บทที่ 20 ศึกสยบเทพสวรรค์
“เฮงซวย แย่ที่สุด...สารเลว!”
เฮสเลนวิ่งลัดเลาะผ่านป่าที่เต็มไปด้วยความเร็วสูง มือที่มีอยู่ข้างเดียวกุมดาบในท่าพร้อมรับการโจมตีทุกรูปแบบ อีกข้างที่มีละอองสีดำฟุ้งออกจากส่วนที่ขาดเรืองแสงแห่งมนตราบาง ๆ ปากก็สบถถ้อยคำหยาบคายสารพัดที่นึกขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ขณะดวงตากลอกไปมาจับความเคลื่อนไหวผิดปกติไปด้วย
เพียงทันทีที่สัมผัสได้ว่าอัลล์ทำลายจิตของเฮสเลนในตัวนาซิลลาได้แล้ว ไคซัสที่คุมเชิงอยู่ในระหว่างที่องครักษ์ช่วยกันกำจัดฝูงแมลงไสยเวทให้หมดก็เข้าโจมตีเฮสเลนทันที เทพรัตติกาลหลบเลี่ยงมาได้และตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปกำจัดนาซิลลากับอัลล์เป็นการแก้แค้นฐานทำให้เขาเกือบเสียท่าให้มหาเทพสงคราม
ทว่าตอนที่กำลังวิ่งผ่านลานโล่งเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างทาง จู่ ๆ ก็มีพลังเวทสีฟ้าดวงใหญ่ยิงใส่กะทันหัน เทพร้ายรวมพลังไว้ที่ดาบแล้วปัดมันกลับคืนเข้าของซึ่งก็คือ หนึ่งในองครักษ์ของไคซัสนั่นเอง แต่ในจังหวะที่ละสายตาไปก็มีองครักษ์สองตนโผล่มาเสือกดาบใส่ตรง ๆ ทางด้านหน้า เฮสเลนทะยานตัวขึ้นด้านบนพร้อมสะบัดอาวุธหมายจะสังหารพวกนั้นด้วยเวทดาบจันทร์เสี้ยว แต่องครักษ์คนที่สี่ซึ่งซ่อนตัวอยู่กลับยิงเขาด้วยลูกศรแสงจนเสียโอกาส เทพร้ายคำรามอย่างโมโหแล้วอัดพลังเวทที่แข็งแกร่งกว่ากลับไป ทว่าองครักษ์อีกคนก็ปรากฏตัวจากเงามืดมากางโล่มนตราป้องกันไว้ได้ทันเวลา
“เฮงซวย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี พวกทหารก็เฮงซวย!!”
เทพร้ายผมสีดำตวาดอย่างหัวเสียและหมุนตัวกลับไปตวัดดาบใส่แนวต้นไม้ที่เพิ่งวิ่งผ่านมา ใบมีดเวทมนต์ขนาดเล็กนับสิบเล่มบินไปสะบั้นพฤกษาศิลาสี่ต้นขาดเป็นชิ้น ๆ โค่นลงมาขวางทางพวกราชองครักษ์ทำให้เสียจังหวะกันไปหมด แต่ยังไม่ทันที่เฮสเลนจะได้ขยับไปไหนไกล พลันมีแสงสีส้มตกลงมาจากข้างบนอย่างเร็ว!
เสียงศัตราวุธเหล็กกล้าปะทะกันอย่างแรงกังวานไปทั่วบริเวณนั้น เหล่าองครักษ์รีบกระจายกำลังล้อมไว้ บางส่วนแยกออกไปจัดการกับแมลงไสยเวทฝูงเล็ก ๆ ที่ไล่ตามเจ้าของแสงสีส้มมา ในขณะที่เทพร้ายใช้แขนเสริมแรงดาบไว้มิให้หอกของมหาเทพสงครามผ่านมาต้องร่างตนเองได้
“ฮึ่ม! แข็งแรงจังนะ” มันกัดฟันกรอด
“เจ้าเองก็เหมือนกัน มีแขนข้างเดียว แต่รับมือกับคนของข้าได้สบายเลย” ไคซัสว่าพลางออกแรงกดอีกนิดส่งผลให้อีกฝ่ายทรุดลงบนเข่าข้างหนึ่ง
“แต่ยังไม่เท่ากับเจ้าหรอก ไปเอาแรงควายแบบนี้มาจากไหน!”
ขาดเสียงตวาด ดวงตาสีน้ำเงินของเฮสเลนก็เปล่งแสงสีแดงฉาน ไคซัสรีบเอียงหน้าหลบไปข้าง ๆ ได้ทันเวลา แม้ว่าผมจะถูกพลังนั้นเผาไปสองสามเส้น เฮสเลนกระแทกตัวมหาเทพสงครามออกไป ก่อนจะเป็นฝ่ายบุกบ้างเพื่อชิงความได้เปรียบ ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเติบโตมาท่ามกลางอาชญากรหรืออย่างไร ดาบของมันจึงเล็งช่องโหว่ของไคซัสอย่างแม่นยำเกือบทุกครั้ง อีกทั้งยังอาศัยรูปร่างที่ปราดเปรียวกว่าหลบหลีกการโจมตีได้อย่างคล่องแคล้ว พร้อมกันนั้นก็บังคับฝูงแมลงไสยเวทเข้าเล่นงานพวกองครักษ์มิให้มาขัดขวางการต่อสู้ของพวกเขาอีกด้วย
“เสร็จข้าล่ะ!” เฮสเลนแสยะยิ้มสาแก่ใจเมื่อไล่ต้อนไคซัสไปจนมุมใต้ต้นสนหินยักษ์ขนาดใหญ่ได้ มันเสือกดาบฉาบมนตราเข้าไปอย่างเร็วหมายเผด็จศึกนี้ มหาเทพสงครามปัดมันออกไปด้วยมือเปล่า แต่ทันทีที่ดาบฝังลึกลงในเนื้อไม้หิน เทพร้ายก็ใช้พลังเวทเคลือบใบดาบแล้วตวัดใส่ไคซัสทันใด มหาเทพสงครามต้องกระโดดหลบไปข้าง ๆ แต่เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เทพร้ายจึงทะยานเข้ามาฟาดดาบใส่มหาเทพสงครามอย่างแรง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไหนบอกว่าจะจัดการกับข้าไงล่ะ ทำแค่นี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอกนะ!” แล้วใบหน้าที่เหมือนกับฮาธอสก็เหยียดยิ้มหวานที่ดูน่ารังเกียจอย่างยิ่ง “หรือเพราะหน้าของข้าเหมือนฮาธอส เจ้าเลยไม่กล้าลงมือ...”
“อย่าล้อเล่นนะ”
“ถ้าอย่างนั้นมันเพราะอะไรกันล่ะ เมื่อร้อยปีก่อนเจ้าเล่นงานร่างจิตของข้าได้ง่าย ๆ แต่ทำไมเจอกันอีกทีถึงกลายเป็นไอ้อ่อนแอไปแล้ว!”
เฮสเลนกระแทกดาบกลับอย่างกะทันหันทำให้ไคซัสตกใจ ชายหนุ่มฉวยโอกาสนั้นหวดด้ามดาบใส่อย่างไม่ปรานี แรงกระแทกหนักหน่วงขนาดทำให้มหาเทพสงครามเกือบล้มทั้งยืน แต่เทพร้ายเตะสวนขึ้นมาทำให้เขาต้องพลิกตัวหลบและล้มกลิ้งไปบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหลบลูกไฟกว่าสิบลูกที่เทพรัตติกาลยิงใส่ สุดท้ายก็กระโดดหลบไปข้างหน้าสุดแรง เมื่อมนต์เพลิงลูกใหญ่ถูกยิงมาโดนไม้อีกต้นจนเกิดไฟลุกท่วมไปถึงยอด โชคดีที่เป็นป่าหินจึงไม่มีอันตรายมากกว่านั้น ทว่าไคซัสก็ต้องรับมือกับเฮสเลนต่อหลังทะยานเข้ามาโรมรันดาบใส่เขา
ถึงจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ทว่ายิ่งไคซัสสู้กับเฮสเลนเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างที่ฮาธอสเคยเล่าไว้ พวกเขาพี่น้องแตกต่างกันสุดขั้ว เทพคนสวนนั้นมีจิตใจที่ใสสะอาดและพร้อมเสียสละเพื่อคนอื่นอย่างไม่เสียดาย กลิ่นกายหอมบริสุทธิ์สมเป็นเทพที่เกิดบนสวรรค์ แต่จิตใจของเทพร้ายกลับถูกย้อมด้วยความมืด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายการฆ่าฟัน เนื้อตัวก็เหม็นโฉ่ไปด้วยคาวเลือด ชั่วชีวิตของไคซัสเพิ่งเคยเจออมนุษย์ที่น่าขยะแขยงขนาดนี้เป็นครั้งที่แรก หากไม่นับจอมอสูรที่เขาเคยชิงบัลลังก์มากับจอมมารแห่งเผ่าปีศาจที่เคยสังหารไป
ดาบเล่มเพรียวแต่อันตรายด้วยเวทมนต์ที่ฉาบคมมีดเสือกเข้ามาเฉียดลำคอไคซัสอีกหน เทพอสูรหวดอัลเจอร์กลับเป็นการตอบโต้ แต่เฮสเลนหลบเลี่ยงด้วยวิชาหายตัวแล้วไปปรากฏตัวเตะมหาเทพสงครามจากทางด้านหลัง ร่างสูงใหญ่กระเด็นหวือไปชนต้นไม้ใหญ่อย่างไม่เป็นท่าอีกรอบ
“ให้ตายสิ ทำไมยิ่งสู้ยิ่งอ่อนเล่า!” เทพร้ายเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ แขนขวาที่ไร้มือโบกไปมาจนละอองดำฟุ้งกระจายไปทั่ว ไคซัสหยัดตัวยืนขึ้นมาได้ก็ต้องยกอัลเจอร์ป้องกันศีรษะไว้อีกครั้ง เมื่อเฮสเลนมาปรากฏตัวต่อหน้าอย่างกะทันหันและสะบัดดาบใส่ด้วยความเร็วแสง อาวุธทั้งสองเล่มปะทะกันจนเกิดเสียงกังวานขึ้นอีกหน
“หึ! ความแข็งแกร่งของเจ้าไปไหนแล้ว เทพอสูร เป็นแบบนี้ เจ้าได้ตายแน่!”
ดาบถูกดึงออกไปในเสี้ยววินาทีที่ขาดเสียง ก่อนแขนขวาที่ไร้มือจะหวดใส่ศีรษะของมหาเทพสงครามเข้าเต็มรัก เพราะฉาบมนตราไว้อีกชั้นจึงสามารถเล่นงานคู่ต่อสู้ได้เสมือนต่อยด้วยหมัดจริง ๆ แต่เทพอสูรยังใจแข็งพอตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง และตอนนี้เองที่กระแสจิตของเขารับรู้ความเคลื่อนไหวจากอีกจุดหนึ่งได้
“ไปกันหมดแล้วสินะ...”
“หืม? ว่าอะไรนะ” เพราะเสียงเปรยของอีกฝ่ายเบาเกินไป เฮสเลนจึงเอียงหูไปฟังให้ถนัด
แต่ทันใดนั้นเอง กำปั้นที่ใหญ่โตเหมือนค้อนหุ้มด้วยเกราะเหล็กกล้าก็ยิงสวนมาอัดแก้มของเทพร้ายอย่างจัง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้าคมสะบัดหัน ฟันกรามหลุดจากปากไปหนึ่งซี่ แต่ยังทำให้ร่างสูงโปร่งลอยละลิ่วออกไปเหมือนตุ๊กตาไส้ขนนก เหมือนจะยังไม่พอใจมหาเทพสงครามจึงหายตัวไปปรากฏใกล้ ๆ แล้วเตะกลางลำตัวจนจุกไปหมด มือใหญ่คว้ากลางกระหม่อมศัตรูแล้วบีบแน่นจนร้องเสียงหลง จากนั้นก็เสริมกำลังแขนด้วยมนตราแล้วขวางออกไปประหนึ่งเทพร้ายเป็นเพียงหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น!
เฮสเลนเจ็บปวดจนไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนอีกบ้าง รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่หลังไปกระแทกเข้ากับต้นสนใหญ่ที่หลอมละลายจากดวงเวทที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ ตัวเขานิ่งค้างอยู่ตรงนั้นสักครู่ก่อนลื่นพรืดตกลงไปยังก้นหลุมระเบิดที่ร้อนจัดจนมีควันโชยกรุ่น มันลวกผิวเนื้อตัวเขาอย่างรุนแรงจนต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยกำลังเท่าที่มีอยู่ เจ็บปวดและแสบร้อนไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
“อะไรวะ...เกิด...อั่ก!” ชายหนุ่มผมดำเพิ่งคลานจนพ้นปากหลุมมาได้ไม่ไกลก็ถูกไคซัสที่ถามมาถึงกระทืบกลางหลังอย่างไม่ออมแรงสักนิด ความเจ็บปวดที่ซ่านขึ้นมาทำให้เทพร้ายหมดแรงไปชั่วขณะ
“แกถามว่าข้าสู้ไปเพื่ออะไรใช่ไหม” ไคซัสบดเท้าราวกับขยี้แมลงตัวจ๋อย เสียงร้องครวญของเทพรัตติกาลพร้อมกับละอองสีดำที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ “มาถึงตรงนี้แล้ว แกเข้าใจหรือยังว่าข้าสู้เพื่ออะไร”
ชายหนุ่มที่ถูกเหยียบอยากจะแหกปากบอกเหลือเกินกว่า ‘ไม่รู้’ แต่เขากลับฉุกใจได้ในตอนนี้เองว่าจุดที่พวกตนอยู่นั้นเป็นที่ไหน มันคือบริเวณที่อัลล์กับนาซิลลาซึ่งเป้าหมายในการแก้แค้นเคยอยู่ ทว่าบัดนี้เทพชายหญิงทั้งสองตนได้หายตัวไปแล้ว รวมถึงองครักษ์ของมหาเทพสงครามด้วย
“โกหกน่า...อย่าบอกนะว่า...อั่ก!”
“ฉลาดแล้วเรอะ?” มหาเทพสงครามออกแรงบดขยี้ที่เท้าอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนเก่งก็จริง แต่พอเริ่มสู้จริงเมื่อไหร่ก็จะสติแตกมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวจนลืมรอบข้างไปหมด ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วก็เลยสั่งพวกทหารผ่านกระแสจิตให้พาอัลวินกับนาซิลลาหนีไปในระหว่างที่ข้าล่อเจ้าไว้ล่ะ”
“หนอยแน่...อ๊าก!” เทพร้ายส่งเสียงร้องดังเมื่อน้ำหนักเท้าบนหลังเพิ่มมากขึ้น รู้สึกอึดอัดและเจ็บเหมือนตัวเองเป็นแมลงที่กำลังถูกอีกฝ่ายบดขยี้ให้ตายอย่างช้า ๆ แม้พยายามจะขยับมือเรียกเพื่อเรียกดาบกลับมา แต่ก็ถูกอัลเจอร์แทงยึดไว้กับพื้น “แก...”
“เมื่อกี้แกถามว่าข้าสู้เพื่ออะไรสินะ” ไคซัสทวนคำถามพร้อมลากใบมีดขึ้นมาตามลำแขนศัตรู เสียงแผดร้องแห่งความเจ็บปวดกึกก้อง “คำตอบนั้น ไม่ยากเลย ข้าสู้เพื่อ ‘ปกป้อง’ ไงล่ะ!”
ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบของมหาเทพสงครามจะทำให้เฮสเลนชะงักงันไปได้ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ความทรงจำในอดีตไหลบ่าเข้ามาประหนึ่ง ‘คำนั้น’ เป็นกุญแจปลดผนึก ภาพของน้องชายฝาแฝดที่มีน้ำตาอย่างหวาดกลัวหลังถูกอดีตนายของเขาพยายามขืนใจลอยเด่นในดวงตา
‘...ตราบใดที่พี่ยังอยู่ พี่จะปกป้องเจ้าเอง...’
ตั้งแต่เกิดจนโต เฮสเลนรับรู้ความแตกต่างระหว่างตนเองกับน้องชายมาโดยตลอด ฮาธอสเปรียบได้กับอัญมณีเลอค่าที่เหล่าอาชญากรอยากเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น แต่มันกลับมีแต่ความมืดมน ซึ่งดึงดูดคนแบบเดียวกันเข้ามาหาและนำพาให้จมลงสู่ความโสมมจนถอนตัวไม่ขึ้น ฮาธอสไม่เคยต้องแบกรับสิ่งใดผิดกับตัวมันที่มีความรับผิดชอบทันทีหลังจากมารดาจากไป
คำปฏิญาณนั้นเป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด เป็นคำปฏิญาณแรกและสุดท้ายที่มันมอบให้กับคนอื่นนอกจากตนเอง อีกทั้งยังทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการรักษาคำพูดนั้นเสมอมา ต่อให้สุดท้ายแล้วเส้นทางที่มันเลือกเดินจะตรงกันข้ามกับน้องชายอย่างสิ้นเชิงก็ไม่เคยบิดพลิ้ว ฉะนั้นเมื่อมันได้รู้ถึงภาระอีกอย่างที่บุพการีทิ้งไว้ในสายเลือด มันจึงหวังว่าฮาธอสจะช่วยให้การแก้แค้นสำเร็จผล
แต่แก้วมณีที่สูงส่งดวงนั้น ไม่เพียงทำให้เฮสเลนต้องผิดหวัง กลับยังหักหลังมันอย่างแสนสาหัสอีกด้วย แน่นอนว่าเทพร้ายรักน้องชายของตนเองมาก ทว่าสิ่งที่เทพคนสวนเคยกระทำไว้ก็ไม่อาจให้อภัยได้เช่นกัน แผนการที่มันสู้อุตส่าห์วางไว้อย่างดี กว่าสรรหาพรรคพวกมาได้เลือดตาแทบกระเด็น กลับถูกญาติทางสายเลือดคนสุดท้ายทำลายเสียสิ้น ซ้ำร้ายยังขังมันไว้ในสถานที่ดำมืดที่สุดและน่ากลัวที่สุด และยังเอ่ยคำนั้น...ที่ทำให้ความโกรธของมันเดือดพล่านต่อหน้าอีกด้วย!
‘...คราวนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง...’
“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย!”
จู่ ๆ เทพรัตติกาลก็ระเบิดพลังออกมา ทำให้ไคซัสต้องกางปีกมังกรและบินขึ้นไปหลบบนฟ้า แม้ว่าจะรีบแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายสำแดงอำนาจโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เกราะขาข้างหนึ่งจึงได้รับความเสียหายจนต้องเสกขึ้นมาใหม่ มหาเทพสงครามรู้ดีว่าอีกฝ่ายคลั่งขึ้นมาเพราะคำตอบของเขา สายตาที่ทอดมองภาพเบื้องล่างจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
โดมแสงสีดำกลืนกินทุกสรรพสิ่งในรัศมีสองร้อยเมตรหายไปจนหมดสิ้น ก่อนแตกออกกลายเป็นละอองสีดำลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ มันดึงดูดเมฆสีรุ้งมากมายให้ลอยมาปกคลุมท้องฟ้าเหนือหุบเขาดำ บรรยากาศมืดสลัวและหนาวเย็นด้วยไอดำที่แผ่พุ่งขึ้นมาประหนึ่งภูเขาไฟคุกรุ่น พลังมืดมิดมหาศาลค่อยไหลออกมาจากรอยแตกแยกของพื้นดินและช่องเขาไปยังศูนย์กลางการระเบิดเหมือนวังน้ำวน หนาแน่นเสียจนมองไม่เห็นตัวเทพร้าย จับได้เพียงกระจุกจิตดำมืดดุจน้ำหมึกอยู่ใจกลางกระแสหมอก ภูตพรายปรากฏตัวส่งเสียงร้องโหยหวนชวนสยองขวัญ ทุกอณูของอากาศอัดแน่นด้วยพลังด้านลบที่แข็งแกร่งขนาดทำให้มหาเทพสงครามรู้สึกกดดันได้ เขาจึงไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นเทพนักโทษที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ เหาะหนีตายด้วยความเร็วแสง
นี่น่ะหรือ พลังที่แท้จริงของเฮสเลน...ก็สมกับที่เคยเป็นที่หวาดกลัวของสวรรค์ล่ะนะ
แต่จังหวะที่หันไปทางมหานครแห่งสวรรค์ เพื่อส่งกระแสจิตสั่งให้พวกองครักษ์เตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทะเลหมอกเบื้องล่างรวมตัวกันแน่นกลายเป็นมังกรรูปร่างเพรียวยาวขนาดใหญ่ มันแผดเสียงคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ภูตพรายที่มารวมตัวกันแยกออกเปิดทางให้มันทะยานเข้าใส่มหาเทพสงครามอย่างสะดวก ไคซัสตวัดอัลเจอร์มาขวางคมเขี้ยวของมันเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้และถูกดันออกไปเรื่อย ๆ เทพอสูรกัดฟันกรอดก่อนถีบตัวเองออกไปแล้วฟันมันจนขาดเป็นสองซีก ทว่าแทนที่มันจะสลายตัวกลับไปเป็นหมอกดังเดิม พวกมันกลับกลายเป็นมังกรสองตัวและพุ่งใส่มหาเทพสงครามพร้อมกัน
ทว่าไคซัสก็ไม่ยอมถูกโจมตีแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว เขารวมพลังเวทไว้ที่มือซ้ายแล้วซัดไปทำลายมังกรตัวขวาก่อน จากนั้นก็บินไปหาตัวขวา ใช้พลังเคลือบใบมืดของอัลเจอร์ไว้แล้วแทงรัว ๆ ใส่หัวมันจนขาดเป็นชิ้น ๆ ค่อยถอยออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้ หมอกกลับมารวมตัวกันเป็นมังกรดังเดิมแล้วเริ่มไล่ล่าเขาอย่างดุร้าย แต่ละตัวกระโจนขึ้นมาจากทะเลพลังมืดดุจปลาฮุบเหยื่อ บางครั้งก็พ่นไฟออกมาทำให้มหาเทพสงครามต้องบินหลบเป็นพันวัน
แต่ในระหว่างที่หนีนั้น ไคซัสสังเกตว่าจำนวนภูตพรายมาขึ้นเป็นเหตุให้พลังศักดิ์สิทธิ์บริเวณนี้ลดต่ำลง ผิดกับพลังชั่วร้ายที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูได้จากขนาดตัวมังกรหมอกที่พองโตจนมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาถึงสิบเท่า พวกมันอ้าปากแผดคลื่นเสียงอันทรงพลังใส่เขาพร้อมกัน เล่นเอามหาเทพสงครามปวดหูจนตาพร่ามัวไปเลยทีเดียว เขาเผลอยกมือขึ้นเพื่ออุดหูเกิดช่องว่างใหญ่พอให้หนึ่งในมังกรฟาดตัวเขาตกลงไปในป่า!
“อ๊าก!”
ไคซัสกู่ร้องด้วยความเจ็บปวด ตัวของเขาไถลไปบนพื้น ทิ้งรอยครูดเป็นทางยาวก่อนหยุดลงใต้ต้นโอ๊ะหินขนาดใหญ่ แต่ก่อนที่จะขยับไปไหนมังกรตัวหนึ่งก็ทิ้งดิ่งหัวลงมากระแทกลำตัวเขาอย่างจัง ชุดเกราะพลันแตกกระจาย มหาเทพสงครามกระอักเลือดคำใหญ่ รู้สึกจุกเสียดไปทั้งตัว ก่อนมันจะขย้ำตัวเขาแล้วเหวี่ยงไปฟาดกับต้นเรดวู้ดหินจนหักเป็นสองท่อนล้มครืนไปด้วยกัน ท่ามกลางกองหินที่ทับบนตัวกับความเจ็บปวดภายในร่าง เทพอสูรเห็นมังกรทั้งสองตัวโน้มหัวลงมางับแขนเขาคนละข้างและลากขึ้นไปอยู่กลางอากาศ
เมื่อมหาเทพสงครามเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เฮสเลนก็ลอยตัวมาอยู่ต่อหน้าเขาจากด้านบน เทพร้ายดูไม่เหมือนผู้พ่ายแพ้ที่เขาเล่นงานไปก่อนหน้านี้อีกแล้ว เจ้าตัวห่อหุ้มร่างกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทที่ก่อเกิดจากมนต์ดำ มือขวาที่ขาดไปก็ถูกแทนที่ด้วยกรงเล็บสีดำทมิฬ เส้นผมแผ่สยายเสมือนผ้าคลุมมัจจุราช ดวงตาสีน้ำเงินหรี่มองเทพอสูรที่แทบสิ้นแรงอย่างเหยียดหยาม
“ต้องขอบใจเจ้ามากจริง ๆ ที่ช่วยทำให้ข้าคิดถึงเรื่องงี่เง่าจนเรียกพลังที่แท้จริงออกมาได้” ขณะกำลังพูด เฮสเลนก็แทงกรงเล็บสีดำเข้ามาในท้องของไคซัสด้วย ความเจ็บปวดซ่านขึ้นมาจนต้องกัดฟันกรอดกั้นเสียงไว้ “อา...เวลาผ่านมาหลายร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน”
“กระนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย” ไคซัสที่มีเลือดไหลมาทางมุมปากเอ่ยขึ้น “ฮาธอสเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว จริงหรือเปล่าที่สมัยก่อนเจ้าคอยปกป้องและดูแลเขา”
“จริง...” เฮสเลนตอบเนิบช้า ดวงตาเสไปทางอื่นคล้ายไม่อยากนึกถึง “ไอ้เด็กอ่อนแอนั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็ติดข้าแจ ใครจะไปนึกว่าจะกลายเป็นอสรพิษแว้งมากัดกันแบบนี้!”
“แล้วเจ้าหลุดออกมาจากผนึกได้อย่างไร” คำถามเนิบช้ายังดำเนินต่อไป ราวกับคนถามไม่เกรงกลัวต่อความตายที่กำลังจะมาเยือน
“พลังมืดของหุบเขานี้ช่วยข้าไว้ เจ้าเห็นไหมล่ะ” เทพร้ายผายมือไปยังหมอกดำที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างหลัง กางแขนออกและหมุนตัวล้อไปกับมันอย่างเริงร่า ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มกว้างราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง “หุบเขานี้เต็มไปด้วยพลังมืดที่แข็งแกร่ง ข้าค่อย ๆ ดึงมันมาใช้ทีละน้อย ต้องใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปีกว่าผนึกจะเปิดกว้างพอฉีกมือออกไปได้ แต่ก็ยุ่งยากเอาเรื่อง เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินไปเลยต้องแผ่พลังมืดออกไปทีละน้อย ทำให้มันกลืนกับพลังของสวรรค์ ไหนจะต้องทำลายเขตแดนเพื่อลดประสิทธิภาพในการทำงานของมันอีก ความจริงข้าตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้ตอนบุกทำลายสวรรค์ ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาแสดงก่อนแบบนี้”
มันหมุนตัวมาเตะก้านคอมหาเทพสงครามอย่างจัง ความรุนแรงนั้นมากพอทำให้เทพตัวโต ๆ อย่างอัลล์ล้มตึงได้สบาย แต่ไคซัสกลับยังทนได้ แม้ว่าจะตาพร่าอยู่ เขาก็ยังมีสติและเลื่อนสายตากลับไปหาเฮสเลนอย่างกังขา
“ถ้าแก้แค้นสำเร็จ เจ้าจะทำอะไรต่อไป” เหมือนจะยังไม่พอใจ มหาเทพสงครามจึงถามต่อก่อความรำคาญให้เฮสเลนเล็กน้อย แต่เพราะเป็นคำถามที่ถูกใจมันจึงยื่นหน้าเข้าไปตอบใกล้ ๆ
“ข้าจะเด็ดหัวมหาเทพจ้าวสวรรค์และขุนพลเทพทุกคน จากนั้นก็เปิดทวารดินให้เทพรัตติกาลกลับขึ้นมาใช้ชีวิตบนสวรรค์ ข้าจะสร้างสวรรค์สีดำที่เทพแบบเดียวกันกับข้าจะได้เสวยสุขร่วมกันชั่วนิจนิรันดร์”
เทพร้ายเงยหน้าและหัวเราะกับฟ้าสีดำอย่างอหังการ แต่ไหนแต่ไรมามันก็เกลียดชังสวรรค์ที่สวยงามนี้อยู่แล้ว เมื่อค้นพบเหตุผลที่ทำให้ตนต่อต้านทวยเทพแห่งความดีงาม ความปรารถนาจะทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์ของเทพรัตติกาลจึงเป็นความฝันสูงสุดไปโดยปริยาย ในตอนแรกมันก็เสียดายที่แผนการไม่สำเร็จถึงสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สองซึ่งมันไม่สามารถลอบสังหารไคซัสได้ แต่ตอนนี้มหาเทพสงครามอยู่ต่อหน้ามันแล้ว ในสภาพที่อ่อนแอกว่าทุกอย่าง เฮสเลนจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปแน่!
“อย่างนั้นรึ เพื่อความฝันของตัวเองแล้ว เจ้าถึงกับจะฆ่าน้องของตัวเองเลยรึ”
“เป็นน้องแล้วยังไง ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นทำอะไรเป็นบ้าง!” เฮสเลนตวาดก้อง “วัน ๆ เอาแต่พูดถึงความดีงาม ไม่เคยทะยานอยาก แต่ว่าเพื่อปกป้องคนที่เคยกดขี่พวกเรา มันกลับหักหลังข้าเสียได้ เฮอะ! จะปกป้องข้าอย่างนั้นเรอะ จากอะไรกันล่ะ กล้าพูดออกมาได้ โง่จริง ๆ!”
“คนที่โง่น่ะ มันเจ้ามากกว่า”
“ว่าอย่างไรนะ จะมากไปแล้ว!”
เฮสเลนคำรามพลางกดเล็บเข้าไปอีกหมายจะฉีกอีกฝ่ายฐานสามหาวผิดเวล่ำเวลา แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายนิ่งไปเสียเอง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเกร็งตัวทำให้กล้ามเนื้อรัดรอบมือมันแน่น มังกรหมอกทั้งสองตัวครางอย่างกระสับกระส่ายและขย้ำแขนศัตรูแรงขึ้นอีก ทว่าคมเขี้ยวกลับไม่ได้จมลึกไปกว่านั้นเลยประหนึ่งผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นเหล็กกะทันหัน ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายดึงพวกมันตามแรงแขนช้า ๆ รอยยิ้มกักขฬะปรากฏบนใบหน้า
“ขอบใจจริง ๆ ที่ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์หายไป”
ก่อนเทพร้ายจะทันเข้าใจความหมายของเทพอสูรสงคราม ร่างของไคซัสก็เปล่งแสงสีส้มเจิดจ้าพร้อมกันไอร้อนฉ่าที่แผ่ซ่านเข้าไปในตัวมังกรหมอกทั้งสอง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ตัวของพวกมันพองออกก่อนจะแตกสลายเหมือนลูกโป่งที่ถูกแก๊สมากจนเกินไป
เสียงระเบิดดังกึกก้องอีกครั้ง เพราะพลังที่ทำให้เกิดเสียงนั้นไม่ใช่ของตน เฮสเลนจึงหูอื้อตาลายไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกชกกระเด็นและยังถูกกระแสลมปั่นป่วนหอบลอยไปในอากาศเหมือนใบไม้แห้ง เทพร้ายสบถพลางลืมตาหาที่ยึดเหนี่ยว ครั้นคว้ากิ่งไม้หินใหญ่ได้ก็ปีนขึ้นไปใช้กรงเล็บตัวเองไว้กับลำต้นมิให้ปลิวไปอีก
สายธารความมืดของหุบเขาดำเคลื่อนตัวอีกครั้ง เมื่อมหาเทพสงครามดูดพวกมันเข้าไปในร่าง เขาได้รู้ในตอนที่เฮสเลนสำแดงพลังแท้จริงออกมา ว่าความมืดของที่นี่เหมือนกับดินแดนเบื้องล่างไม่ผิดเพี้ยน เทพอสูรจึงใช้มันทำให้ร่างกายกลับไปแข็งแกร่งดังเดิม เสร็จแล้วก็ปลดปล่อยออกไปในรูปจิตสังหารอันทรงอานุภาพ ท้องฟ้าที่มีเมฆสีรุ้งแซมแทรกอยู่บ้างซึมซับพลังมืดจนกลายเป็นสีดำไปหมด แม้แต่ลมก็เปลี่ยนกระแสซัดโถมเข้าใส่เฮสเลนจนเกือบตกลงจากต้นไม้ บรรยากาศหนักอึ้งประหนึ่งถูกกดทับด้วยก้อนหินใหญ่ยักษ์ ภูตพรายกรีดร้องด้วยความกลัวและหนีตายกันอลหม่าน ทั้งหุบเขาเหมือนถูกครอบงำด้วยจิตแห่งความตายที่แหลมคมซึ่งมุ่งตรงมาหาเฮสเลนเพียงผู้เดียว
“ทำไม...เพราะอะไร...” เฮสเลนเค้นเสียงถามตัวเองอย่างตกใจ มือทั้งสองข้างตะปบลงบนต้นแขนเมื่อรับรู้ถึงอาการสั่นเทาจากความกลัว มันล้นทะลึกขึ้นมาจากส่วนลึกของซอกลืบหัวใจ ความรู้สึกที่หายไปนานเกือบหนึ่งพันปีได้กลับมาแล้วและกระตุ้นให้สมองที่ไม่ค่อยจะปราดเปรื่องนักทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าได้
“พลังศักดิ์สิทธิ์!”
ใช่! พลังศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ทำให้ไคซัสไม่สามารถใช้พลังแท้จริงของตนได้ ตั้งแต่เริ่มสู้กันมาเจ้าตัวก็ใช้แค่กำลังกายกับเวทมนต์พื้นฐานกับค่อนไปกลาง ๆ เท่านั้นเอง แต่เมื่อเฮสเลนแสดงพลังแท้จริงออกมาและทำให้อำนาจมืดของหุบเขาดำเคลื่อนไหว พลังศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นี้จึงจางหายไปมากพอช่วยให้ไคซัสใช้อำนาจแท้จริงของตนได้เช่นกัน ที่สำคัญพลังของเขากับเทพร้ายยังแตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
หากเฮสเลนเป็นหยดหมึกขนาดใหญ่กลางผ้าขาวสะอ้าน ไคซัสก็คือ ‘สีดำ’ ที่จะอาบย้อมผ้าทั้งผืนให้ดำสนิท จิตสังหารของเขาเกินกว่าระดับ ‘เทพอสูร’ ไปแล้ว สมควรจะเรียกว่า ‘มารร้าย’ เสียด้วยซ้ำ คนละระดับกัน...สัญชาตญาณของเทพร้ายกรีดร้องบอกเช่นนี้ มันคิดถึงคำพูดอีกคำของฮาธอส
‘...ปกป้องท่านจากทุกอย่าง...’
ความหมายของคำพูดนั้นหมายถึงแบบนี้ใช่ไหม...ฮาธอส...น้องชายของเขากลัวว่าเขาจะไปทำร้ายใครอีก และกลัวด้วยว่าเขาจะถูกใครที่เก่งกว่าทำร้ายด้วย จึงตัดสินใจกักขังไว้ในสถานที่เลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วอำนาจของหุบเขาดำจะช่วยให้เฮสเลนดิ้นหลุดจากพันธนาการได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยก็ตาม
ฮาธอสตั้งใจจะปกป้องพี่ชายจริง ๆ!
กว่ากระบวนการคิดจะเสร็จสิ้น สายลมแห่งความตายก็พัดกระโชกมาปะทะร่างมันอีกครั้ง ด้วยความรุนแรงขนาดเกือบทรงตัวไม่อยู่ แต่อึดใจต่อมามันก็หายวับไปและแทนที่ด้วยกลิ่นคาวเลือด เฮสเลนลืมตาขึ้นก็เห็นดวงแก้วสีส้มที่มีเกล็ดประกายสีทองสุกสกาวลอยเด่นตรงหน้า โดยมีเงาร่างใหญ่โตของเทพอสูรในร่างกึ่งอสูรเป็นฉาก ปีกมังกรสยายกว้างบดบังสายตาเฮสเลนจากทุกสรรพสิ่ง วินาทีนี้เองที่มันได้รู้คำว่ากลัวจนลืมหายใจ
“ขอโทษที่ปล่อยให้เวลายืดเยื้อมาขนาดนี้ แต่ข้าไม่ใช่พลังแท้จริง ข้าคง ‘ฆ่า’ เจ้าไม่ได้เหมือนกัน”
ฉับ!
เสียงเหล็กตัดผ่านบางสิ่งที่หนาแน่นดังขึ้นในเสี้ยววินาทีที่เฮสเลนกำลังทำความเข้าใจ ความเจ็บมหาศาลที่แล่นริ้วขึ้นมาเรียกดวงตาสีน้ำเงินให้หลุบลงมองเบื้องล่าง ก็เห็นว่าร่างกายของตนเองถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เงาทะมึนที่เคลื่อนไหวในท่วงท่าวาดหอกทาบทับใบหน้าขณะร่างกายส่วนบนกำลังจะหล่นลงพื้น เทพร้ายมองไปจึงรู้ว่าอีกฝ่ายยืนอยู่บนหมอกดำและกำลังตั้งท่าเตรียมแทงตรง
ตาย...
ข้ากำลังจะตาย...
เพียงไคซัสเสือกอัลเจอร์มาปักตรงกลางอกและบิดหมุนพร้อมใช้เวทสังหาร ร่างกายของเทพร้ายก็แตกสลายเป็นฝุ่นละอองสีดำมันวาวในพริบตา ซึ่งสิ่งที่เหลืออยู่ควรจะเป็นแก่นวิญญาณเปล่งแสงนวลตาลอยค้างรอเวลาบดขยี้ ทว่าดวงแสงสีเงินนั้นกลับทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็ว มหาเทพสงครามรีบสะบัดปีกไล่ตามไปทันที แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดไม้อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว
ทว่าเมื่อมหาเทพสงครามพ้นยอดไม้ อีกฝ่ายก็บินหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ร่องรอยมนตรามุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งเขาไม่อยากให้มันไปมากที่สุด!
-------------------