ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 32 (ครึ่งแรก)“เนรคุณ!!”น้ำเสียงที่เอ่ยคำบริภาษบางเบา ทว่าแจ่มชัด กฤตเมธน้อมรับคำปรามาศที่หนักหน่วงนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ยอมรับความผิดทั้งมวล ฝ่ายสดายุได้แต่กัดฟันกรอด แรงเกินไป สเน่ห์จันทร์กล่าวหากฤตเมธแรงเกินไป มันช่างไร้เหตุผล และเขาทนมันไม่ได้
ทว่าในวินาทีที่สดายุกำลังจะเอ่ยค้าน เสนห์จันทร์กลับพูดบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน
บางอย่างที่ทำให้เสน่ห์จันทร์ในสายตาของสดายเปลี่ยนไป...
"เนรคุณ...เหรอ?...หึหึ...เมธ เธอคงคิดว่าฉันจะด่าเธอด้วยคำนี้มั้ย?"
"...................." กฤตเมธเงียบนิ่ง ไม่ได้ตอบคำใด เพราะใจเขายังสับสน ว่าเหตุใดเสน่ห์จันทร์ถึงถามแบบนั้นออกมา
"ถ้าเธอคิดแบบนั้น...ฉันคงจะดูเลวมาก"
"ท่านประธาน..."
"กว่า 15 ปีที่เธอเฝ้าทำทุกอย่างตามใจฉัน เป็นเด็กดีในโอวาทฉัน สร้างชื่อเสียง สร้างเกียรติยศ สร้างทุกอย่างที่แสนเลอค่า แล้วมอบมันให้ฉันอย่างเต็มใจ...มันมากพอแล้วล่ะ มากเกินกว่าที่ฉันจะสามารถเรียกร้องอะไรเพิ่มจากเธออีกแล้ว"
"กฤตเมธ ไม่ว่ายังไง เธอยังคงเป็นเธอ เธอยังคงเลอค่า ฉันผิดหวังก็จริงที่เธอตอบสนองความต้องการสุดท้ายของฉันไม่ได้ แต่เธอไม่ได้ผิดหรอก เธอ...ไม่ได้ผิดเลยสักนิด ฉันต่างหากที่วาดฝันไปเองโดยไม่ใส่ใจเธอ ไม่ยอมเปิดหูเปิดตามองดูเธอก่อนว่าเธอจะยินยอมด้วยมั้ย ทั้งที่ชีวิตในส่วนนั้นของเธอ ฉันไม่มีสิทธิ์แท้ๆ...ขอโทษนะ"
หลังเท้าเป็นหน้ามือ แบบฉับพลันทันใด เล่นเอาสดายุถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก สิ่งเดียวที่เขารับรู้ได้ตอนนี้มีเพียง
'เสน่ห์จันทร์ให้ความสำคัญกับกฤตเมธมากจริงๆ'
'ไม่ใช่เพียงให้ความสำคัญเพราะชายหนุ่มเป็นเพชร เป็นของเลอค่าในสังกัด'
'แต่หล่อนรัก ในฐานะที่เป็นผู้ฟูมฟักกฤตเมธมา'
"...ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ" กฤตเมธจนด้วยถ้อยคำที่จะพูดอะไรอีก เขาเต็มตื้นในความเมตตาที่เสน่ห์จันทร์มีให้เขามากเหลือเกิน
สดายุเองก็ได้แต่นิ่งมอง ภาพตรงหน้าเงียบๆเช่นกัน จะให้พูดอะไรได้ล่ะ ในเมื่อความสัมพันธ์ของกฤตเมธและเสน่ห์จันทร์มันเหนียวแน่นเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปแทรกแซง ทว่าพอมาถึงตอนนี้สดายุเองก็เจ็บแปลบในหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ได้อยากจะยอมรับ แต่เรื่องราวทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นและลุกลามมาจนตอนนี้ถ้าจะให้พูดแบบเห็นแก่ตัว ก็คงเป็นเพราะกฤตเมธเป็นฝ่ายเข้ามายุ่งกับเขาก่อนเอง มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่ถ้าหากมองในมุมกลับกัน เขาเองก็มีส่วนผิด ที่คิดจะสานสัมพันธ์ต่อ และคิดจะยึดกฤตเมธไว้คนเดียว...
เขาเอง...ก็มีส่วนผิดเหมือนกัน
"ผมขอรับผิดชอบเรื่องนี้เองครับ" ในที่สุดสดายุก็ตัดสินใจโพล่งขึ้น
กฤตเมธหันมามองสดายุทันที ผิดกับเสน่ห์จันทร์ที่ทำแค่เพียงชำเลืองมาเล็กน้อย
"ผมจะไม่รับงานเพิ่ม หลังจากหนังเรื่องนี้ปิดกล้อง ผมจะออกจากวงการทันที"
"ยุ!"
กฤตเมธถึงกับหน้าเสียที่ได้ยินสดายุประกาศเจตนารมย์ เขาไม่ได้ต้องการให้เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้
"ยุ ยุคิดให้ดีก่อนดีกว่านะ..." กฤตเมธพยายามทัดทาน และพยายามจะดึงรั้ง
"มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ"
ทว่า คำพูดของท่านประธานก็กระแทกหูเข้าเสียก่อน
"คิดจะเปิดตัวกันแน่ๆใช่มั้ย?"
"ครับ?" กฤตเมธถึงกับต้องถามซ้ำ ไม่ใช่ไม่เข้าใจคำถาม แต่เขาไม่เข้าใจเจตนาของเสน่ห์จันทร์
"ฉันหมายถึง พวกเธอตั้งใจจะคบกันแบบเปิดเผยเลยใช่มั้ย หากมีข่าวอะไรขึ้นมาก็พร้อมจะแถลงข่าวใช่มั้ย?"
"ใช่ครับ" แม้จะยังไม่เข้าใจนักว่าเสน่ห์จันทร์จะถามไปเพื่อเหตุผลอะไร แต่กฤตเมธก็ตอบออกไปอย่างจริงจัง เขาพร้อมรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเสมอ หากเกิดอะไรขึ้นมา
"ก็ดี" เสน่ห์จันทร์ตอบรับ ทว่าท้ายเสียงออกไปทางประชดประชันเล็กน้อย ใช่สิ ถึงขั้นนี้แล้วเธอจะทำอะไรได้ ถ้ากฤตเมธไปติดผู้หญิงคนอื่นยังพอคุย แต่นี่ข้ามไปชอบผู้ชายด้วยกันเสียแล้ว แถมยังมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่ออีก ขนาดนี้แล้วหล่อนจะยังทำอะไรได้อีกเล่า
ใช่จะไม่เสียใจ แต่เสน่ห์จันทร์ไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งโอดครวญ หล่อนต้องหาทางตั้งรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ โจมตี แอนตี้ ด้วยจรรยาบรรณของต้นสังกัดแล้ว คงไม่สามารถปล่อยดาราของตนตามยถากรรมได้ อย่างน้อยๆก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เพื่อปกป้องทั้งตัวสังกัดและตัวดาราเอง
และนี่คือสิ่งที่หล่อนพอจะทำได้
"งั้นช่วงนี้ห้ามเธอทั้งสองคนรับงานอย่างเด็ดขาดนะ เล่นหนังเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว แล้วแคนเซิ่ลงานที่รับเอาไว้ให้หมด" เสน่ห์จันทร์สูดหายใจลึก แล้วออกคำสั่งแก่ดาราของตนตามหน้าที่ที่พึงกระทำ ความอ่อนไหวที่หล่อนแสดงออกมาเมื่อครู่อันตรธารหายไปสิ้นแล้ว ที่นั่งตัวตั้งตรงแสนสง่างามอยู่ตรงนี้ คือท่านประธานใหญ่เสน่ห์จันทร์ ผู้มองทุกอย่างเป็นธุรกิจ และจะลงมือทำก็ต่อเมื่อเล็งเห็นแล้วว่ามีประโยชน์
"อย่างน้อย หากเกิดอะไรขึ้นมา ผลกระทบทางธุรกิจจะได้น้อยที่สุด"
"ส่วนทางเรื่องกระแสของแฟนคลับพวกเธอน่ะ หลังหนังจบ หรือหลังเรื่องมันแดงออกมาแล้วค่อยว่ากันอีกที ถึงตอนนั้นฉันจะพิจารณาเองว่าจะทำยังไงต่อไป"
ประธานใหญ่ร่ายยาวจบในม้วนเดียว คำสั่งเธอถือเป็นที่สุด และไม่ต้องการได้ยินคำโต้แย้ง
"เอ่อ...ท่าน..."
"ออกไปได้แล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว!" ไม่อยากฟังอะไรอีก คำแก้ตัว คำโต้แย้ง เหตุผล คำขอโทษ หรือแม้แต่คำขอบคุณ ทั้งจากสดายุ ทั้งจากกฤตเมธ
"ขอบคุณครับ ที่ท่านกรุณา" แม้พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจไม่อยากได้ยินแต่กฤตเมธก็อยากจะเอ่ยคำขอบคุณ เขาอยากขอบคุณเสน่ห์จันทร์มากจริงๆ ที่ในที่สุดก็ยอมเข้าใจและเปิดทางให้
อยากพูดมากกว่านี้ อยากบอกเล่าเรื่องที่ยังค้างคาใจอีกหลายสิ่งอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก เสน่ห์จันทร์ก็ปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทันทีด้วยการหมุนเก้าอี้หันหลังหนีหน้าพวกเขาไป
"ออกไปได้แล้ว" พร้อมออกคำสั่งขับไล่แบบตรงไปตรงมาชัดเจน
"งั้น...พวกผมขอตัวนะครับ" ท่าทีชัดเจนของเสน่ห์จันทร์ทำให้กฤตเมธถอนตัวในที่สุด ร่างสูงหมุนตัวจากมาพร้อมกับพาสดายุออกมาด้วย
ทว่าพอเดินมาได้แค่หน้าประตู สดายุก็ขอให้กฤตเมธออกไปรอข้างนอกก่อน แล้วตัวเองก็กลับเข้าไปหาเสน่ห์จันทร์อีกครั้ง
"...ทำไมยังไม่ออกไปอีกสดายุ เธอจะขัดคำสั่งฉันกระทั่งเรื่องนี้เชียวเหรอ?" ทันทีที่รู้สึกได้ว่า สดายุกลับเข้ามายืนรอคุยกับหล่อนเพียงลำพังอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน เสน่ห์จันทร์ก็กระชากถามเสียงกร้าว ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นอีกคำรบเพราะความดื้อด้านของผู้ใต้บังคับบัญชา
"ผมขอโทษ"
"..............................อะไร?" จู่ๆสดายุก็โพล่งขอโทษขึ้น เสน่ห์จันทรจึงค่อยๆหันมามองเพ่งพินิจถึงความจริงจังในน้ำคำ ก่อนจะถามคนพูดออกไปถึงความหมายของคำขอขมา
"ผมขอโทษที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้" สดายุกล่าวต่อ
"ผมมองคุณผิดไปในตอนแรก ผมจึงอยากขอโทษ"
"พอเถอะ คำขอโทษของเธอน่ะกองเอาไว้ตรงนั้นแล้วก็ออกไปซะที" ครานี้เสน่ห์จันทร์ออกปากไล่แบบไม่ไว้หน้า
และแน่นอนว่าสดายุก็ยังด้านหน้าอยู่ต่อ..."เขินเหรอครับ ที่ผมดีด้วย?" นอกจากจะไม่ขยับไปไหนยังอุตส่าห์จะกวนกลับอีก เล่นเอาเสน่ห์จันทร์หันกลับมาเหวี่ยงค้อนวงใหญ่ใส่ไม่อั้นทันที!
“ผมทึ่งในตัวคุณจริงๆนะ นึกไม่ถึงเลย ว่าที่จริงแล้วคุณเป็นคนดีจริงๆอย่างที่เขากล่าวขานกันมา...” สดายุยังพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าจะเห็นเสน่ห์จันทร์กดโทรหาคุณเลขาให้เรียก รปภ. ขึ้นมาลากตัวเขาออกไป
“ท่านประธาน ผมขอโทษนะที่เคยล่วงเกินคุณทางคำพูด และกิริยาถ่อยๆของผมเสียตั้งมากมาย...”
“...........................”
“และขอบคุณมากครับ ที่ยอมยกกฤตเมธ...ยอมยกเพชรในมือของคุณให้ผม”
“............อย่ามาเลอะเทอะนะสดายุ ฉันทำเพื่อกฤตเมธไม่ใช่เธอ...” เสน่ห์จันทร์เอ่ยออกมาทั้งที่ไม่ยอมมองหน้าคู่สนทนาแม้แต่นิด สดายุยิ้มออกมาน้อยๆ หมดข้อสงสัยใดๆแล้ว แม้จะไม่ได้ญาติดีกัน แต่เสน่ห์จันทร์ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาเคยคิด อย่างน้อยๆก็ยังพอลบความทรงจำแย่ๆต่อกันออกไปได้บ้าง ชายหนุ่มหันหลังเดินห่างออกไป แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายให้เสน่ห์จันทร์ได้ฉุนเล่น (ก็นะ จะให้ปาดอกไม้ใส่กันตอนนี้คงเร็วไปละมั้ง)
“ค่าเท่ากันแหละครับ เพราะยังไงซะผมก็ได้ประโยชน์...”
ทิ้งท้ายเอาไว้ให้เจ็บใจเล่น แล้วรีบออกไปโดยเร็วก่อนที่จะโดน รปภ.มาลากออกไปให้เจ็บตัวเปล่า
หน้าประตูมีกฤตเมธยืนรออยู่
ทั้งคู่ยิ้มให้กันโดยไม่มีคำพูด สองคนเดินจับมือกันเรื่อยไปกระทั่งลิฟท์ เพื่อลงไปสู่ชั้น 32
การที่เสน่ห์จันทร์ยอมรามือนั้น แน่นอนว่าสร้างความเบาใจให้กฤตเมธอยู่ไม่น้อย แต่...มันไม่ได้มีความหมายกับสดายุมากนักหรอก จริงอยู่การที่เสน่ห์จันทร์แสดงความเอื้ออารี เป็นเจ้านายที่น่านับถือนั้นมันอยู่เหนือความคาดหมายของเขา แต่เอาเข้าจริงต่อให้เสน่ห์จันทร์จะยอมหรือไม่ เขาก็ต้องพรากกฤตเมธจากอกหล่อนให้ได้อยู่ดี
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เพราะอย่างน้อยๆศัตรูหัวใจก็หายไปหนึ่ง
ภาวนาเหลือเกินว่าท่านประธานคนเก่งจะลากลูกสาวหน้าสวยนิสัยเสียนั่นออกไปให้พ้นทางของพวกเขาด้วยอีกคน
>
<
>
<
>
ตั้งแต่เดินจูงมือกันจากประตูใหญ่ห้องท่านประธาน ในลิฟท์ จนถึงชั้น 32 ทั้งสดายุและกฤตเมธนั้นนอกจากแค่สบตาและยิ้มให้กันตรงหน้าโถงประตูก็ไม่ได้มีการพูดคุยใดๆกันอีก
นั่นเพราะทั้งคู่ยังคงอยู่ในภวังค์เล็กๆของตน
กฤตเมธกำลังอมยิ้ม เขามีความสุขที่สดายุอุตส่าห์ดั้นด้นมาขอตนจากเสน่ห์จันทร์ (แหม่...ทำอย่างกับเป็นเจ้าสาว)
สดายุถึงจะหน้านิ่งเป็นหุ่น แต่ลึกลงไป ที่หัวใจของเขากำลังอุ่นซ่าน ...
‘ผมรักสดายุ ผมไม่สามารถให้ใครมาสำคัญกับหัวใจของผมมากไปกว่าเขาได้…’ คำพูดของกฤตเมธที่เอ่ยกับเสน่ห์จันทร์ยังตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา ยิ่งกว่าคำว่าดีใจ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด กฤตเมธยอมจมไปกับเขาตามที่พูดเอาไว้จริงๆ กฤตเมธรักเขามากอย่างที่เคยบอกเขาไว้จริงๆ
นานมากแล้ว...ที่ไม่ได้รู้สึกถึงการถูกใครสักคนหลงรักมากมายขนาดนี้ มันทำให้สดายุรู้สึกได้เลยว่า ความรักฉาบฉวยของคนที่เคยผ่านเข้ามา มันไร้ค่าสิ้นดี
นี่สินะ...ความรัก...
สดายุรู้สึกได้เลยว่า ตัวเขาเองกำลังมองความรักเปลี่ยนไป
จากที่เคยไม่เชื่อ จากที่เคยหวาดระแวง วันนี้มันอาจเปลี่ยนไปแล้ว...
สดายุจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่ อาจคิดไปเอง ว่ามันกำลังเปล่งประกายอ่อนโยน แต่เขาก็ไม่อาจห้ามใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
หมับ...
“...พี่เมธครับ...ยุรักพี่...”กฤตเมธถึงกับอึ้งงัน ทันทีที่ได้ยินคำรักที่แสนหวานของคนที่โผเข้ากอดเขาอยู่ด้านหลัง แม้ว่านี่จะม่ใช่คำว่ารักคำแรกที่ออกจากปากสดายุ แต่เป็นคำว่ารักที่หวานล้ำที่สุดที่กฤตเมธเคยได้ยิน และแน่นอนว่า มันเป็นคำสารภาพรักที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่สดายเคยพูดมา
คำว่า ‘รัก’ ที่ไร้ซึ่งข้อแม้ และความกังขาใดๆ...
>
>
>
>
>
“....อื้อ....”
“....อืมมม...ฮว๊า...”
“อุ๊บ...อือออ...”
จำไม่ได้แล้วว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็อยู่ในห้องน้ำเสียแล้ว ต่างฝ่ายต่างโจนจ้วงโจนจูบกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา จำไม่ได้แล้วว่าจูบกันนานเท่าไหร่ จำไม่ได้ด้วยว่ายังหายใจกันได้อยู่หรือเปล่า
ห้องน้ำริมสุดทางฝั่งลิฟท์ขึ้นชั้น 33-40 ที่เป็นโซนส่วนตัวของท่านประธานใหญ่นั้น เงียบมาก ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบไม่มีคนใช้งาน ดังนั้นมันจึงเป็นที่ที่สะดวกที่สุดในการพรอดรักแบบไม่ลืมหูลืมตาของกฤตเมธและสดายุในครานี้
ริมฝีปากร้อนรุ่มสัมผัสกันจนแนบสนิท บดเบียดเร่าร้อน ทว่าแสนอ่อนหวานราวกับจะละลายหายไปกับอากาศ
“อ๊ะ...อือ”
สดายุครางเครือเสียงหวามหวิว เมื่อถูกปลายลิ้นผ่าวร้อนสอดแทรกเข้ามา ริมฝีปากของกฤตเมธทั้งเร่งเร้าและรุกไล่ระห่ำ จนสดายุเองแทบจะหายใจตามไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้คิดจะขัดขืน ความหฤหรรษ์บางอย่างกำลังผุดพรายขึ้นในร่าง เล่นเอาสดายุจำต้องบิดกายเร่าร้อน อ่อนระทวยไปกับรสจูบหวานล้ำที่อีกฝ่ายมอบให้
หัวใจของทั้งคู่เต้นระส่ำจนทั้งสองร่างสั่นสะท้าน ริมฝีปากที่บดเบียดกันนั้นก็ช่างปั่นป่วนให้ภายในร้อนรุ่ม ราวกับจะหลอมละลายเป็นร่างเดียวกันให้ได้เสียตอนนี้
“อ๊ะ...พี่เมธ...”
“รักครับ...พี่รักยุครับ...อืมมม...รักมากที่สุด...”
คำรักแสนหวาน พร่ำพรอดให้หัวใจของสดายุกระตุกวูบและสั่นไหวอย่างรุนแรง ซาบซึ้ง อ่อนหวาน และโหยหา อยากเหลือเกิน อยากตอบคำว่ารักกลับไป แต่ริมฝีปากนี้กลับถูกช่วงชิงไปด้วยจูบละมุนลิ้นจะแทบสิ้นสตินั่นเสียก่อน ถูกปรนเปรอทั้งรสรัก ถูกปรนเปรอทั้งรสจูบ จนร่างโปร่งบางของเขาแทบจะทรุดลงไปกองบนพื้นเสียให้ได้...ไร้แล้วซึ่งเรียงแรงพยุงกาย
“ฮว๊า....ฮ๊า...ฮ๊า....” ไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดริมฝีปากของทั้งคู่ก็ผละจากกันได้เสียที และแน่นอนว่าถึงกับหอบตัวโยนอย่างไม่ต้องสงสัย
“...หึหึ...เกือบไปแล้ว...” กฤตเมธบ่นออกมาเบาๆพร้อมรอยยิ้มหวาน ขณะที่ยังซุกใบหน้าอยู่กับไหล่บางของสดายุ
“....อะไรครับ...เกือบจะอะไรเหรอ?” ใช่จะไม่รู้ความหมาย แต่สดายุแสร้งถามออกไปอย่างนั้น เพราะอยากฟังบางคำที่แฝงความหมายแสนลามก
กฤตเมธยิ้มร้ายทันทีที่ได้ยินคำเย้ายั่ว “ก็เกือบจะจับเด็กกินในห้องน้ำสำนักงานซะแล้วไง ขืนใครมาเห็นเข้า...โดนข้อหาหื่นไม่เลือกที่แน่ๆ...หึหึ” กฤตเมธตอบคำถามอย่างว่างาย พลางเงยหน้าขึ้นจับจ้องสดายุอย่างมีเลศนัย
ฟังคำตอบยียวนของกฤตเมธ สดายุก็หัวเราะร่า ถึงจะปรามออกไปเบาๆว่า “ทะลึ่ง” แต่เอาเข้าจริง คำตอบของกฤตเมธก็ถูกใจเขาอยู่ไม่น้อย
“...........................”
“อะไร?...ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ?” สดายุถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ขณะที่ยังยิ้มค้าง หน้าตายังคงแดงฉ่ำ เพราะกฤตเมธนั้นจู่ๆก็เงียบไปแล้วมองหน้าเขานิ่ง
“กลับบ้านกันเถอะนะ ตอนนี้เลย” เสียงทุ้มพร่าชวนกลับบ้านแบบไม่มีปี่ลุ่ย เล่นเอาสดายุขมวดคิ้วสงสัย
“บ้าเหรอ? ไหนว่าจะไปหาพี่อ๊อดก่อนไง?”
“ไม่ไปแล้ว...ไม่ไหวแล้ว...” กฤตเมธงอแงเป็นเด็ก เมื่อถูกถามเรื่องงาน
“ทำไม?”
“...ก็มันทนไม่ไหวแล้วนี่...อยากกลับไปกินเด็กเร็วๆ...” คำตอบคนแก่เล่นเอาสดายุถึงกับเงิบ ‘โอย...ไอ้ตาลุงหื่น!’
“ไปหาพี่อ๊อดเลยคุณน่ะ งานมีทำก็ทำไป อย่าอิดออด” สดายุปราม ตาเฒ่าลามก พร้อมบีบปลายจมูกโด่งสันของอีกฝ่ายเบาๆไปการลงโทษที่คิดจะอู้งาน กฤตเมธทำหน้า งีด หน้าเซ็งอย่าน่าขัน สดายุจึงต้องออกปากอธิบายว่าตนก็ใช่จะว่าง เช่นกัน
“ไปเถอะคุณ ผมเองก็ต้องรอคุยกับเจ๊บลูม่าก่อนเหมือนกัน ผมเองก็มีธุระนะ” สดายุบอกเหตุผล
“ไม่อยากไปอ่ะ...” แต่กฤตเมธก็ยังงอแง
“ไม่ต้องมาทำแบ๊วเลย ปูนนี้แล้ว มันน่าเกลียดมากกว่าน่ารักนะลุง” การทำหน้ายู่ปากจู๋ของกฤตเมธนั้นเล่นเอาสดายุทนไม่ไหวจนต้องแขวะออกไปสัก สองแผล
“ปากดี เดี๋ยวก็โดนชุดใหญ่อีกหรอก” และมันก็เรียกรอยยิ้มกว้าง กับทำให้ท่าทางกวนโอ๊ยของคนแก่ให้อัพเลเวลขึ้น
“หึ..คิดว่ากลัว?” สดายุยักไหล่ พร้อมเลิกคิ้วน้อยๆขณะตั้งคำถาม ท่าทางแบบนั้นอาจดูกวนเท้าในสายตาคนอื่น แต่สำหรับกฤตเมธแล้วมันน่าจะเอามาคลุกวงในเสียเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ นี่ท่าไม่ติดว่าต่างฝ่ายต่างก็ติดธุระสำคัญล่ะก็ กฤตเมธจะไม่รอช้า รีบอุ้มกลับไปลงโทษที่บ้านเสียให้เข็ด
“ฮะฮะ ไอ้แสบเอ้ย” กฤตเมธหัวเราะร่าอย่างคนยอมแพ้ เพราะไม่ว่ายังไงสุดท้ายก็ได้แต่ฝันกลางวันอยู่ดี ในเมื่อมีงานรออยู่ มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“งั้นเดี๋ยวคุยกับบลูม่าเสร็จแล้วโทรหาพี่แล้วกันนะ จะได้แวะเข้ามารับ” เมื่อตัดสินใจได้ กฤตเมธก็เริ่มจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่เล็กน้อยของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสั่งสดายุไว้ว่าให้ติดต่อมาด้วยหากงานเสร็จ
“อือ” สดายุรับคำ แต่ดูเหมือนกฤตเมธจะยังสั่งไม่จบ
“อีกอย่าง...”
“.........?”
“เรียกพี่เมธอีกสิ” “หืมมมมมม?” คำขอร้องชวนป่วย เล่นเอาสดายุแทบสำลักน้ำลาย จะอะไรกันนักหนเนี่ย ตาเฒ่าบ้าคอนดิชั่น!
“เรียกอีกนะ พี่ชอบ” แถมไม่พูดเปล่า มียักคิ้วหลิ่วตามหาเสน่ห์ให้ด้วย
“หึหึ แล้วจะคิดดูนะ เอาล่ะ ออกไปซะทีเสียเวลา” จะว่าเขินก็เขินอยู่หรอก แต่ขอโทษทีที่สดายุไม่ได้ใสขนาดนั้น ที่ไล่อยู่ปาวๆนี่ไม่ได้เขินนะ แค่รำคาญต่างหาก ( - /////// - )
“ฮ่าฮ่า” กฤตเมธหัวเราะถูกใจ พลางเดินออกจากห้องน้ำไปอย่างเริงร่า สดายุได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะเดินไปล้างมือล้างหน้าตรงหน้ากระจกบานเขื่อง
‘มีความสุขจนแทบละลาย’ คำนี้คงไม่ผิดกับอารมณ์ตอนนี้ของสดายุนัก แม้ตัวของเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ไอ้คนที่อมยิ้มจนแก้มแทบปริในกระจกน่ะ มันรับคำไปแล้วแบบเต็มๆ
วันนี้กลับบ้านไป เขากับกฤตเมธคงมีเรื่องคุยกันยาว...
“แหม แหม...ได้สกู๊ปข่าวใหญ่เลยเว้ยวันนี้...”“......................!!!?” จู่ๆก็มีเสียงทักทายจากห้องน้ำที่สดายุคิดว่ามันไม่มีใครในตอนแรก ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัว เพราะการมีคนอยู่ในห้องน้ำ นั่นก็หมายความว่า...
เลิฟซีนดุเดือดระหว่างเขากับกฤตเมธเมื่อครู่นั้น...
ได้ถูกเห็นเข้าเสียแล้ว!!!
“ใคร!!?” สดายุตวาดถามออกไปเสียงกร้าว หัวใจชายหนุ่มเต้นระทึก ใครกัน…ใครกันที่อยู่ในห้องน้ำห้องนั้น
บ้าจริง เขาไม่น่าพลาดเลย ถึงจะตั้งใจว่าสักวันจะต้องเปิดเผยเรื่องที่คบกับกฤตเมธก็เถอะ แต่ให้ตาย มันต้องไม่ใช่มาเปิดเผยในลักษณะนี้!!
แอ๊ดดดดดด….
ตึ่ก ตั่ก ตึ่ก ตั่ก…
เสียงประตูเปิดขึ้นในที่สุด บุคคลปริศนากำลังจะออกมาเผชิญหน้ากับสดายุ!
หัวใจของสดายุเต้นระส่ำ แม้จะยังไม่ทันจะตั้งสติดี แต่ก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับมัน!
“………………………..บดินทร์!!!!!????”**********************************************
มาแค่ครึ่งตอนอีกแล้ว…
อีกครึ่งจิรีบมานะจ๊ะ
เป็นไงคะ…คุณนายเสน่ห์จันทร์ดูน่าเคารพขึ้นบ้างป่ะ อิอิ
แท้จริงคุณนายเธอไม่มีอะไรหรอก ตัวร้ายในเรื่องมีเพียง……..เท่านั้น
(เอ้า เติมคำในช่องว่างตามใจชอบเลยจ๊า)
แล้วอีกครึ่งตอนที่เหลือนี่…จะเกิดอะไรขึ้นบ้างน่อ หุหุหุ
ปล.สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว...แหม่...เล่นเอาไม่กล้าอ่านคอมเม้นท์ อิอิ
แอบสงสารป้าจันทร์ กิกิกิ
ว่าแล้วก็ไปปั่นต่ออีกครึ่งตอน...ฟิ้วววว!!