บทที่ 42 (ครึ่งแรก)"นี่กุนเชียงทอด แม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ให้แล้ว พอถึงหอแล้วก็รีบเอาใส่ช่องฟรีซนะ เวลาหิวก็เอาออกมาเวฟใส่โจ๊กหรือกินกับข้าวก็ได้ ส่วนนี่มะขามเทศกับมะขามหวาน แฟนพี่หมูได้มาจากญาติที่เพชรบูรณ์ อ้อ มีหมูแผ่นด้วย ป้าทองดีแวะเอามาฝากจากโคราชเมื่อวาน"
"พอแล้วแม่ ขืนขนไปเยอะกว่านี้เดี๋ยวจะเสียคาห้องตี้ซะเปล่าๆ"
ธีระรีบห้ามเมื่อถูกเรียกมาที่ห้องครัวเพื่อให้ดูว่าจะขนอะไรกลับกรุงเทพฯ บ้าง เขาเห็นสารพันอาหารแห้งและผักผลไม้ที่เรียงอยู่ในกล่องกระดาษแล้วก็นึกสงสัยว่าแม่จะให้ขนไปขายหรืออย่างไร
"อันไหนที่เสียง่ายก็เอาไปแบ่งกันกินกับเพื่อนๆ ส่วนอันไหนที่เป็นของแห้งก็ค่อยๆ ทยอยกิน ตี้จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อของจุบจิบบ่อยๆ ไงล่ะ"
"จะให้ลูกขนอะไรกลับไปเยอะแยะ เดี๋ยวพอวันหยุดก็ต้องกลับมากินข้าวที่บ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ใช่ไหมตี้?"
อธิศเดินเข้ามาในครัวแล้วก็เอ่ยถามเสียงเข้ม ธีระเหลือบมองมารดาซึ่งนั่งจัดของลงกล่องอย่างไม่คิดจะช่วยเหลือ แล้วก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นยิ้มประจบ
"ถ้าอาทิตย์ไหนไม่ติดทำงานกลุ่ม ตี้จะพยายามกลับมาหาบ่อยๆ ก็แล้วกันนะพ่อ"
คนฟังส่งเสียงคล้ายไม่พอใจอยู่ในคอขณะเดินออกจากครัว ธีระหันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างๆ แล้วก็เห็นสีหน้าคล้ายคุณครูที่กำลังจับสังเกตเด็กพูดปด
"โกหกพ่อกับแม่มันบาปนะน้องตี้"
"โธ่แม่! ตี้ไม่ได้โกหก ตี้จะพยายามกลับมาบ่อยๆ แต่คงทุกอาทิตย์อย่างที่พ่อบอกไม่ไหวก็เท่านั้นเอง"
เด็กหนุ่มโอดครวญ หลังจากการพูดคุยเมื่อคืนแล้วเขาก็ตระหนักว่าพ่อกับแม่ไม่เห็นดีเห็นงามเรื่องของเขากับกฤตภาสเลยสักนิด แต่จะให้เดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับหอพักทุกสัปดาห์ก็ค่อนข้างจะมากเกินไปจริงๆ เขาก็อยากมีเวลาส่วนตัวหรือไปไหนมาไหนกับเพื่อนฝูงเหมือนกันนี่นา
"เอาเถอะ ถึงยังไงบางอาทิตย์พ่อเขาก็ต้องทำงานวันหยุดเหมือนกัน แต่ในเมื่อตี้พูดเองว่าจะกลับบ้านบ่อยๆ ก็ต้องทำให้ได้ตามนั้นด้วยล่ะ"
"ครับๆ รู้แล้ว"
ธีระเอ่ยพลางตัดเชือกฟางมามัดกล่อง โชคดีที่เขาไม่มีเสื้อผ้าต้องขนกลับหอมากมาย ไม่อย่างนั้นคงพะรุงพะรังน่าดูเวลาไปต่อรถแท็กซี่
"ตี้พร้อมแล้วใช่มั้ย? ถ้างั้นก็ไปบอกพ่อเขาหน่อยไป เดี๋ยวแม่จะเก็บของตรงนี้เสียหน่อย"
"อื้อ"
เด็กหนุ่มตอบรับแล้วก็เดินออกจากครัว ฝ่ายธาริณีมองตามหลังพลางถอนหายใจ จุดประสงค์แท้จริงที่เธอไล่ธีระออกไปก็เพื่อให้ได้คุยกับผู้เป็นพ่อตามลำพังบ้าง เพราะต่อให้เธอพูดแทนสักแค่ไหนก็ไม่เหมือนการได้ฟังจากปากเจ้าตัวอยู่ดี
"พ่อ ตี้พร้อมแล้วนะ พ่อจะไปส่งตี้เมื่อไหร่ก็ได้"
"อืม...ตี้...มานั่งนี่ซิ"
"...ครับ"
พ่อของเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้โยกหน้าบ้าน และจุดที่อีกฝ่ายชี้ให้เด็กหนุ่มนั่งก็คือตั่งไม้ที่อยู่ข้างๆ กัน
ตอนแรกธีระคิดว่าพ่อคงจะตักเตือนเรื่องของกฤตภาสเหมือนที่แม่พูดเมื่อคืน แต่นั่งรออยู่นานก็ยังเห็นเอาแต่จดจ่อกับหนังสือพิมพ์ เขาจึงเอ่ยทักขึ้นอย่างเกร็งๆ
"พ่อ?"
"ตี้ เห็นข่าวพวกนี้แล้วคิดยังไง?"
"หือ?"
ธีระเหลือบมองข่าวที่อีกฝ่ายชี้ให้ดู พื้นที่ครึ่งหนึ่งของหน้าเป็นบทสัมภาษณ์ดาราชายชื่อดังที่กำลังมีปัญหารักสามเส้า เป็นประเภทของข่าวซุบซิบที่มีให้อ่านแทบทุกวัน เพียงแต่คนที่เป็นข่าวมักจะเปลี่ยนหน้าอยู่เสมอ
"ข่าวนี้มันทำไมเหรอพ่อ?"
"ตี้อ่านแล้วรู้สึกยังไง?"
"หืม? ก็..." เด็กหนุ่มกวาดตาดูเนื้อข่าวอีกครั้ง จับใจความคร่าวๆ ได้ว่าดาราหนุ่มประกาศขอพักความสัมพันธ์กับแฟนสาวนอกวงการเพราะข่าวลือเรื่องมือที่สาม "เห็นใจล่ะมั้ง ทั้งเขาแล้วก็แฟนเขา"
"ตี้คิดว่าพ่อกับแม่จะรู้สึกยังไงถ้าหากแฟนเขาในข่าวนี้คือตี้ แล้วคนที่เป็นข่าวอยู่นี่คือผู้ชายคนนั้น"
ธีระรู้ทันทีว่าพ่อหมายถึงใคร เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ผิวแก้มซีดเผือด
"พ่อ..."
"ตี้จำได้หรือเปล่าว่าตัวเองก็เคยได้ลงข่าวแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคนที่โดนสัมภาษณ์คือนางเอกละครที่มีข่าวว่าคบกับผู้ชายคนนั้นอยู่ นี่เพิ่งจะผ่านมาได้เดือนกว่าเท่านั้นเอง คนอื่นเขาคงลืมไปหมดแล้วเพราะไม่ได้รู้จักคนพวกนี้เป็นการส่วนตัว แต่ตี้คิดว่าพ่อกับแม่จะลืมได้ง่ายๆ ไหม?"
เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันควัน เขาหลุบตาลงด้วยรู้ดีว่าที่พ่อพูดมานั้นถูกทุกอย่าง เขาเองก็ทำตัวไม่ต่างจากคนอื่นตรงไหน สนใจแต่ความรู้สึกของตัวเอง กระทั่งเรื่องที่ทำให้ทรมานแทบขาดใจเมื่อไม่นานมานี้ก็ยังลืมเลือนเพราะถูกความสุขบังตา
บางทีในสายตาของพ่อกับแม่อาจเห็นว่าเขาใจง่าย...ยอมยกโทษให้กฤตภาสรวดเร็วเกินไป แต่ว่าความโกรธเกลียด ผูกใจเจ็บแค้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่ใช่หรือ ที่สำคัญกฤตภาสก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะแก้ตัวใหม่ ถ้าหากเขาไม่ให้โอกาส จะรู้ได้อย่างไรว่าความสุขระหว่างพวกเขานั้นเป็นไปได้หรือเปล่า
เขายังอายุน้อยก็จริง แต่ในชั่วเวลาไม่นานก็ได้ประสบเรื่องที่ทำให้หัวใจบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการแบกรับความเจ็บปวดจากการหมกมุ่นกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกแล้ว เขาอยากมองไปข้างหน้า มองหาความสุขเหมือนที่ได้เห็นจากณรงค์กับไรอัน อยากจะมีคนรักที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นของเขาคนเดียวบ้าง...ความเห็นแก่ตัวของเขา...คือความปรารถนาที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้เอง
"ตี้...พ่อไม่ได้จะว่าตี้นะ"
"ฮึก"
พอพ่อขยับเข้ามานั่งบนตั่งตัวเดียวกัน อ้อมแขนท้วมแต่ก็อบอุ่นรั้งไหล่เข้าไปกอด ธีระถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังร้องไห้
"พ่อแค่อยากอธิบายว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เห็นด้วยเรื่องที่ตี้จะคบกับเขา เท่าที่รู้จักผ่านๆ เห็นข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเขามาก็มาก มันเลยทำให้เขาดูไม่น่าเชื่อถือว่าจะฝากฝังตี้ได้ แต่ลูกของพ่ออาจได้เห็นเขาในแง่มุมอื่นที่พ่อกับแม่ไม่เคยเห็น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่จะไม่ห่วง ยิ่งเราไปอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว ถึงมันจะไม่ได้ไกลจากบ้านเรามากก็จริง แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นพ่อกับแม่ก็คอยอยู่ข้างๆ ตี้ทันทีไม่ได้"
"พ่อกับแม่ห่วงตี้...ตี้รู้"
เด็กหนุ่มหันหน้าเข้าหาไหล่ท้วมหนาที่คอยเป็นที่พักพิงให้มาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าหลังจากโตขึ้นแล้วจะแยกไปอยู่คนเดียว แต่พ่อก็ไม่เคยหยุดเป็นห่วงเขา ความคิดนั้นทำให้ไม่อาจห้ามทำนบน้ำตาได้ง่ายๆ
"ตี้ยังอายุน้อย พ่อกับแม่รู้ว่าเป็นห่วงเรื่องนี้อาจจะดูกังวลเกินเหตุ แต่ทั้งหมดนี่ก็เพราะผู้ชายคนนั้นไม่น่าไว้ใจ แถมยังเคยมีแต่ข่าวกับผู้หญิง ต่อให้เขาสัญญาไว้ว่าจะทำให้ตี้มีความสุขก็เถอะ แต่จำเอาไว้นะ วันไหนก็แล้วแต่ที่เขาผิดสัญญา ตี้ไม่ต้องทน พ่อกับแม่ยังอยู่ตรงนี้ กลับมาบอกพ่อกับแม่ แล้วเขาจะไม่มีวันได้เข้าใกล้ตี้อีกเลย"
เด็กหนุ่มเม้มปาก เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาขณะถอยตัวออก จากนั้นก็มองเข้าไปในตาของคนที่กำลังมองเขาอย่างเปี่ยมด้วยความรักและห่วงใยเสมอ
ตอนที่คบกับณรงค์นั้นเขาไม่เคยบอกครอบครัว คนที่คอยอยู่เคียงข้างในยามที่เจ็บปวดจึงมีเพียงศันสนีย์กับสุเมธ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีคนที่พร้อมจะให้กำลังใจแม้ในเวลาที่คิดว่ามีแต่ตัวเองก็ตาม
"ตกลงครับ"
"ไม่มีใครรักตี้ได้มากกว่าพ่อกับแม่ที่เลี้ยงเรามาอีกแล้ว จำเอาไว้นะ"
เด็กหนุ่มมองตรงเข้าไปในแววตาของผู้เป็นพ่อ จากนั้นนัยน์ตากลมโตที่แดงช้ำก็หยีโค้ง มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
"ตี้ก็รักพ่อกับแม่ที่สุดเหมือนกัน"
"ฮึ จะคอยดู"
ธีระหัวเราะพลางเข้าไปกอดเอวบิดาอย่างประจบ เด็กหนุ่มหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นของอ้อมแขนที่โอบกอดกลับมา ถึงแม้การพูดคุยกันในคราวนี้จะทำให้รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เชื่อใจกฤตภาส แต่อย่างน้อยทั้งสองก็ให้โอกาสพวกเขา และเมื่อเทียบกับท่าทีที่แสดงออกตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เขาก็รู้ว่าพ่อกับแม่ยอมถอยให้มากแล้ว เพียงเพื่อความสุขของลูกชายคนเดียว
เขาคงทำได้เพียงไม่ให้ทั้งคู่เสียใจที่ยอมให้ลูกคนนี้ทำตามหัวใจเรียกร้องก็เท่านั้น
ธาริณีเดินออกมาจากในครัวและหยุดยืนอยู่หลังประตูมุ้งลวด เสียงหัวเราะและภาพของพ่อลูกนั่งกอดกันนำมาซึ่งความทรงจำในวันวานที่ลูกยังเป็นเด็กไร้เดียงสา ถึงแม้พวกเขาสามคนจะได้ใช้เวลาด้วยกันน้อยลงทุกทีตั้งแต่ธีระเข้ามหาวิทยาลัย และคงน้อยลงไปอีกเมื่อเด็กหนุ่มเรียนจบ อย่างน้อยเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คงช่วยเตือนเจ้าตัวได้ว่าบ้านหลังนี้ยังพร้อมจะปกป้องจากมรสุมที่รุมเร้าอยู่ภายนอกเสมอ
หญิงวัยกลางคนยิ้มพลางเดินกลับเข้าไปในครัว ไม่คิดจะเข้าไปขัดเวลาส่วนตัวของสองพ่อลูกที่นานๆ จะมีสักที เธอรู้ว่าคงอีกพักใหญ่กว่าทั้งสามจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ดังนั้นการทำอาหารที่พวกเขาชอบให้ทานเพื่ออวยพรให้อนาคตของลูกชายเต็มไปด้วยความสุขคงเหมาะกับกาลเทศะที่สุด
++------++
ธีระออกจากบ้านมาถึงท่ารถตู้ในเวลาบ่าย แม้จะคิดถึงพ่อกับแม่ตั้งแต่รถยังไม่เคลื่อนจากอู่ แต่เมื่อเดินทางใกล้จะถึงกรุงเทพฯ ความสนใจก็เริ่มเบี่ยงเบนไปยังเรื่องอื่น
เขากำลังจะเปิดเทอม จะกลายเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย จะได้กลับไปเจอเพื่อนๆ และที่สำคัญ...จะได้เจอกฤตภาสแล้ว
ความคิดนั้นทำให้ในอกของเด็กหนุ่มพองแน่นไปด้วยอารมณ์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเป็นความอบอุ่น ละมุนละไมและหอมหวานเย้ายวน ฉุดรั้งให้มุมปากคอยแต่จะโค้งเป็นรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ธีระก็โบกเรียกแท็กซี่เพื่อกลับหอพัก เขารีบเปิดกล่องเสบียงของแม่แล้วก็เอาของที่เสียง่ายแช่ตู้เย็น ขณะจัดของอย่างอื่นวางบนชั้นก็ให้คันจมูกจนจามฮัดเช้ยออกมาหลายรอบ
จริงด้วยสิ ไม่ได้อยู่ห้องมาเป็นเดือนก็ไม่แปลกหรอกที่ฝุ่นจะเยอะ คงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่สักทีล่ะมั้ง...
เด็กหนุ่มคิดพลางเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดกับกางเกงที่คล่องตัวที่สุด จากนั้นก็ถอดปลอกหมอนและผ้าปูเตียงไปซักตากบนระเบียง เมื่อเสร็จแล้วก็หันกลับมาปัดฝุ่นและถูพื้นห้องที่ถูกละเลยมานาน
ตลอดบ่ายนั้นเขาใช้เวลาจัดห้องและเตรียมตัวสำหรับวันเปิดเทอม ทั้งรีดชุดนักศึกษาที่จะใส่ไปเรียนทั้งสัปดาห์เอาไว้ และหยิบกระเป๋ากับเครื่องเขียนมาวางไว้บริเวณที่จะหยิบได้ง่าย กว่าจะรู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำจนเห็นแสงสุดท้ายเป็นแถบสีแดงฉานคาดอยู่บนขอบฟ้า
"หกโมงกว่าแล้วเหรอ คุณกฤตเลิกงานแล้วแหงเลย"
ธีระรีบหันไปหยิบโทรศัพท์เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทรบอกเรื่องที่กลับมาแล้ว แต่ขณะที่กำลังปลดล็อคหน้าจอก็ฉุกนึกขึ้นได้ ถ้าแค่โทรไปบอกเฉยๆ ไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหน อย่างมากก็คงคุยสัพเพเหระแล้วลากันไปนอนเหมือนคืนก่อนๆ
ไม่สู้ไปเซอร์ไพรส์เจ้าตัวถึงที่เลยดีกว่า...คุณกฤตคงคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าจะได้เจอเขาคืนนี้
ธีระยิ้มพลางเดินไปเก็บปลอกหมอนและผ้าปูเตียงเข้ามาผึ่งต่อในห้อง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พันผ้าขนหนูรอบเอวมายืนเลือกชุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า รอยยิ้มซุกซนผุดขึ้นขณะเลือกชุดออกมาสวม อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกฤตภาสเห็นเขาไปหาโดยไม่ทันตั้งตัวจะแสดงสีหน้าแบบไหน
ระหว่างที่เดินออกจากหอนั้นต้องผ่านตลาดหน้าปากซอย กลิ่นหอมของอาหารและเสียงพูดคุยโหวกเหวกของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทำให้ธีระนึกขึ้นได้ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมง เขาแวะเข้าไปนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอย่างรีบๆ เพราะไม่อยากเสียเวลา การจราจรในยามหัวค่ำของกรุงเทพฯ แย่มากอย่างที่คาดไว้ โชคดีว่าบางช่วงอาศัยรถไฟฟ้าช่วยย่นระยะการเดินทางได้ กระนั้นก็ยังเสียเวลาไปพอสมควรกว่าจะถึงคอนโดของกฤตภาส
หวังว่าจะอยู่ที่ห้องแล้วนะ ไม่งั้นก็รอจนกว่าจะกลับมาก็แล้วกัน...
เด็กหนุ่มคิดขณะก้าวลงจากรถแท็กซี่ โลหิตในกายสูบฉีดเพราะความตื่นเต้นจนหัวใจรัวเร็วผิดจังหวะ กระทั่งผิวแก้มก็ซับสีเลือดฝาดจนแดงปลั่งทั้งสองข้าง
ท่อนขาเพรียวสาวเท้าตรงไปยังทางเข้าคอนโด เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังเปิดประตูออกมา เขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียก เพราะถ้าประตูปิดลงจะไม่สามารถเปิดได้ถ้าไม่รู้รหัส
"ขอโทษครับ ขอเข้าไปด้วยครับ"
"อ๊ะ ได้ค่ะ"
หญิงสาวร่างประเปรียวที่ก้าวออกมาแล้วดึงประตูที่เกือบจะปิดลงให้ เด็กหนุ่มพยักหน้าขอบคุณเร็วๆ โดยไม่ได้หันไปมองให้เต็มตา จึงไม่ทันเห็นว่าเธอเลิกคิ้วมองเขาด้วยแววตาคลับคล้ายคลับคลาระคนแปลกใจ
ลิฟต์จอดนิ่งรออยู่อย่างได้จังหวะ ธีระก้าวเข้าไปแล้วก็กดหมายเลขชั้นที่ต้องการ ความรู้สึกขณะรอให้ลิฟต์เคลื่อนไปถึงชั้นที่หมายนำมาซึ่งความรู้สึกคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็แปลกใหม่จนใจเต้นตึกตัก
มันคล้ายการกลับสู่นิวาสอีกแห่งที่เขาเคยอาศัยมาก่อน แม้จะเป็นเพียงบางครั้งบางคราว แต่ก็ยังก่อให้เกิดความคาดหวังว่าจะยังเหมือนครั้งสุดท้ายที่มาเยือนหรือไม่
ติ๊งต่อง...
ธีระกดกริ่งหน้าหมายเลขห้องซึ่งจำได้แม่นแล้วก็สูดหายใจลึก พยายามกลั้นยิ้มที่เกลื่อนกล่นบนใบหน้าอย่างเต็มที่ขณะรอให้กฤตภาสมาเปิดประตู เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้มั่นใจว่าเจ้าของห้องอยู่ด้านในอย่างแน่นอน
"ลืมของอีกแล้วหรือไงมีน? เดี๋ยวก็ยึดซะหรอก"
ประโยคทักทายแรกเมื่อประตูเปิดออกทำให้รอยยิ้มของธีระแข็งค้าง ประกายตื่นเต้นยินดีในแววตาพลันเลือนหาย ฝ่ายคนที่เห็นว่าผู้มากดกริ่งคือใครก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน
มีน...เป็นใคร?
ในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา ระบบความคิดของธีระลัดวงจรจนไม่นึกอยากรู้คำตอบ เด็กหนุ่มก้าวถอยแล้วก็สาวเท้าหนี กฤตภาสที่ดึงสติคืนมาได้จึงรีบตามไปคว้าข้อมือได้ทันก่อนอีกฝ่ายจะวิ่งไปที่ลิฟต์
"เดี๋ยวสิ จะไปไหนน่ะ?"
"คุณรอคนอื่นอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องห่วง ผมไม่อยู่เป็นมือที่สามหรอก"
ธีระเอ่ยไปแล้วก็แทบสะอึกกับคำพูดของตัวเอง มือที่สาม...ทำไมคำนี้ถึงติดค้างอยู่ในหัวนะ อ้อ...คงเพราะข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าแน่ๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอสถานการณ์ที่พ่อสมมติให้กับตัวเอารวดเร็วทันใจปานนี้
กระบอกตาของเด็กหนุ่มร้อนผ่าวผิดกับร่างกายที่เย็นเฉียบ และนั่นทำให้ยิ่งรับรู้ถึงอุณหภูมิของฝ่ามือที่กำอยู่รอบข้อมือได้อย่างแจ่มชัด เขาสงสัยนักว่ามันจะร้อนเทียบเท่ากับความเดือดดาลในอกตอนที่เห็นกฤตภาสเปิดประตูออกมาทั้งที่สวมกางเกงยีนส์เพียงตัวเดียวหรือเปล่า
ไหนเคยบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนรู้จักห้องนี้ไงล่ะ สุดท้ายแล้วคำสัญญาที่ว่า 'ผมจะไม่ยอมให้ตี้ไม่มีความสุขเพราะผมเด็ดขาด' ก็เป็นแค่คำโกหกพกลม เอาไว้ใช้หลอกลวงให้พ่อกับแม่และเด็กโง่ๆ อย่างเขาตายใจเท่านั้นเองล่ะสิ
"คุณกฤต! ปล่อยนะ!!"
ธีระดิ้นทันทีที่ถูกคนด้านหลังรวบเอวจนเท้าลอยจากพื้น แต่กฤตภาสไม่สนใจสองมือที่ทั้งทุบทั้งข่วนขณะอุ้มเด็กหนุ่มเข้าห้องอย่างดึงดัน ใบหน้าคมคายบูดบึ้งหลังจากปล่อยเขาลงแล้วยืนขวางประตู
"กลับมาตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่โทรมาบอก?"
"โทรมาบอกเพื่อให้คุณสับรางถูกเหรอ? ขอโทษด้วยนะที่ผมโง่น้อยไป เลยจับได้ว่าคนชอบจับปลาหลายมือยังไงก็ไม่มีวันทิ้งลายเดิมวันยังค่ำ ช่างเถอะ ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมคนเดียวสำหรับคุณมันไม่พอ"
"จะไม่ฟังฉันอธิบายก่อนรึไง?"
"ไม่ฟัง! หลบไปเดี๋ยวนี้นะ!"
ธีระพยายามผลักกฤตภาสให้พ้นจากประตูอย่างไร้ผล ความโมโหที่พลุ่งพล่านปิดกั้นการรับรู้ทุกทาง นี่เขาหลงเชื่อลมปากของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน แล้วยังจะหลงตัวเอง...หลงปกป้องกฤตภาสทั้งที่พ่อกับแม่ก็เตือนแล้วเตือนอีก เขามันโง่...โง่งี่เง่าที่สุดในสามโลก!
++---TBC---+
A/N:มาแล้วค่ะ ครึ่งแรกของบทสรุปสำหรับความสัมพันธ์ของกฤตภาสกับน้องตี้ ตัดสินใจแบ่งเป็นสองโพสต์เพื่อให้ทุกคนที่ติดตามกันมานานได้เผื่อใจว่าจะจบจริงๆ แล้วนะ ขณะเดียวกันก็เพื่อแจ้งล่วงหน้าสำหรับใครที่สนใจจะเก็บเรื่องนี้แบบรูปเล่มด้วย เพราะเราจะทำทั้งแบบตีพิมพ์และอีบุ๊ค เพียงแต่อาจพร้อมเปิดจองเดือนกุมภาหรือมีนาเพราะยังไม่รู้ว่าจะมีตอนพิเศษเยอะแค่ไหน แต่เนื่องจากเรื่องนี้อาจถูกย้ายไปห้องนิยายจบแล้วก่อนที่เราจะประกาศรวมเล่ม ก็เลยจะขอความร่วมมือคนที่สนใจให้กรอกอีเมลทิ้งไว้ในลิ้งค์นี้ค่ะ http://goo.gl/forms/sD3fkPr5Wx ทั้งนี้ไม่ใช่การผูกมัดว่าจะต้องซื้อนะคะ แต่เพื่อความสะดวกของเราในการแจ้งข่าวสารให้ทราบเท่านั้น เพราะบางท่านอาจไม่ว่างเข้ามาที่เล้าได้บ่อยๆ หรือไม่ได้กดไลค์แฟนเพจไว้ (บางทีคนที่กดไลค์ไว้ยังไม่เห็นเวลาเราโพสต์อะไรใหม่ๆ เลย) ดังนั้นการส่งข่าวทางอีเมลก็จะช่วยให้มั่นใจว่าจะส่งข่าวไปถึงได้ทางหนึ่ง ถ้ามีเพื่อนคนไหนสนใจรับข่าวจากเราด้วยก็ช่วยกันกระจายข่าวให้กรอกแบบฟอร์มนี้ด้วยก็ได้ค่ะ
ก่อนจากกันไป เนื่องจากวันนี้เป็นวันเด็กพอดี ก็ขอให้ทุกคนสนุกสนาน สำราญเบิกบาน รำลึกถึงวัยเยาว์และ stay young at heart ตลอดไปนะคะ 