ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกผลักเข้ามาด้านใน ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นหญิงชายวัยกลางคนที่ธีระคุ้นหน้าดี และนั่นทำให้เขาเลิกคิ้วสูงด้วยความคาดไม่ถึง
"พ่อ? แม่?"
"น้องตี้ ไม่เป็นไรใช่มั้ยลูก ไม่ได้ปวดท้องโรคกระเพาะมาตั้งหลายปีแล้วนี่นา"
ธาริณีเดินมายังข้างเตียงพลางลูบหลังไหล่ลูกชายด้วยความห่วงใย หลังจากทุกคนรู้ว่าผู้สูงวัยทั้งสองเป็นใครก็ไหว้ทักทาย ฝ่ายอธิศมองหน้าของทุกคนแล้วก็เอ่ยถามเสียงนิ่ง
"กฤตภาสคือคนไหน?"
"ผมเองครับ"
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปไหว้ชายวัยกลางคนที่เตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะ แต่ช่วงตัวที่ล่ำหนาบ่งบอกว่าในวัยหนุ่มคงกำยำไม่น้อย ผู้สูงวัยกวาดตามองเขาขึ้นลงก่อนจะกำมือแน่น
"แกเองรึ"
"ว้าย!"
"พ่อ!!"
ทุกคนร้องอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียง 'พล่อก!' พร้อมกับที่กำปั้นลุ่นๆ กระแทกเข้ากับหน้าของกฤตภาสโดยไม่มีใครห้ามทัน ร่างสูงกระเด็นลงไปบนพื้นตามแรงหมัดทันที วิรดาที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบเข้ามาประคองกฤตภาสขึ้นนั่ง พอเห็นชายหนุ่มก้มลงไปบ้วนเลือดบนพื้น และเห็นแวบๆ ว่ามีฟันกรามซี่หนึ่งปนอยู่ในกองเลือดผสมน้ำลายด้วยก็มือไม้อ่อน เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากก็สั่นไปด้วย
"ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันดีๆ เถอะ"
"ไม่มีอะไรต้องพูด คุณถอยออกมาให้ห่างๆ มันเดี๋ยวนี้!"
"พ่อ! ไหนสัญญากันไว้ว่าจะใจเย็นก่อนไง!"
"แม่เห็นหน้ามันแล้วยังใจเย็นได้อยู่เหรอ!? หันไปดูลูกซิว่าตอนนี้เป็นยังไง!"
ธีระหน้าซีดเผือดขณะมองแม่ที่กำลังพยายามยื้อพ่อไว้จากด้านหลัง ความจริงอาการเขาดีขึ้นมากแล้ว แต่ความตกตะลึงทำให้นึกคำพูดไม่ออกในทันที
"ไหน? โทรให้มาที่นี่เพราะบอกว่ามีเรื่องอยากคุยไม่ใช่เหรอ!? งั้นก็ลุกขึ้นมาคุยสิ ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงก็อย่าเอาแต่ซุกชายกระโปรงคนอื่น!"
นัยน์ตาของกฤตภาสวาวโรจน์ขณะปาดเลือดที่ไหลหยดจากปลายจมูกและมุมปาก บรรยากาศอันตึงเครียดทำให้ทุกคนในห้องแทบไม่กล้าหายใจ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแค่หยัดตัวขึ้นยืนและสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
"ผมมีเรื่องอยากคุยจริงๆ แต่นี่เป็นเรื่องเฉพาะพวกเรา ผมอยากขอให้คนอื่นออกไปก่อน"
"ทำไม? กล้าทำไม่กล้ารับรึไง? ไม่ต้องให้ใครออกไปทั้งนั้นแหละ! ไหนๆ มาแล้วก็ให้อยู่ฟังกันให้หมด!!"
"พ่อ! อย่าลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวได้มั้ย! ขอโทษนะคะ ทุกคนช่วยออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะค่ะ"
เมื่อเห็นว่าสามีเริ่มทำตัวไม่มีเหตุผล ธาริณีจึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนของลูก เธอไม่อยากให้พวกเขาติดภาพว่าพ่อของธีระป่าเถื่อนเหมือนไม่มีการศึกษา แต่แน่นอนว่าในเวลานี้คงอธิบายกับสามีไม่ได้
พวกของศันสนีย์มองหน้ากันไปมา และด้วยตระหนักว่าขืนอยู่ในห้องต่อไปก็มีแต่จะสร้างความลำบากใจจึงพากันทยอยเดินออกจากห้อง กฤตภาสจึงหันไปบอกคนที่ยืนด้านหลังบ้าง
"หม่าม้าก็ออกไปด้วยเถอะครับ"
"แต่ว่า..."
"ไม่เป็นไรหรอกครับ อะไรที่ผมผูกเองก็ต้องแก้เอง อย่าดึงใครเข้ามาเกี่ยวเลยครับ"
ชายหนุ่มบีบมืออีกฝ่ายพลางจ้องตานิ่ง วิรดาเข้าใจสิ่งที่กฤตภาสต้องการจะสื่อ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วเดินออกไปยังหน้าประตู แต่ก่อนจะก้าวออกไปก็ยังหันมาเอ่ยกับคู่สามีภรรยาที่ยืนอยู่กลางห้อง
"อย่าใช้ความรุนแรงกันเลยนะคะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ขอร้องล่ะ"
ประตูห้องปิดลงแล้ว ภายในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงของอธิศที่ดูเหมือนยังอยากเห็นเลือดจากกฤตภาสมากกว่านี้ กล้ามเนื้อทั่วร่างที่เกร็งขมวดบ่งบอกว่าพร้อมจะตรงเข้าทำร้ายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ทุกชั่วอึดใจ ขัดกันอย่างยิ่งกับท่าทางสงบนิ่งของกฤตภาสที่ยืนทิ้งแขนข้างลำตัวไว้เฉยๆ
ความเงียบอันน่าอึดอัดกำจายในอากาศจนธีระรู้สึกมวนท้องขึ้นมาอีก เขามองผู้ให้กำเนิดที่กำลังยืนจ้องตากฤตภาสแล้วก็ไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะคลี่คลายอย่างไรดี กลายเป็นแม่ของเขาที่ทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก
"คุณกฤต เมื่อคืนแม่ตกใจมากที่คุณโทรมา นึกว่าเราคงไม่ต้องเจอกันแล้วเสียอีก"
"ขอโทษด้วยครับที่โทรไปหากลางดึก แต่ผมเป็นห่วงตี้ แล้วผมก็อยากเจอคุณแม่กับคุณพ่อจริงๆ"
"ฉันมีลูกชายคนเดียว! แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ!"
ธาริณีที่ยังดึงแขนสามีไว้หันไปปรามอีกฝ่ายด้วยสายตา เรื่องที่สามีเจ็บแค้นแทนลูกชายนั้นเธอย่อมเข้าใจและรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ก็รู้ดีว่าการปล่อยให้ใช้กำลังมีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา
ที่สำคัญ...ถึงแม้จะปรายตาไปมองเพียงแวบเดียว แต่สัญชาตญาณของคนเป็นแม่ก็พอจะบอกได้ว่าลูกกำลังเป็นห่วงคนที่ยืนเลือดกบปากตรงหน้าแค่ไหนด้วย
"คุณกฤต บอกไว้ก่อนนะว่าพ่อของตี้เขาเคยเป็นนักมวยมาก่อน ทางที่ดีอย่ายั่วโมโหให้ตัวเองเจ็บตัวมากกว่านี้จะดีกว่า"
หญิงสูงวัยหันมาเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ กฤตภาสได้ฟังก็เลิกคิ้วเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่โกหกเพราะแรงหมัดเมื่อครู่ทำเอาเขาหน้ามืดไปชั่วขณะ
หญิงสูงวัยเอ่ยต่อ "คุณจำที่เราเคยคุยกันหลังจากที่ตี้เลิกไปฝึกงานได้ใช่มั้ย?"
"ได้ครับ"
กฤตภาสพยักหน้าพลางยกมือขึ้นปาดเลือดกำเดาที่ยังซึมอยู่ใต้จมูก ธีระได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็เลิกคิ้ว แม่ของเขาเคยคุยกับคุณกฤตระหว่างที่เขาไปอยู่ที่น่าน? ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย?
"แม่ขอพูดอีกครั้งนะคุณกฤตภาส แม่อโหสิให้คุณ ถือว่าคุณคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตี้มาก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเหตุให้ต้องข้องเกี่ยวกันแล้วก็ตัดบ่วงกรรมนี้เสียเถอะ ในเมื่อคุณเองก็มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว อย่าให้ตี้ต้องกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของคุณเลย แม่ไม่ได้เลี้ยงเขามาให้ถูกใครย่ำยีไม่ว่าจะทางร่างกายหรือว่าจิตใจ แค่นี้นะคะ"ทุกคำพูดที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ตอนที่เขาโทรไปถามว่าธีระอยู่ไหนยังดังก้องในความทรงจำ ตอนนั้นเขามีแต่ความร้อนใจ อยากรู้ว่าเด็กหนุ่มอยู่ที่ไหนโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมต้องทนไม่ได้ที่อีกฝ่ายจากไปถึงขนาดนั้น จนกระทั่งได้รับรู้ความต้องการที่แท้จริง ได้กลับมาพบธีระอีกครั้งและเห็นกับตาว่าได้สร้างรอยแผลในใจให้เด็กหนุ่มแค่ไหน กฤตภาสก็ตระหนักแล้วว่าเขาต้องทำทุกวิถีทางให้อีกฝ่ายเลิกคิดว่าตัวเองเป็น 'ส่วนเกิน' ในชีวิตเขาให้ได้
หากคำว่าขอโทษเป็นหนึ่งในการจะก้าวไปสู่จุดนั้น เขาก็ไม่เกี่ยงงอนที่จะเอ่ย
"ผมขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ที่เคยทำไม่ดีไว้กับตี้ แต่นอกจากคำขอโทษแล้วผมอยากจะขอแก้ตัวด้วย ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ตี้ไม่มีความสุขเพราะผมเด็ดขาด ดังนั้นผมขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ผมขอลูกชายของพ่อกับแม่ได้ไหมครับ"
ทั้งสามคนที่เหลือในห้องอึ้งไป ธีระเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู คุณกฤตพูดอะไรน่ะ นี่โดนพ่อของเขาต่อยจนเสียสติไปแล้วหรือไงกัน นี่คือผู้ชายคนที่เคยใช้ลูกไม้มาขู่บังคับให้เขาเป็นเซ็กส์เฟรนด์จริงๆ น่ะหรือ
พล่อก!
"พ่อ!!"
เสียงหมัดลุ่นๆ ที่ปะทะเข้ากลางลำตัวของกฤตภาสอีกครั้งจนชายหนุ่มตัวงอพับลงบนพื้นเรียกเสียงร้องจากทั้งธาริณีและธีระ แรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้กฤตภาสอาเจียนอาหารเช้าออกมา กระนั้นหลังจากตั้งตัวได้ ชายหนุ่มก็พยายามประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอีก แม้ท่าทางจะโซเซแทบยืนไม่อยู่ แต่เขาก็ยังสบตากับชายวัยกลางคนที่จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่หลบเลี่ยง
"ฉันไม่ให้ลูกฉัน! แกคิดว่าตัวเองดีเด่มาจากไหน!? ทำให้คนเขาอับอายแล้วก็มาแกล้งทำเป็นขอโทษ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วต่อไปแกจะไม่ทำให้ลูกฉันเสียใจ! แล้วพวกแฟนที่เคยพากันออกข่าวนั่นจะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน?"
"แฟนพวกนั้นผมเลิกหมดแล้ว คนล่าสุดนั่นก็เป็นแค่ญาติห่างๆ กันแต่นักข่าวเอาไปสร้างกระแสกันเอง ผมรู้ว่าไม่มีหลักประกันให้วางใจเรื่องของผมกับตี้ แต่ผมมั่นใจว่าผมพิสูจน์ให้เห็นได้"
แน่นอนว่ากฤตภาสไม่คิดจะบอกว่าแม่ของเขาคิดจะจับคู่ให้เขากับเกล็ดมณี เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
น้ำเสียงของกฤตภาสแหบแห้ง กระนั้นเจ้าตัวก็ยังกัดฟันทนเพื่อไม่ให้ล้มลงไปอีก ธีระมองกองเลือดและอาเจียนบนพื้นแล้วก็รับรู้ได้ว่าใบหน้ากำลังเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
กฤตภาสที่ยอมก้มหัวขอขมาคนอื่นถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยเห็นและไม่อยากเห็นอีกแล้ว
"พ่อ...พอเถอะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงพร่า ผู้สูงวัยทั้งสองดูจะเพิ่งตระหนักว่าลูกชายยังอยู่บนเตียง อธิศตวัดสายตามองกฤตภาสอย่างไม่หายโกรธก่อนจะเดินเข้าไปหาธีระ
"ตี้ ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็กลับบ้าน เดี๋ยวพ่อกับแม่พากลับสุพรรณวันนี้เลย ยังไงก็มีเวลาอีกสองสามวันก่อนจะเปิดเทอม เดี๋ยวพ่อพากลับมาส่งเอง"
ธีระมุ่นคิ้วพลางหันไปมองผู้เป็นแม่ หญิงสูงวัยพยักหน้าราวจะบอกว่าให้ทำตามที่สามีบอกไปก่อน
"ก็ได้ครับ แต่ว่า...ตี้ขอคุยกับคุณกฤตก่อนได้ไหม"
"จะคุยกับมันทำไมอีก! คนพรรค์นี้อยู่ด้วยนานไปก็เป็นเสนียดจัญไรกับชีวิตเท่านั้น ไม่ต้องไปเกลือกกลั้วอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด!"
กฤตภาสได้แต่พยายามสูดหายใจลึกอย่างข่มใจ นี่เป็นผลจากการกระทำที่ผ่านมาของเขาเอง จะโดนดูถูกด้วยถ้อยคำเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ต้องทน
ตราบใดที่คนที่เขาห่วงความรู้สึกที่สุดไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน เขาก็ไม่ได้หน้าบางจนถึงกับจะรับฟังคำสบประมาทเหล่านี้ไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยแยแสคำพูดของใครอยู่แล้วด้วย
"ถ้าพ่อไม่ให้ตี้คุย ตี้ก็ไม่กลับบ้าน"
เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาพลางเบ้ปาก เขารู้ดีว่าทั้งพ่อและแม่ต่างโอ๋เขาแค่ไหนเพราะเป็นลูกคนเดียว แม้จะรู้ว่าตอนนี้กำลังใช้ประโยชน์จากความใจอ่อนของทั้งคู่ แต่นี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจมานานในที่สุด
"ตี้..."
"ได้ แต่แค่ห้านาทีเท่านั้นนะตี้ หมดเวลาแล้วพ่อกับแม่จะเข้ามาช่วยเก็บของกลับบ้าน"
ธาริณีรู้ดีว่าให้สามีพยายามดันทุรังก็เปลืองแรงเปล่า แม้ว่าส่วนตัวแล้วจะไม่ได้นึกอยากสนับสนุนการตัดสินใจของลูกเลยก็ตาม แต่ก็รู้ดีว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง...ผู้ให้กำเนิดอย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มพยักหน้าขณะมองแม่ที่พยายามจะดึงแขนพ่อที่ท่าทางกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้อง กระทั่งประตูปิดสนิทลงแล้ว เขาจึงค่อยหันไปหากฤตภาสที่เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ชายหนุ่มฟุบหน้าลงบนฟูกขณะเอามือข้างหนึ่งกุมท้องเอาไว้
"คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?"
ธีระถามอย่างเป็นห่วง แต่ละครั้งที่เสียงหมัดของพ่อกระทบกฤตภาสนั้นหัวใจของเขาก็คล้ายถูกโบยไปด้วย ตอนยังเล็กเขาเคยตามไปดูพ่อสอนเด็กที่ค่ายมวย รู้ดีอย่างยิ่งว่าพ่อของตัวเองหมัดหนักแค่ไหน กฤตภาสซึ่งโตมาแบบคุณชายจู่ๆ ก็โดนเข้าสองหมัดติดกันย่อมไม่มีทางทนรับได้โดยไม่เข็ดขยาด
"ก็นิดหน่อย ไม่คิดว่าจะโดนแบบนี้ก็เลยไม่ทันได้ตั้งตัว"
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้าๆ จนกระทั่งพอจะหายจุก เขาค่อยดันตัวนั่งตรงแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับธีระ เด็กหนุ่มรีบหันไปหยิบกล่องทิชชู่แล้วเอามาซับเลือดที่ยังเกรอะกรังบนหน้าอีกฝ่ายทันที
"ขอโทษแทนพ่อผมด้วย ปกติพ่อเป็นคนใจดีมาก"
"ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าที่โดนไปนั่นก็สมควรแล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่พ่อเธอไม่พกปืนหรือมีดมาด้วย"
ธีระชะงักมือพลางเม้มปาก กฤตภาสเห็นดังนั้นจึงดึงมือของเด็กหนุ่มมากุมแน่น
"ฉันพูดเล่น อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ"
สัมผัสบนฝ่ามือช่วยปลอบประโลมให้จิตใจของธีระสงบลง เขาสบตากับกฤตภาสเงียบๆ ในอกระอุไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ผสมปนเปจนอธิบายไม่ถูก
คำพูดที่คุณกฤตบอกกับพ่อเมื่อกี้นี้...เขาเชื่อได้แค่ไหน
ธีระรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์คาดหวัง เพราะถ้าไม่หวังก็จะไม่ผิดหวัง แต่ท่าทีของกฤตภาสที่ยอมก้มหัวให้พ่อของเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน....มันทำให้ใจเขาอดจะโน้มเอียงไม่ได้ว่าหรือที่แท้แล้ว...เขายังไม่ถึงกับต้องปล่อยความหวังนี้ให้ลอยหายไปในอากาศเสียทีเดียว
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็เท่ากับเขายังเป็นที่ต้องการอยู่บ้างใช่ไหม?
"คุณเคยคุยกับแม่หลังจากผมเลิกฝึกงานด้วยเหรอ?"
"ตอนนั้นฉันติดต่อเธอไม่ได้ โทรไปหาแม่เธอก็ไม่ยอมบอก แต่เขาก็ทิ้งคำพูดที่ช่วยให้ฉันได้คิดเรื่องของเธอหลายข้ออยู่"
กฤตภาสยกมือของธีระขึ้นแนบบนแก้มข้างที่เริ่มช้ำเพราะถูกฤทธิ์หมัด เมื่อฝ่ามือเย็นๆ แตะลงก็ราวจะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนบริเวณนั้นให้ทุเลาลงนิดหนึ่ง
"ตอนนั้นฉันบอกแม่เธอไปว่าเสียใจ เขาก็เลยบอกว่าฉันสมควรจะพูดคำนี้กับเธอมากกว่า แล้วเขาก็บอกด้วยว่าไม่ได้เลี้ยงลูกมาให้เป็นส่วนเกินของใคร ดังนั้นให้ฉันปล่อยเธอไปซะ พอมาคิดทบทวนดู ฉันก็รู้ว่าแม่เธอพูดถูก"
มือของธีระที่ถูกจับไว้ทำท่าจะกระตุกออก แต่กฤตภาสไม่ปล่อยมือและเพียงแต่สบตาอีกฝ่ายนิ่ง
"แม่เธอพูดถูกที่ว่าไม่ได้เลี้ยงเธอมาให้เป็นส่วนเกินของใคร ดังนั้นฉันก็เลยจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าเธอไม่ใช่ส่วนเกินในชีวิตฉัน"
"...คุณก็แค่อยากเอาชนะแม่ผมเท่านั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องการผมจริงๆ หรอก"
น้ำเสียงของธีระสงบนิ่งจนกระทั่งตัวเองยังแปลกใจ นัยน์ตากลมโตแดงก่ำแต่ไร้หยาดน้ำตา ราวกับว่าวันนี้มันหลั่งไหลออกมาจนไม่เหลือจะหยดอีกแล้ว
"ไม่ใช่"
กฤตภาสสูดหายใจลึก เขาพยายามฝืนความเจ็บตรงช่องท้องแล้วลุกขึ้นโอบธีระไว้แนบอก เพราะมีแต่วิธีนี้ที่จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักว่าเขาพร้อมจะปกป้องเจ้าตัวได้
มันไม่ใช่ความรู้สึกตื้นเขินเพียงความสนใจอยากหยอกเย้าเล่นเหมือนที่ผ่านมา และไม่ใช่ความอยากเอาชนะคำสบประมาท เขาต้องการธีระมาอยู่เคียงข้างจากใจจริง
"เราอาจได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ฉันมั่นใจว่าเธอรู้จักฉันดีพอ เข้าใจฉันมากพอว่าฉันไม่มีทางฝืนทำเรื่องที่ขัดกับความต้องการของตัวเอง ถ้าหากฉันเป็นคนดีขนาดนั้น ฉันก็คงไม่เข้าไปยุ่งกับเธอตั้งแต่แรกแล้ว"
ธีระได้ยินเสียงหัวใจของกฤตภาสจากแผ่นอกที่แก้มของเขาแนบอยู่ เมื่อสูดหายใจเข้าก็ได้กลิ่นคาวเลือดเบาบางจากคราบที่เกาะอยู่บนเสื้อของอีกฝ่าย จึงได้แต่กำชายเสื้อของกฤตภาสแน่นเข้า
"กับเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเอาชนะแม่เธอ แต่คำพูดของเขาทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่าตัวเองคือคนที่บีบให้เธอตีตัวออกห่าง ฉันไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนก็ได้ในเมื่อเธอเคยพูดเองว่าขอให้ปล่อยเธอไป แต่ฉันไม่อยากปล่อย ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจ ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้"
อ้อมแขนของกฤตภาสกระชับรอบตัวของธีระแน่นเข้า ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดบนขมับราวจะเป็นตัวแทนของความปรารถนาที่คุกรุ่นในอกของอีกฝ่าย ความรู้สึกเดียวกันนั้นพลุ่งพล่านอยู่ในอกของเขาเช่นกัน
จริงหรือ นี่ไม่ใช่คำพูดหลอกลวงเพื่อให้เขากลับไปสู่วังวนเดิมใช่ไหม?
น้ำตาร้อนผ่าวไหลพรากลงมาอีกครั้ง มันร้อนจนคล้ายกับจะลวกผิวแก้มของเขาให้เป็นรอยได้ กฤตภาสรับรู้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของร่างในอ้อมแขนจึงยกนิ้วขึ้นกรีดหยดน้ำเหล่านั้นออก
"ฉันจะไม่ขอให้เธอเชื่อคำพูดของฉัน แต่ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นเอง เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นคนที่ลงมือทำมากกว่าพูด"
"ผมรู้..."
"หมดเวลาแล้ว ตี้ กลับบ้าน!"
บานประตูเปิดออกพร้อมกับที่อธิศเดินเข้ามาในห้องโดยมีธาริณีเดินตามหลัง ธีระหันไปมองก่อนประตูจะปิดลงและเห็นว่าพวกเพื่อนๆ ยังคงยืนให้กำลังใจอยู่นอกห้อง มุมปากได้รูปจึงยกขึ้นน้อยๆ คล้ายจะบอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง
หลังจากที่นางพยาบาลเข้ามาช่วยถอดเข็มน้ำเกลือและธีระเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พ่อกับแม่ก็พาเขาไปทำเรื่องจ่ายค่าห้องพัก ตลอดเวลานั้นกฤตภาสได้แต่ข่มความต้องการที่จะเสนอตัวออกค่าใช้จ่ายเพราะรู้ว่ารังแต่จะทำให้พ่อของธีระเหม็นขี้หน้ามากขึ้น กระนั้นเมื่อผู้สูงวัยทั้งสองพาเด็กหนุ่มไปที่รถโดยมีพวกเพื่อนๆ เดินตามไป เขาก็ยังตามไปส่งโดยไม่สนว่าบนใบหน้าและเสื้อผ้าตัวเองยังมีคราบเลือดติด
ทันทีที่ยอมรับความรู้สึกต่อหน้าเจ้าตัว กฤตภาสก็แทบทนเห็นธีระต้องจากไปอีกไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ดีว่าพอเปิดเทอมเมื่อไหร่พวกเขาย่อมได้เจอกันอยู่แล้วก็ตาม
"กลับถึงบ้านแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ นะตี้ แล้วเจอกันอีกทีวันเปิดเทอม"
พวกเพื่อนๆ เข้าไปกอดลาธีระและเอ่ยให้กำลังใจ ส่วนกฤตภาสเพียงแค่ยืนอยู่นอกวงและมองส่งเงียบๆ เขาได้ใช้เวลาตามลำพังกับเด็กหนุ่มและเอ่ยทุกสิ่งที่ต้องการออกไปหมดแล้ว หากทำอะไรอีกในยามนี้ก็มีแต่จะขวางหูขวางตาพ่อแม่ของอีกฝ่ายอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ต้องทน
"ถ้างั้น...เดี๋ยวค่อยเจอกันนะ"
ธีระเอ่ยหลังจากขึ้นนั่งบนรถและเลื่อนบานกระจกลง แต่ถึงแม้จะดูเผินๆ เหมือนกำลังพูดกับทุกคน สายตาของเด็กหนุ่มกลับทอดไปยังกฤตภาสที่ยืนห่างออกไปทางด้านหลัง นัยน์ตากลมโตทอประกายขณะที่มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ไม่นานบานกระจกก็ถูกกดเลื่อนขึ้นและรถเก๋งสีน้ำเงินแล่นห่างออกไป
นั่นเป็นยิ้มแรกที่ธีระมอบให้เขาจากใจจริง
ทันทีที่ตระหนักถึงข้อนี้ ในอกของกฤตภาสก็อัดแน่นด้วยความฮึกเหิมอันพลุ่งพล่าน ความอิ่มเอมแล่นไปทั่วร่างด้วยความยินดีที่เขาคว้าหัวใจของธีระได้ทันก่อนที่เด็กหนุ่มจะทิ้งความหวังในตัวเขาโดยสิ้นเชิง
โชคดีที่เขาไม่ได้รู้ตัวสายเกินไป...
นาทีนี้กฤตภาสไม่ลังเลอีกแล้ว ต่อให้ครอบครัวของพวกเขาล้วนแต่ไม่เห็นด้วยก็ช่าง เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ธีระมาอยู่เคียงข้างอย่างแท้จริง
++---TBC--++
A/N: โทษฐานที่หายหน้าไปนาน คราวนี้เลยมาแบบยาวๆ ให้จุใจหายคิดถึงกันไปเลยค่ะ ^^
ปล. ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขียนนิยายถึงตอนที่ 40 แล้วยังไม่จบ 