เล่ห์ลวงใจ ตอนที่ 23 "นอกจากนี้มีอะไรจะเตือนเพิ่มอีกไหมครับ?"
ธีระถามขณะที่กฤตภาสกินข้าวต้มเป็นอาหารเช้า ตอนแรกเขานึกว่าการมาเฝ้าไข้คงหมายถึงต้องอยู่กับกฤตภาสที่โรงพยาบาลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เมื่อเช้านี้หลังจากที่เขาทำธุระส่วนตัวเสร็จ คนเจ็บกลับบอกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมานั่งฟังสิ่งที่ต้องไปทำที่บริษัท
"ไหนลองไล่ให้ฟังซิว่าเมื่อกี้ฉันบอกอะไรไปบ้าง? ต้องดูว่าเธอจำได้แค่ไหนฉันถึงจะรู้ว่าต้องเตือนอะไรเพิ่ม"
กฤตภาสเอ่ยพลางหยิบยาขึ้นกินหลังจัดการข้าวต้มหมดชาม ธีระจึงกวาดตาดูสิ่งที่เพิ่งจดลงในสมุดโน้ตอีกครั้ง
"ถ้าหากมีเอกสารอันไหนที่จำเป็นต้องให้เซ็นด่วนจริงๆ ให้เอาใส่แฟ้มกลับมาตอนเย็น ถ้าลูกค้าโทรมาหาให้บอกว่าติดประชุม ถ้าคนที่บริษัทถามว่าไปไหนให้บอกว่าไปคุยงานกับลูกค้าที่ยังเปิดเผยไม่ได้ สำคัญที่สุดคือห้ามให้รู้ว่าคุณบาดเจ็บหรือนอนอยู่โรงพยาบาลเด็ดขาด ผมยังตกหล่นอะไรไปอีกรึเปล่า?"
เด็กหนุ่มถามพลางถอนสายตาขึ้นจากสมุดโน้ต กฤตภาสมองแววตาที่คล้ายจะพูดว่า 'ผมไม่ได้โง่นะ' แล้วก็เกือบจะเผลอยิ้ม
"มีอีกข้อ บ่ายนี้พวกอาร์ทต้องไปตกแต่งสถานที่จัดงานสำหรับอิเว้นท์วันพรุ่งนี้ ให้เธอตามไปแล้วก็ถ่ายรูปส่งมาให้ฉันด้วย ถ้าหากว่าเกิดปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันแก้ไขก่อน"
"ได้ครับ แต่พรุ่งนี้คุณตั้งใจจะไปงานจริงๆ เหรอ?"
"ต้องไปสิ ถ้าไม่เห็นหน้าฉันลูกค้าจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ ต่อไปก็อาจไม่จ้างเราอีกก็ได้"
ธีระมองใบหน้าที่ยังค่อนข้างอิดโรยของกฤตภาส เขาเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเอ่ยมา แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่คนเพิ่งโดนยิงแถมยังไม่หายไข้จะทำเก่งไปเดินร่อนในงานอิเว้นท์เลยสักนิด
แต่ถึงห้ามไปก็คงป่วยการอยู่ดี...ผู้ชายคนนี้เคยฟังใครเสียที่ไหน
"ถ้างั้นผมไปแล้วนะครับ"
ธีระเก็บสมุดบันทึกลงกระเป๋าสะพายแล้วก็ลุกขึ้น กฤตภาสจึงบุ้ยคางไปทางชั้นวางของ "ก่อนไปช่วยหยิบกระเป๋าสตางค์ให้ฉันหน่อย"
เด็กหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มส่งให้กฤตภาส จากนั้นก็มองดูเจ้าตัวยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทมาให้สองใบด้วยแววตางุนงง
"จะฝากซื้ออะไรเหรอครับ?"
"ไม่ใช่ นี่สำหรับค่าเดินทางแล้วก็ค่าขนมของเธอวันนี้ เหลือเท่าไหร่ก็เก็บไว้ ไม่ต้องคืน"
นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันที "ผมไม่ใช้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ แค่พันเดียวก็เกินพอสำหรับค่าแท็กซี่กับค่าข้าวแล้ว คุณเอาอีกพันนี่คืนไปเถอะ"
"ฉันให้สองพันก็คือสองพันสิ ถือว่านี่เป็นค่าแรงที่มาช่วยเฝ้าไข้ให้ด้วย ผู้ใหญ่ให้เงินก็รับๆ ไปเถอะน่ะ"
กฤตภาสเอ่ยพลางเดาะลิ้น ธีระยังไม่ทันจะได้แย้งก็มีนางพยาบาลสองคนเดินเข้ามาขัดจังหวะ
"ทานมื้อเช้าเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยนะคะ"
ราวกับระฆังพักยกถูกลั่น ธีระจึงจำใจถอยออกจากห้องระหว่างที่นางพยาบาลเช็ดตัวให้คนเจ็บ ขณะที่เดินไปรอลิฟท์ก็ได้แต่มองกระดาษสีเทาสองใบในมือด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ความจริงเขาควรจะดีใจสิที่ไม่ต้องเสียแรงมาช่วยเฝ้าคนเจ็บแถมยังนิสัยเอาแต่ใจฟรีๆ แต่ทำไมพอโดนตีมูลค่าการช่วยเหลือพวกนั้นเป็นตัวเงินแล้วถึงต้องหงุดหงิดแบบนี้ด้วยนะ...
ธีระเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่บริษัท หลังจากนั้นก็ทำตามที่กฤตภาสเตือนไว้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องการตอบคำถามว่าเจ้าตัวอยู่ไหนหรือเรื่องรวบรวมเอกสารเพื่อนำกลับไปให้ลงชื่อ พอตอนบ่ายเขาก็เดินทางออกจากบริษัทพร้อมกับทีมงานบางส่วนเพื่อไปเริ่มจัดเตรียมสถานที่ที่จะจัดงานเปิดตัวโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ในวันรุ่งขึ้น
"ท่าทางวันนี้คุณกฤตคงติดประชุมยุ่งมากเลยนะ บางทีพี่ส่งข้อความไปก็ไม่ค่อยตอบ"
อรรณพเอ่ยเปรยๆ หลังจากพวกเขาหกคนมาถึงสถานที่จัดงาน และขณะนี้กำลังแบ่งหน้าที่กันดูแลการตกแต่ง ซักซ้อมคิวการแสดงและคุยสรุปงานกับเจ้าหน้าที่โรงแรม
"คงจะอย่างนั้นแหละครับพี่อาร์ท แต่ถ้ามีอะไรด่วนจริงๆ บอกตี้ก็ได้ ถ้าตี้โทรไปคุณกฤตน่าจะรับ"
ธีระรู้ดีว่าช่วงไหนที่กฤตภาสไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบคงจะเป็นเพราะกำลังนอนพักผ่อน เพราะถึงแม้ดูภายนอกจะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ร่างกายก็ย่อมต้องการการฟื้นฟู ไหนยังจะต้องเก็บออมแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้อีก
"คุณอาร์ทคะ ขอเวลานิดนึงได้ไหมคะ อยากจะถามเกี่ยวกับคิวงานพรุ่งนี้หน่อยค่ะ"
"ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพี่มานะตี้ ฝากถ่ายรูปส่งให้คุณกฤตดูความคืบหน้าด้วย"
ธีระพยักหน้าเพราะนั่นเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปตั้งแต่หน้าทางเข้างาน จากนั้นก็เดินถ่ายตามจุดตกแต่งต่างๆ แล้วส่งไปทางข้อความให้กฤตภาสดู บางครั้งเจ้าตัวก็พิมพ์ตอบเขามาว่าให้โยกย้ายอะไรหรือบอกทีมงานให้แก้ไขตรงไหนบ้าง ถ้าหากพิมพ์คุยกันแล้วยังไม่เข้าใจก็จะโทรมาหา
"ผมย้ำกับร้านดอกไม้แล้วครับว่าต้องเตรียมช่อบูเก้ไว้ให้ใครบ้าง เรื่องเมนูอาหารพี่กิ๊ฟท์จะประสานงานกับเชฟให้ ส่วนฉากบนเวทีพี่อาร์ทกำลังเช็คอยู่ ถ้ามีอะไรไม่เคลียร์อีกผมจะโทรไปถามก็แล้วกันครับ"
เด็กหนุ่มตัดสายพลางระบายลมหายใจยาว ตั้งแต่มาที่สถานที่จัดงานเมื่อช่วงบ่ายเขาก็ช่วยงานคนนั้นคนนี้บ้าง ถ่ายรูปส่งให้กฤตภาสและช่วยประสานงานแทนเจ้าตัวบ้าง โทรคุยงานกลับไปกลับมาหลายหนจนชักจะล้าเต็มที แต่เพราะเห็นรุ่นพี่คนอื่นยังทำงานกันอยู่จึงช่วยต่อไป
"วันนี้คุณกฤตไม่มาเหรอครับ น้องตี้"
ธีระสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงถามในระยะใกล้ พอหันหลังไปก็พบอนุชิตซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของลูกค้ากำลังยืนยิ้ม เขาไม่รู้ว่าถูกแอบฟังมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ได้แต่หวังเมื่อครู่จะไม่ได้เผลอพูดอะไรเกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือโรงพยาบาลออกไป
"สวัสดีครับคุณอนุชิต"
"อะไรกัน เรียกพี่อินก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อจริงเต็มยศขนาดนั้นหรอก"
"ก็...ได้ครับ คุณอิน"
เขาจำได้ว่ากฤตภาสเคยสอนตอนที่ตามออกไปประชุมกับลูกค้าว่าเราสามารถทำตัวสนิทสนมกับลูกค้าได้แต่ก็ต้องทิ้งระยะไว้บ้าง และต่อให้ไม่ถูกสอนมาแบบนั้น พฤติกรรมของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาไม่สนิทใจพอจะใช้สรรพนามที่สนิทสนมด้วยอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าธีระยอมเรียกชื่อเล่นแต่ยังใช้คำสุภาพนำหน้า อนุชิตก็เพียงแต่ยิ้มโดยไม่กดดันต่อ เขากวาดสายตาไปรอบห้องจัดงานแล้วก็เอ่ยลอยๆ
"ทุกคนกำลังวุ่นเลยสิเนี่ย พอดีผมกำลังจะกลับบ้านก็เลยคิดว่าน่าจะมาดูให้แน่ใจเสียหน่อยว่าเตรียมงานกันไปถึงไหนแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะได้เจอคุณกฤตซะอีก แต่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ได้มาคุมงานเองสินะ"
"ถ้าไม่เห็นหน้าฉันลูกค้าจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ ต่อไปก็อาจไม่จ้างเราอีกก็ได้" ธีระฉุกคิดถึงคำพูดของกฤตภาสเมื่อเช้าได้ทันทีจึงรีบเอ่ยขัด
"เพราะเราประชุมเตรียมความพร้อมกันมาหลายรอบ พวกพี่ๆ เขาก็เลยรู้ว่าต้องทำอะไรกันอยู่แล้วน่ะครับ อีกอย่างถึงคุณกฤตจะไม่ได้มาคุมงานเองแต่พวกเราก็คอยแจ้งความคืบหน้าให้ตลอด ยังไงพรุ่งนี้คุณกฤตก็มาร่วมงานแน่นอน คุณอินวางใจได้ครับ"
เด็กหนุ่มนึกแปลกใจตัวเองที่ออกปากปกป้องคนที่เขาแสนจะหมั่นไส้ได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะไม่อยากให้ทุกคนในบริษัทโดนมองไม่ดีตามไปด้วยต่างหาก
อนุชิตเลิกคิ้วมองธีระด้วยแววตาแปลกใจ แต่แล้วก็ยกมุมปากขึ้นพร้อมกับประกายในแววตาที่วาววับยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนกลีบดอกไม้ที่เสียบอยู่ในแจกันข้างๆ แล้วก็ทอดเสียงนุ่ม
"รู้อะไรมั้ย? เจ้านายกับเลขาฯ ที่ทำงานด้วยกันไปนานๆ มักจะซึมซับบุคลิกกันจนบางทีแค่ถามอะไรเลขาก็รู้แล้วว่าเจ้านายจะตอบว่ายังไง แต่น้องตี้เพิ่งจะมาฝึกงานได้แค่เดือนหรือสองเดือนเอง แสดงว่าคุณกฤตคงถ่ายทอดอะไรให้เยอะน่าดูสินะ"
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ น่าจะเพราะพี่วีร์ที่เคยเป็นเลขาฯ ของคุณกฤตช่วยสอนงานผมไว้หลายอย่างมากกว่า"
ธีระยอมรับว่าสะอึกกับประโยคสุดท้ายของอนุชิต เพราะมันช่างเป็นคำพูดธรรมดาๆ ที่ฟังแล้วล่อแหลมเหลือเกินเมื่อมาจากริมฝีปากของคนที่มองเขาด้วยแววตารู้ทัน
"พรุ่งนี้คุณกฤตมาก็ดีเหมือนกันเพราะเรามีนิกกี้เป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก ถ้ามีนักข่าวได้ถ่ายรูปตอนนิกกี้อยู่กับคุณกฤตเยอะๆ ก็คงช่วยให้งานเราได้ลงสื่อมากขึ้น เพราะดูเหมือนช่วงนี้จะไม่ค่อยมีใครเห็นข่าวของสองคนนี้ซะด้วย"
"ก็คงอย่างนั้นแหละครับ"
เด็กหนุ่มตอบอย่างขอไปที เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอนุชิตเพียงแต่บอกเล่าหรือกำลังพยายามหยั่งเชิงกันแน่ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าให้ระมัดระวังคำพูดเวลาสนทนากับผู้ชายคนนี้
ท่าทางระวังระไวของเขาคงสื่อให้รู้ว่าถึงจะพยายามแหย่ต่อไปก็ไร้ผล อนุชิตจึงยกมือขึ้นตบบ่าเขายิ้มๆ
"น่าอิจฉาคุณกฤตจริงๆ ที่มีเลขาฯ ที่ไว้ใจได้คอยเป็นหูเป็นตาให้แบบนี้ เอาไว้ถ้าเบื่อคุณกฤตเมื่อไหร่ก็มาหาผมได้นะ ฝ่ายการตลาดที่บริษัทอยากได้เด็กไฟแรงแบบนี้มาเสริมทีมอยู่แล้วล่ะ"
คำพูดสองแง่สองง่ามซึ่งถูกสอดแทรกไว้ในบทสนทนาที่ดูไร้พิษสงทำให้เด็กหนุ่มหางคิ้วกระตุก เขายืนมองอนุชิตที่ปลีกตัวไปสำรวจส่วนต่างๆ ของห้องจัดงานแล้วก็ยกมือขึ้นปัดไหล่บริเวณที่โดนสัมผัสเมื่อครู่
น่าขยะแขยงชะมัด...
"ตี้ ทำอะไรอยู่น่ะ?"
"อ๋อ ตี้ปัดมดออกจากเสื้อน่ะพี่อาร์ท มีอะไรรึเปล่าครับ?"
ธีระหันไปตอบอรรณพที่เดินเข้ามาหา รุ่นพี่ของเขามองอนุชิตที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องจัดงานหลังสำรวจจนพอใจแล้วก็หันมาขมวดคิ้วถาม
"ไม่ได้โดนหลอกถามอะไรใช่ไหม? พี่เพิ่งรู้จากไอ้บุ้งว่าเมื่อกี้คุณอินมาชวนตี้คุย มันบอกว่าดูท่าทางสนิทสนมกันดีก็เลยไม่อยากเข้ามาขัด นี่ถ้าพี่ไม่ไปเข้าห้องน้ำอยู่คงออกมาช่วยรับหน้าไปแล้ว คุณกฤตบอกว่าถึงเขาจะจ้างเราแต่ก็ไม่ค่อยวางใจเราเท่าไหร่ แต่เจ้านายเขาเป็นเพื่อนกับพ่อของคุณกฤต ก็เลยเหมือนโดนบีบให้มาจ้างบริษัทเราทั้งที่ใจจริงเขาอยากจ้างบริษัทของเพื่อนเขามากกว่า"
มิน่าล่ะ...ธีระเพิ่งถึงบางอ้อว่าทำไมอนุชิตถึงพยายามหาเรื่องกฤตภาสนัก ความซับซ้อนของวัยทำงานและเรื่องเส้นสายช่างทำให้เขาปวดหัวเสียจริงๆ ว่าแต่พี่บุ้งดูยังไงกันถึงเห็นว่าเขาคุยกับอนุชิตอย่างสนิทสนม? น่าจะเหมือนใส่หน้ากากเข้าหากันแล้วซ่อนมีดไว้ข้างหลังสิไม่ว่า!
"นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว พวกพี่ว่าจะออกไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนค่อยกลับมาเตรียมงานต่อ ตี้จะไปด้วยกันมั้ย? พอกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านเลยก็ได้ จะได้กลับไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จะได้มีแรงมาช่วยกันคุมงาน"
"อ้าว? ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย? งั้นตี้ไปด้วยดีกว่า ขอถ่ายรูปส่งให้คุณกฤตดูอีกนิดนึง ขอเวลาห้านาทีได้มั้ยครับ?"
"ฮะๆ ได้ๆ เดี๋ยวพวกไอ้บุ้งมันคงจะออกไปสูบบุหรี่รอที่หน้าโรงแรมแหละ เดี๋ยวตี้เสร็จแล้วก็ออกไปพร้อมกับกิฟท์ก็แล้วกัน เห็นยายนั่นยังนั่งแก้สคริปต์พิธีกรอยู่แถวๆ หน้าเวทีอยู่เลย"
"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ล็อบบี้"
++------++
กฤตภาสนั่งเอนหลังพิงหมอนขณะกวาดสายตาอ่านข้อความและอีเมล์ในไอแพด เขานั่งทำเช่นนั้นนานเป็นชั่วโมงๆ ตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จจนสายตาเริ่มล้าถึงค่อยเหลือบดูนาฬิกา และพบว่าขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
ยังอยู่ช่วยเตรียมงานที่โรงแรมอีกรึ...ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองแท้ๆ
ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะโทรตามธีระดีไหม ประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของใบหน้าคุ้นตาที่ก้าวเข้ามาอย่างได้จังหวะ
"เป็นไงมั่งไอ้คุณชาย ไม่ได้เจอกันแค่ข้ามวันแต่ดูสีหน้ามึงดีขึ้นเยอะนะเนี่ย"
คนบนเตียงเพียงแต่มองเขาด้วยแววตาเย็นชา ศุภวัฒน์จึงยักไหล่แล้วเดินตรงไปที่ตู้เย็น
"เพื่อนอุตส่าห์เคลียร์งานเพื่อมาเยี่ยมทั้งทียังทำหน้ายักษ์ใส่อีก เป็นคนอื่นเขาคงน้อยใจกลับบ้านกันไปแล้วนะเนี่ย ดีนะว่ากูมีภูมิคุ้มกันแล้ว ว่าแต่ซุปไก่สกัดเต็มตู้เลยวุ้ย ขอกินขวดนึงได้มั้ย?"
"อยากกินให้หมดตู้เย็นก็ตามใจ กูไม่ชอบกินอยู่แล้วแต่พ่อซื้อมาให้"
กฤตภาสตัดบทพลางเหลือบตาลงอ่านอีเมล์ต่อ ศุภวัฒน์จึงเปิดขวดซุปไก่สกัดแล้วก็เดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนขอบเตียง เรียกแววตาเจือรำคาญจากคนที่กำลังพยายามจะมีสมาธิได้สมความตั้งใจ
"ถึงจะคาวไปหน่อยแต่เวลากินตอนมันแช่เย็นก็ชื่นใจดีนะโว้ย ต่อให้สารอาหารจริงๆ มันจะแทบไม่มีก็เถอะ อย่างน้อยคนผลิตมันก็รู้จักเอาจุดขายมาทำให้ญาติคนไข้ต้องเสียเงินซื้อกันเป็นลังๆ ได้ล่ะวะ นี่ถ้ากูออกไปทำอาหารเสริมขายบ้างแล้วบอกว่ารับรองโดยแพทย์คงขายดีพิลึก"
"ตกลงมึงมาหากูทำไม? ถ้าแค่มาดูว่าอาการดีขึ้นรึยังก็อย่างที่เห็น แล้วพรุ่งนี้กูก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วย"
ศุภวัฒน์เกือบสำลักซุปไก่สกัดที่เพิ่งซดเข้าไปอึกใหญ่ นายแพทย์หนุ่มหันมาเลิกคิ้วมองเพื่อนด้วยแววตาไม่เชื่อหู
"เฮ่ยๆๆ กูก็รู้หรอกนะว่ามึงไม่ได้โดนยิงจุดสำคัญ แต่มึงจะทรมานสังขารตัวเองทำไมวะ!? ไม่มีคนโดนยิงที่ไหนเขาออกไปโชว์พาวกันหรอกนะเว้นว่าเป็นทหารในสนามรบ"
"แผลกูดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้มีงานอิเว้นท์สำคัญของลูกค้าด้วย กูโดนมองว่าใช้เส้นของพ่อถึงทำให้ได้งานนี้มา ดังนั้นกูต้องไปคุมงานเองให้เขาเห็นว่ากูทำงานเป็น ไม่ใช่แค่เอาเงินไปจ้างคนอื่นให้ทำให้เฉยๆ"
ศุภวัฒน์ฟังแล้วถึงกับเอามือตบหน้าผาก "มึงนี่มัน...เฮ้อ! บางทีกูก็กลัวเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะไม่แก่ตายจริงๆ ที่มึงต้องทุ่มเทเพื่อพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้ก็เข้าใจได้อยู่ แต่มึงต้องสำเหนียกด้วยนะว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่ามึงเพิ่งโดนยิง ถ้าเกิดความแตกกลางงานนี่ไอ้ที่พยายามจะปิดมาก็สูญเปล่าเลยนะ"
"มีตี้คนนึงที่รู้ อย่างน้อยเด็กนั่นก็คงช่วยเหลือระหว่างอยู่ในงานได้"
คำพูดสวนกลับอย่างไม่ลังเลทำให้ศุภวัฒน์เลิกคิ้วสูง เขาทิ้งขวดซุปไก่สกัดลงในถังขยะใต้เตียงแล้วก็หันมากอดอกมองคนเจ็บอย่างพิจารณา
"ดีมากที่พูดถึงเด็กคนนั้นขึ้นมา กูสงสัยตั้งแต่ตอนที่มึงบอกให้โทรหาแค่คุณลุงกับเด็กนั่นแล้ว ไม่สิ...ต้องบอกว่าสงสัยตั้งแต่มึงพาเขามาที่คลินิกมากกว่า ที่ไว้ใจกันขนาดนี้นี่เพราะมีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?"
กฤตภาสปิดฝาไอแพดแล้วหันไปวางบนหัวเตียง จากนั้นก็เอนหลังพิงหมอนมากขึ้น เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนใกล้ตัวถามถึงเรื่องนี้จึงไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจ
"ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ กูแค่รู้ว่าเด็กคนนั้นเก็บความลับเป็นแล้วก็ไว้ใจได้ ถ้ากูเป็นอะไรขึ้นมาในงานจริงๆ อย่างน้อยเขาก็คงรู้ว่าควรจะหาทางช่วยยังไงโดยไม่ให้ความแตก"
"จุ๊ๆๆ นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากมึงเองกูคงนึกว่าตัวเองละเมอ หายากนะเนี่ยที่มึงจะบอกว่าไว้ใจใครที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแบบนี้ แถมเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักตื้นลึกหนาบางมึงมาก่อนเลยด้วย กูว่างานนี้ไม่ใครก็ใครกำลังตกหลุมรักอยู่มั่งล่ะว้า"
"มึงดูละครมากไปแล้วไอ้หมอ"
"กลับมาแล้วครับ อ๊ะ หวัดดีครับหมอเหวิน"
ธีระชะงักหลังจากเปิดประตูห้องแล้วพบว่านอกจากกฤตภาสแล้วยังมีเพื่อนของเจ้าตัวที่ขึ้นไปนั่งเบียดอยู่บนเตียง ขณะที่กำลังไม่แน่ใจว่าควรออกไปรอด้านนอกดีไหม กฤตภาสก็หันไปไล่คนที่นั่งเบียดอยู่ข้างๆ เสียก่อน
"จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว มึงกลับไปก่อนแล้วค่อยโทรมาพรุ่งนี้เช้า ไหนๆ คุณหมออยากดูละครนัก กูก็จะให้มึงได้มีส่วนร่วมด้วยซะเลย"
"อื้อหือ โคตรจะเป็นเกียรติกับกูเลยเนี่ย สังหรณ์ว่ากูจะได้บทตัวประกอบอดทนยังไงพิกล เอาวะ งั้นพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน เดี๋ยวหมอกลับก่อนแล้วกันนะตี้ ไอ้หมอนี่มันคงไม่ชอบใจที่มีก้างขวางคอ"
"ครับ กลับดีๆ นะครับคุณหมอ"
เด็กหนุ่มพนมมือไหว้ศุภวัฒน์ที่ตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป หลังจากประตูห้องปิดลงแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยหันกลับมามองกฤตภาส ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ก่อนที่คนบนเตียงจะเอ่ยถาม
"กินข้าวมารึยัง?"
เสียงห้าวทุ้มอันคุ้นหูเรียกเด็กหนุ่มกลับจากภวังค์ เขากะพริบตาปริบก่อนจะค่อยพยักหน้า
"กินกับพวกพี่อาร์ทแล้วครับ พวกพี่เขากลับไปโรงแรมเพราะต้องคุมงานกันต่อ ผมก็เลยกลับมานี่"
"ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาเล่าให้ฉันฟังว่าวันนี้ที่บริษัทกับที่โรงแรมมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีอะไรที่ฉันควรต้องรู้ก็เล่ามาให้หมดด้วย พรุ่งนี้ตอนฉันไปที่งานจะได้ไม่มีปัญหา"
ไม่รู้ว่าเขาเหนื่อยจนหูเฝื่อนหรือกฤตภาสกันแน่ที่เพลียจนทำตัวต่างออกไป แต่ธีระรู้สึกราวกับสัมผัสได้ถึงกระแสอ่อนโยนอันบางเบาในน้ำเสียงนั้น พลันก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีของที่ต้องให้กฤตภาสจึงหยิบออกจากกระเป๋า
"นี่แฟ้มเอกสารที่คุณกฤตต้องเซ็นให้ฝ่ายบัญชีกับเอชอาร์ครับ เขาต้องใช้ภายในวันพรุ่งนี้ ผมกะว่าตอนเช้าจะเข้าออฟฟิศก่อนแล้วค่อยไปโรงแรมตอนบ่าย"
"อืม"
กฤตภาสรับแฟ้มไปเปิดดูแล้วก็หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจรดบนกระดาษ แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนเหม่ออยู่ที่เดิมก็ขมวดคิ้ว
"มีอะไรอีกรึเปล่า? หรืออยากจะคุยงานกันตอนนี้เลยก็ได้นะ"
"อะ...เปล่าครับ ถ้างั้นผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ"
ธีระรีบวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนออกมา เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ปิดประตูลงกลอนโดยไม่ได้รู้ตัวว่าท่าทางแปลกๆ ของตัวเองทำให้กฤตภาสมองตามด้วยแววตามีคำถาม
"ไอ้หมอนี่มันคงไม่ชอบใจที่มีก้างขวางคอ"คำพูดของศุภวัฒน์ดังขึ้นในหัวซ้ำๆ ขณะที่ร่างเพรียวถอดเสื้อผ้าออก เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำอย่างเหม่อลอย ภาพของกฤตภาสกับศุภวัฒน์ที่นั่งเบียดกันอย่างสนิทสนมบนเตียงตอนที่เขาเพิ่งกลับมายังติดตาจนทำอย่างไรก็ลบไม่ออก
หมอเหวินตั้งใจจะหมายความว่ายังไงกันแน่นะ หมายถึงเราเหรอที่เป็นก้างขวางคอ? จะว่าไปแล้วหมอก็เป็นคนแรกที่รู้เรื่องที่คุณกฤตโดนยิงก่อนที่จะโทรหาพ่อของคุณกฤตกับเราด้วยนี่นา หรือที่จริงแล้วสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อน? แล้วเราก็เพียงแค่ถูกเรียกมาคอยอำนวยความสะดวกให้คุณกฤตระหว่างที่บาดเจ็บโดยที่หมอเหวินก็ยอมรู้เห็นเป็นใจแค่นั้น?
นี่เราจะไม่มีวันหลุดจากการเป็นตัวแทนของใครได้ตลอดชีวิตเลยหรือยังไงกัน?
คำถามที่ไม่มีคำตอบหมุนวนในหัวของธีระราวแผ่นเสียงที่ถูกกรอกลับไปกลับมา เช่นเดียวกับความรู้สึกเหมือนมีใครมาบดขยี้หัวใจขณะที่ได้แต่ปล่อยให้สายน้ำเย็นหลั่งไหลลงอาบบนร่างไม่หยุด
++---TBC---++
A/N: มาลงตอนใหม่วันสิ้นเดือนพอดี หวังว่าคงไม่ทำให้รอกันนานเกินไปนะคะ (สาบานได้ว่าไม่เคยเขียนนิยายเรื่องไหนแล้วอัพได้ถี่และเร็วเท่าเรื่องนี้แล้ว XD) ดูเหมือนน้องตี้จะมีเรื่องมาทำให้หนักใจได้ไม่หยุดหย่อนแต่ตากฤตกลับชิลตล้อดตลอด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลักพาตัวน้องตี้มาเก็บไว้ไม่ให้โดนใครหาเจอเหมือนกันนะเนี่ย แกล้งตากฤตซะมั่ง 555
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ในตอนที่ผ่านมา และขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นต์ให้ตอนนี้ด้วยนะคะ 