ผมคือ…นางเอก
ซีนที่ 37 บุก!“ชิดยินดีด้วยนะคะพี่เมธ”ไม่พูดเปล่าหล่อนคว้ากฤตเมธลงมาหอมแก้มทันทีแบบไม่มีไว้หน้าใคร ไม่เกรงใจแฟนคลับ พร้อมที่จะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างออกหน้าออกตา ชิดจันทร์มอบช่อกุหลาบให้กฤตเมธถือไว้ ก่อนจะควงแขนพาเดินออกจากกลุ่มแฟนคลับไปทางฝั่งที่มีนักข่าวยืนรออยู่ โดยที่กฤตเมธไม่อาจสะบัดออกได้ทันทีเพราะจำเป็นต้องรักษามารยาท
ทันทีที่เหยี่ยวข่าวอิแร้งข่าว ได้เห็นสองคู่หนุ่มสาวก็กรูกันเข้ามาสัมภาษณ์กันอย่างเหือดหิว เพราะนานสักพักใหญ่ๆแล้วที่ไม่มีข่าวว่าเดินควงกันของกฤตเมธและชิดจันทร์ ทั้งที่ตอนแรกประโคมข่าวอวยกันเสียใหญ่โต จู่ๆก็หายหน้าเงียบ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสขุดคุ้ยเหล่านักข่าวหัวเห็ดจึงไม่มีพลาด
‘ช่วงนี้ไม่เห็นออกสื่อด้วยกัน ข่าวว่ารักร้าวจริงหรือเปล่าคะ?’
‘ที่ว่าความจริงมีคนอื่นแล้ว และเลิกกันแล้วจริงหรือเปล่าคะ’
‘ยังออกมาแสดงความยินดีแบบนี้จะสยบข่าวรักร้าวสินะคะ’
‘โชว์หวานออกสื่อหน่อยได้มั้ยคะ’แต่ละคำถามที่ถูกยิงมาจากนักข่าว มีเพียงชิดจันทร์ที่เอ่ยปากตอบ ใบหน้ายิ้มระรื่นนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยว่าคนที่ยืนเคียงข้างจะรู้สึกยังไง กฤตเมธได้แต่ยิ้มเฝื่อน อยากบอกความจริงนักข่าวออกไปเหมือนกัน ว่าตนกับชิดจันทร์ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยสักนิด รักที่ไหน เลิกอะไร ทั้งหมดเป็นดารเติมไข่ใส่สีกันเองของนักข่าวทั้งนั้น ส่วนชิดจันทร์ก็คงแค่สวมรอยให้ลงล็อค คงเพราะเป็นข่าวว่าคั่วกันมานาน หล่อนคงไม่อยากเสียหน้า กฤตเมธคิดเอาเองแบบนั้น เพราะแท้จริงก็ไม่รู้ถึงเหตุผลจริงๆของชิดจันทร์เหมือนกัน
ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกเพียงอยากจะผละออกไปจะแย่ แต่หากทำตัวเสียมารยาทต่อหน้านักข่าวตอนนี้คงไม่เป็นผลดีนักต่อการเปิดตัวหนังครั้งแรก หนุ่มใหญ่จึงทำได้แค่ยืนนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ปล่อยสาวเจ้ารับหน้าสื่อต่อไปเพียงลำพัง
"ยินดีต้อนรับกลับมานะคะน้องยุ"
"เราคิดถึงพี่ค่ะพี่ยุ"
"ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ยังรักยุอยู่"
ฝ่ายสดายุที่ยืนห่างออกมายังคงทักทายแฟนคลับด้วยความอ่อนน้อมมีมารยาทและเป็นกันเอง บางคนเขายังจำหน้าได้ แต่บางคนเขาก็เผลอๆลืมๆไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เป็นปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กันต่อ
สดายุยังคงยิ้มแย้มทั้งที่สายตา คอยแต่จะชำเลืองไปทางกฤตเมธที่โดนชิดจันทร์ลากไปหานักข่าวอีกด้าน ผู้หญิงคนนั้นหายหน้าไปนานจนเขาเกือบจะลืมไปแล้วเชียว ยังจะอุตส่าห์กลับมาเป็นก้างขวางคอกันได้อีก!
สายตาที่ลอบชำเลืองไปของสดายุคงร้อนแรงแผดเผา จนสาวชุดแดงคนนั้นต้องหันกลับมามอง
ตาจ้องตา เรียวปากอิ่มฉ่ำลิปสีแดงสดเผยอยิ้มอย่างเป็นต่อ สายตาจิกกัดราวกับสดายุเป็นเพียงคนต่ำต้อย ก่อนจะหันกลับไปฉอเลาะอ่อนหวานอยู่หน้ากล้องนักข่าว ทั้งที่สองมือยังไม่ยอมปล่อยจากแขนของกฤตเมธ หน้าอกอวบอัดก็ยังคงเบียดบี้ไปม่ห่าง
เจ็บใจแต่ทำได้แค่มอง ถูกท้าทายแต่ทำอะไรไม่ได้ สดายุได้เพียงแค่ลอบขบฟันกรอด ก่อนเอ่ยขอตัวจากเหล่าแฟนคลับ เมื่อเห็นว่าทักทายปราศรัยกันครบทุกคนแล้ว
"เป็นอะไรไปคะน้องยุ? หน้าบึ้งเชียว" ทันทีที่กลับเข้ามาในส่วนของห้องพักนักแสดง บลูม่าที่รออยู่ก่อนแล้วก็เอ่ยทักขึ้น ด้วยว่าสีหน้าที่ทางขวางโลกสุดกู่ของน้องรักนั้น บ่งบอกได้อย่างดีว่าโดนคนเหยียบรังแตนมาแน่นอน
"ไม่มีอะไรครับเจ๊ ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวกระทิง"
"หือ? วั...วัวกระทิง?" คำตอบของสดายุทำเอาบลูม่าถึงกับงง
"ครับ วัวกระทิงที่เห็นอะไรสีแดงๆแล้วอยากขวิดให้ตาย!" สดายุคำรามกร้าว
บลูม่าถึงกับต้องก้มลงดูเสื้อเชิ๊ตตัวในสีแดงแจ๋ของตนทันที พร้อมค่อยๆดึงเสื้อสูทปกปิดช้าๆ
“เอาจริงค่ะน้องยุ ใครทำน้องของพี่เคืองขุ่นขนาดนี้กันคะ?” บลูม่าใจดีสู้เสือ(ยุ)อีกครั้ง เพราะคาใจจริงจังกับอาการไม่อยู่กับร่องกับรอยของน้องชายคนดี และคำตอบที่ได้ก็ทำให้บลูม่าถึงกับบางอ้อ
“ก็ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานเสน่ห์จันทร์ที่เจ๊เคารพรัก คุณหนูชิดจันทร์สั่นประสาทสุดที่รักของเจ๊ไง จู่ๆโผล่มาจากไหนไม่รู้ ฉกคุณเมธลากไปจกตับกินอยู่ตรงหน้านักข่าวโน่น สาแก่ใจสุดๆ!”
“No! No! No! No! อย่าค่ะคุณน้อง ได้โปรดอย่าปรักปรัมพี่ ถึงพี่ศรัทธาแม่ แต่ก็ระอาลูกเหมือนกันนะคะ อย่ามายกให้พี่พร่ำเพื่อค่ะ พี่รับไม่ไหวบ่องตง” บลูม่าเร่งปฏิเสธเสียงหลง พร้อมส่ายหน้าส่ายหัวพัลวัลเมื่อถูกลากไปโยงใยกับคุณหนูชิดจันทร์ตัวร้าย
“ยุเห็นเขาหายหน้าไปตั้งนาน นึกว่าตัดใจไม่มาวุ่นวายกับพวกยุแล้วนะเนี่ย อุตส่าห์หลงชื่นชมท่านประธานของพี่อยู่ตั้งนานสองนาน ว่าคงไปสั่งสอนลูกเต้าเสร็จเรียบร้อยแล้วว่าไม่ต้องมายุ่งกับกฤตเมธอีกเพราะลุงเขาเป็นเกย์ บูดแล้ว กินไม่ได้แล้ว ที่ไหนได้...จกไปกินกันต่อหน้าต่อตาเลยเหอะ เฮ้ออออ.....เซ็งงงงง....”
สดายุสาธยายยาวแบบไม่มีหยุดหายใจ เพราะหงุดหงิดที่ถูกชิดจันทร์เย้ยเอาเมื่อครู่ เข้าใจอยู่หรอกที่กฤตเมธต้องรักษามารยาทต่อหน้าแฟนคลับและนักข่าวทำฝห้ไม่สามารถผละจากชิดจันทร์ได้ แต่ไม่ว่ายังไงสดายุก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดี
“ใจเย็นค่ะน้องยุ เฮ้อพี่ก็เห็นใจนะ เรื่องคุณชิดเนี่ยก็พูดยาก ตอนแรกก็เหมือนว่าแม่บังคับจับคู่ให้ ไปๆมาๆตามคุณเมธแจซะงั้น ส่วนเรื่องที่ว่าท่านประธานบอกไม่บอกเนี่ยพี่ก็ไม่รู้นะ รู้แต่ที่คุณชิดหายหน้าหายตาไปช่วงนึงเนี่ยเพราะไปทำเรื่องจบที่มหาลัยอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”
“ชิ...ทำไมไม่ไปแล้วไปลับซะนะ” สดายุบ่นพึมพำ ขณะที่นั่งเอนทั้งตัวอยู่บนโซฟาตัวเล็กแหงนหน้าหลับตาพักด้วยความเบื่อหน่าย
ความเงียบงันปกคลุมทั้งห้องทันทีที่สดายุเงียบเสียงลง เพราะบลูม่าเห็นว่าสดายุกำลังพักสายตา และคงต้องการพักสมองด้วย เลยไม่ได้ชวนคุยต่อ ผู้จัดการร่างแมนแฮนด์ซั่มจึงได้หยิบ Note ของตัวเองขึ้นมาเช็คตารางงานของดาราในสังกัด และทบทวนการจัดคิวของทุกคนให้เรียบร้อยสมบูรณ์ และระหว่างที่กำลังทำอะไรเพลินๆอยู่นั้น
“เป็นเกย์ทำไมมันลำบากจังเจ๊บลู?”“ขา? อะไรนะคะน้องยุ?” บลูม่าที่กำลังนั่งเท้าคางเช็คตารางงานเรื่อยเปื่อยก็ถึงกับขานรับคำถามของสดายุแบบไม่เป็นภาษา กับคำถาม ที่บลูม่าไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากของน้องชายที่เคยเป็นถึงอดีตเสือผู้หญิงระดับแนวหน้าของวงการ!
“ตอนเป็นแมนเต็มร้อยผมนะไม่เห็นจะเคยมีปัญหาว่าต้องแย่งสาวกับใครให้ต้องรำคาญ อยากได้ใครก็ได้ เบื่อก็เลิก ทางใครทางมัน...แต่พอหันมาเป็นเกย์เท่านั้นแหละ ถึงขั้นต้องแย่งผู้ชายกับชาวบ้านเขาเลยอ่ะ เฮ้ออออออ....” บ่นจบยิ่งถอนหายใจยาวเข้าไปอีก
“โถ...น้องยุ...” บลูม่าอยากปลอบใจจะขาดว่าอย่างสดายุน่ะ ถ้าเป็นเกย์ที่ชอบผู้ชายที่นอกจากกฤตเมธขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ แค่หว่านเสน่ห์หน่อยก็มาตอมกันหึ่งไม่ต่างจากตอนเป็นแมนหรอก ทว่า...บลูม่ากลับพูดไม่ออก ยอมรับในจิตสำนึกตรงๆเลยว่า เขาไม่นึกอยากให้สดายุ...เป็นเกย์เลยแม้สักนิดเดียว...
‘อย่าคิดจะเป็นเกย์ให้ลำบากเหมือนพี่เลยยุเอ้ย’
“ยุ...ยุยังไม่ได้เป็นเกย์หรอกนะ แค่รักกับคุณกฤตเมธเอง...”
“ชายรักชาย ไม่ใช่เกย์ตรงไหนกันเจ๊”
“ก็ไม่ใช่เกย์โดยกำพืดอย่างพี่ไง หรือยุชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากคุณกฤตเมธด้วย?”
“หึ ไม่มีอ่ะ”
“ก็นั่นแหละยุเลยไม่ใช่เกย์ไง”
“แต่ยุกับเมธ...”
“อย่างดีแบบน้องยุเขาก็เรียกกันทั่วไปว่า ‘เสือไบ’ ค่ะ พวกที่หญิงก็ได้ชายก็ดี พวกนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นเกย์แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ”
“ง่ะ...ฟังดูมั่วชะมัด”
“รักไม่มีพรหมแดนไงคะ คุณน้อง”
“.....งืมมม...คงงั้น ยุอาจเป็นเสือไบอย่างที่เจ๊ว่า หรือไม่ก็....”
“....หรือไม่ก็อะไรคะ?”
“เป็นเกย์ฝึกหัด ประมาณเกย์เยาวชน”
“อุ๊ยตาย....คิดได้นะคุณน้อง” ( -*-) น้ำเสียงประชดแบบไม่ปิดบังกันเลยทีเดียว
“ก็มันจริง.........”
แกร๊กก...!!“ดินทร์ เปลี่ยนเสื้อเสร็จ.......อ๊ะ?”“..................”
ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างออกรสชาด ซอลย่าที่เข้าใจว่าบดินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องนักแสดงก็เปิดประตูพรวดเข้ามาโดยลืมไปว่า วันนี้มีสัมภาษณ์ของพวกสดายุด้วย เนื่องจากตัวซอลย่าเองนั้นเพิ่งจะเสร็จธุระจากที่อื่นเข้ามา เพื่อรับบดินทร์ไปส่งคอนโด
แต่พอเปิดประตูมาเจอสดายุกับบลูม่าเข้า ซอลย่าถึงกับอึ้ง จนพูดอะไรไม่ออก
“สวัสดีครับคุณซอลย่า” สดายุยิ้มทักออกไปบางๆตามมารยาท และเพื่อช่วยให้ซอลย่าไม่เคอะเขินมากนัก
“อ๊ะ สวัสดีครับคุณสดายุ เอ่อ...ขอโทษทีนะครับ ผมคงเข้าห้องผิด ขอตัวก่อนนะครับ” ซอลย่าตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มแหยๆ แล้วขอตัวออกจากห้องไปอย่างมีมารยาท
“ซอล!” “......”
ทว่ายังไม่ทันจะได้หันหลังจากไป บลูม่าก็ตะโกนเรียกขึ้นเสียก่อน ดูเหมือนซอลย่าจะชะงักไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบออกจากประตูไปโดยที่ไม่มีการหันมาถามไถ่ทางบลูม่าเลยแม้สักคำว่าเรียกทำไม? หรือ มีอะไรหรือเปล่า? ทำราวกับไม่ได้ยิน
“.......เจ๊?” ใบหน้าเครียดขึงของบลูม่าที่ใช้มองไปทางประตูที่ซอลย่าเพิ่งจากไปนั้นเป็นใบหน้าและสายตาในแบบที่สดายุยังไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะสายตาที่แสดงความปราถนาแรงกล้าขนาดนั้น เขายังไม่เคยเห็นบลูม่ามองใครแบบนั้นมาก่อนเลย
“เอ่อ...เดี๋ยววันนี้ยุกลับกับพี่ใช่มั้ยคะ?” จู่ๆบลูม่าก็หันมาถามเร่งร้อน
“ครับ นักข่าวเยอะคงกลับกับเมธไม่ได้ แต่ถ้าเจ๊ไม่สะดวกผมกลับเองได้นะ”
“งั้นรอพี่ที่นี่แป๊บนะยุ พี่ขอไปทำธุระแป๊บเดียว!” บลูม่าไม่รอคำตอบ ผู้จัดการสาวรีบวิ่งไปที่ประตูทันทีที่สั่งย้ำให้สดายุรอเสร็จ แต่สดายุก็ไม่ยอมปล่อยผ่านเหมือนกัน เพราะดูเหมือนอดีตพระเอกหนุ่มจะพอจับเรื่องราวอะไรบางอย่างของพี่สาวแสนดีคนนี้ได้บ้างแล้ว
“เจ๊บลู!!” สดายุตะโกนเรียกพอให้อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย ก่อนยิงคำถามที่เคยเป็นคำสัญญาระหว่างกันเมื่อนานมา
“เมื่อเจ๊กลับมา เจ๊พร้อมจะบอกผมมั้ย?”
“.............”
“One Night Stand...ของเจ๊”
คำเดียวรู้กัน แม้บลูม่าจะไม่ได้ตอบอะไรและผลีผลามออกไปทั้งๆอย่างนั้น แต่สดายุรู้ดีว่าบลูม่าเข้าใจในคำถามของเขา ชายหนุ่มทำเสียงจิ๊จ๊ะ ด้วยว่าขัดใจตัวเองเหลือเกินที่ช่วงหนึ่งเขามัวแต่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนมองข้ามความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของพี่สาวคนดีคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายที่ลดสีฉูดฉาดลง จะว่าไปบลูม่าแต่งตัวดูเป็นผู้ชายขึ้นมาก เครื่องประดับบนร่างก็น้อยชิ้นลง จากที่เคยมีสร้อยร้อยเส้น ต่างหูยาวพราวระยับ ผ้าพันคอ แว่นตากันแดดอันเขื่อง กระเป๋าหลุยส์และแบรนด์เนมอื่นๆ รองเท้าส้นสูง(ทั้งที่ตัวเองก็สูงจะแย่)
ตอนนี้เหลือเพียงนาฬิกาเรือนเก๋ กับต่างหูทับเล็กๆ ไร้ผ้าพันคอ ไร้สร้อยระย้า ไม่มีแว่นตาดำ เสื้อเชิ๊ตระบายลูกไม้สิบสองสีฉูดฉาด กลายเป็นเพียงเสื้อเชิ๊ตเรียบๆ แม้จะยังคงสีสดใส แต่ก็มีเสื้อสูทเรียบๆใส่ทับ ทั้งที่เมื่อก่อนถ้าจะใส่สูทต้องเป็นสูทหนัง หรือปักเพชรเลื่อมวาววับ กางเกงยีนส์ขาเดฟเรียบหรู
เรียกได้ว่าตอนนี้เจ๊บลูม่าของสดายุนั้น หล่อขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะอะไร ทำไม คำตอบมันก็อยู่ใกล้แค่เขาเปิดประตู!
“โทษทีนะเจ๊ ขอยุเผือกหน่อยเหอะ ขืนรอเจ๊บอกเอง ชาตินี้ยุคงไม่ได้รู้!”แกร๊ก!“ว๊าย!”
“.................!!?”
“จะรีบไปตายที่ไหนเหรอคะ คุณสดายุ!?”เหมือนเทพเจ้าเผือกไม่เข้าข้างสดายุเท่าไหร่นัก เพราะทันที่ที่เปิดประตูออกมากะจะตามไปสอดแนมผู้จัดการส่วนตัวของตัวเองสักหน่อย ดันมีคนมาดักรออยู่ที่ประตูห้องเสียได้ แถมยังเป็นคนที่สดายุไม่อยากเจอที่สุดอีกต่างหาก!
‘จะโผล่มาทำซากอะไรตอนนี้วะ!!?’สดายุไม่คิดจะต่อปากต่อคำ เพราะตอนนี้เขากำลังรีบ จะว่าอะไรก็ช่างหัวหล่อนแล้วกัน
“หนีเป็นหมาหางจุกตูดเชียวนะ หึหึ หนีจากข้างนอกเข้ามาหลบข้างใน แล้วนี่จะหนีไปไหนอีกล่ะ คิกคิก”
คำเดียวอยู่ สดายุที่กำลังจะเดินเลี่ยงร่างแบบบางแต่อุดมไปด้วยพิษร้ายถึงกับชะงัก ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชายคนหนึ่งก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลามางัดกับผู้หญิงที่ทั้งอายุน้อยกว่าและตัวเล็กกว่าหรอกนะ แต่ถ้าผู้หญิงมันปากไม่น่าคบ ก็คงต้องจัดกันสักหน่อย
“มีธุระอะไรกับผมครับคุณหนู? ผมไม่ได้ว่ามาคอยเล่นด้วยหรอกนะ” เพราะกำลังจะตามไปเผือกเจ๊บลูม่าอยู่
“หึ ไม่ว่าง หรือกำลังจะหนี เพราะรับตัวเองไม่ได้ ที่กำลังจะแพ้”
‘แพ้? แพ้อะไรของยัยเด็กนี่วะ’ หางตาสดายุเริ่มกระตุกถี่ อารมณ์กรุ่นกริ้วที่ลดลงไปหน่อยแล้วเมื่อครู่นั้นเริ่มตีรวน กระพือโหมขึ้นอีกครา
“ตรงไหนเหรอ? ที่บ่งบอกว่าผมแพ้...คุณหนู?” สดายุเอียงหน้าเล็กน้อยพลางยื่นเข้าใกล้ชิดจันทร์ที่ยืนกอดอกอย่างผู้มีชัยรออยู่
“ไม่เห็นเหรอ? ข้างนอกนั่นน่ะ ไม่ว่าใครเขาก็เห็นดีเห็นงามกับการที่ฉันกับพี่เมธยืนเคียงคู่กัน...คำถามคือ แล้วแกล่ะ กล้าที่จะออกสื่อคู่พี่เขาอย่างที่ฉันทำมั้ย?”
สดายุได้เพียงนิ่งรับ เขาไม่เถียงในสิ่งที่ชิดจันทร์พูด เพราะหล่อนพูดเรื่องจริง เขากับกฤตเมธไม่มีทางจะหวานออกสื่อได้ อย่าน้อยก็ตอนนี้
"หึหึ ทำไม่ได้สินะ” เห็นว่าสดายุเอาแต่เงียบ ชิดจันทร์ก็ยิ่งได้ใจ “อย่างแกน่ะไม่มีวันทำได้หรอก อย่าหาว่าฉันมายุแกล่ะ เดี่ยวบ้าจี้ทำอะไรทุเรศๆต่อหน้าสื่อขึ้นมา พี่เมธเขาจะขายขี้หน้าชาวบ้านเขา"
"จริงครับคุณหนู ผมคงไม่สามารถยืนเอานมเบียด เอาตัวเสียดสีเลื้อยไปเลื้อยมากับพี่เมธเขาออกสื่อได้อย่างคุณหนูหรอก อย่างดีก็ทำได้แค่ยืนคู่กันแบบปกติมนุษย์เขาทำกันเท่านั้นแหละครับ ผมก็ไม่รู้หนอกนะว่าคุณหนูยังจะโผล่มาทำไมต้องการอะไร หรือคุณแม่ยังไม่ได้บอกว่าให้เลิกยุ่งกับผมและพี่เมธซะที เรารักกันและพร้อมที่จะจัดแถลงข่าวออกสื่อทุกแขนง ถ้าแม่คุณยังไม่ได้บอก ผมก็ขอบอกแทนให้เลยว่าพี่เมธของคุณน่ะเป็นเกย์ และเขารักผม ถ้าหวังจะเอาอะไรต่อมิอะไรของคุณมาเบียดมาถูเพื่อให้ได้ใจพี่เมธล่ะก็ เลิกคิดไปเหอะ"
ตอนแรกสดายุก็กะจะทนให้จบๆไป เพราะเขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับผู้หญิงพูดยากเข้าใจลำบากอย่างชิดจันทร์ ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ทว่าแม้จะพูดออกมาเจ็บแสบแค่ไหน ดูเหมือนชิดจันทร์จะไม่สะทกสะท้าน
"คิกๆ หึหึ ฮะฮะฮะ ได้ใจเหรอ? ฉันเนี่ยนะหวังจะได้ใจพี่เมธ? หึหึหึหึ ตลกดีจริง ฉันจะเอาไปทำอะไร?""................แล้วคุณหวังอะไร?" คำที่ชิดจันทร์เอ่ยออกมาทำเอาสดายุถึงกับมึนงง หล่นอไม่ต้องการ ‘หัวใจ’ แล้วอะไรล่ะที่ชิดจันทร์อยากได้
"หึ! ฉันไม่จำเป็นต้องบอกแก รู้เอาไว้อย่างเดียวพอ ว่าพี่เมธ เป็นของของฉัน อย่าสะเออะจะมาคาบของๆคนอื่น!!"
"คิดไปเอง! เมธไม่ใช่สิ่งของ และเขาก็ไม่ใช่ของของใครทั้งนั้น!"
“...งั้น...ลองดูมั้ยล่ะ”
“....อะไร?”
"แกคิดว่ามีแค่แกเหรอที่พี่เมธเขาตามใจ แกมันก็แค่ของแปลกที่พี่เขาอยากเล่นด้วยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ รู้เอาไว้ซะด้วยว่าที่พี่เมธไปนอนกกแกอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะฉันยอมให้"
“...คุณหนูมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะที่คุณจะมาใส่ร้ายพี่เมธเพื่อทับถมผมน่ะ ผมเชื่อใจเขา”
คำว่า ‘เชื่อใจ’ เรียกเสียงขบขันจากชิดจันทร์ไม่น้อย ร่างแบบบางขยับเข้าประชิดสดายุมากขึ้น นิ้วเรียวของหล่อนยกขึ้นลูบไล้ไปตามเนื้อเสื้อสูทบนร่างของสดายุเบาๆ
“เดี๋ยวแกก็รู้ หึหึ”
หล่อนทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป พร้อมเสียงหัวร่อระคายหู สดายุไม่รู้หรอกว่าชิดจันทร์คิดจะทำอะไร รู้แค่ว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล
สดายุตัดสินใจจะเดินตามชิดจันทร์ไป แต่ดันมีสายเรียกเข้าเสียก่อน
“ครับเมธ?” เป็นกฤตเมธที่โทรเข้ามา สดายุคิดไปว่ากฤตเมธคงโทรมาบอกที่นัดหมายที่จะออกไปเจอกันหลังจากนี้
“ยุ ขอโทษทีนะวันนี้ผมคงไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นกับคุณ หาอะไรทานไปก่อนได้เลยนะครับ”
“อ๋อ....ได้สิครับ ว่าแต่คุณจะไปไหน?” สดายุไม่ได้อยากละลาบละล้วงแต่ด้วยความเคยชินเลยเผลอปากถาม
“บังเอิญผมต้องไปทานข้าวกับทาง ‘เสี่ยฮง’ น่ะ เขาอยากคุยกับผมเรื่องโปรเจ็คละครที่ผมเคยเสนอเขาไว้ตั้งแต่ก่อนถ่ายหนังน่ะ เสี่ยอุตส่าห์มาเชิญผมถึงที่ ผมเลยปฏิเสธไม่ได้...”
ได้ยินว่าเป็นเรื่องงานสดายุก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อ เพราะเป็นปกติอยู่แล้วที่กฤตเมธจะออกไปทานข้าวกับบรรดาลูกค้าของธุรกิจส่วนตัว และเหล่าผู้อำนวยการสร้างหนัง ละครต่างๆ เพราะกฤตเมธกำลังจะผันตัวมาทางเบื้องหลัง บางครั้งชายหนุ่มก็มีเรื่องต้องศึกษากับรุ่นพี่ ซึ่งสดายุรู้ดีอยู่แล้ว
“ครับ ตามสบายเลยคุณเมธ เดี๋ยวผมแวะกินข้าวกับเจ๊บลูแล้วค่อยกลับ”
“เอ่อ ยุ...นอกจากเสี่ยฮงแล้ว ยังมีชิดจันทร์ด้วย”
“............” สดายุอึ้งไปแทบจะทันทีที่ได้ยินว่ามีชิดจันทร์ร่วมมื้อเย็นมื้อนี้กับกฤตเมธด้วย “คุณชิดจันทร์คือคนพาเสี่ยมาสินะครับ”
“ใช่ จู่ๆก็มาหาถึงที่เล่นเอาตั้งตัวไม่ทัน” กฤตเมธอธิบาย ถึงตอนนี้สดายุรู้แล้วว่าการกลับมาคราวนี้ของชิดจันทร์ มันมีลับลมคมใน!
“ยุไม่โกรธผมนะ” กฤตเมธอ้อนออกมาน้อยๆ ด้วยความไม่สบายใจ ด้วยกลัวว่าสดายุจะเคืองที่ตนตกปากรับคำไปทานมื้อเย็นกับเสี่ยฮงและชิดจันทร์โดยที่ไม่ยอมบอกสดายุก่อน
“ผมจะโกรธคุณทำไมกัน มันเป็นงานนี่นา...ผมจะรอที่ห้องแล้วกันนะ”
“ครับผมจะรีบกลับ” เสียงอ่อนโยนตอบรับ
“เอ่อ...เมธ คุณไปทานที่ไหนเหรอ?” ตอนแรกสดายุก็กะจะไม่ถาม แต่เหมือนความรู้สึกบางอย่างข้างในผลักดันให้เขาถามถึงสถานที่ที่กฤตเมธจะไปด้วย
“อ๋อ คงเป็นที่ห้องอาหารของโรงแรมของเสี่ยฮงนั่นแหละ ใกล้ๆนี่เอง ผมกลับไม่ดึกหรอก”
“ครับ...ผมจะรอ”
กฤตเมธวางสายไปแค่นั้น แต่สดายุไม่จบแค่วางสาย ดวงตาคมกล้าของสดายุทอประกายดุดัน ครั้งนี้ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องที่ชิดจันทร์มาคุยกับตนให้กฤตเมธฟัง สดายุแน่ใจว่าถึงกฤตเมธจะยังลังเลบ้าง แต่ต้องเชื่อเขามากกว่าชิดจันทร์แน่นอน (หวังว่าล่ะนะ) แต่การทำแบบนั้นก็อาจทำให้เขาพลาดที่จะเฝ้าดูว่าชิดจันทร์ต้องการจะทำอะไรและหล่อนวางแผนอะไรไว้กันแน่
ดังนั้นสดายุจึงยังไม่เล่า และตัดสินใจจะแฝงเข้าร่วมดินเนอร์ในมื้อนี้ด้วยแทน!
ก็ถ้าชิดจันทร์จะวางแผนทำอะไร เขาก็จะตามเกมให้ทันเช่นกัน!! “ว่าแต่เจ๊บลูอยู่ไหนวะเนี่ย!!?”
***“ฮัลโหล ดิน? เธออยู่ไหนเนี่ย? อะไรนะ!? ออกไปแล้ว? ติดธุระด่วน? แล้วทำไมไม่บอกพี่ก่อนล่ะ? ก็เดินตามหาอยู่นี่ไง... อืมๆ โอเครู้แล้ว งั้นพี่กลับเลยแล้วกัน ดินกลับคนเดียวได้ใช่มั้ย อืม...โอเค เจอกันพรุ่งนี้ บาย...”หลังจากหน้าแตกยับเพราะเพิ่งทะเล่อทะล่าเข้าห้องผิดไป ซอลย่าก็เร่งหนีออกมาก่อนจะโทรตามเด็กในสังกัดที่นัดกันดิบดีแล้วกลับหายตัวไปซะดื้อๆ แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้ซอลย่าถึงกับหน้ามืด เพราะบดินทร์ดันหนีกลับไปไม่บอกไม่กล่าวเสียก่อน โดยอ้างว่ามีธุระด่วน ซอลย่าได้แต่ส่ายหน้าระอา ‘เหลวไหลจังนะ ดินเนี่ย’ ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้านของตนเช่นกัน
“ซอล!”“...บลู?...”
ทว่าช่วงที่กำลังจะเดินออกไปตรงลานจอดรถ เสียงคุ้นหูก็ตะโกนเรียกมาจากทางด้านหลังเข้าเสียก่อน
ภาพของ‘บลูม่า’ที่กำลังตรงเข้ามาหาเขานั้นทำซอลย่าตกประหม่าไม่น้อย ตั้งแต่วันนั้น นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้คุยกัน...
ซอลย่ายืนรอบลูม่าอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับกายไปไหน เพราะไม่รู้ว่าบลูม่าเรียกตนไว้ทำไม หากเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากเขาจะมัวเล่นตัว ‘คงเป็นเรื่องงานแหละ ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน อย่างบลูคงไม่อยากคุยกับเราหรอก’
“......”
“.......”
วิ่งกระหืดกระหอบตามมาเสียราวกับมีเรื่องเร่งด่วน แต่พอมายืนเผชิญหน้ากันบลูม่ากลับไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย
ซอลย่าก็เงียบ
บลูม่าก็เงียบ
มีเพียงเสียงลมหายใจหอบจางๆของบลูม่าเท่านั้นที่ดังอยู่ระหว่างคนทั้งคู่ บลูม่าก้มลงจดจ้องซอลย่าไม่วางตา สวนคนถูกมองกลับหลุบตามองพื้น ไม่กล้าแม้เพียงจะเงยหน้าขึ้นมาให้เห็น หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ‘ทำไมไม่ยอมพูดอะไรสักทีล่ะบลู...’ ซอลย่าคิดในใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“...เอ่อ...ไอ้บดินทร์ล่ะ” คำแรกที่ถามไถ่ กลับเป็นคำถามพาดพิงบุคคลที่สาม
“ก...กลับไปแล้ว”
“...เหรอ งั้นก็ดี เราได้มีเวลาคุยกันหน่อย” บลูม่าสืบเท้าเข้าประชิดซอลย่าที่ยังคงยืนก้มหน้าก้มตามากขึ้น
“....เอ่อ...คุย? อ๊ะ?” ร่างเล็กเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกเข้าใกล้จนเกินไป จึงคิดจะถอยห่าง แต่เพียงแค่ขยับกายเพียงเล็กน้อย ก็กลับถูกคว้าต้นแขนซ้ายรั้งไว้กับที่เสียก่อน
“ใช่! คุยเรื่องเธอกับเพชรจ้าไง เธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉัน...” น้ำเสียงของบลูม่าคล้ายจะตะคอกกลายๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดที่ว่าให้ความรู้สึกคุกคาม ผู้จัดการดาราร่างใหญ่กระตุกแขนซ้ายของคนตรงหน้าเบาๆ เพื่อลากเข้ามาใกล้ตัวเองอีก
“ร...เรื่องนั้น...มันสายไปแล้วหรือเปล่า...มันนานนานเหลือเกินจนผมจำไม่ได้แล้วล่ะ” ซอลย่าพยายามหลบเลี่ยง พลางขืนกายออกจากร่างสูงตรงหน้า ทั้งที่ยังไม่ยอมแม้แต่สบตากับอีกฝ่าย
“โกหก”
“...เปล่าสักหน่อย”
“เธอจำได้ฉันรู้!” บลูม่าตะคอกขึ้นอีกครั้ง พร้อมใช้มือแกร่งของตนจับเชยปลายคางคนรั้นให้เงยหน้า ไม่ได้คิดจะใช้ความรุนแรง แต่เพราะคนดื้อดึงในอุ้งมือยังไม่ยอมปริปากในเรื่องที่เขาอยากจะรู้เสียที แถมยังไม่ยอมมองหน้าอีก เส้นความอดทนของบลูม่าจึงค่อนข้างสั่นคลอน
“........!!?...” ฝ่ายซอลย่าที่จู่ๆก็ถูกเชยคางขึ้นเพื่อบังคับให้สบตากับบลูม่านั้น ก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เพราะเขาทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกจดจ้องมองลึกซึ้งเข้าไปในดวงตา ซอลย่าสะบัดใบหน้าออกจากมือแกร่งนั่นทันทีเพื่อหลบสายตาของบลูม่าอีกครั้ง
“บอกสิ...บอกฉันมาหน่อย ซอล?” บลูม่าเองก็ไม่ได้ดึงดันให้อีกฝ่ายหันกลับมามองอีก เขาเพียงแค่เริ่มขอร้องซอลย่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมากกว่าเดิม
“ผ...ผมว่าเรื่องนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับคุณแล้วคุณบลู...มันนานมากแล้ว...”
“จำเป็นสิ! ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่เหรอ? ความจริงน่ะ”
“...อยากรู้...วันนี้เนี่ยนะ”
“ใช่! วันนี้แหละ! อย่าทำเป็นลืมนะซอล ในวันนั้นฉันก็เคยถามคำถามนี้ แล้วเธอก็หลบเลี่ยง...ที่จะตอบมัน”
“.......”
“เธอทำให้ฉันต้องจมปลักกับความไม่รู้ กับเรื่องที่ต้องคิดเองเออเองอยู่เป็นสิบปี!...เธอ...ไม่เห็นใจฉันบ้างเลยเหรอ?...” น้ำเสียงเครือเล็กๆที่ออกจากปากของบลูม่า สะท้อนถึงความเจ็บปวดและความน้อยเนื้อต่ำใจแจ่มชัดจนซอลย่ารู้สึกได้ คนที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดอย่างบลูม่า ทำไมจู่ๆถึงได้มีน้ำเสียงที่น่าสงสารขนาดนี้นะ หัวใจซอลย่ากระตุกวูบไหวไปกับน้ำเสียงนั้น จนอดไม่ได้ที่จะต้องหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย เพื่อจับจ้องความหมายที่สื่อชัดออกมาทางสายตา...แล้วซอลย่าก็ได้เห็น
“...ถ้าคุณรู้แล้ว...ระหว่างผมกับคุณจะเปลี่ยนมั้ย?” ความเว้าวอนที่สื่อชัดออกมาจากสายตาบลูม่านั้น ทำเอาหัวใจดวงน้อยของซอลย่าเริ่มระทวยอ่อน ผู้จัดการดาราร่างเล็กตั้งคำถามออกไปเพื่อหยั่งเชิงบางสิ่งที่จะสามารถยืนยันความรู้สึกของบลูม่าที่มีต่อเขาในตอนนี้
“แน่นอนสิ!”
“.......” ‘สายตาแบบนั้น...บลู ไม่ได้เกลียดฉันแล้วใช่มั้ย?’
“ฉันไม่อยากคิดไปเองคนเดียวอีกแล้ว ซอล...ได้โปรด”
“...งั้น...ถ...ถ้าผมบอกแล้ว...เรา...เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม...ใช่มั้ย?...” ‘น้ำเสียงแบบนั้น บลู...เริ่มเปิดใจให้ฉันแล้วใช่มั้ย?’
“ใช่...ต่อให้มากกว่าเพื่อนเราก็เป็นได้...”
“.....บลู...” ‘บลู...ฉันไม่ได้คิดไปเอง...ใช่มั้ย?...เธอ...’
ทั้งน้ำเสียงที่เว้าวอนที่เปล่งออกมา ทั้งสายตาออดอ้อนขอร้อง ทำให้ซอลย่าไม่อาจห้ามใจไม่ให้เอื้อมมือไปสัมผัสข้างแก้มของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบาได้ ใบหน้านั้นเรียบเนียนเหมือนดังสิบห้าปีก่อน โหนกแก้มสูง สันจมูกโด่งคม ดวงตาคมกล้าสีดำขลับ กับริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้....จนลมหายใจ...รินรดที่ข้ามแก้ม...
“เจ๊บลูม่า!!” ต่อด้านล่างค๊า