
สวัสดียามเย็นครับผม
เลิกงาน กลับถึงบ้านกันรึยังครับ
ต้นเดือนแบบนี้
ร้านอาหารแน่นทุกร้าน
ร้านกาแฟก็แทบไม่มีที่นั่ง
เงินกำลังจะหมุนไป
เงินกำลังจะหมุนมา......อิอิ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แมว(มี่)ไม่อยู่..หนู(หน่อย) ร่าเริง

วันก่อนเดินทางไปฝึกงานต่างจังหวัดนาน6เดือน
เราร่ำลากันด้วยน้ำตา(ของผม)อีกแล้ว
มีบางช่วงบางตอนของการพลอดรักมาเล่าสู่กันฟังครับ
“ช่วงฝึกเฮียคงจะไม่ได้มาหาเรานะครับ”
“อะไรอะ จะอยู่ที่โน่น6เดือน โดยไม่เข้ากทม.เลยเหรอ”
“ไม่ได้กลับหรอกครับ แต่จะมีอาจารย์ไปดูแลเป็นบางช่วง”
“แล้วผมไปหาได้มั๊ยอะ”
แกล้งถามไปยังงั้นเองครับ ผมเหรอจะกล้านั่งรถไปในต่างถิ่น
“จริงจังรึป่าว เราจะมาได้เหรอ”
“แหะ แหะ รู้จริงอีกหล่ะ”
“นี่ใคร...ฮะ ฮะ ฮ่า”
“แฟนผม อิอิ”
“ตอบใหม่ ยังไม่ตรง”
“ง่ะ..ไรอะ”
“เร็ว อย่านาน”
“สะ สะ สามี อ๊ากกกกกกกก”
“ยังไม่ใช่ ตอบอีกที”
“ห๊ะ ยังไม่ใช่อีกอะ”
“ต้องตอบว่า เฮียเป็น ผะ..ผะ”
เอามือปิดปากแก แกไม่อาย แต่ผมอายนะ
นี่มันในห้างนะครับ
“เอาหล่ะ ตอบมา คำตอบสุดท้าย”
คาดคั้นผมกลางห้างดัง ผู้คนขวักไขว่
“ถ้าไม่ตอบ จะจับจูบตรงนี้แหละ”
ทำหน้าขึงขัง เอาจริง
ช่วงเวลานั้นการแสดงความรักในที่สาธารณะไม่มีใครเขาทำกัน
ถึงแม้ปัจจุบัน ที่สังคมเปิดเผยกันมากขึ้น
เราก็ไม่ได้แสดงออกมากจนเป็นที่สะดุดตา
แต่เฮียจะสนุกกับการแกล้งผมให้ได้อาย
กอดหอมผมในที่ลับตาพอให้ตื่นเต้นตกใจ
หนักสุดมีอยู่ครั้ง จับก้นผม ตอนคนเบียดๆ
จนผมโกรธแกไม่พูดด้วย หนึ่งวันเต็มๆ
“ว่าไงครับ คนหล่อๆคนนี้เป็นใคร”
ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู ทำเสียงหวาน
นั่งกันอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีสาขามากมายไปทั่วประเทศ
“เป็น เป็น ปะ ปะ ปั๋ว”
“ฮะ ฮะ ฮ่า จำให้ขึ้นใจ”
“บร้า อายเค้า”
“ฟอด ฟอด อายทำไม คนเขารักกัน”
เวลากินข้าว เราชอบนั่งติดกัน ฝั่งเดียวกัน
ไม่ถึงกับป้อนกัน แค่เกือบๆ...อิอิ
ดูหนังก็ยังจับมือกัน ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ
ข้ามถนนไม่วายจูงมือกันตาหลอดๆ
ของทุกชิ้นเฮียจะแย่งไปถือ แม้จะมากมายแค่ไหน
ผมเหรอ...เดินตัวปลิว เป็นคุณนายเอ๊ยคุณชาย
เฮียทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ อย่างน้อยก็สำหรับเฮีย
คนที่รู้จักผมดี จะบอกว่าเป็นบุญของผมที่เป็นคนที่เฮียเลือก
รักเดียวที่ซื่อสัตย์ มั่นคง หนักแน่น และสม่ำเสมอ
ผมเสียอีก ปากก็ว่าไม่โลเล
แต่แฉลบออกข้างทางก็หลายครั้งหลายหน
เอาแต่ใจ งอนยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆ
โมโหร้ายก็เท่านั้น
คิดมาก คิดจนเป็นเรื่องขึ้นมาบ่อยๆ
หน้าตาก็ไม่น่าจะเล่นตัวได้ขนาดนี้
แต่โทษที สายตาเฮียอยู่ที่ผมเพียงคนเดียว ฮะ ฮะ
เคยถามทีเล่นทีจริง
“เฮีย เฮีย เคยคิดจะมีคนอื่นอีกมั๊ย”
เงยหน้าจากหนังสือที่อ่าน มองผมงงๆ
“ไม่หนิ”
ก้มกลับไปอ่านหนังสือในมือเหมือนเดิม
“เฮีย แล้วถ้าแค่แอบมอง ชำเลืองมองอะเคยมั๊ย”
“หืม ไม่เคยครับ”
เสียงบ่งบอกว่ารำคาญชัดเจน กวนอารมณ์ตอนอ่านหนังสือนี่มัน...
หาเหาใส่หัวหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
“แล้วถ้า....”
เงยหน้ามามอง วางหนังสือในมือลง แล้วคว้าตัวผมไปนั่งตัก
“เป็นอะไรไป คิดฟุ้งซ่านอีกแล้วนะเรา ฟอด ฟอด”
“ก็ผมแค่อยากรู้เอง”
“จุ๊บ จุ๊บ ถามมาสิครับ คนดี”
“แหะ แหะ”
เขินครับ มือไม้เก้งก้าง ไม่มีที่วาง
จับกระดุมเสื้อแกเขี่ยเล่นไปมา
ชะม้อยชะม้ายชายตาอย่างยั่วยวน กะว่าน่ารักผุดๆ
“ถ้า...สมมตินะว่ามีคนที่ดีกว่า น่ารักกว่าเข้ามา เฮียจะ...”
“ไม่ครับ ไม่เอาใครทั้งนั้น”
“แต่ผมไม่น่ารัก นิสัยก็แย่อะ”
“น่ารักสิครับไม่งั้นเฮียจะรักเหรอ”
“เฮียอ่ะ ผมอายยยย”
“ฟอด ฟอด นิสัยก็ไม่แย่เท่าไหร่ พอรับไหว
แต่ถ้าจะกรุณาปรับปรุงบ้างก็จะเป็นพระคุณ ฮะ ฮะ ฮ่า”
“บร้า”
“แล้วไอ้คำว่าบ้าเนี่ยติดปากแล้วนะ”
“เฮียไม่ชอบ...”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่รักเลยหล่ะ”
“บะ...”
เกือบหลุดอีกแล้ว เพิ่งว่าแหมบๆ
ก้มหน้าก้มตาเขี่ยกระดุมต่อแก้เขิน
“ถ้ายั่วกันขนาดนี้ สักยกมั๊ยครับ หืมมม”
“แหะ แหะ”
ก็ผมหน่ะสิ เผลอแกะกระดุมเฮียออกจนหมด เผยแผ่นอกที่คุ้นเคย
“บร้า เรื่องแบบนี้ใครเขาถามกัน”
ทุบหน้าอกแกเบาๆ
แต่แกตอบแทนผมกลับมา ไม่เบาเลย แทบตาย อิอิ
นัดแนะกันว่าเฮียจะเป็นฝ่ายโทรฯมาช่วง2-3ทุ่มของทุกวัน
คาดว่าเป็นช่วงเวลาปลอดโปร่งจากการปฎิบัติหน้าที่
การอยู่เวรที่รพ.ต่างจังหวัดจะมีข้อดีตรงที่...เป็นเวรนอน
เมื่อมีคนไข้ฉุกเฉินก็จะใช้วิธีโทรฯตามแพทย์เวร
มีห้องพักแพทย์ครับ นั่งๆนอนๆตามอัธยาศัย
แต่ก็ไม่ได้นั่งนอนสบายอุรานะครับ
รพ.ใหญ่ในจังหวัดศูนย์กลางของภาคอีสาน
คนไข้อุบัติเหตุเยอะมาก รวมทั้งคนไข้ที่ส่งต่อมาจากรพ.เล็กๆใกล้เคียง
ใครจะว่าเชย เฉิ่ม โบราณ ก็ตาม
ผมชอบเขียนจดหมายครับ คลาสสิคออก ว่ามะ
เขียนมันเกือบทุกวัน เขียนเล่าโน่น นี่ นั่น
เฮียได้รับจม.จากผม อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า2-3ฉบับ
เคยเอามานับ เฉพาะช่วงที่เฮียไปฝึกงาน 6 เดือน 50กว่าซอง
แต่ปัจจุบันไม่อยู่แล้วครับ ฮือ ฮือ
ทายถูกมั๊ยครับ ว่าหายไปไหน หายไปได้อย่างไร
ใครช่างกล้าขโมยสาส์นรักของผมไป
แหะ แหะ..ด้วยสองมือของผมนี่แหละครับ
ที่ฉีกทำลายจนหมด รวมทั้งอีก10กว่าซองที่เฮีย(โดนบังคับ)เขียนถึงผม
วันนั้นเกิดอารมณ์หึงหวง โมโห ขาดสติ
เฮียคิดว่าอธิบายเคลียร์แล้ว ก็ออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
แต่พอคล้อยหลัง ตัวผมที่ยังไม่ยอมจบ
ผมฉีกๆๆ ฉีกจดหมายทุกฉบับ ฉีกจนเจ็บ เล็บแทบฉีก
(น่าจะใช้กรรไกรเนอะ...ไอ้เลว...สำนึกก็หามีไม่)
ฉีกไป ปากก็พร่ำพูด เพ้อเจ้อ ไร้เหตุผล
“พอกันที พอกันที คนหลอกลวง”
“เห็นผมเป็นของตายใช่ไหม...นี่แน่ะๆ”
สารพัดจะสรรหาความคิดในด้านลบ
ฉีกเสร็จรวบรวมใส่ถุงทึบ ออกไปทิ้งลงถังขยะนอกบ้าน
จนป่านนี้เฮียยังไม่รู้
จะรู้ก็วันนี้แหละครับ
เฮียไม่ใช่คนที่จะใส่ใจกับรายละเอียดเล็กน้อย
ไม่เคยจะถามถึงหรืออยากจะเอาจม.เก่าๆมาอ่าน
ถามว่าที่หึงหวงจนต้องทำลายจม.รักที่มีค่าเก็บความทรงจำในวันวาน
เรื่องอะไร เป็นยังไง ผมก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้วครับ
ประมาณผิดนัด มาไม่ตรงเวลาเนี่ยแหละ
น่าเสียดายนะครับ
เขียนมา6เดือน ทั้งรอยยิ้มและหยาดน้ำตา
กลับทำลายลงในชั่วเวลาแป๊บเดียว
นี่แหละ...ตัวตนของผม
ไม่ใช่ใสๆ น่ารักอย่างที่คิด
ด้านแรงด้านร้ายก็มี(เยอะ)ครับ
แต่เฮียช่วยปรับเปลี่ยน ขัดเกลา ให้ผมเย็นลง
มองโลกในแง่บวก
จนมีบางคอมเม้นท์ชมว่าผมน่ารัก ใสๆ...อิอิ
เดือนแรกที่เฮียจากไป
ช่วงเวลา2ทุ่มเป็นต้นไป ผมจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอน
นั่งจ้อง นอนมอง โทรศัพท์มือถือ Alcatel สีเขียว
เครื่องได้มาจากลูกค้าของเจ๊นิดครับ
เวลานั้นเจ๊นิดได้บรรจุเป็นพนักงานประจำแล้ว
แขกของรร.ถ้าเป็นต่างชาติ จะถูกโอนมาให้แกแต่เพียงผู้เดียว
โดยเฉพาะแขกวีไอพี
ด้วยเหตุที่ว่า ภาษาแกแข็งแรงกว่าใครๆในรร.
มีช่วงหนึ่งที่บริษัท Alcatel ได้มาจัดประชุมผู้บริหาร
ผลงานของแกเข้าตา
จนได้รับสินน้ำใจมาครับ
เฝ้าโทรศัพท์ไว้ ไม่วางตา
รอว่าเมื่อไหร่จะแสงกระพริบ
เมื่อไหร่จะมีเสียงเรียกเข้า
อาทิตย์แรก ไม่ผิดหวัง สายเข้าทุกวันสม่ำเสมอ
พุดคุยได้พอบรรเทาความคิดถึง
อาทิตย์ที่2 สายเข้าทุกวัน แต่เวลาเลื่อนออกไป จนดึก
พูดคุยพอได้สาระใจความ ไม่เยิ่นเย้อ
อาทิตย์ที่3 สายเข้าวันเว้น2-3วัน
พูดคุยบอกรักกันด้วยถ้อยคำสั้นๆ
อาทิตย์ที่4 สายเข้าแค่ครั้งเดียว
น้ำเสียงเร่งรีบ ทำเวลา
“ช่วงนี้กลางวันเฮียต้องออกชุมชน ไปตามหมู่บ้าน คิดว่าไม่น่ามีสัญญานนะครับ”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ กลางคืนก็โทรฯได้นี่”
“ครับ แต่เฮียบอกเราไว้ก่อนนะ บางวันต้องอยู่เวร อาจจะไม่ได้โทรฯมา”
“ทำไมอะ อยู่เวรไม่กินไม่ถ่ายรึไงถึงได้ไม่มีเวลา”
“พูดไม่เพราะเลยนะ”
เสียงเฮียไม่ค่อยพอใจ
“ดุผมทำไมเล่า ก็แวบมาโทรฯแค่นี้ ไม่ได้เลยเหรอ”
ผมทำเสียงออดอ้อน ตัดพ้อ
“มันก็ได้ แต่บางทีอาจเผลอลืม บอกกันก่อนจะได้ไม่คิดไปไกลไงครับ”
ได้ยินเสียงถอนใจหนักๆ
หลังๆการคุยกันมักจะจบลงด้วยการต่อว่าของผม
หากผมหันกลับไปมองในด้านของเฮียบ้าง
ก็น่าจะเห็นอกเห็นใจแก
กลางวันออกทำงานข้างนอก ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย
กลางคืนอยู่เวร เขียนรายงาน รับผิดชอบคนไข้ทั้งตึก
เฝ้าระวัง รอรับคนไข้ฉุกเฉินที่จะมาได้ทุกเมื่อ
ในแต่ละสัปดาห์มีการสอบเก็บคะแนน ทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติ
จากผอ.และพี่ๆฝ่ายวิชาการของรพ.
บางสัปดาห์ อาจารย์มาเยี่ยม เพื่อประเมินผล มอบหมายงานที่มากมาย
การออกชุมชนนศ.จะมาเป็นกลุ่มใหญ่
มากันแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ยิ่งเฮียเรียนเก่ง ก็ต้องช่วยติว ทั้งฉุดทั้งดึงเพื่อนที่มาด้วยกัน
ให้ผ่านการฝึกครั้งนี้ไปได้
คนอื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้
แต่คนที่มีความรับผิดชอบสูงแบบเฮีย
ไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้ง่ายๆเลยครับ
เดือนที่2
ผมเป็นฝ่ายโทรฯไปหา รอไปก็เท่านั้นครับ
โทรฯติดบ้าง ไม่ติดเสียมาก ยุ่งจนปล่อยให้แบตหมดเป็นประจำ
เฮียจะโทรฯกลับมาจากจำนวนมิสคอลที่ผมกระหน่ำโทรฯไปหา
คำหวานๆห่างหายไป
มีแต่การบ่นระบายความเหนื่อยยาก
บ่นจนผมไม่มีอารมณ์จะคุยเล่น
3-4วัน ผมก็จะโทรฯไปสักครั้ง
ส่วนเฮียไม่เคยโทรฯมาก่อน
ยกเว้นถ้าได้รับข้อความประชดประชัน
ผมส่งข้อความไปทุกวัน
แรกๆก็ยาวจนต้องแบ่งส่งหลายครั้ง
ข้อความ บทกลอน หวานๆซึ้งๆ
มีบ้างที่ออกแนวตลกขบขัน
เฮียก็ตอบข้อความกลับมาสั้นๆ
“คิดถึงครับ” “ขอบคุณครับ” “รักนะครับ”
“เช่นกันครับ” “ฝันดีครับ”
หลังๆผมก็ส่งข้อความสั้นลงเช่นกันว่า
“คิดถึงครับ”
ส่งข้อความเดิมซ้ำๆทุกวัน
เฮียก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง
ผมส่งยาวๆ เฮียตอบสั้นๆ
พอผมส่งสั้นๆ เฮียตอบบ้างไม่ตอบบ้าง
คนที่ไม่เคยห่างจากคนรัก หรือห่างกันแค่ไม่กี่วัน
คงไม่รู้ซึ้งเท่าผมในตอนนั้น
มีคนรักเหมือนไม่มี
มีแฟนเหมือนไม่มี
เหนื่อยล้า และท้อแท้
หลังๆโทรฯไปผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร
การสื่อสารจากทูเวย์ แปรเปลี่ยนเป็นวันเวย์
และเข้าขั้น โนเวย์
ต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง
จนลืมใส่ใจอีกคน
วันหนึ่ง วันที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม
วันนั้นผมอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ไปรื้อตู้เก็บหนังสือของบ้าน
หนังสือเรียนเก่าๆของพวกเรา
หนังสือการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ของไอ้นิว
ผมกับเจ๊นิดเหรอครับ หนังสืออ่านเล่นไม่มีในสาระบบ
แค่หนังสือเรียนก็แทบตาย
อ้อ...หนังสือ9เล่มสุดหวงของผม ถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องนอนครับ
แล้วผมก็เจอหนังสือนิยายเก่าๆของแม่
“เขาชื่อกานต์”
หนังสือปกแข็งสีแดงเก่าๆ 2 เล่ม
เปิดดูผ่านๆ สะดุดตาที่พระเอกของเรื่องเป็นหมอครับ
เรื่องราวก็ออกจะชนบทมาก
ตั้งใจอ่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ
อ่านตั้งแต่สายๆ ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน วางไม่ลง
จนอ่านจบตอนตี2...ด้วยน้ำตาถล่มทลาย
ตลอดเวลาที่อ่าน ทำให้สมองว่างเว้นจากเรื่องเฮีย
ซึ่งทำให้ผมได้คิดว่า
ยังมีอะไรอีกมากมายที่ผมจะทำได้
ที่สำคัญ...ค้นพบว่า ผมรักการอ่าน(นิยาย)
การซื้อหนังสืออ่านเล่น เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยสำหรับบ้านผม
หนังสือแต่ละเล่มราคาแพงไม่น้อย
ร้านเช่านิยายจึงเป็นเป้าหมายของผม
ยังจำตึกแถว5ห้องได้มั๊ยครับ
ถัดจากร้านชำของผม เป็นร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์
ร้านคิวรถตู้รถทัวร์ ร้านหนังสือ ร้านอาหารตามสั่ง
ร้านหนังสือเป็นร้านที่เน้นหนังสือเช่า
หน้าร้านมีหนังสือรายวัน รายปักษ์วางขาย
พวกหนังสือพิมพ์รายวัน ขายหัวเราะ
สกุลไทย สตรีสาร ขวัญเรือน
อะไรประมาณนี้แหละครับ
เจ๊คิ้มเจ้าของร้านเป็นสาวโสดวัย40ต้นๆ
แกใจดี ขี้โม้ นั่งอยู่แต่หน้าร้าน
ใครมาเช่าหนังสือ แกปล่อยให้เลือกแบบไม่มองเลยครับ
ใครอยากนั่งอ่านก็ไม่ว่ากัน
ค่าเช่าก็แสนถูก
บางคนเอาไปดองเป็นอาทิตย์ แกก็ไม่ได้ปรับค่าเช่าที่คืนไม่ตามกำหนด
แม่ผมว่า แกทำแก้เหงา ไม่ได้หวังกำไรมากมาย
แต่เราก็ยิ่งต้องเกรงใจแก อย่าเอาเปรียบ
ไม่เป็นปัญหาครับ ผมเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว
หนังสือเล่มหนึ่ง ไม่เกินวันก็อ่านจบ
ผมไปยืมหนังสือร้านเจ๊คิ้มช่วงประมาณ1ทุ่ม
หรือก่อนแม่จะปิดร้าน
ร้านค้าแถวนั้นจะปิดพร้อมๆกันตอน2ทุ่ม
เป็นเวลาที่รถทัวร์ รถตู้หมดคิวแล้ว
ยกเว้นร้านเจ๊คิ้ม แกปิดไม่ต่ำกว่า3ทุ่ม แล้วแต่ว่า
สมาคมคนโสดของแกจะเหนื่อยแล้วแยกย้ายกันตอนไหน
สาวโสด หนุ่มโสด วัย4-50ปี ในตลาด
เลิกงานแล้วก็มานั่งเล่นนั่งคุยกันที่หน้าร้านแก
ตึกแถวพอพ้นจากประตูเหล็กที่เป็นซี่ๆ 2 ชั้น
ข้างในเป็นชั้นทึบ
ข้างนอกเป็นซี่เหมือนซี่กรง
เลยประตูมาเป็นลานซีเมนท์ฟุตบาทกว้างๆ
แดดร่มลมตก แกก็จะเอาเก้าอี้ออกมาวาง4-5ตัว
เก้าอี้ไม่เคยขาดคน เสียงคุยเสียงหัวเราะไม่เคยขาดสาย
วันหนึ่งใกล้ๆ2ทุ่ม
“เจ๊คิ้มผมเอาหนังสือมาคืน”
“เออๆมาซะดึกเลย วางบนโต๊ะนั่นแหละ”
ในร้านมีโต๊ะเก้าอี้ไม้ แบบของครูอยู่1ชุด
เป็นที่ๆแกเอาไว้ให้วางหนังสือจะคืนหรือจะยืม จ่ายตังค์กันก็ตรงนี้
“เจ๊คิ้ม ผมวางตังค์ไว้บนโต๊ะนะ เอ๊ะวันนี้ไม่มีคนมายืมหนังสือเหรอครับ”
“คนเขามากันตั้งแต่เย็นแล้วหล่ะ อ้อ มีข้างบนอยู่คนมั๊ง”
“ห๊ะ มีชั้นบนด้วยเหรอ”
“อ้าวไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าร้านเจ๊มี2ชั้น”
“แล้วข้างบนหนังสือเยอะมั๊ยอะ”
“แกก็ขึ้นไปดูสิ”
“ครับๆ”
เดินผ่านชั้นหนังสือเข้าไปจนสุด ก็เห็นบันไดทอดยาวขึ้นไป
ก้าวขึ้นบันไดไม้ ขึ้นไปจนถึงชั้นบน
เป็นชั้นลอยครับ ขึ้นไปอีกครึ่งชั้นคงเป็นที่พักของแก
ตึกแถวเป็นตึก2ชั้นครับ บ้านผมไม่มีชั้นลอย
เจ๊คิ้มแกคงดัดแปลงเพื่อทำชั้นหนังสือ
เดินดูหนังสือบนชั้น เป็นนิยายจีนครับ
ผมไม่เคยรู้จักนิยายจีนมาก่อน เปิดดูสำนวนแปลกๆ
ชั้นหนังสือทอดยาว
มีทั้งหมด4แถว เหมือนห้องสมุดครับ
แถวแรกชิดผนัง
แถว2-3 หันหลังชนกัน
แถว4 ชิดผนังอีกด้าน
ทำให้มีช่องทางเดินระหว่างชั้นหนังสือ 2ช่อง
แต่ละแถวจะแบ่งแยกหนังสือด้วยชั้นไม้เล็กๆในแนวยาว
มีทั้งหมดจากบนลงล่างก็ประมาณ5-6แถว
แถวล่างสุดต้องลงนั่งยองๆจึงจะหยิบได้
ส่วนชั้นบนสุด เจ๊คิ้มแกต้องปืนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ถึงจะหยิบลงมาได้
รวมทั้งผมด้วย...อิอิ(สูงน้อย)
หยิบหนังสือมาดู เล่มโน้นบ้างเล่มนี้บ้าง
หยิบออกมาดู แล้วก็หยิบเข้าไปเก็บ
กำลังยืนอ่านเพลินๆ
รู้สึกว่ามีคนมายืนซ้อนข้างหลัง
มือข้างหนึ่งจับที่ชั้นหนังสือข้างตัวผม
มืออีกข้างเอื้อมหยิบหนังสือที่ชั้นบนสุด ตรงหน้าผม
กลิ่นหอมอ่อนๆแบบผู้ชาย
ประมาณกลิ่นน้ำหอมโปโลครับ
เป็นกลิ่นหอมสะอาด
เหมือนคนข้างหลังเพิ่งอาบน้ำมาก่อนหน้านี้
"อ๊ะ"
มือที่จับอยู่ตรงชั้นข้างตัวผม
มันเลื่อนมาแตะที่ไหล่
หันหน้ากลับไป
เงยหน้าขึ้นมอง
"ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอครับ"
อ๊ากกกกกกกกกกกกก

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ค้างได้อีก แหะ แหะ
ไม่ว่าจะเขียนสั้นหรือยาว ผมก็ทำให้คุณค้างได้ 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ครับผม
ไม่ว่าจะเข้ามาทัก หรือเข้ามาทวง(นิยาย)
ล้วนแล้วแต่ทำให้ผม...แรงดี ไม่มีตก
เฮียเผลอแล้วเจอกันครับ
