BMW ซีรีส์ 3 คันสวยจอดลงหน้าคณะจนเด็กถาปัตย์เห็นมันเป็นเรื่องปกติ หลาย ๆ คนทิ้งสายตาไว้ที่ทะเบียนรถคันนั้นแม้มันจะขยับไปยังตึกคณะของตัวเองได้พักใหญ่ ต่างจากอั้มที่เหลือบมองวูบเดียวแล้วก้มหน้าลงทำพรีเซนท์โปรเจ็กต์สำหรับคะแนนส่วนแรกที่จะต้องส่งหลังสอบไฟนอลภาคเรียนที่ 1 เสร็จ ผมกระชับเป้ที่วางพาดบ่า ยกมือทักทายรุ่นน้องที่ยกมือไหว้เป็นระยะ หนึ่งในนั้นมีกลุ่มของคิวอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ตัวคิวเองไม่ได้นั่งอยู่ด้วย ไม่แน่ใจว่ายังไม่มาหรือโดดเรียนกันแน่
ผมเคี้ยวหมากฝรั่งหยับ ๆ สังเกตได้ถึงร่องรอยของความเครียดขึงบนใบหน้าเพื่อนสนิทก่อนหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม วันนี้มีเรียนช่วงบ่ายแต่อั้มมาหาอาจารย์ที่ปรึกษาแต่เช้าแล้วอยู่ทำงานไปพลาง ๆ งานมันยังเหลืออีกค่อนข้างเยอะ อย่างน้อยก็เยอะกว่าผมแน่ ๆ แค่สตาร์ทดราฟแบบก็ช้ากว่าผมไปเป็นสัปดาห์
“ทันมั้ย?” ผมแกล้งถาม คิ้วที่อยู่ชิดกันตั้งแต่แรกผูกเป็นปมมากกว่าเก่า
“ไม่ทันได้ด้วยเหรอวะ ของมึงน่ะอีกเยอะไหม?”
“ไม่เท่าไร” ผมตอบ อินมันมาหาบ่อยก็จริงแต่ก็ไม่ได้วุ่นวายตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะปล่อยให้ผมนั่งทำงาน ส่วนตัวเองออกไปเล่นกีต้าร์อยู่ระเบียงด้านนอก เอาหนังสือมาอ่านบ้าง ตามอารมณ์มันนั่นแหละ เทศกาลสอบใกล้เข้ามาอีกครั้งแบบไม่ทันตั้งตัว แป๊บๆ ก็จะครบเทอมแล้ว นั่นหมายถึงไม่กี่เดือนข้างหน้าผมกับไอ้อั้มก็จะเรียนจบ แหย่ขาเข้าตารางไปข้างจะได้เป็นสถาปนิกเต็มตัวกันเสียที
“ทำงานนรกจะแตกเหมือนตอนเรียนมั้ยวะ”
เพื่อนสนิทบ่น แต่ยังไม่ละสายตาออกจากคอมพิวเตอร์ ผมรื้อโนตบุคในกระเป๋าตัวเองออกมานั่งทำรอเวลาเข้าเรียนบ้าง พลางหัวเราะในลำคอแทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่เหมือนจะถามเพื่อขอความเห็นใจจากเทวดาฟ้าดินว่าชะตาชีวิตมันจะโหดร้ายเกินไปแล้วมากกว่า อยากเปลี่ยนชะตาชีวิตก็เปลี่ยนสาย ไปขายครีมหน้าใสในเน็ตอะไรแบบนี้ท่าทางจะช่วย
“แบ่งอะไรให้กูทำปะล่ะ”
“เหอะ ได้โค้ชมือดี ทำมาเป็นออกปากช่วยคนอื่น จะข่มกูเหรอ” คนพูดยักคิ้วยวน ผมหัวเราะพรืดผ่านจมูก ขำทุกทีที่พี่เฟยถูกดึงมาเป็นตัวละครให้คนอื่นแซว ขืนเจ้าตัวรู้คงไล่เตะปากกันทีละคน
“มึงไม่รู้เหรอกูจีบพี่เฟยอยู่”
“นี่เทิร์นเป็นรับเต็มตัวแล้วใช่ไหม”
“พ่อมึงสิ กูจะเอาพี่เฟยทำเมียหรอก” อั้มพ่นลมหายใจสบประมาท แม่งดูถูกหาว่าผมเปลี่ยนพี่เฟยไม่ได้ ทำไมวะ แต่โอเคมันดูถูกแล้วครับ อันที่จริงผมเคยมีความคิดอยากลองเหมือนกันนะแต่เคยเจอพ่อหน้าสวยอัดอริในผับแบบหนึ่งต่อห้านี่แทบกราบเท้าขอขมาที่เคยอุตริคิดแบบนั้น พี่เฟยสวย ดุ จะพูดคำนี้ก็ไม่เกินไปเท่าไร ไม่จำเป็นอย่าไปมีปัญหาด้วยเลยคนแบบนี้ เจ็บตัวฟรีเปล่า ๆ
“พี่ยู” รุ่นน้องตัวโตที่ยกมือไหว้ผมทีแรกเดินมาทัก ไอ้บ๊วยทำสีหน้าลำบากใจนิดหน่อยจนผมต้องเป็นฝ่ายถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะครับ”
“ส่วนตัวเหรอ? อืม ไปสิ เฮ้ยอั้ม เดี๋ยวกูมา ฝากคอมด้วย”
ไอ้อั้มเงยหน้าขึ้นเหวอๆแต่ก็รับปาก ผมเดินนำรุ่นน้องปีหนึ่งมาอีกด้านของตึก เป็นทางเชื่อมไปอาคารอื่นเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่านเท่าไร บ๊วยเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับคิว ที่จริงก็ไม่ได้ดูสนิทกันหรอกแต่มันชอบไปไหนมาไหนกันเป็นฝูงผมเลยพลอยจำหน้ามันได้ไปด้วย
“มีอะไรวะ?”
“พี่รู้เรื่องวันที่แข่งบาสหรือเปล่า?”
“เรื่อง?” ผมกอดอกถาม จำได้ว่าคิวหายไปหลังจากการแข่งขันจบ ตอนแรกผมก็จะไปตามอยู่แต่เคลียร์กับไอ้อินเสียก่อนเลยลืมไปเลยว่าน้องไปไหน “คิวโดนตบ”
“ห้ะ?”
ไอ้เชี่ยอินก็อยู่กับผม แล้วใครมันจะไปตบคิววะครับ น้องมันก็ดูไม่น่าจะศัตรูเยอะ อยู่ในกลุ่มเพื่อนดูเงียบที่สุดเลยด้วยซ้ำ “ไปโดนได้ไงวะ”
“ผมมีเรื่องจะขอ.. ถ้าพี่ยังไม่เลิกกับพี่นัท อย่ามายุ่งกับคิวมันได้ไหมครับ ผมขอในฐานะเพื่อนมันน่ะพี่”
“นัทเหรอ?”
บ๊วยพยักหน้าย้ำคำตอบ ผมรีบส่ายหน้าหวือ “มึงแน่ใจนะว่าเป็นนัท คิวไม่ได้จำผิดคนนะ?”
ตอนที่คบกันนัทเป็นคนขี้หึงก็จริง แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับใคร อย่างมากก็เหวี่ยงทะเลาะเอากับผม บ๊วยพยักหน้าอีกครั้งล้วงมือสองข้างลงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด “คิวไม่ได้จำผิดหรอกพี่ ผมเจอมันตอนกำลังถูกจิกหัวโขกเสาพอดี นี่เพิ่งมาเรียนได้ไม่กี่วันก่อน ผมจะพูดกับพี่นานแล้วแหละแต่ไม่มีโอกาส ผมไม่ได้จะปีนเกลียวอะไรพี่นะครับแต่...”
“อืม กูเข้าใจ” ผมรีบตัดบท เม้มริมฝีปากลงอย่างใช้ความคิด สบตากับรุ่นน้องราวกับรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง ในแววตาคู่นั้นจริงจัง แต่ฉายแววของบางสิ่งบางอย่างที่ปิดบังไว้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“มึงชอบคิวเหรอ?”
บ๊วยส่ายหน้า แต่หลบตา “ผมกับมันเกลียดกันจะตาย พอมีปัญหาทีก็เป็นภาระผมอยู่เรื่อย พวกเพื่อน ๆ มันอยู่บ้านกันหมด หลุมหลบภัยก็มีแค่หอผมนั่นแหละ”
“งั้นถ้ามีปัญหาจริงๆก็บอกกูแล้วกัน เดี๋ยวกูดูแลคิวเอง ยังไงมันก็เคย...”
จริงๆผมคิดกับคิวเป็นแค่รุ่นน้องไปแล้ว แต่ที่พูดเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมากกว่า สีหน้าของบ๊วยตอนที่ได้ยินมันเหมือนไม่อยากรับฟัง ความเจ็บปวดแทรกอยู่ในนั้น เพียงแต่ไม่ยอมรับออกมา “ถ้ามึงชอบมันก็บอกว่าชอบสิวะ เล่นตัวนะไอ้สัตว์”
“ผมเกลียดมัน มันร่าน หาเรื่องเข้าตัวตลอด”
น้ำเสียงที่พูดออกมากับรอยยิ้มหยันยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับคนที่ถูกพูดถึง ถ้าจะเรียกความรู้สึกที่บ๊วยมีตอนนี้น่าจะบอกว่าหึงและเป็นห่วงมากกว่า แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้เป็นเทพเจ้าแห่งความรักจะให้พูดอะไรมากเดี๋ยวจะโดนด่าว่าเสือกเปล่า ๆ สุดท้ายเลยพยักหน้ารับปากก่อนเดินไปตบบ่ากว้างแล้วเดินออกมา เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนเข้าเรียน แทนที่จะกลับไปหาไอ้อั้มที่โต๊ะเลยโทรหานัทเพราะอยากจะเคลียร์เรื่องนี้ให้รู้เรื่องกันเสียที
“นัท... ว่างหรือเปล่า พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
ตลอด 22 ปีของผม ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนการเผชิญหน้าโดยให้คู่กรณีนั่งตรงข้ามกันส่วนตัวเองนั่งคั่นกลางนี่เป็นอะไรที่มันเปรี้ยวสุด ๆ จะให้พูดยังไงดี คนเสี่ยงจะโดนรุมที่สุดคือตัวผม และปัญหาใหญ่กว่านั้นคือผมไม่รังแกคนตัวเล็ก ต่อให้คิวกับนัทจะผนึกกำลังรวมกันผมก็มั่นใจว่าคงแรงน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมา บรรยากาศในร้านเค้กเล็ก ๆ ที่เคยละมุนละไมสำหรับเจ้าของเหมือนตกอยู่ในสนามรบทันทีที่นัทปรากฎตัวขึ้นแล้วเห็นผมกับคิวนั่งด้วยกันอยู่ก่อน ผมกับนัทคุยกันรู้เรื่องแล้วว่าเราจะจบ แต่ที่เรียกมาเจอกับคิวเพราะผมอยากให้นัทขอโทษน้องมากกว่า
ร่องรอยสีม่วงช้ำและสะเก็ดแผลที่หางตาบ่งบอกได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น คิวนั่งตัวลีบกว่าเก่าเมื่อถูกหางตาจากดวงตากลมสะบัดใส่ ตอนแรกผมถามว่าแผลนี่ไปทำอะไรมาก็เอาแต่หัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย ทันทีที่เห็นอดีตคนรักผมก็เลยเข้าใจโดยปริยายว่าผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว
ผมจะไม่เอาคางเข้ามาสอดแม้แต่น้อย ถ้าคิวกับนัททะเลาะกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ผม
แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ บ๊วยมันก็ไม่สบายใจ
“คิว นี่นัท แฟนเก่าพี่ นัท นี่คิว รุ่นน้อง”
“พี่ยูอยู่กับมันแล้วจะเรียกนัทมาทำไม”
“พี่ได้ยินมาว่ามีเรื่องกัน”
นัทไม่ปฏิเสธ กอดอกยืดตัวตรง กดสายตาเหยียดมองอีกฝ่ายด้วยกิริยาไม่น่ารัก “นัท...”
“ก็นัทไม่ชอบมัน”
“ขอโทษคิว” ผมปรับเสียงให้ราบเรียบ ใช้มือคนหลอดแก้วโกโก้ปั่นที่น้ำแข็งละลายจนเกือบหมดไปช้า ๆ นัทกลัวเสมอเมื่อถูกพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ น้ำเสียงที่บอกว่าผมจริงจังและห้ามทำเป็นเล่นหรือเฉไฉเด็ดขาด
“พี่ยู...”
“ถือว่าพี่ขอ ขอโทษคิว จะได้เลิกแล้วต่อกันเสีย พี่จะไม่คบกับคิว นัทไม่ต้องกลัว”
รุ่นน้องคณะเงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือที่ประสานกันบนตักเมื่อผมเอ่ยประโยคนั้น เสียงทุ้มเครือต่ำราวตัดพ้อ ขณะที่นัทดูจะพอใจที่ผมรับปาก รอยยิ้มสวยกดที่มุมปาก เอ่ยแบบไม่ใส่ใจเท่าไร
“โอเค งั้นขอโทษ”
“ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก” ผมย้ำให้นัทพยักหน้ารับ คิวยังคงนั่งนิ่งไม่พูดจาหลังจากที่อีกฝ่ายยอมขอโทษ เรื่องความรู้สึกของคิวตั้งแต่วันนั้นผมก็ยังไม่ได้พูดอะไร วันนี้เพิ่งได้เจอกันครั้งแรกหลังจากที่แข่งกีฬาเสร็จ ถึงแม้การสารภาพรักครั้งนั้นเหมือนจะไม่ได้หวังอะไร แต่เราทุกคนย่อมเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักใครสักคนแล้วถูกปฏิเสธดี
เจ็บมากเจ็บน้อย มันก็เจ็บ
ไม่มีใครพูดได้เต็มปากหรอกว่าไม่เป็นอะไร ผมรู้...แต่ถึงอยากจะปลอบใจแค่ไหนก็ทำได้แต่นิ่ง คิวค่อย ๆ ผืนยิ้ม แม้เปลือกตาจะแดงก่ำ ก่อนยกมือไหว้ผมกับนัทแล้วเดินออกจากร้านไป ผมมองแผ่นหลังเล็กห่างไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลจากร้านมีผู้ชายตัวสูงใหญ่นั่งมองผมตั้งแต่ก่อนหน้านี้และละสายตาไปเมื่อคนที่นั่งด้วยกันหุนหันพลันแล่นออกไป บ๊วยลุกเดินตามคิวเงียบ ๆ ก่อนขาคู่นั้นจะเร่งความเร็วจนสามารถคว้าแขนเล็กเอาไว้ทัน
ผมถอนหายใจออกมา มองแก้วโกโก้ที่แยกชั้นของวิปปิ้งครีมกับน้ำอย่างหมดห่วง รู้สึกเหมือนได้ส่งลูกสาวเข้าเรือนหอ ที่เหลือก็มีแต่คนข้าง ๆ ที่ทำผมปวดหัวหนักเอาการ
“นัทไม่น่าทำแบบนี้”
“ก็ขอโทษแล้วไง”
“เมื่อก่อนนัทน่ารักแค่ไหน นัทรู้ตัวหรือเปล่า” ผมพูดตามความจริง เสียงที่เจื้อยแจ้วชวนคุยตลอดเวลา แววตาที่ทอประกายไปด้วยความสุข นัทคนที่แสดงออกมาชัดเจนว่าทั้งรักทั้งหวงผมไม่ได้ดูมีพิษสงอะไรแม้แต่น้อย
ผิดกับตอนนี้ ราวกับอะไรบางอย่างสอนให้นัทเป็นแบบนั้น
“ถ้าพี่ยูคิดถึงนัทตอนนั้น ทำไมเราไม่กลับมาคบกันล่ะ..”
“ถ้าอินกลับไปหานัท นัทก็จะเลิกกับพี่อีกครั้งหรือเปล่า?”
ผมถามเพราะให้นัทคิด อีกฝ่ายเงียบแทนคำตอบ ดีแล้วที่นัทไม่พูด เพราะต่อให้นัทบอกว่าจะเลือกผมก็กลายเป็นผมเองที่ไม่เชื่อใจ นัทเคยทิ้งผมไป และไม่ได้กลับมาเพราะยังรัก
นั่นแหละประเด็นที่ทำให้ผมกลัวนัทจะโกหกว่าระหว่างผมกับไอ้อินแล้วนัทต้องการใครมากกว่า
ผมบีบมือที่ถือวิสาสะประสานกันเอาไว้แล้วยิ้มให้แบบไม่รู้จะพูดอะไรก่อนอีกฝ่ายจะถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่มั่นใจออกมา “พี่ยูไม่รักนัทแล้วเหรอ?”
“พี่พูดไปแล้วว่าระหว่างเราเป็นได้แค่ไหน”
“นัทไม่เชื่อหรอก...” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมเคยรักนัทมาก “...พี่ยูจะลืมได้ยังไง”
นั่นเป็นคำถามที่ผมก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมไม่ให้คำตอบเพราะตอบไม่ได้ นัทยังจับมือของผมแม้มือขาวนั้นจะสั่น แววตาหวานมองออดอ้อน ยิ่งมันเจือประกายของหยดน้ำเคลือบไว้ยิ่งมันวาวเหมือนลูกแมวในราตรี
“....จูบนัทสิ ให้นัทรู้ ว่าพี่ยูลืมนัทแล้วจริงๆ”
เป็นครั้งแรกที่ผมมั่นใจว่าหลังจากทำตามคำขออีกฝ่ายแล้วจะไม่หวั่นไหว ผมโน้มตัวลงสัมผัสริมฝีปากที่เผยอรออย่างไม่ต้องร้องขอซ้ำ บดเบียดให้ลมหายใจประสานกัน ส่งปลายลิ้นละเลียดชิมรสที่เคยหวานจากกลีบปากอิ่มของอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย
มันทั้งขมด้วยความรักที่หมดลง
และเค็มปร่า เพราะน้ำตาที่ไหลรินลงมาจากคนที่ผมเคยมีใจ
TBC
อีห่าพี่ยู ครบสูตรพระเอกหนังไทยเลยป้ะ!
คือแต่งแล้วมันไหลไปเรื่อยแบบนี้ไปเอง สาบานด้วยชีวิตว่าไม่ได้ติดละครไทยเลยแม้แต่น้อย
กราบขอโทษทุกท่านที่รออ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ การสอบผ่านไปแล้วค่ะ เหมือนจะโล่ง แต่ก็ไม่ ผลยังไม่ออก มีใครแนะนำที่บนเด็ดๆมั้ยคะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกลแล้ว
สำหรับตอนนี้ยาวเป็นพิเศษเลย ชดเชยกับที่หายไป แต่นกน้อยของเราออกน้อยเนอะ (อินทรี = นกน้อย) ตอนหน้าจะจัดมาเต็ม ๆ แล้วกัน
มายาวแล้วยังมาไวอีกแหน่ะตอนนี้ มาก่อนวันนัดตั้ง 4 ชั่วโมง เรื่องของเรื่องคือเดี๋ยวจะออกลันลาค่ะ ไม่อยากให้รอนาน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และกำลังใจด้วย
ขอให้มีความสุขกับการอ่านคร้าบบบ