10 วันที่ฉันป่วยผมได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ของเครื่องปรับอากาศที่เบามาก ย้ำครับว่าเบามากแต่ผมก็ยังได้ยินในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างที่ไม่คุ้นเคย หลังจากแข่งเสร็จอินทรีก็พาผมไปกินข้าวแล้วกลับมาที่คอนโดมัน จับยัดเข้าห้องน้ำแล้วโยนเสื้อผ้าตามมาทีหลังโดยที่ผมไม่่มีสิทธิ์แย้งอะไรสักคำ
อันที่จริง ผมจะไม่อยู่ก็ได้ หนีกลับไปเลย หรือโวยวายขึ้นมาก็ไม่แปลก แต่กลับเลือกที่จะเงียบเพราะคิดว่าอินกำลังโกรธจริง ๆ เลยไม่อยากให้มันอารมณ์เสียยิ่งกว่าเก่า ประหลาดมากเลยใช่ไหมครับ แต่ผมก็ยอมนั่งคอยมันอาบน้ำดี ๆ ฟังเสียงแอร์แข่งกับลมหายใจของตัวเองที่ถอนทิ้งลดอายุไขครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นชั่วโมง ก่อนอีกฝ่ายจะกลับออกมาโดยสวมแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวกับผ้าขนหนูสีขาวพาดบนบ่าไม่ให้หยดน้ำไหลหยดแหมะตามพื้นห้อง รูปร่างสมส่วนกับกล้ามเนื้อเป็นมัดทำให้ผมเผลอมองตามอย่างช่วยไม่ได้ เกย์ก็คือเกย์ อีกฝ่ายจะรุกหรือรับแต่ร่างกายสวยงามในรูปแบบของผู้ชายยังไงก็น่ามอง อินเป็นคนขาวมาก ขาวโอโม่ยิ่งกว่าที่เคยคิด อาจเป็นเพราะแขนขาที่ผมเคยเห็นบางส่วนของมันเป็นส่วนที่โดนแดด พื้นที่ใต้ร่มผ้าเลยสว่างจ้าเหมือนเรืองแสงได้แต่ไม่จืดชืด มีไรขนจากสะดือเลื้อยลงไปใต้ขอบยางของกางเกงผ้านิ่มราวกับยั่วยุความอยากรู้อยากเห็นว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ไหน ส่วนข้างในบ็อกเซอร์ลายสปองกี้บ๊อบสีเหลืองนวลมีการขยับเวลาที่เดินทำให้รู้ว่าในนั้นมันไม่สวมอะไรอีกชั้น ไอ้ห่าราก ไอ้หน้าไม่อาย มีแขกก็ยังกล้าแต่งตัวแบบนี้อีกนะมึง
“มองอะไร”
ผมไหวไหล่เบือนหน้าหนี “เปล่า”
“เห็นอยู่ว่ามอง”
“กูจะมองทำไม”
“อยากจับสปองบ๊อบเหรอ?”
“ขำปะ?”
อินทรีหัวเราะก่อนเดินมาหา ปีนโซฟาสีครีมหนังแท้ของมันขึ้นไปนั่งบนพนักพิงด้านหลัง พอผมจะขยับหนีขายาวก็เสือกยกมาพาดบ่าไว้ทั้งสองข้าง ล็อคให้หัวผมหงายไปชนกับ...เออ นั่นแหละ เป้าที่ไม่ได้ใส่ชั้นในของมัน
“ไอ้เชี่ยอิน!”
“อยู่นิ่งๆ เดี่ยวเช็ดผมให้ ขยับมากเดี๋ยวมันก็ตื่นขึ้นมาหรอก”
คนพูดมันขู่กลั้วหัวเราะ ผมนึกอยากลุกให้มันหงายเงิบตกโซฟาไปจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำหรอก ผมมันคนดีเกินไปนี่หว่า
“ยูโกรธอะไรผมหรือเปล่า?”
ผมเหลือบตาขึ้นมองมันแต่ก็เห็นแค่ปอยผมหน้าตัวเองที่ตกลงมา ไม่ได้โกรธอะไร ไม่มีสิทธิ์โกรธ ผมรู้ ผมไม่ได้งี่เง่าขนาดที่สำคัญตัวเองผิดแล้วเอามาโวยวาย เพียงแค่พอแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะเสียเวลาตรงนี้กับผมทำไมในเมื่อที่จริงความรู้สึกของมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง
ที่บอกว่าชอบ ที่พูดว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับผม มันก็แค่พูดไปเรื่อยตามประสาคนไม่รู้จักคิดเท่านั้น
“มึงไม่เหนื่อยเหรอวะ”
“เรื่อง?”
“ที่มาตามกูเนี่ย”
มันยิ้ม ผมเห็นผ่านกระจกโทรทัศน์ที่ปิดสนิทตรงหน้า มือใหญ่บรรจงนวดเส้นผมที่ชื้นหมาดของผมเบาๆก่อนหลุบตามองลงมา “คงเหนื่อย ถ้ายูไม่ชอบผมเลย”
“..อะไร มึงหมายถึงอะไร?”
“ยูเองก็รู้สึกดีกับผมไม่ใช่เหรอ?” มึงเอาความมั่นใจมาจากไหนกันวะ ซื้อต่อเลยได้ไหม “ผมถามยูกลับบ้างดีกว่า พี่ไม่เหนื่อยเหรอที่วิ่งหนีหัวใจตัวเองแบบนี้ไปเรื่อย ๆ”
จู่ๆผมลมหายใจผมก็สะดุด วิ่งหนีเชี่ยอะไรของมัน “มึงเพ้อปะ กูเกลียดมึงจะตายห่า”
“ยู… ถ้าเกลียดผม ยูจะมานั่งให้ผมเช็ดหัวให้แบบนี้เหรอ?” อินทรีถามก่อนโน้มตัวลงมา ใช้ปลายนิ้วพันเส้นผมของผมขึ้นไปจูบแล้วช้อนตาขึ้นมาสบผมในจอแก้วของโทรทัศน์ที่มืดสนิท และกลายเป็นผมเองที่พูดไม่ออกเมื่อมันถามซ้ำ
“ถ้าเกลียดผม จะจูบกลับมาทำไม? จริงๆแค่น้อยใจหรือเปล่าที่ผมไม่ได้ไปหา ผมขอโทษ...แต่ผมซ้อมบาสหนักจริงๆ จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าถ้าชนะ...”
“มึงยังไม่ชนะ กีฬาคณะแข่งเสร็จตั้งสิ้นเดือน”
อย่ามาโมเมทวงรางวัลนะโว้ย เรื่องนั้นกูก็จำได้เหมือนกัน “ผมบอกเหรอว่าต้องชนะทุกคน ผมหมายถึงชนะถาปัตย์ต่างหาก”
เรื่องนั้นมันแน่ยิ่งกว่าแน่อยู่แล้วปะ ไอ้อินทรี ไอ้งูพิษ ไอ้จิ้งจอกเก้าหาง ผมพยายามขยับตัวหนีแต่ก็ถูกอีกฝ่ายล็อกคอเข้าเป้ามันอีกครั้ง ทีนี้ไอ้อะไรบางอย่างแม่งตื่นขึ้นมาจริง ๆ ว่ะ ซวยแล้วกู
“อย่าดื้อดิ”
“มึงจะเอาอะไร”
“เอายู”
ผมลุกขึนพรวดเลยครับ แต่ไอ้อินไม่ยักจะหงาย มันกระโดดกอดคอผมทัน ไอ้สัด ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ “ไอ้เหี้ย แค่ก… แขนมึง รัดคอ….”
“โทษๆ ผมตกใจ จู่ๆก็ลุกขึ้นมาเกิดผมหงายท้องไปยูเป็นหม้ายนะโว้ย”
“บ้านมึงสิ ไอ้อิน พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย อยากโดนตีนนักใช่ไหม?”
อินทรีหัวเราะ ยอมลงจากหลังผมที่เกาหัวแกรก ๆ “พูดเล่น ไมตกใจรุนแรงจังวะ”
“มึงลองเป็นกูมึงก็หลอนวะ เชี่ยแม่ง กวนตีนงี้ไม่ต้องเอาละ กูกลับดีกว่า”
“เดี๋ยวดิ…ค้างนี่แหละ” เจ้าของห้องคว้าแขนผมไว้ ปากมันยังยิ้มอยู่ ดูดีกว่าตอนโมโหตั้งเยอะ “ผมไม่ขอขนาดนั้นหรอก บอกแล้วว่าไม่ได้รีบ แต่อยากให้ยูรับปากผมอย่างนึง...อย่าใจดีไปทั่วได้ไหม”
ผมกำลังจะอ้าปากด่า แต่อีกฝ่ายขัดขึ้นมาก่อน
“ผมรู้ว่ามันเป็นข้อดีของยู ผมชอบยูเพราะยูเป็นแบบนี้ แต่ผมอยากให้ยูใจดีกับผมแค่คนเดียว กับไอ้เด็กคิวนั่นก็ไม่ได้ นะยู… ผมขอไม่เยอะเลย ทำให้ผมหน่อยนะ”
สายตาคู่นั้นมองอ้อน มันขยับมือจากข้อศอกที่รั้งผมไว้มาจับฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดเบา ๆ แต่ไม่ละสายตาหนี สีดำของลูกตาใสเว้าวอนอย่างที่มันชอบทำ
ผมไม่อยากให้มันทำแบบนี้กับคนอื่น
คงเหมือนกับ ที่มันไม่อยากให้ผมใจดีกับคนทั่วไป
“กู…”
ผมปฏิเสธมันไม่ลง จะด่ามันก็ไม่ได้ คำพูดจุกอยู่ที่ปาก อาจเป็นเพราะผมรู้ว่าครั้งนี้ อินทรีพูดจริง
“แลกกัน” เจ้าของห้องเลิกคิ้วขึ้น “กับบุหรี่”
ว้าโว้ยยย นี่กูขอเหี้ยอะไรไปเนี่ย อินทรีไม่ตอบแต่อมยิ้มกวนประสาท ผมเริ่มไม่ไหวแล้วว่ะ ทำไมถึงรู้สึกกับมันได้ขนาดนี้ ความรู้สึกแบบนี้… มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันวะ….
เอาเป็นว่า เรื่องเมื่อวานน่ะ ช่างมันเถอะครับ
ผมลืมตาตื่นอีกทีเพราะรู้สึกถึงอะไรอุ่น ๆ จนถึงร้อนกระทบผิวบริเวณหัวไหล่ ลมหายใจที่ผ่อนผ่านจมูกโด่งเป็นสันของคนข้าง ๆ อุณหภูมิสูงกว่าปกติ แขนที่กอดเอวผมไว้แน่นเหมือนลูกหมีโคอาล่านั่นก็ด้วย ไม่มีส่วนหนของร่างกายอินทรีที่จะเย็นทั้ง ๆ ที่นอนผึ่แอร์หนาวเหน็บจนผมเผลอขยับตัวเข้าหามันแม้แต่น้อย มันป่วย แน่ล่ะ ไม่ต้องสืบ อาจเป็นเพราะเล่นกีฬาหนัก ๆ เมื่อวานแล้วมาอาบน้ำสระผม(แต่เสือกไม่เช็ดหัวตัวเอง) รวม ๆ กับที่เปิดแอร์ไว้ที่ 16 องศา ให้หมีแพนด้าอยู่ไข้เลยขึ้น ประเด็นก็คือ ผมไม่รู้ว่าอินป่วยแล้วจำเป็นต้องดูแลไหม?
เป็นคำถามโง่ๆใช่ไหมครับ แต่สำหรับผมเวลาตัวเองไม่สบายจะไม่อยากให้ใครมาวอแว ผมป่วยเอง หายเองได้ ดังนั้นไม่ว่าแฟนคนไหน ๆ ก็ไม่ต้องมาวุ่นวายให้เหนื่อยเปล่า แต่ในทางกลับกันทุกอย่างก็สลับหมด ผมไม่เคยปล่อยแฟนตัวเองนอนป่วยลำพังต่อให้งานจะยุ่งแค่ไหน ประเด็นคือ ไอ้คนข้าง ๆ ผมมันไม่ใช่แฟน และที่สำคัญกว่านั้น มันไม่ใช่เกย์รับที่น่าจะปวกเปียกตายง่าย
ผมสะบัดผ้าห่มขึ้นพับสองทบแล้วคลุมตัวคนป่วยก่อนเลื้อยไปปิดแอร์ ชั่งใจพักใหญ่ว่าจะปลุกมันดีไหมท้ายที่สุดก็รำคาญจะฟังมันงอแงเลยปล่อยให้คนป่วยหลับ ส่วนตัวเองลงไปซื้อของกินง่าย ๆ กับยาสามัญประจำบ้านมาให้มัน ที่ห้องมันอาจจะมี ไม่รู้ ผมไม่อยากรื้อ พาราแผงละไม่กี่บาทซื้อๆไปเหอะ ถ้ากินแล้วไข้ไม่ลดค่อยลากไปหาหมออีกที คอนโดมันอยู่ย่านชุมชน ร้านรวงเต็มไปหมดจนแทบไม่ต้องกระดิกตัวไปไหนไกลก็ได้ของมาครบในเวลาอันรวดเร็ว กลับขึ้นห้องมาอีกครั้งเจ้าของพื้นที่ยังนอนอุตุ แต่ผ้าห่มที่ผมวางทับ ๆ ไว้ทีแรกร่นมาจนตกเตียง สีหน้าท่าทางกระสับกระส่ายของมันแสดงให้เห็นว่าอินทรีนอนไม่สบายตัวนัก
ผมวางข้าวกล่องกับแผงยาไว้ด้านนอก ส่วนตัวเองก็ปีนขึ้นที่นอนมาใช้หลังมือแตะหน้าผากเนียน เวลาที่หลับไหลอินทรีไม่ได้ดูเหมือนเด็กหนุ่ม แววตาดุดันปิดสนิท ขนตาเป็นแพหนาทบลงมาให้เห็นเส้นตัดของสีดำกับผิวขาวกระจ่างของมันชัดเจน มันไม่ได้แย้มย้วย ใส เหมือนแฟนคนก่อน ๆของผม แต่กลับมีสันกรามกับรูปหน้าที่คมเข้มอย่างบุรุษเพศ คิ้วสีเดียวกับผมขับให้หน้ามันมีสเน่ห์และดึงดูดทุกครั้งที่บังเอิญลากสายตาผ่าน มันไม่ใช่คนปากแดง ริมฝีปากบางแต่ได้รูปสวยปกติแล้วจะเป็นสีที่เข้มกว่าผิวนิดหน่อย ทว่ายามที่พิษไข้รุมเร้ากลับเคลือบด้วยสีระเรื่อของไอร้อนจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป
ผมเผลอยิ้มไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บใจเท่าที่เผลอใช้ปลายนิ้วแตะลงบนกลีบปากมันช้า ๆ ผมกับมันจูบกันจนจากเรื่องที่เคยประหลาดกลายเป็นปกติสามัญ ผมเลิกนับไปแล้ว จะไปเอานิยายอะไรกับคนอย่างมันที่เชื่ออะไรไม่ได้สักอย่าง สำนวนคบเด็กสร้างบ้านคงใช้กับอินทรีได้ แต่น่าแปลกที่ทุกครั้งผมกลับรู้สึก และมันประหลาดมากที่ผมรู้สึกมากขึ้นทุกทีที่ได้ใกล้ชิดกับมันขนาดนั้น
อาจเป็นเพราะ ผมร้างราเรื่องพรรค์นี้มานานเกินไปก็ได้ถึงมีอาการแปลก ๆ
อินทรีลืมตาเปิดขึ้นเมื่อผมดึงมือกลับมาพอดี ตามันหวานเยิ้มแต่ก็แดงก่ำ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ยกมือป้องปากเพราะไอโขลก ผมกุลีกุจอหยิบทิชชู่ให้มันเช็ดน้ำหูน้ำตาก่อนทักด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เล่นกีฬาโชว์พาววันเดียว ไข้แดก”
“.............”
อินพยายามพูดอะไรบางอย่างแต่กลับมีเพียงเสียงแหบแห้งผ่านหลอดลม สบายหูกูล่ะ ไอ้เด็กเปรตไม่มีเสียงโวยวาย ผมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย วันนี้ถึงทีกูจะกวนตีนมึงบ้างแล้วอินทรี
“ลุกมากินข้าวกินยาแล้วค่อยนอนต่อ ซื้อคะน้าผัดน้ำมันหอยมาให้”
อินทรีทำหน้ามุ่ย มันไม่กินผัก ผมรู้ ที่จริงเมนูนั้นน่ะของตัวเอง ส่วนที่ซื้อมาให้มันเป็นข้าวต้มปลาต่างหาก บ่นก็ไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ ทนแดกไปนะครับน้อง งานนี้
“ลุกสิ ล้างหน้าล้างตาหน่อย อาบน้ำไหวนะ ไม่ได้ป่วยขนาดต้องเช็ดตัวหรอก”
อินทรีทำตาอ้อนแบบที่ชอบทำ ขอโทษครับ แต่ใช่ว่าแบบนั้นจะได้ผลเสมอไปไง งานนี้พลาดครับ ผมตั้งใจจะแกล้งมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใครจะใจอ่อน เป็นไข้แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก ไม่ต้องดูแลมากก็ได้
“กินให้หมดด้วยนะ อุตส่าห์ลงไปซื้อให้”
ริมฝีปากสีเข้มเม้มเข้าหากัน ผมทำท่าจะลุกหนีมือใหญ่ก็คว้าข้อศอกกลับลงมานั่งบนเตียงเหมือนเดิม อินทรีรู้แน่ล่ะว่าผมเจตนาจะกวนประสาทถึงยื่นหน้ามาใกล้หมายจะเอาเปรียบกันอย่างเคยพลาดตรงที่ผมออกแรงดันไหล่มันเอาไว้ไม่ให้ขยับมาเกินความจำเป็นเสียก่อน
“น้องอินป่วยอยู่นะครับ อยากให้พี่ยูติดหวัดไปด้วยเหรอ”ผมพูดด้วยน้ำเสียงแบบที่ไม่เคยใช้กับมัน ประโยคพวกนี้ สายตาแบบนี้ปกติแล้วจะใช้เวลาจีบเด็กมากกว่า ผมจงใจหลุบสายตาลงก่อนช้อนขึ้น มองอีกฝ่ายตาฉ่ำพลางกดยิ้มที่มุมปาก ไม่ละลายก็ให้มันรู้ไปสิ อย่าให้พี่สอนรุก เรามันคนละชั้น ไอ้น้องเอ๋ย
“..ยู........”
เสียงทุ้มเปล่งอู้อี้ก่อนหันไปไอโขลกแล้วสบตาผมอีกครั้ง สายตาคมดุไหวระริก อินทรีหลุบสายตาลงจ้องที่ปากผมแบบไม่ปิดบัง ผมเลิกคิ้วทักเมื่ออีกฝ่ายทำปากพูดว่า ‘อยากจูบ’ แบบไม่มีเสียง
อินทรีอะไร้ นกน้อยในกำมือชัด ๆ
“ไปกินข้ะ...เฮ้ย!!!”
ผมไม่เคยเจอคนป่วยแผลงฤทธิ์มาก่อนครับ ยังไม่ทันจบประโยคดีไอ้อินก็กระโจนมากอดผมทั้งตัวให้หงายท้องตึงไปกับเตียง ใช้จมูกสันบี้ฟัดข้างแก้มหลายครั้งก่อนอ้าปากงับติ่งหูไล่ลงมาต้นคอ แขนอุ่นกอดรัดผมแน่นจนหายใจไม่ออก ยิ่งดีดดิ้นอีกฝ่ายยิ่งกอดไว้แน่น กดริมฝีปากหนัก ๆ บนผิวกายผมราวกับเป็นไอ้เบิ้ลกับตุ๊กตาไก่โอ๊ก กิริยาแบบนี้ใช้คำว่าฟัดจะเหมาะกว่า ไอ้เหี้ย ป่วยจริงรึเปล่าวะเนี่ย
“อิน...ปล่อยก่อน ไอ้อิน!”
“.............” ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
คู่กรณีถอนใบหน้าจากซอกคอผมมาหอมจูบหนัก ๆ ที่ริมฝีปาก ไม่ได้แทรกปลายลิ้นหรือลึกซึ้งอะไรแต่เป็นจูบที่ผมรู้สึกได้ถึงฟันเรียงสวยของมันภายใต้ผิวหนังที่อุ่นจนร้อนก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาซบอกผมที่หัวใจเต้นแรงจนทำให้มันยิ้ม
“กูเหนื่อยหรอก หัวใจมันเลยเป็นงั้น”
รีบเถียงก่อนมันมโนไปเอง เปล่าครับ ผมไม่ได้ชอบมัน คนอย่างอินทรีถ้าหลงรักไปเตรียมอกหักได้เลย ใครจะหลงกล ผู้ชายตัวเท่าควายที่กอดผมไว้ไม่เถียง ไม่รู้ว่าเพราะมันเชื่อหรือไม่มีเสียงจะพูดกันแน่ “ลุกเลยไป กูหิวแล้ว”
อินทรียอมขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจูบหน้าผากผมแล้วเดินเข้าห้องน้ำในที่สุด
ตอนบ่ายอาการของเจ้าของห้องไม่ดีขึ้น ที่จริงแล้วผมมีนัดอาจารย์ตอนสี่โมงเย็นแต่พอเห็นอินซมไข้ผิดกับเมื่อเช้าที่ยังมีแรงมากวนตีนผมอยู่เลยลากมันมาหาหมอคลินิกใกล้ ๆ ก่อนจ่ายตังค์ค่ายามาสี่ห้าอย่างแล้วค่อยสบายใจขึ้นหน่อย คนเป็นๆก็หลอนจะตายชักอยู่แล้ว ขืนป่วยตายเป็นวิญญาณเดี๋ยวมันเข้าสิงผมจริงๆจะยุ่งกันเข้าไปใหญ่
“เดี๋ยวกินข้าว กินยา แล้วขึ้นไปนอน กูจะเข้าไปคุยกับอาจารย์ในมหาลัย”
“ไปด้วย” มันพยายามโก่งคอพูด เสียงเซ็กซี่ฉิบหายวายป่วง แต่ประทานโทษเถอะ ดูสังขารตัวเองบ้าง
“จะไปทำไม อยู่ห้องนี่แหละ เดี๋ยวกูกลับมาหา”
คู่กรณีไม่ตอบ ทำหน้าเซ็งใส่ผมแล้วเขี่ยข้าวต้มในจานเล่น เสียงมันพอจะมีบ้างแต่ยังต้องเงี่ยหูฟังดีๆว่ามันพูดอะไรอยู่ “กี่ขวบแล้วมึงน่ะ อย่าเล่นของกิน”
แทนที่จะหยุดทำอะไรปัญญาอ่อนอินทรีกลับวางช้อนแล้วกอดอก ตอนนี้ผมอยู่ในร้านเพิงเล็ก ๆ แถวตลาดใกล้คอนโดมัน เด็กนักศึกษาที่เดิมผ่านไปผ่านมาเหลียวมองกันเป็นแถบ
“อิน กินข้าว”
“อิ่มแล้ว”
“อย่าเกเรได้ไหม?”
คงไม่ต้องถึงขั้นป้อนกันหรอกนะ ผมถอนหายใจระอา ไม่รู้ว่ามันงอแงเรื่องอะไร “กูโดดนัดแอดไวเซอร์มาอยู่กับมึงไม่ได้ อย่าเอาแต่ใจนักดิ มีเหตุผลบ้าง”
“ผมมันก็ไม่มีเหตุผลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครจะเหมือนยู ทำอะไรก็มีเหตุผลไปตลอด”
“มึงจะรวนกูทำไมเนี่ย” อินทรีเบือนหน้าหนีแต่ยังไม่พูดไม่จา ผมเลยต้องขยับมานั่งกับมันข้าง ๆ ไอร้อนระอุจนสัมผัสได้ว่าอาการมันหนักขึ้นและคงแย่กว่านี้ถ้าไม่รีบกินยาแล้วพักผ่อน
“ไข้ขึ้นอีกใช่ไหม?” กรอบตาได้รูปยอมสบตากับผมในที่สุด ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากมันไล่ลงมาที่แก้ม ไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มตัดกับสีผิวอมชมพูเพราะพิษไข้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรเลยตั้งใจว่าถ้าหลังจากกินยาแล้วไข้ไม่ลดคงต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลอีกที “ยู....”
“พูดมาก ไม่เจ็บคอหรือไง”
มันพยักหน้า แต่ก็ยังพูด “จะเข้าไปหาคิวหรือเปล่า?”
ประโยคถามเสียงอ่อนนั้นทำให้ผมเผลอยิ้ม เลื่อนถ้วยข้าวต้มมาตรงหน้ามันก่อนยื่นเงื่อนไข “ถ้ากินหมดพี่จะไม่ไปหาคิว”
อินทรีเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ มันไม่ใช่คนที่รับมือยากเกินไปเพียงแต่ต้องอ่านจุดอ่อนให้ออก มันเป็นคนที่ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองระดับหนึ่งกับคนที่มันสนิทด้วย ผมยังจำภาพแรกของวันที่เจอมันใต้ตึกคณะเศรษฐศาสตร์ได้ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาดีจัดที่สวมชุดแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาที่ติดจะมองคนอื่นแบบดูแคลนที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่เด็กที่คิดว่าตัวเองมีทุกอย่างครบสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป
อินอาจไม่รู้ ว่ามันยังขาดอยู่...
สิ่งที่เรียกว่า ความรัก ที่ทำมันกลายเป็นคนหึงหวงผมไปเสียทุกเรื่องขนาดนี้
“กินยาด้วย นี่น้ำ ไม่ต้องมองเลย แดกน้ำอุ่นไป”
ผมหยิบน้ำขวดมาเปิดให้มันก่อนแกะยาจากซองออกมาให้ ดีที่มันไม่ง้องแง้งเหมือนแฟนเก่าผมเลยไม่ต้องเสียเวลามาโอ้โลมปฏิโลมกันให้มาก หลังจากจัดการเร็องข้าวเรื่องยาเสร็จผมก็พามันกลับขึ้นมาส่งที่ห้อง ใช้เจลลดไข้แปะหัวให้ก่อนจับห่มผ้าหนา ๆ ก่อนอีกฝ่ายจะสลึมสลือไปเพราะฤทธิ์ยา
“ขับรถผมไปสิ...”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร”
“ต้องวนกลับไปเอางานที่หออีกไม่ใช่เหรอ กุญแจรถอยู่หลังตู้เย็น เอากุญแจห้องไปด้วยเผื่อกลับมาแล้วผมหลับ” จริงอย่างที่มันพูด แต่มันใช่เรื่องเหรอวะให้มานอนค้างด้วย คืนที่สองติดกันเลยเนี่ยนะ “ยูคงไม่ทิ้งผมนอนคนเดียวใช่ไหม?”
ผมสบตากับมันโดยบังเอิญ
อา...ครั้งนี้สายตาอ้อน ๆ ของมันใช้ได้ผล ผมถอนหายใจแต่ยอมพยักหน้า เดินไปรูดม่านปิดให้ทั้งห้องอยู่ในความมืด ทิ้งโทรศัพท์ของอินทรีไว้ใกล้ตัวเผื่อมีอะไรมันจะได้โทรหาแล้วเดินออกมา ดูเวลาแล้วคงทันตามนัดอย่างฉิวเฉียด
“อ้าว...พี่?”
เสียงที่ดังขึ้นจากลิฟท์คอนโดทำให้ผมละสายตาจากนาฬิกาขึ้นไปมองคนทัก ผู้ชายหน้าตาดีจัดที่ตัวสูงแค่ไหล่วันนี้สวมแว่นตาหนาเตอะแต่ผมก็ยังจำได้แม่น เพื่อนของอินที่เคยเจอกันร้านเหล้าวันนั้น
“มาหาอินเหรอ?”
“เอ่อ..ครับ มันอยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ แต่ป่วยว่ะ ฝากดูด้วยดิ เดี๋ยวต้องเข้ามหาลัย” โชคดีจังอินทรี มีหมอมาดูแลถึงที่ หมอเฉพาะทางสำหรับมึงด้วย หมอหมาน่ะ “เอากุญแจไปไหม?”
“อ่อ ได้ครับ แล้วนี่นัทยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม?”
ผมเหลือบตาขึ้นมองเมื่ออีกชื่อหลุดจากริมฝีปากได้รูปของหมอตัวเล็ก อีกฝ่ายรีบยกมือขึ้นปฏิเสธเป็นพัลวัน “เฮ้ยๆ อย่าเข้าใจผิดนะครับพี่ อินเลิกกับนัทแล้ว แต่พอดีทางนั้นติดต่อเพื่อนผมไม่ได้เลยโทรให้มาดูที่คอนโดให้หน่อย ผมเองก็โทรมามันไม่รับตั้งแต่เช้าเหมือนกันเลยกลัวว่าจะไปเปรี้ยวตีนที่ไหน รู้ว่าอยู่กับพี่ค่อยสบายใจหน่อย จะได้มีคนคุมมันได้”
“ให้ผมคุมไม่ไหวหรอก ทางที่ดีหมอหาโซ่มาล่ามเลยดีกว่า” เพื่อนอินทรีเป็นคนพูดสุภาพมากครับ ไม่มีแววกวนตีนในน้ำเสียงเลย พูดจาหยาบด้วยไม่ลง อีกฝ่ายหัวเราะจนตาหยี เฮ้ยแม่ง ยิ้มแล้วน่ารักว่ะ “อย่าเขินเลยพี่ ผมรู้อยู่เรื่องพี่กับมันน่ะ”
ถอนคำพูดที่บอกว่าไม่กวนตีนเมื่อกี๊คืน
ผมยัดกุญแจห้องใส่มือเล็กๆแล้วรีบกดลิฟท์ที่ลงชั้นกราวด์ไปอีกรอบแล้ว หมอปอยังไม่เข้าไปหาเพื่อน แต่อยู่ยืนรอส่งผมด้วย “ไหน ๆ ก็มาแล้ว คืนนี้อยู่เฝ้าไข้อินสิ”
“อ่า...ไม่ได้หรอกครับ พอดีพี่ผมไม่ชอบให้ค้างข้างนอก แต่ยังไงจะช่วยเฝ้ามันให้จนกว่าพี่ยูจะกลับมานะ”
“เฮ้ย บรรลุนิติภาวะแล้วยังกลัวพี่อีกเหรอวะ” หมอหมาหัวเราะเฝื่อน พยักหน้ายอมรับหมดสภาพ “กลัวมากครับคนนี้”
“กลัวระดับนี้ต้องแฟนแล้วนะ ไม่ใช่พี่หรอกม้าง”
พูดแหย่เล่นแต่อีกฝ่ายกลับเขินจริงขึ้นมาได้ เชี่ยยยย มีแฟนแล้วเหรอวะ เสียดายว่ะ หมอแม่งโคตรน่ารักเลย “เอ่อ... พี่ยู ผมขอเบอร์พี่ยูได้ไหมครับ? เวลาอินมันอยู่กับพี่ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ใครเลย ผมห่วงมัน สงสัยกลัวผมไปกวนเวลาสวีท”
กูถอนคำพูดเป็นรอบที่สอง ประโยคเมื่อกี๊โคตรน่าถีบเลยไอ้หมอ มือเล็กยื่นโทรศัพท์มาให้ผมเลยต้องกดๆไปแล้วยิงเข้าเบอร์ตัวเอง หมอปอยกมือไหว้ขอบคุณผม มารยาทดีเด่นจริงสิพับผ่า
“เออนี่ แล้วปอสนิทกับไอ้อินมันเหรอ?”
“ก็ตั้งแต่มัธยมแล้วแหละครับ มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่อง”
“อินมันไม่จีบหมอเหรอ?” หมอปอส่ายหน้ายิ้ม ๆ ให้ความรู้สึกมุ้งมิ้งมาก “ไม่หรอกครับ ผมกับอินเป็นเพื่อนกัน พี่ยูไม่ต้องหึงหรอก อินมันไม่มีมองใครนอกจากพี่แล้ว”
ผมถอนหายใจหนักๆ และยาวๆ มึงยัดใต้โต๊ะกันมาเท่าไรเนี่ยตัวจริงป่วย ไม่มีแรงมาอ้อนตีนกูเลยส่งนอร์มินีมาหยอดใช่ไหม ลิฟท์กำลังจะมาถึงชั้นที่กด คำถามสุดท้ายที่ผมถามปอก่อนลงไปคือ “งี้ปอรู้หรือเปล่าว่าอินกับนัทเลิกกันยังไง”
ผมกลับมาที่คอนโดอีกครั้งหลังจากที่คุยงานกับแอดไวเซอร์เสร็จ ซื้อแกงถุงกับข้าวต้มหมูมาให้คนป่วยกับคนเฝ้าที่รออยู่ในห้อง หมอหมานอนดูทีวีอยู่บนโซฟา ส่วนหมานั่งเกากีต้าร์ของมันอยู่ที่ระเบียง วางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะกลางเสร็จถึงค่อยไปตามผู้ชายคอดนตรีด้านนอกกลับเข้าห้อง
“หายดีแล้วเหรอ ออกไปตากน้ำค้างน่ะ”
“หายแล้วครับ ร้องเพลงได้แล้วด้วย ยูฟังป่าว”
“ไม่ต้องเลย เข้ามากินข้าวได้แล้ว จะได้กินยานอน” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เป็นผมเองที่เดินไปหามันริมระเบียง ยกมือขึ้นอังหน้าผากเพื่อวัดไข้อีกรอบเห็นว่าอุณหภูมิต่ำลงแล้วก็เผลอยิ้ม อินทรีมองผมตาหวาน ดึงมือผมไปจับไว้ข้างแก้มไม่ให้เอาออก
“เป็นห่วงอะดิ”
“ใครห่วงมึง หายก็ดี จะได้กลับหอ”
“เฮ้ย ไม่เอา” คนแกล้งป่วยรั้ง เสียงมันดีขึ้นเยอะแต่ยังแห้งอยู่ ผมเอื้อมมือไปยีหัวอินทรีเบาๆก่อนดึงร่างตัวเองออกห่าง ทั้งวันเหงาหูชะมัดยากพอมันอาการดีขึ้นหน่อยค่อยโล่งอก อินทรีไม่ได้พูดอะไร เกากีต้าร์ไปเรื่อย สายตาคมยังจับจ้องผมไม่ไปไหน
“ทำยังไงผมถึงจะได้ยูมาเป็นแฟน?”
เฮ้ย หมดมู้ดแล้วเหรอวะถึงได้ถามเอาหน้าด้าน ๆ แบบนี้ ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบแต่ก็ไม่ได้ด่า ยังไม่ทันจะโดนบอมบ์ใส่ด้วยประโยคหวานหูอีกรอบคนที่ดูทีวีสบายใจเมื่อกี๊ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาเรียก
“อินๆ กูกลับก่อนนะ”
“เออ ไปดิ”
“พี่ยูไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”
เหวอครับ กลับก็กลับไปดิ มาชวนกูกลับบ้านมึงด้วยทำไม ไม่ได้สนิทกันนะไอ้หมอ “พี่ธันตาม?”
“อยู่ข้างล่างแล้ว”
ผมมองหน้าเจ้าของห้องสลับกับผู้มาเยือนไปมา หมอปอเป็นคนซีด ๆ ครับ เวลานี้ยิ่งซีดหนัก มือมันเย็นเฉียบเลยตอนมาจับแขนผมไว้
“มึงอ้อนพี่เขานิดๆหน่อยๆก็หายโกรธแล้ว”
“เขาจะหักคอมึงให้น่ะสิครับ ไอ้คุณอิน นะพี่ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย บอกพี่ผมว่าผมไม่ได้อยู่กับอินสองคน”
กำลังจะอ้าปากตอบครับ แต่เสียงเคาะประตูรัว ๆ ก็ดังขึ้นก่อน ผมได้ยินเสียงสบถเบา ๆ จากคนตัวเล็กที่สะดุ้งโหยงจับแขนผมแน่น อินทรีเป็นคนเดียวที่หัวเราะในสถานการณ์อย่างนี้ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องพักอย่างอ้อยอิ่ง
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อายุประมาณสามสิบกว่า ๆ ยืนหน้าถมึงทึง เฮ้ยเดี๋ยว ไอ้ยักษ์นี่เป็นแฟนหมอเหรอวะ วันก่อนพี่ตุ้ยบอกหมอปอไม่ใช่เกย์ไง
“จะกลับบ้านไหมปอ?”
“กะ...กลับครับ”
“มานี่”
เสียงทุ้มนั่นทรงพลังมาก ผมเหลือบมองไอ้อินที่ยังมีทีท่าไม่เครียดอะไรแล้วมองตามหมอหวาด ๆ พอถึงรัศมีที่คนมาใหม่จะตวัดมือรอบได้ก็คว้าเอวบางเข้าชิดตัว มองหน้าอินกับผมเอาเรื่องแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“ผมไม่สบาย แล้วพอดีแฟนต้องออกไปเรียน ปอเลยมาเฝ้าไข้”
คนที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูพูดก่อนเพื่อนมันกับชายผู้ทรงอิทธิฤทธิ์จะกลับออกไป พี่ชายของหมอเหลือบตาขึ้นมองผมแล้วก้มลงมองไอ้น่ารักอย่างขอคำอธิบาย “พี่ยูเป็นแฟนอินครับ”
กูอยากจะเถียง... แต่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วไม่ดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน
“อืม งั้นขอโทษด้วยที่มากวน”
พูดแค่นั้นแล้วก็ดึงตัวเล็กของผมไป คือจะพูดยังไงดี เขามาเหมือนพายุ และจากไปสงบเงียบราวสายลม ดูดุดัน น่าเกรงขาม แต่สายตาที่ใช้มองไอ้เด็กนั่นกลับอบอุ่น
“เพื่อนมึงไม่เป็นไรแน่นะ?”
ผมถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แม่เจ้าโว้ย มีคนขี้หึงกว่าไอ้อินอีกเหรอวะโลกนี้ อินทรีทำท่าแคะหูไม่ได้ใส่ใจความปลอดภัยของหมอปอนัก เดินนวยนาดมารื้อถุงของกินที่ผมซื้อมาแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อ “ข้าวต้มอีกแล้ว”
“นึกว่ายังเจ็บคออยู่เลยซื้ออะไรแบบที่กินคล่อง ๆ มา หิวหรือยังเดี๋ยวไปเทใส่ถ้วยให้”
“ไม่เป็นไร ผมทำเอง ยูเหนื่อยมาทั้งวันแล้วพักเถอะ”
ผมเลิกคิ้วสูง ขณะที่อินทรีเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ “ส่วนไอ้ปอน่ะไม่ต้องห่วงหรอก มันกับพี่เขาเป็นแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว เจอบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชิน”
เหอออ เหวอสิครับ ใครจะไปชินได้วะ หน้าตาก็หล่อดีแต่ดุยังกะฆาตรกรต่อเนื่อง ผมเข้าใจแล้วว่าที่หมอป๊อดไม่กล้าหือกับพี่ หรือแฟนอะไรนั่นเพราะอะไร คิดแล้วหลอนแทนจริง ๆ
“อย่าไปสนใจมันมากเลยน่า เห็นดุแบบนั้นก็ยอมไอ้ปอตลอดนั่นแหละ พี่ธันน่ะรักเพื่อนผมจะตายไป”
อินทรีเงียบไปพักใหญ่ มันเดินหายเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมถ้วยใส่ข้าวต้มกับจานใส่มื้อเย็นของผมและช้อนส้อม จัดการแกะถุงแกงกับข้าววางให้เสร็จสรรพ ผมนั่งลงข้าง ๆ มัน พอจะหยิบช้อนขึ้นอีกฝ่ายก็แตะปลายนิ้วอุ่นลงบนหลังมือของผมก่อน
“ขอบคุณนะครับพี่ยู ที่ดูแลผมวันนี้”
ปุ้ง! ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ในหัว...
TBC
ขอโทษที่มาดึกไปหน่อย สารภาพว่าอ่านนิยายเรื่องอื่นจนเพลิน /เอ๊ะอีกนี่
เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยค่ะ ชื่ออินทรี เขียนงี้ ขอบคุณ malula ที่เตือนมา อินทรีในที่นี้คือพญาอินทรีค่ะ
ใครคาใจเรื่องนัท รอหน่อย เดี๋ยวนางจะกลับมาให้หายคิดถึง 5555 (แอบมีคู่หมอปอโผล่มาด้วยตอนนี้)
เจอกันใหม่พุธหน้าคร้าบบ
อะ....เอาบ็อกเซอร์อินมาฝาก อยากจับสปองบ๊อบกันมั้ย ฮิฮิ