17 Never let him goสาม หรือสี่สัปดาห์แล้วนะที่ไม่ได้คุยกันเลย ขี้เกียจจะนับ ไม่รู้นับทำไม ยังไงอินทรีก็ไม่ได้กลับมาอยู่ดี
ผมเดินอยู่ในร้านของวัสดุที่ต้องใช้สำหรับทำโมเดลส่งอาจารย์ ที่จริงของพวกนี้ก็มีอยู่แล้วแต่ยังขาดนิดหน่อยเลยมาซื้อไว้ตุนกับไอ้พีท ตอนแรกออกจากมอมากันหลายคนแต่ไอ้อั้มกับคนอื่นแยกกันไปหลังกินข้าวเสร็จ มีก็แต่รุ่นน้องที่ไม่มีที่ไปเหมือนกันมาเดินเป็นเพื่อน เย็นนี้นัดกันไปทำที่สตูของคณะไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องเหมือนวันอื่น ๆ
ผมถอนหายใจ ยืนมองกรรไกรเหม่อ ๆ อันที่ใช้อยู่แม่งใครเอาไปตัดเทปกาวไม่รู้เหนียวหนึบเลย ซื้อใหม่ไปสักอันดีไหมนะ...
“ไหวปะวะพี่ยู”
เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น มันตบบ่าผมด้วยความเคารพก่อนหยิบกรรไกรที่ถูกจ้องลงตะกร้าแล้วถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนญาติใกล้เสีย “ยังไม่เคลียร์กันอีกเหรอ”
“เคลียร์อะไร”
“เรื่องวันนั้นน่ะ ที่จริงผมก็พอรู้อยู่ ไอ้มาร์ชเดินหัวเสียออกมาจากห้องน้ำ”
ผมจำชื่อมันได้ จำหน้าได้ด้วย แต่ไม่ได้นึกโทษอะไรมัน ถึงมาร์ชจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนแต่ผมก็ผิดว่ะ ไม่รู้จะไปโยนความผิดให้คนอื่นสบายใจไปทำไม
“ไม่รู้จะเคลียร์อะไร”
“เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ”
ผมแค่นหัวเราะ แฟนเหี้ยอะไรล่ะ เปล่าสักหน่อย... ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันทั้งนั้น แค่จำได้ว่าวันนั้นไอ้อินมันพูดว่าอะไรออกมา
รักงั้นเหรอ...ไม่ใช่คำที่จะมาพูดพล่อย ๆ นะเว่ย
“ช่างเหอะ มึงเอาอะไรอีกไหม”
“หนม” พีทตอบแบบไม่ต้องคิด ผมเลยเอาของใช้ไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนพามันเข้าซุปเปอร์มาเก็ต เดินเข็นรถตามรุ่นน้องเนือย ๆ แบบไร้วิญญาณ ผมมีแต่เรื่องอินทรีในหัว ไม่รู้จะจัดการยังไงได้
“ไปขอโทษมันเสียก็จบ”
พีทเปรยขึ้นลอย ๆ ผมปรายหางตามองมันแต่ก็ยังกลุ้มใจ ไม่จบเว้ย กูแทบจะทำบายศรีไปขอขมามันอยู่แล้วแต่ทางนั้นมันบอกว่าไม่พอ ความรู้สึกของอินไม่สามารถเยียวยาด้วยคำ ๆ เดียวได้ มาถึงตรงนี้ก็คิดไม่ตก น้ำหน้าอย่างผมจะไปทำอะไรได้นอกเสียจากสำนึกผิดกับตัวเองไปวัน ๆ
วันนั้นที่ทะเลาะผมก็อารมณ์ขึ้นด้วย ไม่รู้ว่าเพราะหงุดหงิดจากที่คุยกับไอ้อั้มเมื่อตอนหัวค่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือเปล่า แต่แย่ว่ะ บอกตรง ๆ เลย ไม่มีคำไหนนิยามได้นอกจากคำนี้แล้วจริง ๆ
“มันน่าจะใจเย็นลงแล้วล่ะวันนี้ ผมว่าพี่ไปง้อใหม่เหอะ ไอ้อินก็คงไม่สบายใจเหมือนกันนั่นแหละ”
“มันเกลียดกูแล้วมั้ง”
“ถ้าคนรักกันมันเกลียดกันง่าย ๆ โลกนี้คงไม่มีคนอกหักแล้วว่ะพี่”
ผมถอนหายใจยาวแข่งกับไอ้พีทในทีแรก เดินช่วยมันเลือกขนมเป็นเสบียงตุนไปถึงพรุ่งนี้เช้า “ไว้จะลองใหม่ก็แล้วกัน”
BMW ทะเบียน 9898 โดดเด่นเสมอโดยเฉพาะในช่วงค่ำที่นักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านไปแล้ว ผมออกมาเซเว่นคนเดียว ถือใบฝากซื้อของยาวเป็นหางว่าว พกมาแต่กระเป๋าตังค์ ไม่มีมือถือมาด้วย ของพวกนั้นวางไว้เถอะครับไม่หายหรอก แต่ถ้าเป็นดินสอสเกตซ์ล่ะก็เผลอเป็นโดนกวาดเรียบ ผมสงสัยมานานแล้วว่าใครมันชอบเอาไป เรียนตั้งแต่ปี 1 ยัน ปี 5 มีแต่คนโวยว่าดินสอ – ปากกาหาย ไม่เห็นใครพูดว่าเจอของคนอื่นกันเลยสักคน ถ้าจะถามว่าที่บ่น ๆ มามันเกี่ยวอะไรกับรถหรูคันคุ้นตาก็คงเป็นเพราะวันที่ผมอยู่ดึกเผางานโต้รุ่งแบบนี้ดันเจอมันถูกจอดทิ้งไว้ข้างเซเว่นของคณะเท่านั้นแหละ
โดยอัตโนมัติผมเผลอสอดส่องสายตาหาเจ้าของรถทันที แต่มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นวี่แวว สงสัยอยู่ติวสอบแล้วที่จอดแถวหอสมุดเต็มเลยมาแปะทิ้งไว้แถวนี้เฉย ๆ ตัวอาจจะไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่อื่น
“อ้าว พี่ยู ออกมาคนเดียวเหรอคะ”
ผมสะดุ้งเมื่อถูกเสียงเล็ก ๆ ทัก นักศึกษาปีสองยิ้มให้ผมตาปิด เด็กผู้หญิงตัวเท่าบ่าชื่อหงส์ เป็นหนึ่งในหลายคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับมาร์ชเมื่อวันนั้น
“อืม หงส์มากับใครน่ะ”
“หงส์มารับมาร์ชน่ะ พอดีมันจะขอมาดูห้องสตูของถาปัตย์ เก็บข้อมูลไปทำหนังสั้นน่ะค่ะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนขอปลีกตัวออกมา แต่น้องหงส์เดินมาเกาะผมแจจนผมหันไปถาม “แล้วเพื่อนเรายังไม่มาเหรอ”
“มาสักพักแล้วค่ะ หนีไปกินช้าวกับหนุ่มอยู่ อุ้ย...หงส์ขอโทษ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก พี่กับมาร์ชไม่ได้อะไรกัน” ผมตอบปัด ๆ แต่ใจยังระแวงถ้าขึ้นไปที่ห้องสตูแม่งก็ต้องเจอผมกับพวกไอ้พีทด้วยสิวะ ช่างแม่งเหอะ อยู่มุมใครมุมมันก็แล้วกัน
ผมไม่สนใจหงส์ต่อ เลือกซื้อขนมตามโพยที่ได้มา ส่วนมากก็ไม่พ้นเครื่องดื่มชูกำลังหรอก ส่วนน้ำแข็งที่สั่งกันเยอะ ๆ เนี่ยเดี๋ยวเอาใส่กระติกแช่ลิโพ นอกจากนี้ยังเป็นข้าวกล่อง ขนมปัง มีพลาสเตอร์ยาด้วย ดึก ๆ เหตุนองเลือดมันเยอะ คัตเตอร์บาดกันเป็นทิวแถว
“หงส์ อ้าว...พี่...”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมกับเจ้าของชื่อหันขวับกลับไป เด็กผู้ชายตัวเล็กในชุดสุภาพเหลือบมองผมกับเพื่อนแล้วหน้าซีดทันตาเห็น ส่วนหนุ่มที่หงส์อ้างว่าไปกินข้าวกับมาร์ชเดินตามกันมาหยุดอยู่ไม่ไกลกันนัก พอมันเห็นผมก็หมุนตัวเตรียมกลับไปที่รถทันที
“เฮ้ย เดี๋ยว!”
ผมตะโกนเรียกอินทรีเอาไว้ซึ่งได้ผล ชายหนุ่มเอี้ยวตัวกลับมามองแล้วยืนนิ่ง มันไม่เดินมาหาแต่ก็ไม่ได้เดินหนี
“ช่วยถือตะกร้าหน่อย”
เชี่ยยูเอ๊ย... ทำห่าอะไรของมึงเนี่ย ง้อบ้านพ่อบ้านแม่ผมไม่ทำแบบนี้แน่ แต่จนปัญญาจะคิดทันจริง ๆ ใช้งานแม่งเลยแล้วกัน ผมยัดตะกร้าสีส้มของร้านสะดวกซื้อที่ของเต็มจนเกือบล้นใส่มือมัน อินทรีไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยอมถือเอาไว้ขณะที่ผมไปหยิบตะกร้าใหม่
“อ่า... มาร์ชมาแล้ว งั้นเดี๋ยวหงส์พามาร์ชไปดูสตูก่อนดีกว่า จะได้กลับไม่ดึก เจอกันข้างบนนะคะพี่ยู”
เด็กสาวเพียงคนเดียวพูดกับผมให้ต้องพยักหน้าให้ส่ง ๆ แล้วเลือกหยิบของอื่น ๆ ที่ยังไม่ครบใส่ตะกร้า เซเว่นตอนสองทุ่ม ไม่มีใครเลยนอกจากผม อินทรี และพนักงานคิดเงินแต่เรากลับไม่พูดอะไรกัน
“ไฟแช็กอันเท่าไรครับ”
“9 บาทค่ะ”
“คิดเงินรวมเลยครับ”
ประโยคแรกเป็นของอินทรี ส่วนประโยคท้ายเป็นของผมที่กวาดรวมไฟแช็กสีเขียวน้ำทะเลรวมกับของอื่น ๆ ไปด้วย พนักงานคิดเงินจัดการยัดทุกอย่างลงถุงเสร็จสรรพรวมแล้วได้สี่ถุงใหญ่จนผมแอบคิดว่าถ้ามาคนเดียวกลับไปแขนกูเดี้ยงแน่ งานเงินไม่ได้กันพอดี โชคดีแค่ไหนที่มีอินอยู่ด้วยมันเลยไปส่งให้ถึงหน้าตึก
“ไม่ได้เจอกันนาน”
ระหว่างทางเดินที่มีเพียงไฟสีส้มจากหลอดริมถนนอินทรีเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ผมถอนหายใจระบายความเครียดลงแล้วตอบมันด้วยคำถาม “อืม เป็นไงบ้าง”
“ก็ดี ใกล้สอบแล้ว”
“อยู่อ่านหนังสือเหรอ” ผมถาม แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า “จะกลับแล้ว พอดีเจอไอ้นั่นเลยลากมันไปกินข้าวก่อน”
“แค่กินข้าว?”
อินทรีไม่ได้พยักหน้ารับ มันรวบถุงมาถือไว้มือเดียวแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ที่จริงผมไม่เห็นมันสูบนานแล้ว ไม่รู้ว่าเลิกไปหรือแค่ไปสูบไกลหูไกลตาผมเฉย ๆ
“แล้วก็เอามันไปเค้น เรื่องวันนั้น ที่จริงแปลกใจนิดหน่อยที่มันโผล่มาวอแวอะไรที่นี่ เห็นว่าเรียนมหา’ลัยอื่น”
ผมพยักหน้า แต่ก็ยังไม่มั่นใจ “...มึงไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม”
“อย่างเช่น?”
“เปล่า...” ผมเอ่ยเสียงเบา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อากาศช่วงนี้เย็นลง แต่ยังมีฝนตกประปราย ดาวบนฟ้าเห็นชัดกว่าทุกฤดูกระนั้นก็ยังสังเกตได้ยากเพราะเป็นท้องฟ้าของเมืองหลวง ผมมองเหมือนมีอะไรน่าสนใจนักหนา ทั้งที่ความจริงแล้วในเวลานี้อยากมองหน้าอินมากกว่าเป็นไหน ๆ
“กูขอโทษนะเว่ย...วันนั้น”
“ช่างมันเถอะ”
“เรา...”
จะกลับมาคุยกันเหมือนเมื่อก่อนได้ไหมวะ? ผมกลืนคำพูดพวกนั้นลงคอ กะพริบตาสองสามครั้งก่อนหันมายิ้มให้อิน ระยะทางระหว่างเซเว่นกับตึกคณะใกล้กันเกินไป ผมรู้สึกเหมือนยังไม่ได้คุยอะไรกับมันเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ายิ้มทำไม แต่มันคงเป็นยิ้มที่แห้งแล้งเต็มทน
“ถึงแล้ว ขึ้นไปเหอะ เดี๋ยวงานก็ไม่เสร็จ”
มันยื่นถุงพลาสติกในมือคืนให้ผม เรามองหน้ากันอยู่อย่างนั้นนาน ถึงผมจะถือของเอาไว้ทั้งหมดแล้วแต่ก็ยังไม่ขยับไปไหน อินทรีนิ่งเงียบแบบนี้ ทำให้ผมหวั่นใจมากกว่ามันโวยวายเป็นเท่าตัว
“ผมไปละ”
“เดี๋ยว...”
เป็นครั้งที่สองของวันที่ผมรั้งอินไว้ ปลายคิ้วโก่งที่มักจะยกขึ้นกวนประสาทวันนี้มันลกขึ้นแทนคำถาม ของที่เพื่อนฝากซื้อพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือผมเลยแค่เดินเข้าไปให้ใกล้มันที่สุด ไม่มีมือข้างไหนว่างสำหรับกอดมัน ที่ทำได้ก็แค่วางหน้าผากซบลงบนไหล่ลาด กลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดียวกันที่ผมฉีดมาเมื่อเช้าลอยขึ้นเด่นชัด อินทรียังคงเงียบอยู่ แต่โชคดีเหลือเกินแล้วที่มันไม่ได้ผลักไส
อันที่จริง... สำหรับในวันนี้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว“ฉีดน้ำหอมมาด้วยเหรอ”
ผมพยักหน้าทั้งที่ซบบ่ามันอยู่ทำให้เส้นผมถูไถกับเสื้อนักศึกษา อินทรียกมือขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ แต่ไม่กอด มันอาจจะรู้ว่าผมโหยหาสัมผัสของมันแค่ไหนถึงได้ทำเพียงแค่นี้ราวกับจงใจจะขัดใจ
“คิดถึง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่โรยแรงเต็มที มือที่ลูบหัวในทีแรกชะงักไป อินทรีทิ้งแขนลงข้างลำตัว นั่นคงหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องกลับขึ้นไปทำงาน
“ขับรถดี ๆ ล่ะ”
“อืม.. ไว้เจอกัน”
ผมยิ้มให้มันอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้รับรอยยิ้มตอบ หันหลังเดินจากมาแม้จะยังอยากอยู่ด้วยให้นานกว่านี้ ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ ความรู้สึกของมันที่มีต่อผมหมดลงไปแล้วหรือยัง ถ้ายิ่งเซ้าซี้มันจะรำคาญมากแค่ไหน ผมไม่ใช่คนคิดมาก ไม่เคยเป็นคนวุ่นวายเวิ่นเว้อมากขนาดนี้ แต่อินทรีเป็นคนที่เข้ามาทำลายกฏของตัวเองลงทุกอย่าง
ประตูห้องสตูดิโอของภาควิชาสถาปัตยกรรมหลักเปิดออก อันที่จริงก็ไม่ใช่ของเมเจอร์ผมอย่างเดียวแต่ในช่วงที่งานเร่งแบบนี้ห้องเรียนที่ถูกใช้เป็นแหล่งกบดานจะถูกคุกคามโดยภาควิชานี้เป็นส่วนใหญ่ มีตั้งแต่ชั้นปี 1 ไปจนถึงปีแก่ พอเห็นผมถือถุงขนมเข้ามาก็ตาลุกวาวกันถ้วนหน้า
“เฮ้ย พี่ยู ไมไปเซเว่นไม่เรียกเลยวะ”
“พวกมึงเห็นในมือกูไหม ขนาดแอบไปแล้วยังต้องหิ้วมาขนาดนี้”
ผมหันไปบ่นเสียงเนือย แต่ไอ้พวกที่ตะโกนแซวกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ห้องสตูนี้เต็มไปด้วยเศษกระดาษและโมเดลผุ ๆ โต๊ะสำหรับสเก๊ตซ์วางระเกะระกะและจะถูกเบียดไปรวมกันเมื่อนักศึกษาบางคนหมดแรง ต้องการพื้นที่สำหรับซุกตัวลงงีบบนพื้น
ผมเดินผ่านกลุ่มรุ่นน้อง มีมาร์ชนั่งอยู่ด้วยในนั้นแต่ไม่ได้คิดจะทักทายอะไรกัน ไอ้อั้มเห็นผมเดินมาก็ช่วยแบ่งถุงขนมมาถือเอง
“ได้ข่าวว่าเจอมัน”
“ข่าวไวเหี้ย ๆ”
“น้องหงส์ขึ้นมาก็เมาท์แตก กูจะโทรไปถามก็เสือกทิ้งมือถือไว้นี่”
ผมพยักหน้า มองไอ้อั้มแจกจ่ายเสบียงให้คนอื่นแล้วมานั่งที่โต๊ะของตัวเองที่ตัดกระดาษคาไว้ “กูรู้สึกแย่ว่ะ”
“เอาน่า เดี๋ยวก็ดีขึ้น ทำงานให้ลืม ๆ ไปก่อน”
“งานกูคงเสร็จก่อนใครอะถ้างั้น”
ผมแค่นยิ้ม หยิบดินสอกับปากกาขึ้นมาควง “แย่ว่ะ โคตรแย่”
“แดกเหล้าปะ?”
“งานไม่เสร็จนี่ดิ”
ผมถอนหายใจยาว อยากจะร้องไห้เต็มแก่ ตุ๊ดเหี้ย ๆ เลยแต่มันเจียนจะทนไม่ไหวแล้วรอมร่อ ผมที่เคยรำคาญมันจะตาย ผมที่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่อับอายในชีวิต แต่ในเวลานี้กลับเสียใจที่มันตีตัวออกห่าง
“แม่งเข้ามาในชีวิตกู ทำกูป่วนไปหมด ไม่พอใจอะไรก็ทิ้งกันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอวะ มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
อั้มส่ายหน้า มันยื่นขวดเครื่องดื่มชูกำลังเย็น ๆ ให้ผม เห็นแล้วนึกถึงกระทิงแดงอุ่น ๆ ของอินทรีชะมัด
“ไปร้องไห้ก่อนไหม”
ไอ้อั้มยังเป็นคนที่เข้าใจผมดีที่สุดตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ผมถอนหายใจออกมา เห็นบุหรี่ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะอั้มแล้วฉวยมาถือไว้
“ทำเหี้ยอะไร ดูดเป็นเหรอไอ้สัด”
เจ้าของตบหน้าผากผมจนหงายแล้วยื้อกลับคืนไป มันโยนไปกองกับเศษกระดาษบนพื้นพลางส่ายหน้า “ดูดไม่เป็นแล้วอย่าสะเออะ เสียดายของ งานมีก็ทำไป ทนไม่ไหวก็ไปร้องไห้ในห้องน้ำ”
“กูไม่ร้องหรอก”
“แล้วมึงจะเอาไง” ไอ้อั้มกอดอกถาม ผมเม้มปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ไม่ใช่ง้อคนไม่เป็น แต่คนอย่างไอ้อินผมไม่รู้ว่าควรง้อยังไงต่างหาก เพื่อนสนิทหัวเราะขึ้นจมูก เดินมายีหัวผมแล้วยิ้ม
“เป็นเอามาก รู้ตัวไหม”
ผมถอนหายใจ ปัดมือมันออกจากหัว
ไม่ต้องย้ำไอ้เหี้ย ทำไมกูจะไม่รู้ตัว...
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อที่ผมต้องมายืนหน้าคณะเศรษฐศาสตร์ด้วยความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง ย้อนกลับไปเมื่อปีเกือบจะถึงสองปีก่อนที่ผมถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่รอใครบางคนเลิกเรียน และหลังจากที่เห็นหน้านัทผมก็มือสั่นไปหมด แม้ความสัมพันธ์ของผมกับนัทในเวลานั้นจะเกินเลยกว่าจะมาเขินกันแล้ว แต่วันที่ตั้งใจจะขออีกฝ่ายคบอย่างเป็นทางการก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า สายตานับสิบของคนรอบบริเวณนั้นที่มองมาไม่ได้ต่างจากเวลานี้ เพียงแต่ผมไม่ได้มาหานัท ไม่ได้มาขอไอ้อินเป็นแฟน และไม่ได้มีอะไรอยู่ในมือสักอย่าง
“พี่ยูมาหาใครคะ”
เด็กสาวหนึ่งในหลาย ๆ คนที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างเดินมาถาม ผมส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ เหลือบมองไปยังรถยุโรปทะเบียนคุ้นตาที่จอดหน้าตึกแทนคำตอบ ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะคิกคัก ก่อนพยักเพยิดไปด้านหลังที่กลุ่มไอ้อินนั่งอ่านหนังสือกันไม่เงยหน้าเงยตาสักคน
“ยังเคลียร์เรื่องนัทกันไม่จบเหรอคะ”
“อ่า...เปล่าครับ พอดีมีธุระอย่างอื่น”
ผมตอบอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้หญิงคนเดิมไม่ได้พูดอะไรต่อผมเลยเลี่ยงไปหาคนที่ตั้งใจมาเจอ เสียงคุยที่ล้งเล้งกันในทีแรกเงียบไปเมื่อหนึ่งในหลายคนของกลุ่มมันหันมาเห็นผมเสียก่อน
“พี่ยู หวัดดีครับ”
“อืม...” ผมตอบในลำคอ จ้องไอ้อินที่ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะยอมละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองผม
“มีธุระอะไร”
จี๊ดว่ะแม่ง คำพูดคำจา กูล่ะอยากเอาส้นตีนยันหน้า “ทำไมต้องมี มาหาเฉย ๆ ไม่ได้เหรอ”
“เฮ้ย พี่ยู อย่ากวนมันเลย พักนี้มันอารมณ์ไม่ดี มีไรปะพี่ นั่ง ๆ มาหานัทเหรอ รอแป๊บนะมันไปขี้”
ผมส่ายหัว ไม่ได้หันไปคุยกับเพื่อนนัทที่เป็นเพื่อนอินด้วย ไอ้เวรนี่ชื่ออะไรผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ
“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย”
“พี่ยูคร้าบ ไปกับผมดีไหม อย่ายุ่งกับอินมันเลย จะเคลียร์อะไรกันเอาไว้นอกมหา’ลัยเหอะพี่ จะสอบแล้วเดี๋ยวได้โดนทัณฑ์บนกันหมด ผมเลี้ยงข้าวเลยก็ได้เอ้า”
ผมระบายลมหายใจออกมายาวเหยียดยังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้คนพูดมากก็ลุกมาจับแขนผมไว้ ถูลู่ถูกังเดินออกมาจนอินทรีต้องเป็นฝ่ายปรามเพื่อนตัวเอง
“อย่าเสือก ไอ้หนุ่ม”
“เฮ้ย แต่...”
“เดี๋ยวกูมา” อินทรีพูดแล้วปิดหนังสือลงโดยมีกระดาษเอสี่คั่นเอาไว้ เพื่อนที่ชื่อหนุ่มของมันอ้าปากพะงาบ คงเข้าใจว่าผมกับอินทรีมีเรื่องกันอีก แหงล่ะครับ หน้าตาบุญไม่รับทั้งคู่เสียขนาดนี้ แต่ถ้าบอกว่ามางอนง้อกันอะไรทำนองนั้นคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับคนนอกเสียมากกว่า
“อย่ามีเรื่องกันนะโว้ยพรุ่งนีเช้าสอบ”
อินทรีพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเดินล้วงกระเป๋านำมาที่รถ ผมเปิดประตูข้างคนขับเข้ามานั่ง ส่วนเจ้าของก็เข้าประจำที่ของมัน
“จะไปไหน”
“กินข้าว”
“นี่มาชวนผมไปกินข้าวจริง ๆ น่ะเหรอ”
ผมเงียบแทนคำตอบ กอดอกแล้วมองออกไปด้านนอก กลุ่มเพื่อนมันยังชะเง้อคอมองด้วยความเป็นห่วงไม่เลิก
“จะไปกินที่ไหน”
“แล้วแต่มึงเลย”
“ยูเป็นคนชวนผมนะเว้ย”
ประโยคหลังบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดได้ดี ไอ้อินรำคาญที่จะต่อล้อต่อเถียง คงอยากรีบคุยให้มันจบ ๆ ไปมากกว่า
เพียงแต่ว่า.. ผมไม่ได้อยากจะจบกับมันสักหน่อย
“ร้านแถวนี้ก็ได้ ต้องกลับมาอ่านหนังสืออีกไม่ใช่เหรอ”
“ช่างแม่งเหอะ จะกินอะไรก็พูดมา อย่าทำตัวน่ารำคาญ แล้วทีหลังจะไปไหนก็โทร ไม่ต้องมาที่คณะ อยากเจอไอ้นัทมันนักหรือไง”
อยากเจอกับผีน่ะสิ มึงไม่รู้หรอกว่ากูทำใจขนาดไหนก่อนมาบุกรังเศรษฐศาสตร์ เจอนัทไม่ได้น่ากลัวเท่านัทถามว่าผมมาทำอะไรที่นี่ คิดว่าสนุกนักหรือไงกับการพูดอ้อมแอ้มว่ามาเพื่อที่จะเจอกับอดีตศัตรูหัวใจตัวฉกาจ
ผมถอนหายใจ ท้าวคางมองออกไปนอกรถ ไอ้อินขับออกจากมหาวิทยาลัยแล้วแต่ไม่ได้ไปไหนไกลนัก ก่อนแวะร้านอาหารตามสั่งที่ผู้คนไม่หนาตา
“กะเพราไก่ไม่เผ็ด ไข่ดาวมะตูมสอง”
อินทรีสั่งให้ผมเสร็จสรรพทันทีที่ถึงโต๊ะก่อนหันมาเปิดน้ำขวดเพราะไม่ยอมกินน้ำเติมจากเหยือกตามนิสัย
“มีอะไรจะพูดก็พูด”
“ไม่ได้มีอะไร ก็บอกไปแล้วว่ามาชวนไปกินข้าว”
“ยู อย่าเล่นลิ้น”
“มึงก็เลิกงอนเป็นสาว ๆ สักทีสิ” ไอ้อินเหลือบตาขึ้นมองผมแล้วยืดตัวนั่งพิงเก้าอี้ไม้
“นี่มาง้อเหรอ”
“ก็มึงบอกว่ารักกู”
“พี่ไม่จำเป็นต้องมาง้อคนที่บอกว่ารักพี่ทุกคนก็ได้นะ ลืมมันไปเหอะ เรื่องวันนั้น”
“แล้วมึงลืมเหมือนกูไหมล่ะ” ผมถามกลับทันที อินทรีแค่นหัวเราะแล้วหลบตา
“ยูพูดมาเลยดีกว่าว่าต้องการอะไรจากผม ไม่ชอบแบบนี้ อยากได้รับตัวเล็ก ๆ น่ารักผมก็ถอยให้แล้วไง เหนื่อยว่ะ ไม่รู้ว่าวิ่งตามอะไรอยู่”
“บทจะถอยมึงก็ถอยแบบนี้เลยน่ะเหรอ” ผมถามพลางจ้องหน้ามัน อินทรีเหลือบตาขึ้นสบผมนิดเดียวแล้วเบือนหนีไปทางอื่น
“อย่าทำเหมือนผมสำคัญนักได้ไหม ผมเอาใจยูไม่ถูก”
“ก็ไม่ต้องเอาใจ แค่ให้เหมือนเดิม กูผิด กูขอโทษ ทำยังไงให้มึงหายโกรธได้ แบบนี้กูไม่สบายใจเลยพูดตรง ๆ”
ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวไม่สุกมาเสิร์ฟแล้ว อินทรีไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงผมที่ยังเฝ้ารอว่าบทสนทนาของเราจะไม่สิ้นสุดลงแค่นั้น แต่จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ยังไม่บอกว่าผมต้องทำยังไงมันถึงจะหายโกรธ
อินทรีเรียกเก็บเงิน เป็นมื้ออาหารที่สั้นที่สุดที่เราเคยกินด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่อึดอัดจนไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาได้ยังไง ผมลุกเดินกลับไปที่รถ วางเงินค่าอาหารทิ้งไว้โดยออกส่วนของไอ้อินให้ด้วย อีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจ ยัดเงินคืนใส่มือผมลวก ๆ
“ไม่ต้องมาจ่ายให้”
“กูชวนมึงมา กูจะจ่ายให้ จะทำไม”
“เก็บเงินไว้เลี้ยงเด็กของยูเหอะ”
“มึงจะเอาจริง ๆ ใช่ไหม!”ผมผลักอกมันจนถอยหลัง ไอ้อินมองผมด้วยแววตาดุดัน จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ชกกับมันไปนั่นเมื่อไร แต่ชะรอยแล้วจะได้มียกใหม่เร็ว ๆ นี้
“อย่ามาใช้กำลัง ผมไม่ชอบ”
“มึงก็ไม่ชอบกูแล้วนี่ ต้องแคร์อะไรด้วยวะ”
ผมผลักไหล่มันอีกรอบ อินทรีถอนหายใจทิ้งพลางยกมือขึ้นกุมขมับ พอผมเดินเข้าไปใกล้มันอีกครั้ง รอบนี้แขนใหญ่ไม่อยู่นิ่งเหมือนเดิมแล้ว อินทรียกมือขึ้นรวบผมเข้าหา เรายืนกันอยู่หน้าร้านข้าวที่ในทีแรกทำท่าจะมีเรื่องกันแต่ในตอนนี้กลับเป็นไอ้อินกอดผมไว้ด้วยแขนข้างเดียว
หมับ!ช็อกสนิท...ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก พอจะถอยหลังกลับไอ้อินก็ยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น แขนข้างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป มันยกมืออีกข้างขึ้นโอบรอบเอว ก้มหน้าลงใช้จมูกซุกลงบนบ่า ผมยืนกะพริบตาปริบอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงหัวใจฃัดเจนแต่ไม่แน่ใจว่าดังมาจากฝั่งไหน อกด้านซ้ายของผมหรือมัน
“ไหนว่าเป็นคนใจเย็น กับผมแล้วทำไมอารมณ์ร้อนตลอด”
อินทรีพูดเสียงอู้อี้ สูดลมหายใจเข้าลึกจนได้ยินเป็นเสียงฟอด “ฉีดน้ำหอมที่ซื้อให้อีกแล้ว”
“เออ... ก็มันวางไว้ ไม่ได้ใช้ก็กลัวระเหย”
“คิดถึงผมก็พูดมาสิ ทำเป็นฟอร์มทำไม ยูง้อผมอยู่นะ”
ผมหลุดหัวเราะ เป็นการหัวเราะในรอบหลายวันที่ผ่านมา อินพูดถูก ผมคิดถึงมันเลยหยิบน้ำหอมที่เจ้าตัวซื้อไว้มาใช้ เป็นกลิ่นเดียวกับที่มันฉีดแต่ไม่ว่าจะยังไงความรู้สึกเวลาได้กลิ่นก็ไม่เคยเหมือนตอนที่ผมได้กอดมันอยู่อย่างนี้
ผมยกมือขึ้นกอดมันตอบ
“เลิกง้อแล้ว ง้อยากง้อเย็นฉิบหาย”
อินทรีกระชับแขนผมแน่นอีกครั้งก่อนคลายให้เบาแรงลงก่อนเฉลย “ผมแค่อยากให้ยูง้อเอง”
ผมยิ้มและยังคงกอดมันอยู่อย่างนั้น เกมนี้มันชนะ ผมยอมจริง ๆ หลอกให้คิดว่ายังโมโหอยู่ได้ตั้งนาน ง้อจนผมปวดกบาลแทบแยกว่าต้องทำยังไง มีทางไหนที่ทำให้มันหายโกรธได้บ้าง
“ผมน่ะใจอ่อนตั้งแต่ที่เจอวันนั้นแล้วรู้ไหม แค่ยูบอกว่าคิดถึง ผมก็โกรธไม่ลงแล้ว แย่ชะมัด”
“ไม่แย่หรอก” ผมบอกก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมา “ถ้ามึงโกรธกูนานกว่านี้ กูต่างหากที่จะแย่”
ไอ้อินยักยิ้มที่มุมปาก เสยเส้นผมที่ปรกลงมาปกหน้าผากผมไปด้านหลังแล้วโน้มตัวลงมาจูบเร็ว ๆ มันก็เป็นเสียอย่างนี้ ทำเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ไปได้
“ทีหลังไม่เอาแล้วนะยู ผมแม่ง...เจ็บจนเหมือนจะตายเลย” พูดพลางจับมือผมเอาไว้ ใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงเบา ๆ ที่หลังมือ
“ถึงไอ้เด็กนั่นจะสารภาพก็เหอะว่ามันเข้าหายูก่อน ผมก็ยังเจ็บอยู่ดี”
“อืม ไม่ทำแล้ว”
ผมรับปากมันใหม่ เข็ดครับ เข็ดจริง ๆ ง้อยากแบบนี้ใครจะเสี่ยง โมโหหึงรุนแรงอีกต่างหาก วันดีคืนดีแม่งฆ่าปาดคอผมหมกห้องน้ำขึ้นมาทำยังไง
“ผมถามจริง ๆ นะยู ที่ทำไปเพราะผมเองให้ยูได้ไม่มากพอหรือเปล่า” คนพูดสบตากับผม เม้มริมฝีปกจนเป็นเม้นตรง “ผม..ยังรักยูได้ไม่พอใช่ไหม?”
“....ไม่ใช่แบบนั้น”
“ยู” เสียงอินทรีพูดเบาและเต็มไปด้วยความสั่นไหว “ถ้าผมยังไม่ดีตรงไหน บอกผมได้ไหม ที่ผมบอกว่ารักยู ผมพูดจริง ๆ นะ ผมไม่อยากเสียยูไป”
ผมเงียบ พยายามมองหน้ามันที่เบือนสายตาลงต่ำ กระนั้น อินทรีก็ยังหลบหลีกการสบตากับผมสำเร็จ
“ถึงจะบอกว่าห้ามทำแบบนี้อีก แต่รู้ไหม ต่อให้ยูทำร้ายผมซ้ำ ๆ ผมก็ให้อภัยยูอยู่ดี ถ้ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ายูหยุดไม่ได้จริง ๆ ผมขอร้อง ยูช่วยบอกผมว่าผมต้องทำยังไงให้ยูพอ”
“ทำยังไงยูถึงจะรักผม มีแค่ผมคนเดียว”ผมไม่ได้ตอบ แต่เดินเข้าไปใกล้มันมากขึ้นจนปลายเท้าเราอยู่ชิดกัน และต่อจากนั้นคือผมเองที่เข้าไปกอดอินทรีเอาไว้ทั้งตัว
“กลัวเหี้ยอะไรของมึง”
ผมไม่รู้ว่าประโยคนั้นกำลังพูดกับมันหรือตัวเอง แต่อ้อมกอดของอีกฝ่ายที่รัดรึงจนแทบหายใจไม่ออกแสดงให้เห็นชัดว่ามันกำลังหวาดกลัวมาแค่ไหน ความอ่อนแอที่มันเผลอแสดงออกมา ความโกรธเกรี้ยวที่แลดูไร้สาระ
“ยูสำคัญกับผมมาก รู้ตัวหรือเปล่า”
“อืมรู้แล้ว”
“ยู...” ผมทำเสียงฮึดฮัด ไอ้บ้านี่ ง้อแล้วทำไมมันเวิ่นเว้อมากกว่าเดิมวะ คนฟอร์มเยอะฟอร์มจัดมันหายไปไหน
“อย่าทิ้งผมไปนะ”นั่นเป็นอีกครั้ง ที่ผมเผลอพยักหน้ารับคำมัน..
TBC
วันพุธแล้วหรออ ไวจังงงง
วันนี้มาลงให้เป๊ะ ๆ เลย เพิ่งลุกออกจากวงไพ่มา วันหยุดยาวรวมญาติก็เงี้ย ไม่ได้เล่นสงกรานต์ไม่เป็นไร กินตังค์ญาติพี่น้องก็อิ่มเอมใจแล้วค่ะ 
หยุดหลายวันเราไปส่องในกระทู้แนะนำนิยายมา มีหลายคนอุตส่าห์แนะนำเรื่องนี้ด้วย พับเพียบงาม ๆ แล้วกราบแนบตักขอบพระคุณค่ะ คนอ่านชอบเราก็ดีใจ มีมาม่าพอขลุกขลิกรสหมูสับเบา ๆ กันนิดหน่อย อย่างที่บางคอมเมนต์ว่า อินมันจะงอนได้ซักแค่ไหนเชียว พี่ยูของเราน่านักขนาดนี้ ใจแข็งนักก็เกินไปแล้ว
ไม่เคยแต่งนายเอกซึนขนาดนี้มาก่อนเลย บทจะง้อนี้ไม่รู้ว่าควรเขียนยังไงดีให้แลดูไม่เสียฟอร์ม ตอนนี้น่าจะพอถูไถกันไปได้เนอะ
วันหยุดยาวใกล้หมดแล้ว ชาร์จพลังเต็มที่สำหรับวันใหม่นะคะ สุขสันต์วันพุธ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ 
