
มาแล้วครับผม ขอโทษที่ทำให้รอครับ

ชายผ้าเหลือง...บทสรุป
ผมเริ่มคิดทบทวนและเก็บข้อมูลการบวช
โดยการสังเกต มองดูวงจรชีวิตของคนรอบข้าง
คนที่บวชแล้วก็มีเยอะครับ
แต่คนที่ยังไม่เคยบวช กลับมีเยอะกว่า
เริ่มจากคนใกล้ตัว
เฮียมี่ก็ไม่เคยบวชเลยสักครั้งเดียว
เฮียๆแถวบ้านก็มีทั้งเคยบวชบ้างไม่เคยบวชบ้าง
คนที่บวชก็มักจะบวชตอนยังไม่แต่งงาน
ประมาณเรียนจบ..รับปริญญาแล้วก็บวช
สรุปคือ ลูกคนจีน สิบคนจะมีคนที่เคยบวชสองถึงสามคน
แต่พวกลูกไทยแท้ เกือบร้อยละร้อยที่จะบวชทดแทนคุณพ่อแม่
หลังจากนั้น
ความคิดของผมเกี่ยวกับเรื่องงานบวชก็ซาๆไป
อ้อ...เล่าถึงตอนที่น้องบอยมันบวชนิดนึงนะครับ
วันนั้นผมปิดร้านหนึ่งวัน
เพื่อให้เด็กๆในร้านไปช่วยงานบวชน้อง
จริงๆก็ปิดร้านกันตั้งแต่ตอนบ่ายของวันก่อนบวชแล้วครับ
ไปช่วยงานคือช่วยงานจริงๆนะครับ
ยกของ ขนของ เตรียมของ
แล้วแต่คนคุมงานจะบัญชามา
ไม่ได้ไปร่วมงานกันแบบเป็นแขกครับ
วันก่อนบวชผมกับเฮียไม่ได้ไป
ปล่อยให้เป็นเรื่องของครอบครัวเพื่อนฝูงที่สนิทกัน
ผมกับเฮียมี่ไปร่วมงานที่วัดในวันบวชตั้งแต่เช้า
ขึ้นไปบนศาลาวัด....
ผมก็เห็นน้องบอยมันกำลังนั่งที่พื้น
โดยมีพ่อกับแม่นั่งบนเก้าอี้คู่กัน
น้องมันกำลังล้างเท้าให้พ่อกับแม่
ล้างแบบขัดถูอย่างบรรจงทะนุถนอม
แล้วใช้ผ้าเช็ดเท้าท่านทั้งสองจนแห้ง
พ่อกับแม่ของน้องร้องไห้เลยครับ
แม้แต่ผมที่เป็นคนนอกก็ถึงกับน้ำตาซึม
แต่พิธีการหลังจากนั้น....ผมกลับเฉยๆ
หลังจากนั้นบอยมันก็เปลี่ยนมานั่งพนมมือบนเก้าอี้บ้าง
แล้วพ่อกับแม่ก็ผลัดกันขลิบผมน้องมัน
ถัดจากพ่อแม่ก็เป็นพวกญาติผู้ใหญ่
ผมกับเฮียก็ได้รับโอกาสดีๆแบบนี้กับเขาด้วย
ตอนที่ผมลงกรรไกรที่ปอยผมด้านหนึ่งของน้อง
ความรู้สึกเหมือนน้องมันป็นลูกน้อยที่กำลังจะเติบใหญ่
ส่วนผมที่ขลิบก็วางไว้กองไว้บนใบบัว
แล้วได้ยินว่า จะต้องเอาไปลอยแม่น้ำในภายหลัง
ต่อมาพระพี่เลี้ยงท่านก็มาโกนหัวให้
ตลอดเวลานี่น้องมันเปลือยช่วงบนนะครับ นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียว
ข้างในลึกๆไม่รู้และไม่กล้าถาม และไม่ควรถามด้วยครับ
โกนผมจนเกลี้ยง น้องมันก็เข้าไปอาบน้ำสระ...เอ้อ..สระหัว
ไม่มีผมแล้วครับ อ้อ..คิ้วก็ไม่มี
แล้วสักพักก็ออกมาด้วยหน้าตาผ่องใส ในชุดนาคสีขาว
แค่โกนหัวโกนคิ้ว เปลี่ยนชุดขาว เท่านั้นเอง
แต่มันกลับทำให้เด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง
ดูสงบ อิ่มเอิบ และน่าเลื่อมใส
ถ้าใครมีญาติหรือคนรู้จักกำลังจะบวช
ผมอยากให้คุณสละเวลาสักนิดเข้าร่วมพิธีการแบบนี้
มันจะทำให้คุณได้เข้าใกล้ศาสนามากขึ้น
คุณอาจจะไม่รู้เลยว่าประเพณีเก่าๆเหล่านี้ยังน่าเลื่อมใสอยู่มากครับ
และที่สำคัญคุณจะอยากกลับไปกอดพ่อแม่ที่บ้าน ผมรับรอง

ต่อจากนั้นก็มีการขอขมาผู้ใหญ่
เลี้ยงพระ เลี้ยงแขก
จนถึงตั้งขบวนแห่พานาคไปโบสถ์
ทุกขั้นตอนผมมีโอกาสได้ดูใกล้ชิด
มันดูตื่นตาตื่นใจสำหรับผมมาก
ที่ปกติผมจะโผล่ไปแค่ตอนแห่นาค
คือไปรอที่โบสถ์เลย
ยิ่งตอนเดินเวียนรอบโบสถ์สามรอบ
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดแผดเผา
ใบหน้าและเนื้อตัวของทุกคนที่มาร่วมแห่นาค ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ผู้หญิงที่แต่งหน้า หน้าที่แต่งก็ดูเลอะๆเทอะๆ
ชุดผ้าไหมหนาๆ มีรอยคราบเหงื่อซึมให้เห็นตามหลัง รักแร้(หยึ๋ย)
แต่...นั่นไม่สำคัญเท่ากับ
การที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสให้แก่กัน
แม้จะไม่รู้จักหรือไม่สนิทกันมาก่อน

พ่อกับแม่ของนาค(บอย) ท่านน่ารักมากครับ
มีช่วงหนึ่งตอนที่กำลังเดินแห่นาคไปรอบโบสถ์
ท่านก็มีน้ำใจเอาของที่พ่อกับแม่ต้องเป็นคนถือ
พวกไตร ย่าม ตาลปัตรอะไรทำนองนั้น
มาให้ผมกับเฮียเดินถือ
ผมก็ถือสักครึ่งรอบ พอให้ไม่น่าเกลียด
แล้วคืนให้พ่อแม่นาคไป
ด้วยความตื้นตันในน้ำใจ ที่เผื่อแผ่มาให้ผมกับเฮีย
มีคนบอกว่าท่านแบ่งบุญให้ผม
เพราะพวกผมคงไม่มีลูกหลานจะมาบวชให้
สิ่งเหล่านี้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้นะครับ
ผมอยู่ยาวมาจนถึงช่วงโปรยทาน
สนุกมากครับ คนแย่งกันใหญ่
ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุก็เอากับเขาด้วย
บางคนกางร่มแบบหงายขึ้นเพื่อรับเหรียญที่นาคโยน
ผมอยากเข้าไปแย่ง ด้วยนึกสนุก
ไม่ได้อยากได้ตังค์นะครับ
เพราะได้มาก็คงไม่มีใครแกะเงินเหรียญไปใช้
แต่การเข้าไปร่วม...
นอกจากจะไม่งามแล้ว
อาจโดนเหยียบได้ครับ
เฮียดึงแขนผมให้มายืนรอดูใต้ต้นไม้ร่มๆไม่ไกลนัก
อยู่ๆก็มีเหรียญที่โปรยทานมันกระเด็นกระดอน
แล้วมาตกแทบเท้าเฮียสองเหรียญถ้วน
ผมรีบหยิบขึ้นมาก่อนจะมีคนมาแย่ง คริคริ

ปัจจุบันผมเอาเหรียญโปรยทาน
ไปเก็บไว้ในลิ้นชักใต้หิ้งพระที่บ้านทรายทอง
เก็บไว้ได้หลายเหรียญแล้วครับ
ส่วนใหญ่เฮียไปร่วมงาน
แล้วคนที่เขาแย่งเหรียญได้ก็จะแบ่งมาให้บ้าง
งานละเหรียญสองเหรียญ
เสร็จจากโปรยทานก็ส่งนาคเข้าโบสถ์
พ่อแม่นาคท่านกรุณาเรียกผมกับเฮียไปร่วมส่งใกล้ๆ
เบียดเสียดสุดๆเลยครับ
ถ้าไม่ใช่งานบุญนี่ผมคงขอบาย
แต่ตอนที่ช่วยกันส่งนาคเข้าโบสถ์
โดยเอื้อมมือส่งไปจนสุดแขน
แล้วพูดพร้อมกันดังๆว่า....“สาธุ”
ผมขนลุกชัน ทั้งๆที่เหงื่อออกท่วมตัว
นี่ขนาดไม่ใช่ลูกหลานของตัวเองนะครับ
มาถึงตอนนี้เมื่อส่งนาคเข้าโบสถ์แล้วก็จะเป็นพิธีสงฆ์
แขกเหรื่อก็ทยอยกลับ
แต่ผมกับเฮียยังอยู่ร่วมพิธีบวชในโบสถ์
เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ขั้นตอนเยอะพอสมควร
จนเสร็จ ก็ได้ไหว้พระใหม่ด้วยความอิ่มเอมใจ
ก่อนกลับ
ระหว่างทางจากโบสถ์ไปถึงที่เฮียจอดรถไว้
จะผ่านกุฏิพระ
พ่อแม่ของพระก็ชวนผมไปดูห้องหับของพระท่าน
โหย...แดดยามบ่ายส่องลงมาตรงห้องจังๆ ร้อนมากๆ
มันส่องเข้าทางหน้าต่างพอดี องศาเหมาะเหม็งจริงๆ
มีเพียงพัดลมตั้งพื้นเก่าๆหนึ่งตัว ที่ดูสภาพไม่น่าจะใช้งานได้เลย
ห้องนี้มีพระรุ่นพี่พักอยู่ก่อนแล้วหนึ่งรูป
ที่พื้นมีเสื่อเก่าๆ ผ้ารองนอนอีกผืน หมอนบางๆยุ่ยๆอีกใบ
ฝุ่นก็พอสมควรล่ะครับ
“เอ่อ...แล้วไม่มีห้องอื่นอีกแล้วเหรอครับ”
ผมกระซิบถามโยมแม่ของพระบอย
“พระท่านก็เลื่อนลำดับย้ายห้องไปตามพรรษาที่บวชน่ะคุณ
พระรูปที่มาใหม่หรือบวชทีหลังก็จะได้พักห้องแบบนี้ล่ะ”
“เฮียเราถวายพัดลมได้มั๊ยอ่ะ ผมกลัวมันจะช็อตเอา”
ผมกระซิบถามเฮีย
แต่โยมแม่ท่านดันได้ยิน
“ถ้าคุณหมอกะคุณหน่อยจะถวายพระบอยไม่ต้องนะคะ
พระท่านต้องการอยู่อย่างไม่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวก
พัดลมก็ไม่ต้องกลัวช็อตหรอกค่ะ ท่านว่าท่านไม่เปิด”
โห...อากาศเกือบสี่สิบองศา
แค่คิดผมก็เหงื่อตกแล้วครับ
กลับจากงานบวช ความคิดที่ลังเลว่าอยากบวชมั๊ย
มลายไปตอนที่ไปเยี่ยมดูกุฏินี่ล่ะครับ..แกมันยังกิเลสหนานัก
“เฮีย...เฮียว่าบวชแล้วทดแทนคุณพ่อแม่ได้จริงเหรอเฮีย
ทำให้พ่อแม่ของเราได้รับบุญจริงๆใช่มั๊ย”
ผมถามเฮียมี่หลังจากที่ผมคิดไตร่ตรองอยู่นาน
“ทดแทนคุณหรือทำให้พ่อแม่ได้บุญมั๊ยน่ะ
เป็นเรื่องที่เฮียก็ตอบไม่ได้ครับ
แต่ที่แน่ๆก็คือทำให้ท่านปลาบปลื้มมีความสุขแน่ๆ”
“แล้ว..แล้วถ้าผม...”
“หน่อย...การบวชเหมือนเป็นการบอกว่าลูกพร้อมจะเป็นคนดี
มีความรับผิดชอบ จากเด็กก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน
เราลองถามใจตัวเองสิ ว่าความต้องการของเราคืออะไรกัน
ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อแม่ หรือทำเพื่อความสบายใจของเราเอง
เฮียให้ได้แค่คำแนะนำ ส่วนการตัดสินใจหน่อยต้องคิดเองนะครับ”
ผมยิ้มรับ แต่ในหัวก็ยังสับสน

จนมีอยู่วัน ได้คุยกับไอ้นิวเรื่องนี้
“นิวก็ว่าจะบอกเฮียหน่อยอยู่เหมือนกัน
ว่าปีหน้านิวจะบวชให้แม่”
ว่าแล้วมั๊ยล่ะ มันจะต้องมาถึงคิวผมสักวัน
“ทำไมนิวถึงคิดจะบวชล่ะ”
อืมมม...
บางทีไอ้น้องนิวมันคงจะมีคำคมประจำวันดีๆให้ผมได้คิด
“แอนฟีลด์โตแล้วไงเฮียหน่อย ตอนนี้นิวพร้อมแล้วครับ”
“เอ่อ...งั้นเฮียบวชกะนิวด้วยคนสิ”
ผมตัดสินใจที่จะบวชหลังจากความคิดเรื่อง “บวชหรือไม่”
มันกวนใจผมมาเกือบๆเดือน
“เย้ย...เฮียหน่อย เฮียบวชไม่ได้หรอก
โธ่..ที่นิวบอกว่าจะบวช มันทำให้เฮียกดดันเลยใช่มั๊ยเฮีย”
ไอ้น้องนิวมันดูเสียใจจริงจัง
“ทำไมอ่ะ แกบวชได้เฮียก็ต้องบวชได้ดิ”
เหมือนมันหมิ่นๆผมไงก็ไม่รู้
“อย่าเลยเฮียหน่อย นิวบวชคนเดียวก็พอแล้ว
บวชกันทำไมตั้งสองคนสามคน”
ผมรู้...นิวมันพูดให้ผมไม่รู้สึกแย่
“การบวชมันไม่มีมากไปน้อยไปหรอกนะนิว
ถ้านิวกับเฮียบวชพร้อมกัน แม่ต้องยิ่งปลื้มใจ”
ผมตัดสินใจได้ในนาทีนั้นเลยครับว่าจะบวช
ส่วนระยะเวลาที่ครองผ้าเหลือง จะกี่วันก็เป็นอีกเรื่อง
“เฮ้อออ..นิวไม่ได้หมายความแบบนั้นครับจะว่าไงดีล่ะ
อ้าว...แม่มาพอดี แม่ครับทางนี้หน่อยครับ”
แม่เดินออกมาพอดี ตอนนี้อยู่กันที่บ้านไอ้น้องนิวครับ
เฮียแกหลับอยู่ในห้องพักแขก
ตอนแรกแกก็นั่งฟังผมกับนิวคุยกัน
มันคงวกไปวนมาจนเฮียมี่แกง่วง
เลยขอตัวเข้าไปงีบ(ตามวัย คริคริ)
แม่ฟังรายงานสดจากลูกชายคนเล็กจนจบ ก็ขอบตาแดงก่ำ
ไอ้นิวมันยังไม่ได้บอกให้แม่รู้เลยครับ เรื่องที่มันคิดจะบวชปีหน้า
“หน่อย...นิว แค่ลูกมีความคิดอยากบวช
แม่ก็ดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว
โถ...นี่จะบวชกันทั้งสองคนเลยเหรอลูก”
“ครับแม่”
ผมกับนิวตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
คล้ายๆจะได้หน้ากันนิดๆอ่ะครับ
หน้ามันเห่อๆชาๆแบบว่า..ภูมิใจ
“นิวคิดดีแล้วเหรอลูก ไหนจะแอนฟีลด์ ไหนจะงาน”
แม่หันไปถามไอ้นิวก่อน
“ไม่ต้องห่วงครับแม่
ทั้งลูกทั้งงานนิวมีแผนในใจแล้วครับ
หัวหน้าแกก็อนุมัติแล้วครับ
แต่นิวคงบวชได้สักเดือนนึงครับ”
ไอ้นิวเวลามันพูดเป็นการเป็นงานแล้วก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดีครับ
“นิวจะบวชแค่วันเดียวหรือกี่สิบกี่ร้อยวัน
ความรู้สึกของแม่มันก็ไม่ต่างกันหรอกลูก
แม่ขอบใจแกมากนะ..นิว”
สองแม่ลูกกอดกันต่อหน้าผมที่กำลังน้ำตาซึม..อิน
“แล้วแก..หน่อย”
ซาบซึ้งกันจนหนำใจ แม่ก็หันขวับมาทางผม
รู้สึกว่าสีหน้าของแม่
จะไม่ค่อยออกแนวปลาบปลื้มสักเท่าไหร่
สองมาตรฐานชัดเจน
“ครับแม่ หน่อยบวชเท่านิวได้มั๊ยอ่ะครับ
ถ้านิวสึกไปก่อน...”
ผมจะบวชกี่วันดีนะ
แต่ที่แน่ๆไม่มากกว่านิวแน่นอน
ให้มันสึกไปก่อนแล้วผมจะอยู่ไงเล่า
“หน่อยไม่ต้องบวชหรอกลูก แค่นี้แม่ก็ขอบใจแกมาก
ขอบใจที่เป็นคนดีรักแม่รักพี่รักน้อง
หลายๆคนที่เป็นแบบหน่อย
มีแต่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ แต่หน่อยไม่เคย”
แม่ลูบหัวผมเบาๆเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆน่าทะนุถนอม
เอ๊ะ..เป็นแบบผม..แม่จะสื่ออะไรเนี่ย
“แต่..แต่ทำไมนิวบวชได้อ่ะ แล้วงี้...”
ผมอดแย้งไม่ได้
ยังไงผมก็เป็นลูกผู้ชายเหมือนมันนะ
“เอ๊ะ...แม่บอกว่าไม่ต้องบวชไง”
แม่เอ็ดผม
“ห๊ะ..ไรเนี่ย แม่พูดงี้ผมเสียใจนะแม่”
ผมน้อยใจจริงๆนะครับ
เหมือนแม่ไม่ต้องการสิ่งที่ผมทำเพื่อทดแทนคุณ
“จะให้แม่พูดตรงๆไหมหน่อย”
แม่จ้องหน้าผม สายตาจริงจัง
“แม่อ่ะ...เหมือนโกรธผมเลย”
แม่เสียงแข็ง ผมก็ต้องเสียงอ่อย
“หน่อยบวชแล้วมันจะทำให้แม่เป็นห่วง
แม่รักแม่หวังดีกับแกรู้มั๊ย แกไม่เหมือนคนอื่น
พระท่านจะแตกตื่นเอา ทำบุญให้แม่ร่วมกับน้องก็ได้นี่
คนเราไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันเท่ากันทุกอย่าง เชื่อแม่เถอะนะ”

นี่แหละครับบทสรุปของเรื่องนี้
ปีหน้าไอ้น้องนิวมันจะบวชหนึ่งเดือน
ผมคุยไลน์วีดีโอคอลกับเจ๊นิด(เก่งป่ะล่ะ ทำเป็นนะเอ้อ)
แกก็เห็นด้วยกับแม่ ปีนี้แกอาจจะไม่กลับ
ปีหน้าจะได้มาร่วมงานบวชแล้วอยู่กับแม่นานๆ
“เฮ้อ...งี้ผมก็คงไม่มีประโยชน์เลยดิ
เจ๊นิดก็ช่วยออกเงิน พ่อก็แย่งออกอีก
เฮียมี่ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ถึงเวลาคงแย่งกันจ่าย”
ผมถอนหายใจ นึกๆคิดๆแล้วเซ็งจิต
ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ โดยมีท่อนแขนผอมๆรองอีกที
เดี๋ยวหน้าเป็นรอยยับ
“ช่วยทำโน่นนี่อะไรก็ได้ที่เราถนัดสิครับ”
เฮียลูบหัวผมเบาๆ แต่เหมือนตบเล็กๆอ่ะ
แล้วแกก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
“อืมมมม...ทำไรดีว้า....”
“อะห๊า..คิดออกแล้ว”
“ไอ้หน่อย...จะพับเหรียญโปรยทานครับผม”

ตอนนี้นิ้วน้อยๆงามๆของผมมันเริ่มด้านแล้วอ่ะครับ
เจ็บด้วยครับ...อ้อนไปป่าวห๊ะ..ไอ้หน่อย
กว่าจะถึงวันงานนิ้วผมคงจะหยาบน่าดู
เฮียมี่ก็บ่นๆว่านิ้วผมมันสากๆ
ลำบากแกต้องมาคอยนวดนิ้วให้ผมตอนกลางคืน
ทีงี้มีบ่น...เชอะ
อ้อ...ผมตั้งใจไว้ว่าจะพับเองทั้งหมดไม่ให้ใครช่วยครับ
ส่วนจะทำมาสมทบก็แล้วแต่ แต่ผมตั้งเป้าไว้ที่หนึ่งพันเหรียญครับ
เอาใจช่วยด้วยนะครับ

ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยครับผม
รักนาย...มายรูมเมท
