำให้เห็นรอยจูบที่ซอกคอไม่ยากนัก คนตัวเล็กผงะ ก่อนผลักผมออกอีกที
“โดนแล้วสินะ”“นัท เลิกพูดจาแบบนี้สักทีเถอะ ถ้านัทโกรธพี่ขอโทษ... พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นัทเจ็บ”
“ไม่ได้ตั้งใจบ้าอะไร! คอยดูเถอะเดี๋ยวมันก็ทิ้งพี่ นัทจะคอยหัวเราะเสียงดัง ๆ ให้แล้วกันตอนที่มันเอาเรื่องคาว ๆ ของพี่ไปคุยในวงเหล้า”
“อินไม่ใช่คนแบบนั้น”
ผมเถียง ไม่ใช่เพราะอินทรีผมถึงยอมต่อปากต่อคำด้วยอย่างนี้ ต่อให้เป็นเมื่อก่อนสมัยที่คบกับนัทถ้ามีใครมาวอแวหาเรื่องผมก็สู้แบบนี้เหมือนกัน แต่ที่ไม่อยากรุนแรงด้วยเพราะยังมองอีกฝ่ายเป็นน้อง ความรักของผมกับนัทจบไปแล้วแต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งมันก็เคยเกิดขึ้นและเป็นความจริง
“โง่! คิดจะโง่ตลอดชีวิตเลยหรือไง! พูดขนาดนี้ยังไม่ตาสว่างอีก พี่มันก็แค่ของเล่น ของที่เอาไว้ประดับบารมีอินเท่านั้นแหละ พี่จะรู้จักมันดีแค่ไหนเชียว”
“พี่รู้จักอินดีกว่านัทก็แล้วกัน เลิกสักทีเถอะ มันน่าสมเพช จะพูดจาแบบนี้ทำไม คำพูดพวกนี้ที่นัทพ่นออกมามันกัดกร่อนหัวใจนัทว่าคนที่อินเลือกไม่ใช่นัททั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ปากดี!”
มือเล็กยกขึ้นมาบีบคอผม ออกแรงผลักจนศีรษะกระแทกกำแพงเสียงดัง มาถึงตอนนี้ ผมไม่นึกแปลกใจเลยสักนิดที่คิวจะถูกนัททำร้ายได้ ทั้งคำพูดและการกระทำทุกอย่างโหดร้ายเกินกว่าจะเป็นคนเดิมที่ผมเคยรักมาตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วย
หนึ่งปี สองปี หรืออาจจะสิบปีผมคงไม่มีวันได้รู้จักนัทจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผมคิดว่าเราคบกันด้วยความจริงใจดูเป็นหน้ากากทั้งหมด อาจจะจริงอย่างนัทว่า ผมมันโง่มาตลอด
“หึ...แถมยังมั่นใจจนน่ามันไส้อีกต่างหาก”
นัทหรี่ตามอง มือขาวดันผมถอยไปชิดกำแพงอีกครั้งก่อนฮุกหมัดใส่ท้องในระยะใกล้ ผมเม้มปากเข้าหากัน ไม่คิดจะโต้ตอบตั้งแต่แรกกระทั่งถึงนาทีนี้ แผลที่กายไม่ได้เจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เสียไป “เลิกยุ่งกับอินซะ”
“ทำไมถึงอยากได้มันนัก” ผมกลั้นใจถาม ในความเกลียดชังผมเห็นร่องรอยของความปวดร้าว นัทแค่นยิ้มออกมาแม้เปลือกตาจะแดงก่ำ
“พี่ยูจะไปเข้าใจอะไร...นัทแพ้ไม่ได้! พี่ยูว่านัทจะรู้สึกยังไงที่ผู้ชายสองคนที่เคยเป็นของนัทมาได้กันเอง!”
“เลิกมองแค่ตัวเองได้แล้วนัท เพราะแบบนี้ไงนัทถึงไม่เหลือใคร”
“ไม่ต้องมาทำเป็นสอน! ยังจะสวมบทคนดีอีกเหรอ” ปลายนิ้วหัวแม่มือกับอีกสี่ที่เหลือบีบคางผมไว้แน่น ผมรู้ว่าตัวเองสะบัดหนีได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็จะไม่ทำร้ายนัทเด็ดขาด “ไม่ต้องสร้างภาพกับนัทหรอกพี่ยู พี่มันก็หมาป่าในคราบลูกแกะเหมือนกัน”
“ทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้เหรอนัท...”
ผมถามเสียงสั่น นัยน์ตาคู่นั้นหวั่นไหวแต่ไม่อ่อนลง “ถามตัวเองดีกว่าพี่ยู
ทำไมถึงทำกับนัทได้ขนาดนี้”
ผมหลับตาลงก่อนเสียงข้าวของจะหล่นกระจายตามพื้นจะดังขั้น บางอย่างถูกปาเฉียดหูผมไป กว่าสงครามจะสงบ ก็เหลือเพียงเสียงร่ำไห้ของใครอีกคนที่ดังขึ้นมาแทน นัทนั่งอยู่บนโซฟา ซบหน้าลงกับมือทั้งสองข้าง
ผมเพิ่งสังเกตตอนนี้ว่าอีกฝ่ายผ่ายผอมลงไปมากขนาดไหน..
บางทีนัทก็เป็นแค่คนที่หมดหนทางจะสู้ คนที่น่าสงสารกว่าใคร..“นัท...พี่...”
“อย่ามาโดนตัวนัท! แล้วนัทจะบอกไว้อย่างเอาบุญ”
"............"
“นัทกับอิน
เรายังไม่ได้เลิกกัน!”
เสียงพายุสงบลงแล้ว เหลือเพียงผมกับซากปรักหักพัง คนที่พัดผ่านมาทิ้งเพียงความเจ็บช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ และจากไปเหมือนไม่เคยเหยียบที่นี่มาก่อน แต่เศษหัวใจที่แตกสลายของเขายังคงอยู่ ที่นอกเหนือจากนั้น คือความหวั่นใจของตัวผมเอง
“ยังไม่ได้เลิกกัน...”
ผมย้ำถามคำนั้นอยู่ในใจ ผมรู้จักอินทรีดีเท่าไร ทุกสิ่งที่มันแสดงออกมาเมื่อเราใช้เวลาร่วมกันมันคือความจริงหรือภาพลวงตา ความสั่นคลอนเหมือนยืนอยู่บนเรือลำเล็กที่โคลงเคลงเหนือน้ำ วันที่ลมฝนเพิ่งผ่านไปแม้ผมยังอยู่ได้แต่ก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าจะทรงตัวไม่ไหว
ผมควรเชื่อใจมันขนาดไหนเชียว...
“ไอ้นี่กูทิ้งนะ”
“ครับ”
“ไอ้นี่ด้วยนะ”
“ครับ”
“เชี่ยนี่จะซ่อมหรือทิ้ง”
“ทิ้งเลยครับ”
มีไม่กี่ประโยคที่ผมกับคนมาเยือนยามวิกาลสื่อสารกัน เสียงเศษวัสดุถูกโยนลงถุงดำเป็นระยะ ผมนั่งอยู่บนโซฟาเก่าที่มีรอยขาดวิ่นจากแก้วบาดเหมือนช่วงเช้าไม่มีเปลี่ยน ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับยังไม่สามารถตกผลึกความคิดตัวเองได้พลางก้มมองแผลแก้วบาดที่เท้าที่ได้รับการปฐมพยาบาลอย่างลวกที่สุดจากพี่เฟยไปด้วย
คนมาใหม่ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น อันที่จริงมันตั้งใจจะมาลากผมไปกินเหล้าร้านพี่ตุ้ยแต่เกิดเจอเรื่องเซอร์ไพรซ์เสียก่อนเลยต้องมาคอยเก็บห้องให้ อินโทรมาหาผมสองครั้ง แต่ผมบอกไปว่าไม่ค่อยสบายอยากนอนพักให้มันอ่านหนังสือเต็มที่สอบเสร็จแล้วค่อยมาเยี่ยมทีเดียวเลยเลิกโทรมา น้ำเสียงผมคงอ่อนล้าเต็มทนอินถึงเชื่อสนิทโดยไม่ตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย
“โดนค่าปรับหออานแน่มึง”
พี่เฟยขู่ ซึ่งจากสภาพตอนนี้ก็ไม่เกินจริงเท่าไรนัก ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนมองถุงดำที่ใส่ขยะไว้ถูกลากออกไปทิ้งด้านนอก สักพักรุ่นพี่คนสนิทก็เดินกลับมาเปิดตู้เย็นแล้วเป็นฝ่ายถอนหายใจแทน “ไม่มีเหี้ยอะไรกินเลย”
“หิวเหรอพี่”
“หิวสิวะ กูเก็บห้องให้มึงตั้งแต่สองทุ่ม นี่มันปาไปจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว”
ผมเหลือบมองนาฬิกา จริงอย่างที่พี่เฟยว่า มันดึกมากแล้วแต่ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรทั้งวัน “ออกไปหาไรแดกกันเหอะ”
“ขี้เกียจว่ะพี่”
“จะได้แวะหาหมอด้วย มึงเชื่อใจฝีมือการทำแผลของกูจริงเหรอวะ เศษแก้วออกหมดหรือยังก็ไม่รู้”
ผมก้มลงมองแผลที่เท้าตัวเองอีกครั้ง ได้มาตอนเดินไปเปิดประตูให้คนบ่นนี่แหละ “ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้ว”
พี่เฟยเดินวนไปวนมาหัวเสีย ผมที่ยาวจนถึงกลางหลังถูกรวบไว้เป็นมวยสูงก่อนปลงและเดินมานั่งที่เบาะข้างผม ในมือถือแผ่นกระดาษเล็ก ๆ สีเหลืองที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ของต้นเหตุอาการเบื่ออาหารของผมในวันนี้ทิ้งไว้เมื่อเช้า
“ไปหัวหินไหม”
ผมมองชื่อที่ลงท้ายไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนทีแรก
In sea เสียงของคลื่นยามกระทับตัวกับหาดทรายดังเป็นระรอก สายลมพัดหวีดหวิวราวกับกรีดร้องถึงความปวดร้าวของใครสักคน ทะเลเป็นแหล่งหลบร้อน และหลบรัก แต่สำหรับผมในเวลานี้มันกลับเป็นกระจกสะท้อนภาพของตัวเองกับใครอีกคนเมื่อครั้งก่อนมากกว่า
เพลงที่อินทรีร้องยังก้องอยู่ในหัว น้ำเสียงทุ้มสะกดใจตอนนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเลยแต่กลับเป็นสิ่งที่ลืมไม่ลง ฟ้าคืนนี้มืดสนิทแม้จะเป็นเวลาเกือบตีห้าแล้วก็ตาม
“มันพาผมมาที่นี่ แล้วก็บอกว่าจะจีบผม”
พี่เฟยไม่พูดอะไร อัดควันบุหรี่เข้าปอดแล้วหันไปพ่นอีกทาง ผมทอดสายตายาวและยาวออกไป ไม่รู้ว่าขอบทะเลบรรจบที่ขอบฟ้าตรงในในคืนที่มืดสนิทอย่างนี้
“ทั้ง ๆ ที่ผมทั้งเกลียดทั้งรำคาญมันเลย”
“นี่ขนาดมึงทั้งเกลียดทั้งรำคาญมันนะ”
“ผมเคยต่อยมันด้วยนะพี่ ทั้งๆ ที่ครั้งสุดท้ายที่มีเรื่องก็ม.ต้นได้มั้ง มันกวนตีน เป็นคนน่าโมโห น่ามันไส้...”
“แต่มึงก็รักมัน” ผมไม่เถียง พี่เฟยยื่นบุหรี่มาให้ ถ้าเป็นปกติแล้วผมคงปฏิเสธ
“ผมดูดไม่เป็นนะพี่”
“ไม่ยากหรอก เรื่องเลว ๆ น่ะ ฝึกไม่นานเดี๋ยวก็เป็นเอง ลองดู แล้วใช้ความคิด คิดให้มันดี ๆ ว่ามึงจะเชื่อแฟนเก่ามึงหรือไอ้เหี้ยนั่น”
“ผมไม่รู้ว่ะ” พูดพลางดูดลมหายใจผ่านก้นกรอง ก่อนหันไปไอโขลกให้อีกฝ่ายหัวเราะร่วน “เชี่ย แค่นี้ร้องไห้”
“ร้องเหี้ยอะไรวะ สำลักควัน”
ผมเถียงทันที ยังไอต่ออีกสองสามครั้ง คนที่ยืนข้าง ๆ เอื้อมมือมาแตะบ่าผมแล้วดึงเข้าหา มันกอดผมไว้พลางก้มลงกระซิบเสียงเบา
“งั้นก็สำลักมันออกมาให้หมด อยู่ตรงนี้ไม่มีใครเห็น นอกจากกูกับมึง”เป็นครั้งที่สองที่ผมลองสูบบุหรี่ แต่พิษสงของมันครั้งนี้หนักหนากว่าครั้งแรกหลายเท่านัก น้ำตาที่เล็ดออกมาเริ่มไหลลงไม่หยุด ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายก็ยังอดสะอื้นไม่ได้อยู่ดี หยดน้ำตาที่รินราวกับเขื่อนแตก ร้องไห้ราวกับหัวใจดวงเดียวที่มีแตกสลาย ผมก้าวผ่านความหวาดระแวงไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพบว่าผมไม่เคยผ่านมันไปได้จริง ๆ แม้สักครั้ง ผมจิกเสื้อของพี่เฟยแน่นขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายกลับทำแค่สูบบุหรี่มวนเดิมต่อแล้วเงยหน้าพ่นควันให้ลอยสูง
...เพราะว่ารัก ถึงได้กลัวขนาดนี้
กลัวว่าจะสูญเสียมันไป
กลัวทุกอย่าง ไม่มีจริง
กลัวว่าจะเป็นแค่เรื่องตลกของมัน...
.
.
.
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของวันพุธ เกือบสัปดาห์แล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับรุ่นพี่คนสนิท พี่เฟยนั่งวาดรูปทะเลด้วยสีน้ำอยู่ที่ระเบียง เห็นวาดมาหลายวันแล้ว แต่ส่วนใหญ่ทำแค่ตอนเช้าเพราะช่วงบ่าย ๆ ก็จะออกไปหาอะไรกินกันแล้วก็มานั่งดื่มเบียร์จนเมาปลิ้น มองพระอาทิตย์ตกขอบฟ้า วันไหนไม่สะใจก็เข้าร้านเหล้าที่แน่นขนัดไปด้วยฝรั่งมังค่าต่อ ผมกับพี่เฟยเปิดเกสต์เฮาส์อยู่ด้วยกัน บางวันที่มันได้เด็กจากร้านเหล้าหรือริมหาดถึงค่อยเปิดโรงแรมเพื่อประกอบกิจแล้วกลับมาวาดรูปต่อตอนรุ่งสาง ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่พกโทรศัพท์ ผมทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ออกมาแล้วส่วนพี่เฟยผมไม่รู้ ตั้งแต่มาถึงเรายังไม่ติดต่อกับใครเลยสักคน
“อีกเยอะปะพี่”
“เสร็จแล้ว”
ผมชะโงกตัวไปดู อุปกรณ์ทั้งหมดนี่มันซื้อมาจากร้านค้าในตัวเมืองเพชรบุรี มาอยู่วันแรกไอ้พี่เฟยก็เบื่อแล้วติดที่ผมยังไม่อยากกลับเลยขออยู่ต่อ มันเป็นคนวาดรูปสวย บางวันก็ไปรับวาดภาพเหมือนในตลาดโต้รุ่งหาค่าขนมกินเล่น ๆ
“ขายปะรูปนี้”
“ไม่อะ เอาไว้แขวนในห้องดีกว่า อุตส่าห์ได้มากับมึง”
ผมหัวเราะท้าวแขนกับระเบียง แดดเริ่มแรงแสบผิวแล้วคงสายพอตัว
“ไปอาบน้ำดิ”
“ยังขี้เกียจอยู่เลยว่ะ”
“งั้นก็ไปใส่เสื้อดี ๆ เดี๋ยวจับทำเมียแม่ง ยั่วอยู่ได้” พี่เฟยบอกพลางหันไปสนใจกับรูปวาดของตัวเองต่อ อะไรวะ ทีตัวเองสวมแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาผมยังไม่ว่ามันยั่วเลย ผิวแม่งสวยชะมัด
“มองกูแบบนี้อีกละ”
“เอ้า ทีพี่ยังมองผมเลย”
“กวนตีนแบบนี้ได้หายดีแล้วมั้ง” คนพูดกอดอกมองผม “กลับได้ยังเนี่ย ธีสิสมึงยังต้องส่งไม่ใช่เหรอ”
ผมถอนหายใจยาว มองทะเลตอนกลางวันแล้วก้มหน้าชิดอก ถึงอยากจะหนีความจริงที่เจ็บปวดเท่าไร ทุกคนคงต้องตื่นจากความฝันอยู่ดี
“เช็กเอาต์วันนี้เลยก็ได้พี่”
ร้อยกว่าสายที่ไม่ได้รับ มีของพ่อ ไอ้อั้ม พี่ตุ้ย พีท พี่แจ็ค ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของอินทรีก่อนแบตเตอรี่จะหมดไป ผมนั่งมองโทรศัพท์ตัวเองหลังจากชาร์จทิ้งไว้จนหน้าจอเปิดสักพักก็มีสายเดิม ๆ โทรเข้ามาอีกแทบจะในทันที พ่อเป็นคนแรกที่โทรเข้ามา
“มึงหายไปไหนมา”
“ทะเลครับ”
“เขาตามหากันให้วุ่น” ผมหัวเราะไปตามสาย แต่ก็รู้สึกผิด “แฟนมึงมาตามที่บ้านตั้งหลายครั้ง ทะเลาะกันหรือไง”
“เปล่าครับ” ผมตอบ แต่พ่อไม่เชื่อ “ผมไปกับรุ่นพี่มาน่ะ”
“คนที่ชื่อเฟยน่ะเหรอ”
“รู้อีก แล้วจะทำมาเป็นห่วง”
“รายนั้นอั้มมันก็ติดต่อไม่ได้ เลยคิดว่าหายไปด้วยกัน จะแจ้งความแล้วแต่รอพี่มึงกลับมาก่อน”
ผมครางรับคำ ตอนนั้นมันชั่ววูบวะ วูบใหญ่เสียด้วย ลืมไปสนิทว่ามีอีกกี่คนที่ห่วงรออยู่ข้างหลัง “พ่อ ผมขอโทษ”
“อุตส่าห์จองศาลาแล้ว นึกว่าจะเจออีกทีพร้อมศพ มึงทำกูกับไอ้โยผิดหวังมากรู้ไหม”
“โห พ่อ เกินไป๊”
ผมทิ้งท้ายเสียงสูง พ่อเองก็หัวเราะมาตามสาย เสียงถอนหายใจโล่งอกดังลอดเข้ามาเฮือกใหญ่ก่อนอีกฝ่ายจะพูด “ทีหลังอย่าหายไปอย่างนี้อีก กูเหลือแค่มึงกับน้อง สงสารคนแก่บ้าง...”
“ครับ”
“มีปัญหาอะไรก็เคลียร์ให้จบ ปีใหม่ไอ้โยมันอยากกินบาร์บีคิวอีก กลับมาทำให้มันหน่อย”
ผมถือสายยิ้มค้าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เกิดมาในครอบครัวนี้ ถึงจะกำพร้าแม่หรือพ่อจะทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาให้ผมก็รู้ว่าเราอยู่กันอย่างอบอุ่น เป็นครอบครัวที่กรุ่นไปด้วยความรัก เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อยเรื่องทะเลที่ผมไป เรื่องสอบของโยธินกับงานของพ่อก่อนวางสายและยืนอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
ถึงเวลาที่ผมจะต้องเคลียร์ฝุ่นที่คลุ้งจนคลำหาทางไม่เจอในหัวใจตัวเองได้สักที
มันไม่ใช่นิสัยของผมเลยที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
หลังจากติดต่ออั้มเป็นคนที่สองก็ปิดเครื่องแล้วแอบมานั่งใต้ร่มไม้หน้าคณะเศรษฐศาสตร์ ยืนมองรุ่นน้องเดินผ่านไปผ่านมาเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะเข้าไปทักใครก่อนกระทั่งบีเอ็มดับบลิวสีดำขลับเทียบมาจอด ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่เป็นต้นเหตุของทั้งหมดเดินลงจากรถมา โดยที่ที่นั่งข้างคนขับมีใครอีกคนลงมาด้วย
นัทถือหนังสือเรียนหนาเตอะโดยที่อินทรีมีเพียงตัวเปล่ากับกุญแจรถในมือ มันเหมือนเดิมทุกอย่างต่างก็แต่หน้าตาที่มักจะติดทะเล้นหน่อย ๆ นิ่งสนิท แม้คนที่ลงมาจากรถคันเดียวกันจะเดินไปเกาะแขนเอาไว้ก็ตาม
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทนมองภาพนั้นได้ยังไง แต่ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่เสียใจแล้วไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็ยังรู้สึก
มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเหลือเกิน
“อ้าว พี่ยู! ยืนทำอะไรตรงนั้นพี่”
เสียงของใครบางคนตะโกนขึ้น ผมสะดุ้งเพราะมีชื่อตัวเองอยู่ในนั้น พอมองไปทางต้นเสียงก็พบหนึ่งในเพื่อนของอินกับนัทที่โบกมือให้ไหว ๆ ชื่อหนุ่ม ผมจำมันได้ เป็นคนที่ตั้งใจจะช่วยเคลียร์เรื่องที่ผมทะเลาะกับอินทรีวันก่อน
“มาหานัทเหรอ ยังไม่เห็นเลยนะ เอ้อ นั่นไง มาตั้งแต่เมื่อไรวะ”
ผมปรายสายตาไปยังเจ้าของชื่ออีกคน นัทหันหน้ากลับมาพร้อมอิน เราสบตากันโดยบังเอิญก่อนผมจะเบือนหนี แกล้งจับฟีโน่สีฟ้าของไอ้อั้มโยกไปมาอย่างหัวเสีย
“รถกูมันเสียพอดีน่ะ ไม่ได้มาหาใครหรอก”
“อ้าวเหรอ ผมซ่อมไม่เป็นด้วยดิ เรียกช่างไหมพี่”
“ไม่เป็นไร ๆ มันเป็นแบบนี้แหละ สงสัยเครื่องร้อน รอเครื่องเย็นก็สตาร์ทติดแล้ว ขอบใจมึง”
ไอ้หนุ่มยิ้มรับ ถือแก้วน้ำปั่นอยู่ในมือ “เข้าไปหลบแดดก่อนไหมพี่ ตรงนี้มันร้อน”
“ไม่เป็นไร” ผมเว้นระยะก่อนยิ้มให้มัน “เดี๋ยวกูไปละ ค่อย ๆ จูงไปเดี๋ยวก็ถึง”
“เอางั้นเหรอ” ผมพยักหน้าซ้ำ จับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วออกแรงดัน ฟีโน่เก่า ๆ สีฟ้าสดใสไม่ได้หนักอะไรเลยแต่สำหรับตอนนี้มันกลับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ลำบากเต็มทน สุดท้ายผมก็ยังคงเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ารับความจริงอยู่ดี
ขอเวลาอีกสักนิด ให้ผมได้ทำใจหน่อย เมื่อไรที่ผมเห็นมันสองคนอยู่ด้วยกัน เห็นมือของนัทเกาะแขนอินทรีไว้แล้วไม่รู้สึกอะไรผมจะมาหามันอีกครั้ง จะถามทุกอย่างจากปาก จะรับฟังโดยไม่มีข้อต่อรองอะไรอีกเลย
ก็แค่เวลาที่ผ่านมา มันยังไม่มากพอ
“ไปไหนมา”เสียงทุ้มที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดตอนนี้ถามขึ้น ไม่รู้ว่ามันเดินมาตั้งแต่เมื่อไรเพราะผมเอาแต่ก้มหน้าหลบอยู่อย่างนี้ จะพื้น หรือต้นไม้ อะไรก็เป็นสิ่งที่น่ามองมากกว่าหน้าอินทรีทั้งนั้น
“ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม...”
ประโยคนั้นหมายถึงอะไร ร่างกายหรือจิตใจ ผมไม่รู้ว่าจะตอบมันแบบไหน ถ้าใจ ผมเป็นแน่... เป็นเอามากเสียด้วย
“ยู เป็นอะไรทำไมไม่พูดกันวะ หายไปแบบนี้ผมเป็นห่วงมากรู้ไหม”
“พอเหอะ... ไว้ค่อยคุยกัน กูกลับคณะก่อน มีงานต้องทำ”
“มาห่วงงานเหี้ยอะไรตอนนี้! หายไปตั้งนาน! ไหนบอกว่าสอบเสร็จแล้วจะเจอไง มีอะไรทำไมไม่พูด! ยูเป็นอะไรวะ อยากเห็นผมเป็นบ้านักหรือไง!”
“เฮ้ย..อิน....”
“มึงอย่ามาเสือก!” อินทรีหันไปตวาดเพื่อนตัวเองเสียงดังแล้วเดินมาดึงแขนผม “ไปคุยกันที่ห้อง”
“กู...” ยังไม่พร้อมจะคุยอะไรทั้งนั้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแอ อ่อนแอแม้กระทั่งจะขอร้องให้มันปล่อยมือตอนนี้ อินทรีมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาสีดำขลับจับจ้องดุดัน เปลือกตาและจมูกมันแดงไปหมด “เคลียร์กันยาวแน่ยู”
เสียงปิดประตูห้องเป็นอย่างแรกที่ผมได้ยินหลังจากเดินเข้ามาในคอนโดหรูใกล้มหาวิทยาลัย มันรวดเร็วเกินไปที่ผมจะนั่งตรงนี้อีกครั้งเพราะว่ายังไม่สามารถเรียบเรียงอะไรในใจได้สักอย่าง ควรจะถาม จะอธิบาย หรือเล่าเรื่องอะไรก่อน แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร อินทรีก็ดึงผมไปกอดไว้ กอดแน่นจนรู้สึกเหมือนจะแตกสลาย มันฝังหน้าลงกับคอผมพลางสะอื้นไปด้วย
“พี่หายไปไหนมา...ผมเป็นห่วงจนแทบบ้า!”
นั่นเป็นคำถามแรกที่ผมควรตอบ ผมสูดลมหายใจเข้ายาวก่อนดันอกให้มันคลายอ้อมแขน “หัวหิน ไปกับพี่เฟย”
“ไอ้เหี้ยนั่นไม่จบใช่ไหม!”
“ไอ้อิน ใจเย็นดิ”
“จะให้เย็นได้ไงวะ!” ผมจ้องหน้ามันนิ่ง อินทรีปล่อยมือจากผมแล้วไปลูบหน้าตัวเองหนัก ๆ “ครั้งสุดท้ายนะยู อย่าให้เห็นอีก”
“กูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“แล้วทำไมต้องมัน ไปกับผม ไปกับพี่อั้มก็ได้”
“เขาบังเอิญอยู่กับกูวันนั้น” ผมตอบเสียงเรียบ “วันที่นัทมาบอกกู ว่ามึงกับนัท...
ไม่ได้เลิกกัน”
ภายใต้ความเงียบของเรา ผมได้ยินเสียงหัวใจของเราตะโกนคุยกัน อินทรีมองหน้าผม มองตาผม แววตาตัดพ้อนั่นฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด “แล้วพี่ก็เชื่อมัน?”
“ไม่ได้เชื่อ... แค่คิด”
“พี่ไม่ไว้ใจผมเลย”
“แล้วที่กูเห็นวันนี้ มันคืออะไรวะ...”
ผมถามมันเสียงสั่น อินทรีที่ออกค่าคอนโดให้นัท อินทรีที่ยังให้เบาะข้าง ๆ เป็นของคนรักเก่า อินทรีคนที่ยอมให้คนที่เลิกไปแล้วเกาะแขนแบบนั้น...
มันไม่ใช่อินทรีที่ผมรู้จัก... ไม่ใช่เลย
“ก็ไม่มีอะไร”
“มีอยู่สองอย่าง อิน... หนึ่งคือคนที่กูเห็นวันนี้คืออินทรีคนที่กูไม่เคยรู้จัก หรือที่จริงแล้ว มึงโกหกกูเรื่องนัทมาตลอดกันแน่”
“...........”
“ถ้านี่เปนเกมของมึง กูแพ้แล้ว... ช่วยเฉลยตอนจบให้กูฟังทีว่าที่ผ่านมามันคืออะไร” ผมตั้งใจจะไม่ร้อง แต่สุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดก็กลั่นมาเป็นหยดน้ำตา ผมกำลังอ่อนแอ หมดเรี่ยวแรงจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งได้อีกต่อไป “ถือเสียว่าสงสารคนโง่ ๆ อย่างกูเหอะว่ะ”
คู่สนทนาเม้มปากเข้าหากัน แววตาคู่นั้นทั้งสับสนและหวั่นไหว เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจจนล้นปรี่
ผมหลับตาลงปล่อยให้น้ำตารินออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ผมรักยู”
“กูไม่อยากได้ยิน”
“...ผมขอโทษ...”
แม้มันจะดึงผมเข้าไปกอด ถึงแม้มันจะโน้มตัวลงมาจูบซับน้ำตาให้ มือทั้งสองข้างของมันกลับเย็นเยียบ จูบของมันไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบในอกอีกต่อไป หัวใจผมบีบคล้ายจะแหลกราญคาที่ หมดกำลังจะขืนตัวออกแม้อ้อมแขนของมันจะทำให้ผมทรมานแทบขาดใจ
“...ผมปิดเรื่องนัททั้งหมดเอง”
TBC
อรุณสวัสดิ์ค่าาาา พี่ยูร้องไห้แล้ว ฟินได้
ใกล้จะเฉลยแล้วววว ทนนิดนึงนะะะะะะ ขอบคุณที่เข้ามาต้มมาม่าไปด้วยกัน เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ฮอลลลลล
จริง ๆ ตอนนี้มีประโยคน่ามันไส้ของพี่ยูอยู่หรอกนะ แบบ กูกะอินจะคบกันนัทเสือกไร /นี่เป็นความคิดของคนเขียนที่ใส่ไปเอง (มีปากเสียงบ้างเถอะพ่อ)
ตอนนี้ชอบพี่เฟยสุดดดดดดด เรื่องต่อไปแต่งเฟยเวสต์ แอร๊
ช่วงนี้ฝนตก เหมือนจะไม่สบายเลย ทุกคนรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขกับน้ำตาพี่่ยูในตอนนี้นะ ด้วยรักกกก
สัญญาว่าตอนจบแฮปปี้เอนดิ้งค่าาา