เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้าอย่างเป็นจังหวะคือเสียงแรกที่กฤตภาสได้ยินเมื่อรู้สึกตัว ร่างสูงใหญ่ปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้าและเห็นฝ้าเพดานห้องที่ไม่ชินตา ขณะเดียวกันก็มีบางสิ่งในบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
“อ้าว ตื่นแล้วรึ”
เสียงแหบทุ้มอันคุ้นเคยดึงสายตาของกฤตภาสไปที่ข้างเตียง และพบว่าเจ้าของเสียงคือโกเมท จันทร์เรือง พ่อของเขาเอง
ชายหนุ่มเหลือบมองเข็มน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนแขน จากนั้นจึงค่อยเบนสายตาขึ้นมองบิดาอีกครั้ง
“เหวินพาผมมาโรงพยาบาลเหรอครับ?”
“อืม เห็นว่าลูกไข้สูงจนน็อคก็เลยพามาแอดมิทที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง? ยังเวียนหัวหรือพะอืดพะอมบ้างหรือเปล่า?”
กฤตภาสส่ายหน้า เขาปรายตามองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็ออกปากถามอีกครั้ง
“จะสิบโมงแล้ว ผู้บริหารใหญ่มาโอ้เอ้อยู่ที่นี่จะดีเหรอครับ?”
“อะไรกัน เพิ่งเห็นหน้าพ่อก็จะไล่กันแล้วรึ ไม่ต้องห่วง เช้านี้ไม่มีงานด่วน พ่อมาเฝ้าลูกชายก่อนได้”
คำพูดหยอกเย้าและมือที่บีบลงบนบ่าช่วยถ่ายทอดความห่วงใยได้เป็นอย่างดี กฤตภาสมองคู่สนทนาอย่างพิจารณา เส้นผมสีดอกเลาของอีกฝ่ายถูกหวีเสยไว้อย่างเรียบร้อย รอยย่นบริเวณหางตายามที่ยิ้มมองเขาให้ความรู้สึกอบอุ่นโดยไม่ได้ลดทอนความผึ่งผาย เขาซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวแทบจะไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายมากนักเพราะตั้งแต่เด็กก็ได้ใช้เวลากับผู้เป็นพ่อน้อยมาก กระนั้นก็ให้นึกสงสัยว่าทำไมแม่จึงแยกทางกับผู้ชายคนนี้ได้ลง
“พ่อ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“หือ? เอาสิ”
“หลังจากที่หย่ากัน พ่อเคยคิดที่จะตามไปขอคืนดีกับแม่บ้างหรือเปล่า?”
คำถามอันไม่คาดฝันของกฤตภาสทำให้โกเมทนิ่งอึ้ง เขาสบตากับลูกชายที่จ้องมองเขาอย่างสงบ จากนั้นก็หลับตาลงแล้วระบายลมหายใจยาว
“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะกฤต”
“ผมไม่ได้อยากให้พ่อกับแม่คืนดีกันเพราะผมไม่ใช่เด็กแล้ว สมมติว่าตอนนั้นทั้งคู่ไม่ได้มีผมก็ได้ ถ้าหากหลังแต่งไปแล้วเกิดหย่ากันขึ้นมา พ่อยังคิดว่าจะตามไปขอคืนดีกับแม่หรือเปล่า?”
ไม่รู้อะไรดลใจกฤตภาสให้ถามคำถามที่รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์เช่นนั้นออกไป เพราะสิ่งที่ผ่านมาแล้วย่อมย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ กระนั้นเขาก็ยังอยากฟังคำของผู้ให้กำเนิดอีกคนบ้างหลังจากที่ฟังความข้างเดียวจากผู้เป็นแม่ตลอดมา
โกเมทระบายลมหายใจอีกเฮือก ผู้สูงวัยมองออกไปทางหน้าต่างที่มีม่านโปร่งช่วยกรองแสงแดดจากภายนอก จากนั้นก็ค่อยเปิดปากเล่าช้าๆ คล้ายลังเลที่จะเปิดประตูสู่ความทรงจำที่ปิดล็อคมานานเอาไว้
“พ่อกับแม่รู้จักกันเพราะว่าพวกเราเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ตอนนั้นคุณมุกเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย เธอสวย ครอบครัวก็มีฐานะ ส่วนพ่อเป็นแค่ลูกชาวสวนที่สอบชิงทุนเข้าไปเรียนได้ ตอนที่พวกเราเริ่มคบกัน พ่อยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะลดตัวลงมาคบกับคนที่ต้องปั่นจักรยานไปเรียนอย่างพ่อ มาตอนหลัง...พ่อถึงค่อยรู้ว่าคุณมุกขัดแย้งกับที่บ้านจนยอมแต่งงานกับพ่อที่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัวเพื่อประชด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยบ่นน้อยเนื้อต่ำใจหรือขอให้หานั่นนี่ให้ พ่อถึงได้มุ่งมั่นกับการทำงาน ตั้งใจว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้เธอภูมิใจ ให้ลูกที่จะเกิดได้มีทุกสิ่งไม่น้อยหน้าคนอื่นๆ เขา”
กฤตภาสรู้มาก่อนแล้วว่าพ่อกับแม่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ที่เขาไม่เคยรู้คือเรื่องที่แม่เคยขัดแย้งกับครอบครัว เนื่องจากกว่าเขาจะจำความได้ คุณตาก็เสียไปก่อนแล้วเพราะโรคมะเร็ง ญาติฝ่ายแม่จึงเหลือเพียงคุณยายที่ค่อนข้างใจดีและเอ็นดูเขา กับคุณป้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่เท่านั้น
“ตอนที่ลูกเกิดเป็นช่วงเวลาที่พ่อเพิ่งจะได้เริ่มลืมตาอ้าปากในงานที่ทำตอนนั้น มันทำให้พ่อต้องรีบสร้างฐานะเพื่อลูกที่กำลังโต โดยที่ลืมไปว่าคุณมุกไม่ใช่ผู้หญิงที่เคยชินกับการเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว พวกเราเริ่มทะเลาะกันจนกระทั่งสุดท้ายก็หย่าขาดแล้วลูกถูกพาไปอยู่ที่อังกฤษ ใช่ว่าพ่อจะไม่เคยอยากขอคืนดีกับแม่เขาหรอกนะ พ่อพยายามแล้ว...หลายครั้งหลายหน แต่คุณมุกก็ปฏิเสธทุกครั้งเพราะว่าทนนึกถึงช่วงเวลาที่พ่อทิ้งเขาไปหมกหมุ่นกับงานไม่ได้”
โกเมทเงียบไปอึดใจหนึ่งเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ฝ่ายกฤตภาสก็ไม่ได้ซักไซ้ เขาเพียงแต่รับฟังเรื่องราวจากปากคำของบิดาอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งผู้สูงวัยที่ดูจะดึงตัวเองกลับมาจากอดีตได้แล้วจึงหันมาหาเขาอีกครั้ง
“ชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ล่มเพราะทิฐิของเราทั้งคู่ แต่จะให้พูดว่าที่ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เพราะคุณมุกก็พูดได้ไม่เต็มปาก จริงอยู่ที่คุณมุกปฏิเสธทุกครั้งที่พ่อพยายามจะขอคืนดี แต่บางทีถ้าตอนนั้นพ่อยอมออกจากงานแล้วตามไปเฝ้าเขาที่อังกฤษเขาก็อาจจะใจอ่อน แต่เพราะพ่อเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะทิ้งงานทางนี้ไป สุดท้ายพอไม่ได้เจอกันนานเข้าความรู้สึกโหยหามันก็จืดจางไปเอง แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกันสำหรับลูกเพราะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อไม่เสียดายที่ไม่เคยทำหน้าที่ของพ่อให้ดีตอนที่พวกเรายังอยู่ด้วยกัน พ่อขอโทษด้วยนะกฤต”
คำขอโทษอย่างจริงใจทำให้กฤตภาสรู้สึกจุก เขาเพียงแค่ถามเรื่องในอดีตเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แต่ไม่ได้คาดหวังเลยว่ามันจะทำให้ได้ฟังคำสารภาพจากผู้ให้กำเนิดเช่นนี้
ตอนเด็กเขาเคยอิจฉาเพื่อนๆ ที่ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กระทั่งตอนที่ยอมรับได้แล้วว่าพ่อกับแม่จะไม่มีวันคืนดีกันก็ยังหวังให้พ่อไปหา แต่ด้วยวันคืนที่ล่วงเลยมานานทำให้เขาไม่คิดร่ำร้องต้องการความเอาใจใส่เช่นนั้นอีกแล้ว กระนั้นเมื่อได้ยินคำขอโทษก็ยังหยุดความรู้สึกแน่นหน้าอกไม่ได้
“ช่างมันเถอะครับ พ่อไม่ผิด”
“แม่เขาก็ไม่ผิดเหมือนกัน เพียงแต่นั่นเป็นการตัดสินใจเพราะเขายึดติดกับอดีตมากเกินไปจนไม่ยอมให้โอกาสพ่อ จำไว้นะกฤต เราไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อความสุขในอนาคตแค่ไหน พ่อไม่อยากให้ลูกเจริญรอยตามพ่อกับแม่ หากลูกทำอะไรแล้วมีความสุขพ่อก็ยินดีสนับสนุน หากลูกไม่ต้องการให้พ่อก้าวก่าย พ่อก็จะไม่ยุ่งเพราะลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เพียงแต่ขอให้ฟังคำแนะนำของพ่อแล้วเอาไปคิด สุดท้ายแล้วลูกจะตัดสินใจยังไง พ่อก็คงทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น”
ชายต่างวัยแต่ผูกพันด้วยสายเลือดทั้งสองสบตากัน และกฤตภาสรับรู้ได้ว่าคำพูดของบิดาแฝงความนัยที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้อะไรมากกว่าที่เพิ่งเอ่ย
“ไอ้เหวินปากเปราะอีกแล้วสินะ”
โกเมทหัวเราะหึๆ “พ่อดีใจนะที่ลูกมีเพื่อนที่เป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ ส่วนกับเด็กคนนั้น...พ่อไม่มีปัญหาถ้าเขาเป็นคนที่ลูกเลือก แต่ก่อนจะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก่อนก็แล้วกัน ถึงจะบอกว่าอย่าถอดใจแต่ก็ไม่หมายความว่าพ่อแนะนำให้ใช้กำลังบังคับ เพราะบางทีการข่มขู่ให้เขาอยู่ข้างตัวอาจเป็นความสุขของเราบนความทุกข์ของเขาก็ได้ ไม่มีความสุขไหนที่ยั่งยืนถ้าทั้งสองฝ่ายไม่เท่าเทียมกันหรอก พ่อคงแนะนำได้แค่นี้ล่ะนะ”
ผู้สูงวัยกล่าวก่อนจะบีบมือเขาอย่างให้กำลังใจ กฤตภาสรับรู้ได้ถึงความหยาบกร้านของฝ่ามือของผู้ให้กำเนิดที่สู้ชีวิตมาตลอดเวลาร่วมหกสิบกว่าปี หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็บีบมือข้างนั้นตอบ
“สวัสดีค่ะ อาการดีขึ้นหรือยังคะ? เดี๋ยวขอเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะคะ”
นางพยาบาลเอ่ยขณะเปิดประตูเข้ามาในห้อง โกเมทจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเปิดทางให้เธอทำหน้าที่ได้สะดวก กฤตภาสเห็นผู้สูงวัยชำเลืองมองนาฬิกาแขวนผนังจึงเอ่ยขึ้น
“ไปทำงานเถอะครับพ่อ ผมดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะแล้ว ถ้าหากมีอะไรจะโทรไปบอก”
“อืม ถ้าอย่างนั้นพ่อกลับก่อนก็แล้วกัน ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ผู้สูงวัยเอ่ยก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมแล้วก็เดินออกไป กฤตภาสไม่ทันได้เอะใจ พยาบาลสาวก็เอ่ยขึ้นระหว่างที่ช่วยเขาถอดเสื้อ
“ไม่รู้ได้นอนหรือยังนะคะนั่น”
“หือ?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะที่อีกฝ่ายดึงเสื้อออกจากแขนของเขา เธอจึงอธิบายพร้อมร้อยยิ้ม
“เมื่อวานหลังจากคุณมาแอดมิทแล้วคุณพ่อท่านเป็นคนมาเฝ้าน่ะค่ะ ตอนกลางคืนนิ่มอยู่เวรก็เลยได้เข้ามาช่วยดูอาการเป็นระยะ เห็นคุณพ่อท่านนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดไม่ยอมไปนอนเลย ท่าทางจะเป็นห่วงคุณมากนะคะ”
เธอเล่าพลางเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาจนเสร็จ จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าชุดเก่าแล้วเดินออกจากห้องไป กฤตภาสนึกถึงภาพแรกที่เห็นตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า แล้วก็นึกได้ว่าสีหน้าของบิดามีร่องรอยอ่อนล้าจริงๆ แต่เขานึกว่าคงเพราะอีกฝ่ายโหมทำงานหนักเสียอีกจึงไม่ได้ทัก
ไม่นึกเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นเพราะอดนอนทั้งคืนเพื่อเฝ้าไข้เขา
ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วระบายลมหายใจยาว บางทีการที่เขารู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษในวันนี้คงเพราะพิษไข้กระมัง แม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรจะสะเทือนจิตใจก็ยังทำให้ในอกหนักอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก จะลุกขึ้นมาหาเรื่องอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจก็ทำไม่ไหว หลังจากพยายามจะหลับต่ออยู่นานอย่างไร้ผล ความคิดของเขาก็หวนกลับมายังคำพูดที่โกเมทฝากไว้เมื่อไม่กี่อึดใจก่อนจนได้
“บางทีการข่มขู่ให้เขาอยู่ข้างตัวอาจเป็นความสุขของเราบนความทุกข์ของเขาก็ได้ ไม่มีความสุขไหนที่ยั่งยืนถ้าทั้งสองฝ่ายไม่เท่าเทียมกันหรอก” ความเท่าเทียมกันงั้นหรือ...เขาไม่เคยมองความสัมพันธ์กับใครในแง่มุมนี้มาก่อนเลย ถูกล่ะว่าในแง่ของการดำเนินธุรกิจแล้วเราย่อมต้องเสียบางสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอีกสิ่งหนึ่งเสมอ มันเป็นกฎเกณฑ์สากลที่กฤตภาสปฏิบัติตามมาโดยตลอด แต่ในแง่อื่นแล้วเขาไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าตนเคยเสียอะไรให้คนอื่นเท่ากับที่เรียกร้องกลับคืนหรือไม่
“ปล่อยผมไปเถอะครับ คุณกฤตเล่นกับความรู้สึกของผมมาเยอะแล้ว” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ธีระเอ่ยกับเขา...คำขอร้องครั้งแรกและครั้งสุดท้าย แต่คำแนะนำที่เพิ่งได้รับจากพ่อทำให้กฤตภาสไม่แน่ใจว่าควรจะไปตามหาเด็กหนุ่มหรือว่าปล่อยมือไปทั้งแบบนี้ จริงอยู่ว่าตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างที่เคยเบาบางในอกยามที่เขาคิดถึงธีระนั้นได้แจ่มชัดขึ้นเป็นรูปร่างจนแทบจะสัมผัสได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกนั้นเข้มข้นพอที่เขาจะยอมจะสละความเป็นตัวของตัวเองที่เคยชินมาตลอดสามสิบสามปีเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้ใครบางคนมาหรือยัง
++---TBC---++
A/N: หลังจากตอนก่อนเราได้ติดตามชีวิตน้องตี้กันแล้ว คราวนี้มาดูฝั่งตากฤตกันบ้าง ใครคิดถึงน้องตี้รอกันหน่อยนะคะ รับรองตอนหน้าได้เจอน้องแน่ๆ ค่ะ (คนอ่านได้เจอนะ แต่ตากฤตได้เจอรึเปล่า...ไม่โบกกกก)
ปล. กฤตภาสนี่เป็นพระเอกที่ใช้ประกันสุขภาพคุ้มจริงๆ พระเอกคนอื่นเขาเข้าโรงพยาบาลกันคนละรอบ นี่เข้าสองรอบติดๆ กันเลยพ่อคุณ 