เสียงโทรศัพท์ดังลั่นปลุกธีระซึ่งผล็อยหลับอยู่บนเตียงให้สะดุ้งตื่น เด็กหนุ่มยื่นมือออกควานหาโทรศัพท์ที่หล่นอยู่บนพื้น เมื่อปรือตาขึ้นเห็นชื่อของคนที่โทรมาก็รีบกดรับสาย
"ครับคุณกฤต"
"นอนแล้วเหรอ? เสียงสะลึมสะลือเชียว"
"เมื่อกี้นอนอ่านการ์ตูนแล้วเผลอหลับไปน่ะครับ คุณกฤตเพิ่งเลิกงานเหรอ?"
ธีระถามพลางลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาลแล้วกฤตภาสก็โทรมาหาทุกคืน แต่ปกติจะโทรมาประมาณสองทุ่มครึ่ง วันนี้กลับโทรมาตอนเกือบสี่ทุ่ม ตอนแรกเขานึกว่าเจ้าตัวคงติดงานหรือไปกินเลี้ยงจนไม่โทรมาแล้วเสียอีก
"พอดีเมื่อเย็นไปกินข้าวที่บ้านคุณยายน่ะ พอกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จถึงค่อยโทรมา แล้ววันนี้ได้ออกไปไหนบ้างหรือเปล่า?"
"เมื่อเช้าไปทำบุญที่วัดแล้วก็ไปช่วยพ่อกับแม่ซื้อของเข้าบ้านครับ แล้วตอนเย็นก็ไปกินข้าวที่บ้านพี่หมู ตอนนี้น้องฟลุ๊คเริ่มคลานได้แล้ว ผมเลยเล่นกับหลานอยู่นานเลย เพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อสองทุ่มนี่เอง"
ธีระพยายามกลั้นหาวพลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กฤตภาสฟัง ทั้งที่เพิ่งจะปรับความเข้าใจจนกลับมาคุยกันดีๆ ได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง เขากลับรู้สึกเหมือนการโทรคุยกันก่อนนอนเป็นกิจวัตรที่ละเลยไม่ได้ไปเสียแล้ว
หากมาคิดทบทวนดูดีๆ วันที่เขาออกจากโรงพยาบาลนั้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ธีระมีความสุขที่สุด ถึงแม้จะเจ็บป่วย แต่มันก็ทำให้เขาได้ตระหนักว่าตนมีครอบครัวที่รักและเป็นห่วง เพื่อนใหม่และเก่าที่คอยให้กำลังใจ นอกจากนั้น...ยังได้สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมอบสิ่งนั้นให้อีกด้วย
ความจริงแล้ว...กระทั่งวันที่กลับมาถึงบ้านนั้นเขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์ในห้องพักผู้ป่วยเมื่อตอนเช้าเป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนั้นกฤตภาสโทรมาหา เขาก็คงยังนึกว่าตัวเองฝันไปแน่ๆ
"...มั้ย?"
"หือ? คุณกฤตว่าไงนะครับ?"
ธีระเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอใจลอยทั้งที่ถือโทรศัพท์คาหู กระทั่งกฤตภาสถามว่าอะไรก็ไม่ทันฟังจนต้องขอให้ถามใหม่
"ฉันถามว่าพรุ่งนี้จะกลับมากรุงเทพฯ แล้วใช่มั้ย?"
"ใช่ครับ เพราะมะรืนนี้ก็เปิดเทอมแล้ว จะให้นั่งรถตู้จากสุพรรณไปเข้าเรียนตั้งแต่วันเปิดเทอมคงไม่ไหว"
"พ่อจะขับรถมาส่งเหรอ?"
"เปล่าครับ คงแค่ไปส่งขึ้นรถตู้ ช่วงนี้พ่อผมต้องขับรถส่งของบ่อยๆ แค่นี้ก็ลางานเถ้าแก่มาคอยอยู่กับผมตั้งหลายวันแล้ว"
ธีระไม่แน่ใจว่าหูเฝื่อนหรือว่าได้ยินเสียง 'ฮึ' จากปลายสายจริงๆ เขาพยายามกลั้นหาวอีกแต่เสียงก็ยังเล็ดลอดไปถึงคู่สนทนาจนได้
"งั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวกลับถึงกรุงเทพฯ ก็โทรมาบอกด้วยแล้วกัน แล้วก็ไปนอนได้แล้ว เอาแต่หาวหวอดๆ ยังกับไม่อยากคุยอย่างนั้นแหละ"
"ไม่ใช่ซักหน่อย ก็คุณกฤตโทรมาดึกเอง แล้วเมื่อเช้าผมก็โดนปลุกแต่เช้าด้วยนี่นา"
เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แล้วก็หัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย อดจะนึกหมั่นไส้คู่สนทนาไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากเห็นหน้าขึ้นมาติดหมัดด้วย
ทั้งที่ดึกขนาดนี้แต่ก็ยังโทรมาหา...แปลว่าเขาคงไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะ...
"คุณกฤต นี่คิดถึงผมมากเลยใช่มั้ยครับ?"
เขาไม่ทันคิดอะไรก็เอ่ยปากถามไปแล้ว คำถามอันไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้กฤตภาสเป็นฝ่ายอึ้ง เพราะปกติแล้วจะมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายเย้าแหย่ พอถูกรุกก่อนบ้างจึงตั้งตัวไม่ทัน
เด็กคนนี้...
"ถ้าไม่คิดถึงจะโทรหาทำไม เธอเคยเห็นฉันโทรคุยกับใครนานๆ นอกจากเรื่องงานไหมล่ะ?"
คำตอบที่ได้ทำให้คนที่รอฟังยิ้มกว้าง ธีระเหลือบมองกระจกบนโต๊ะแล้วก็ได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยแต่กลับเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะเขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้มันผ่านมานานแค่ไหน
ไม่อยากเชื่อเลยว่าใบหน้าที่สะท้อนในกระจกตอนนี้จะเกิดจากกฤตภาส
"คุณกฤต ช่วยบอกว่าคิดถึงผมชัดๆ อีกทีได้มั้ย?"
"ไม่เอาหรอก พูดบ่อยๆ เฝือจะตาย"
"อะไรกัน ทีคำว่ารักยังเคยพูดได้เลยนี่นา"
"ไอ้นั่นถ้าพูดบ่อยๆ ก็เฝือเหมือนกัน อีกอย่างพูดผ่านโทรศัพท์ไปก็เท่านั้นแหละ เธอชอบให้ฉันพูดคำเลี่ยนๆ พวกนั้นทั้งที่ไม่เห็นหน้ากันแบบนี้น่ะเหรอ"
"คุณกฤต! จำไว้เลยนะ ผมนอนดีกว่า ไม่อยากคุยด้วยแล้ว"
ธีระชักฉุนขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าปลายสายหัวเราะชอบใจ
"เป็นเด็กเป็นเล็กรีบนอนไวๆ แหละดีแล้ว พรุ่งนี้ถึงกรุงเทพฯ แล้วก็อย่าลืมโทรมาบอกนะ เข้าใจมั้ย"
"ครับๆ คุณพ่อ ฝันดีนะครับ บ๊ายบาย"
เฮ้อ...เพิ่งจะเริ่มคุยหวานๆ กันได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนทำให้เสียมู้ดทุกที กับคุณกฤตนี่คงหวังจะให้ปากหวานไม่ไหวละมั้ง
แต่ว่า...ทำไมเขาถึงยังยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่อีกล่ะ ต๊องจริงๆ เลยตี้เอ๊ย...ไปแปรงฟันนอนดีกว่า
เด็กหนุ่มคิดพลางลุกขึ้นไปเปิดประตูเพื่อจะไปห้องน้ำ แต่เมื่อเห็นว่ามีคนยืนอยู่หลังประตูก็สะดุ้งโหยง
"เอ่อ...พ่อกับแม่มีอะไรกับตี้หรือเปล่า?"
ธีระถามเสียงตื่น เพราะปกติหลังสามทุ่มนั้นบ้านเขาก็เข้าห้องใครห้องมันแล้ว แต่นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วพ่อกับแม่ยังมายืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร
อธิศหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องนอนโดยไม่เอ่ยอะไร ทว่ารอยย่นบนหน้าผากบ่งบอกความไม่พอใจชัดเจน ฝ่ายธาริณีได้แต่ถอนหายใจก่อนจะจูงธีระกลับเข้าไปในห้อง
"พอดีพ่อกับแม่เพิ่งสวดมนต์ที่ห้องพระเสร็จแล้วกำลังจะไปนอน เห็นห้องตี้ยังไม่ปิดไฟก็เลยว่าจะมาบอกว่าให้นอนได้แล้ว แต่พอดีได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์เสียก่อน"
แม่ของเขานั่งลงบนเตียงแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ธีระเห็นแววตาของคนพูดก็หน้าแดง เพราะเท่ากับว่าที่เขาคุยกระเง้ากระงอดกับคุณกฤตเมื่อครู่...พ่อกับแม่ได้ยินทั้งหมด
"แม่...คือว่าตี้..."
"แม่ก็ไม่อยากพูดให้ตี้ไม่สบายใจหรอกนะ แต่พ่อเขาไม่ชอบคุณกฤตเอามากๆ ตี้ก็คงรู้ใช่ไหม?"
ธีระเงียบไป เขามองสีหน้าสงบเยือกเย็นของอีกฝ่ายแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่แค่พ่อหรอก แม่เขาก็ไม่ชอบกฤตภาสเหมือนกัน แต่ที่ไม่พูดก็เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาเท่านั้นเอง
"สังคมของคุณกฤตต่างจากพวกเรามาก แถมเขาเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่าตี้มากด้วย แล้วตี้เชื่อเหรอว่าเขาจะชอบตี้จริงๆ?"
หญิงวัยกลางคนไม่ถามว่าลูกชายชอบกฤตภาสจริงหรือเปล่า เพราะน้ำเสียงที่ได้ยินตอนคุยโทรศัพท์และสีหน้าตอนที่เปิดประตูออกมาก็บ่งบอกความในใจหมดแล้ว เพียงแต่เธอกลัวลูกจะถูกหลอกมากกว่า อายุยี่สิบเอ็ดอาจไม่ใช่เด็กแล้วก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ยังอ่อนเดียงสาต่อโลกและคนที่มากประสบการณ์กว่าอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเจ้าเล่ห์อย่างกฤตภาสที่เคยหลอกเธอได้สำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งที่มาตามธีระกลับไปฝึกงาน
เด็กหนุ่มนั่งลงบนพื้นแล้วหนุนศีรษะลงบนตักมารดา เขาพยายามคิดเลือกคำพูดอย่างระมัดระวังเพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้นก็เพราะเป็นห่วง
"ตี้...เข้าใจว่าทำไมพ่อไม่ชอบคุณกฤต ตอนแรกตี้ก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน คุณกฤตขี้แกล้งแถมเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ เวลาพูดอะไรก็ไม่คิดถึงหัวอกคนอื่น"
ธีระได้ยินเสียงสูดหายใจลึกจึงเงยหน้าขึ้น พอเห็นมารดามุ่นคิ้วถึงคิดได้ ตายล่ะ ทำไมเขาดันนึกได้แต่คุณสมบัติแย่ๆ ของคุณกฤตล่ะเนี่ย
"แต่คุณกฤตไม่ใช่คนเลว ถึงจะเจ้าเล่ห์ไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนโกหกหลอกลวง ตี้รู้ว่าพูดไปพ่อกับแม่อาจไม่เชื่อ แต่ตี้คิดว่า...เขาจริงใจตอนที่บอกว่าจะขอพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำให้ตี้มีความสุข"
เด็กหนุ่มเอ่ยไปก็รู้สึกร้อนที่ผิวหน้า เพราะนอกจากเขาจะกำลังปกป้องกฤตภาสแล้วก็ยังดูเหมือนหลงตัวเองด้วย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้จริงๆ จากการที่คลุกคลีกับเจ้าตัวมานี่นา
ถึงจะชอบทำเหมือนตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่กฤตภาสไม่เคยหลอกลวงเขาด้านความรู้สึก ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่ารัก สำหรับเขามันจึงมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
ธาริณีมองลูกชายคนเดียวที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผิวหน้าของเด็กหนุ่มแดงซ่านขณะที่นัยน์ตากลมโตหลุบต่ำราวกับกลัวจะโดนดุ ครั้งหนึ่งเธอเคยปลื้มใจเวลามีคนชมว่าลูกชายหน้าตาน่าเอ็นดู แต่คงเพราะหน้าตาแบบนี้กระมังที่ดึงดูดคนอย่างกฤตภาสเข้าหา และตอนนี้ก็ขโมยหัวใจของลูกไปจนสายเกินกว่าจะเรียกกลับเสียแล้ว
"ถ้าตี้พูดอย่างนั้น...แม่ก็คงพูดอะไรไม่ได้แล้ว"
ธาริณีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้น ธีระใจหายจนต้องรีบเข้าไปรั้งแขนอีกฝ่ายไว้
"แม่..."
"ไม่เป็นไรหรอกตี้ แม่ไม่ได้จะห้าม ถ้าลูกเชื่อใจคุณกฤตแม่ก็คงทำได้แค่หวังว่าเขาจะรักษาคำพูด แต่พ่อเขาคงทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายๆ ยังไงก็เข้าใจพ่อเขาด้วยแล้วกันนะ"
หญิงวัยกลางคนบีบมือลูกชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง ธีระมองประตูที่ปิดลงก่อนจะนั่งแปะลงกับพื้น เขารู้ดีและเข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ชอบกฤตภาส แต่ว่า ณ นาทีนี้ เขาถลำตัวมาไกลเกินกว่าจะตัดกฤตภาสออกจากชีวิตได้แล้ว
เมื่อครู่นี้เขาพูดว่ากฤตภาสเอาแต่ใจ แต่เขาเองก็ไม่ต่างกันเลย มันอาจเป็นความยึดติดแบบเด็กๆ แต่ความเป็นเด็กนี่แหละที่ทำให้เขาลืมยาก ทำให้ความทรงจำของเขายังแจ่มชัดว่าต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่ากฤตภาสจะยอมรับว่าเขาเป็นคนสำคัญ เขาหวงแหนความรักที่ได้มาอย่างยากเย็นนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะทำให้พ่อกับแม่ไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่อาจยอมสูญเสียกฤตภาสได้จริงๆ
++---TBC--++
A/N: ในที่สุดก็เข็นตอนใหม่ออกมาได้รับปีใหม่พอดี ขอให้นักอ่านทุกคนมีความสุขมากๆ ตลอดทั้งปี 2558/2015 นี้เลยนะคะ และขอฝากตัวให้ติดตามกันต่อไปในปีนี้ด้วยค่า
ปล. ได้ข่าวนะได้ข่าวว่า...ตอนหน้าเรื่องนี้จะจบแล้วล่ะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ 