
มาแล้วครับผม
สดๆร้อนๆ...จากร้านกาแฟ..ยามบ่าย
คนอ่านอย่าเพิ่งหน้าหงิกนะครับ
ส่วนผม...นิ้วหงิกเลย...อิอิ

เสียงที่เปลี่ยน
“ท่าทีเปลี่ยนไป ปิดยังไง เก็บยังไง
ซ่อนเร้นในจิตใจฉันดูออก
ทำเหมือนไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน”
“เสียงที่แผ่วเบา มันช่างเบา ช่างเบา
สะท้อนคำว่าเรานั้นใกล้จบ
และพบปลายทางของสองเรา”
“นี้คือสิ่งที่ฟ้องในใจ ปิดอย่างไรก็คงไม่อยู่
วันนี้ยิ่งฟังยิ่งรับรู้ อาการมันยิ่งดูยิ่งแน่ใจ”
“เสียงที่เปลี่ยน คือเสียงตรงมาจากหัวใจ
ยิ่งเสียงแผ่วเบาสักเท่าไร
ความรักคงแผ่วลงเท่านั้น”
“เสียงมันเปลี่ยน ตอนนี้รอจะฟังคำนั้น
บอกฉันมาเลยก็แล้วกัน
ประโยคที่บอกเลิกกัน เธอคงพูดชัดเจน”
“ความรักคงจะแผ่ว รักคงจะแผ่ว แผ่วลง” (เบลล์ นันทิตา)
http://www.youtube.com/watch?v=DfjRMJTWUZw++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลับตานิ่งๆ เสียงเพลงที่ได้ยินได้ฟัง ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติม
เพลงอกหักรักคุด...ช่างโดนใจเสียจริงในยามนี้
เวลาผ่านล่วงเลยไป จิตใจเริ่มสงบลง
ดังคำคม...สติมา ปัญญาเกิด เป็นสัจธรรมที่ค้นพบ
เพราะขาดสติ ปัญหาจึงตามมา
คิดใคร่ครวญไตร่ตรองคำพูดที่จะเอ่ยเอื้อน
วนเวียนวกวน ยากยิ่งกว่าข้อสอบเอนทรานส์
ลืมตาลอบมองคนข้างๆ...สายตาแน่วแน่อยู่กับเส้นทาง
เฮียเป็นคนมุ่งมั่น ทำอะไรดูจริงจัง
ไม่น่าจะโกหกพกลม ไม่น่าจะพูดปดมดเท็จ
มันไม่ใช่ตัวตนของแก
เหลือบดูเข็มไมล์เห็นความเร็วที่ใช้แล้วต้องกังวลระคนแปลกใจ
“ขับเร็วจัง”
ความเร็วของรถลดลงมาเล็กน้อย
“ถนนมันโล่งหน่ะ ถึงกทม.จะได้ไม่มืด”
ตอนนี้เวลายังไม่ถึงบ่ายสองโมง ระยะทางก็มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว
ขับช้ายังไงก็น่าจะถึงที่หมายไม่เกิน5โมงเย็น
เมื่อลงได้สงสัย หวาดระแวงแล้ว จุดเล็กจุดน้อยก็ชวนจับผิด
“ไม่นอนแล้วเหรอ”
“ไม่ หายง่วงแล้ว”
ตอบเสียงห้วนๆ เผื่อเฮียจะเอะใจบ้างว่าผมอยู่ในโหมดไม่พอใจ
“งั้นฟังเพลงนะ กำลังเพราะเลย”
เร่งเสียงเพลงดังขึ้น
ผมหมุนปิดทันที
“อ้าว ปิดทำไมหล่ะ”
เฮียอึ้งกับสิ่งที่ผมทำ คงคิดว่าช่างไร้มารยาทสิ้นดี
“ไม่อยากฟัง”
“งั้น...คุยกันก็ได้”
ผมกอดอกนั่งเงียบ เบือนหน้างอๆออกไปข้างทาง
“เฮ้อ เป็นอะไรไปอีกเนี่ย เอาใจไม่ถูกแล้วนะ”
น้ำเสียงบ่งบอกความรำคาญ
“ก็ไม่ต้องมาเอาใจ”
เฮียหักรถเข้าข้างทางแล้วเหยียบเบรคแรงจนผมหัวทิ่ม
ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้
“ตั้งแต่ที่ปั๊มแล้วนะ มันอะไรกันนักหนา ห๊ะ”
เฮียปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกระชากแรงๆจนมันดีดกลับเข้าที่
ผมทำตามปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกระชากออกจากตัวทันที
ด้วยแรงฉุนเฉียวที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“หน่อยเป็นอะไร ไม่พอใจตรงไหนก็บอกมาสิ”
เสียงเฮียอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผม..เอาจริง
เริ่มจับทางได้แล้วครับ
ถ้าอ่อนข้อให้ เฮียยิ่งไม่เกรงใจ เห็นผมอยู่ในกำมือ
แต่ถ้าผมแผลงฤทธิ์ เฮียจะลดความฉุนเฉียวลง
ความเข้าใจในตอนนั้นเป็นแบบนี้
หารู้ไม่ว่า หากแสดงฤทธิ์เดชจนถึงระดับที่เกินจะรับไหว
เฮียจะฟิวส์ขาด ทำสิ่งที่คาดไม่ถึง
วันนั้นถ้ารู้ จะไม่กวนโมโห ให้เฮียโกรธจนถึงขีดสุด
“หน่อย”
เฮียเรียกชื่อผม พร้อมกับทิ้งตัวลงไปพิงกับพนักที่นั่ง
หลับตานิ่งอยู่ คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน
“เฮีย”
“หืม”
ลืมตาขึ้นมา หันมองหน้าผม หน้าตาเรียบเฉยไร้รอยยิ้ม
“เฮียมีอะไรปิดบังผมอยู่”
ขยับนั่งตะแคงตัวเข้าหาคนตรงหน้า
“ไม่มี”
เฮียตอบสวนกลับมาทันทีแบบมั่นใจ ไม่ลังเล
แกยันตัวขึ้นจากที่นั่ง โน้มตัวเข้ามาใกล้
“ฟอด ฟอด”
ผมดันตัวแกออก แล้วค้างฝ่ามือวางยันไว้ที่หน้าอก
“คนที่โทรฯมาเมื่อกี้ ใคร”
เฮียชะงักไปนิด จับข้อมือผมออก แล้วกุมมือไว้ทั้งสองข้าง
“เพื่อนครับ เพื่อนมันโทรฯมาทวงรายงาน”
“เพื่อนผู้ชายที่ชื่อ นีน่า หน่ะเหรอ”
ผมดึงมือออกจากการเกาะกุมแบบไม่พอใจ
“เอ้อ...คือ”
“เพื่อนผู้ชาย เขาแทนตัวว่าเค้า ใช่ไหม ห๊ะ”
เสียงผมดังขึ้น ตามแรงอารมณ์
“หน่อย”
เฮียปรามผม แล้วเอื้อมมือมาจับมือผมไปกุมอีกครั้ง
“เพื่อนผู้ชาย เขาเรียกเพื่อนว่าเฮีย ใช่ไหม อึก อึก”
สะบัดมือออก เสียงสะอื้นประเดิม เริ่มขึ้นแล้ว
“ไปกันใหญ่แล้วนะ”
เฮียลูบแขนผมเบาๆอย่างเอาใจ ขัดแย้งกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“เพื่อนผู้ชาย..ออดอ้อน ออเซาะ คะๆ ขาๆ หน่ะเหรอ ฮือ ฮือ”
น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ เสียงผมถึงแม้จะดังขึ้นกว่าเดิม
แต่มันสั่นพร่า บ่งบอกสภาพจิตใจที่เจ็บช้ำ
“นี่เรารับโทรศัพท์เฮีย...ใช่ไหม”
เสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าไม่พอใจที่ผมรุกล้ำเรื่องส่วนตัว
“ทำไม ผมรับไม่ได้ไง ฮือ ฮือ”
“ไม่ใช่ยังงั้น”
จับไหล่ผมทั้งสองข้างให้หันมามองหน้าตรงๆ
เช็ดน้ำตาให้ผม น้ำตาที่ไหลมาไม่หยุดหย่อน
ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่นุ่มนวลเหมือนเคย
“แล้วอย่างไหน เป็นแบบไหน บอกผมสิ”
“ก็แค่น้องรหัส”
“ทำไมต้องปิดบังผม”
“ก็นี่ไง รู้แล้วก็เป็นซะแบบนี้”
“น้องรหัสทำไมต้องอ้อนขนาดนั้น มันไม่มากไปเหรอไง อึก อึก”
เจ็บมาก ปิดกันก็ไม่ว่า เพราะไม่รู้ แต่เมื่อรู้แล้วต้องเอาให้เคลียร์
“น้องเค้าก็เป็นของเค้าแบบนั้น ไม่มีอะไร”
“นี่ นี่เฮียยังบอกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ”
หยุดร้องแล้ว น้ำตาเหือดแห้ง พอๆกับเสียงที่เหมือนคราง
ครางด้วยความรวดร้าวในอก
“บอกว่าไม่มีอะไรกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น เชื่อกันบ้างสิ”
เฮียหน้าบึ้ง ละมือออกจากไหล่ผม
ละออกราวกับจับโดนของร้อน
“ไม่มีอะไรทำไมต้องปิดบังผม ทำไมบอกว่าเป็นเพื่อน”
“ยังไม่จบอีก นี่ไง เคยฟังกันบ้างมั๊ย”
เสียงเหมือนระอา
“นี่ผมผิดเหรอ ไหนว่าสงสัยให้ถาม ผมก็ถามแล้วไง”
“แล้วมันดีขึ้นมั๊ย ปิดบังก็โกรธ บอกความจริงก็โกรธ”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง ปิดผม พอจับได้ก็ปัดว่าผมผิด
คราวพี่ฝ้ายก็ทีนึงหล่ะ ปิดผม ให้ผมเข้าใจผิด
แล้วครั้งนี้ยังจะปิดผมอีก ถ้าผมจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน
ก็คงไม่บอก”
“บอกแล้วได้อะไร”
“ไม่บอกแล้วได้อะไรหล่ะ ผมมารู้ทีหลังผมยิ่งไม่ไว้ใจ”
“งั้นต่อไปจะให้รายงานมั๊ย”
“เอาสิ ตั้งแต่ภารโรงยันอธิการเลย”
ประชดประชัน ไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร
“มันจะมากไปแล้วนะ”
“ไม่มากหรอกสำหรับคนแบบเฮีย”
“คนแบบชั้นมันเป็นยังไง”
“....”
เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์เดือดที่ปะทุไต่ระดับความรุนแรงของเฮีย
“มันไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม ต้องยังไงต้องแบบเรารึไง”
“ทำไม แบบผมมันทำไม”
เสียงดังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“ก็อ่อยเขาไปทั่ว ไหนจะไอ้ปานที่คอยเกาะแข้งเกาะขา
ไหนจะไอ้โบ้ที่มันจะงาบอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่นะ”
“แล้วที่ชั้นไม่รู้อีกหล่ะ ไว้ใจไม่ได้”
“ผมบอกแล้วว่าคนอื่นก็เป็นได้แค่พี่ชาย ผมมีเฮียคนเดียวนะ”
ลนลาน อธิบาย ราวกับเป็นฝ่ายผิด
“ชั้นจะเชื่อได้ยังไงว่าเรา....”
“ผมไม่ได้ง่ายนะ อย่ามาดูถูก”
“ฮึ กล้าพูด”
หมดแล้วความอดทนที่เคยมี
เพี๊ยะ”
ผมตบหน้าเฮียเต็มแรงจนแก้มซ้ายของเฮียขึ้นรอยแดงเป็นแนว
“เพราะผมนอนกับเฮียใช่ไหม ถึงว่าผมง่าย”
“...”
“แต่อย่าลืมนะเฮียข่มขืนผม บังคับผม ฮือ ฮือ”
“หน่อย”
“แล้วนี่อีก ผมชวนเฮียไประยองใช่ไหม
ผมชวนเฮียขึ้นเตียงใช่ไหม
ผมชวนเฮียเอากันจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยใช่ไหม”
“ไปกันใหญ่แล้วนะ”
“ได้ ไม่ว่างใช่ไหม โทรฯมาก็ไม่โทรฯ โทรฯไปหาก็คุย2-3คำ ฮือ ฮือ
ไม่ว่างก็ดี ผมจะได้ชวนเฮียปาน ชวนพี่โบ้ขึ้นเตียง ฮือ ฮือ
ถ้ายังไม่พอ เจอใครก็คนนั้นแหละ ก็คนมันง่ายนี่ อึก อึก”
“อย่ามาประชดกันนะ”
“...ฮือ ฮือ”
“ชั้นไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะเป็นไปได้ขนาดนี้”
ภายในรถ ร้อนแรงเหมือนอยู่ในทะเลเพลิง
เพลิงใดๆไม่เผาผลาญให้วอดวายได้เท่าเพลิงจากแรงอารมณ์
นั่งเงียบกันไปพักใหญ่
พักให้บรรเทาจุดเดือด จุดที่จะทำให้แตกหัก
“เลิกกันเถอะ ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากรอแล้ว”
พูดเสียงเบาอยู่ในลำคอ ฟังเสียงที่ออกมาราวกับไม่ใช่เสียงตัวเอง
มันแผ่วเบา ไร้น้ำหนัก
“รู้ตัวมั๊ยว่าพูดอะไรออกมา”
เสียงเฮียแหบพร่า ผิดเพี้ยนไม่ต่างกัน
“ถอยกันคนละก้าวเถอะ ผมเหนื่อย”
“ทำไม”
“ผมเป็นคนรอ ผมเหนื่อย เฮียไม่รู้หรอก
แต่ละครั้งที่เฮียทิ้งผมไป เงียบหายไป
ผมอยู่ยังไง เฮียเคยคิดบ้างมั๊ย เคยรู้บ้างมั๊ย”
“เฮียทำให้เรารู้สึกแย่ขนาดนี้เลยเหรอ”
เสียงเฮียครางออกมาอย่างร้าวราน
“ต้องการแบบนั้นจริงๆใช่มั๊ย”
เฮียดึงตัวผมมากอดไว้ ถึงจะติดขัดจากอุปกรณ์ในรถ แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ
“ฮือ ฮือ”
เฮียลูบหลังปลอบผมเบาๆ
“แล้วเรารู้มั๊ย ว่าเฮียก็รอเราอยู่เหมือนกัน
รออยู่ว่าเราจะเก็บรักษาหัวใจรักของเราไว้ให้เฮียรึป่าว
แต่ละครั้งที่ได้ข่าว มีแต่คนมาเกาะแกะ มาวอแว
รู้มั๊ยเฮียหวั่นไหวแค่ไหน
รู้มั๊ยว่าเฮียกลัวคนอื่นจะทำให้เราเปลี่ยนใจ
รู้มั๊ยว่าเฮียอยากมาหาเรา คิดถึงเราจนใจจะขาด
เฮียอยู่ด้วยความหวัง อยู่ด้วยความทรงจำที่มีร่วมกัน”
ผมกอดเฮียแน่นขึ้น
ร้องไห้จนน้ำตาเปียกเสื้อเฮียตรงหน้าอก ตรงกับตำแหน่งของหัวใจ
ร้องไห้ให้กับความงี่เง่าของตัวเอง
ร้องไห้ให้กับความอวดดี
ร้องไห้ให้กับความอวดเก่ง
ร้องไห้ให้กับความอดทนของเฮีย
“คนอื่นไม่มีความหมายแม้แต่นิด ไม่ว่าจะกี่ฝ้าย จะกี่นีน่า
ก็ไม่ทำให้เฮียเลิกรักเราได้”
“.....อึก อึก”
เฮียดันตัวผมออกเล็กน้อย
จูบซับน้ำตา จูบแผ่วเบาไปทั่วหน้า
หน้าผาก เปลือกตา จมูก แก้มสองข้าง คาง
แล้ววกกับมาที่ริมฝีปาก
จูบอ่อนหวาน นุ่มนวล
ไม่เร่าร้อน ไม่รุกล้ำ
“ถ้าเราเหนื่อยนัก ก็ถอยกันคนละก้าว”
“ไม่เอา ไม่เอานะ ผมไม่เลิกกับเฮียนะ”
ครั้นพอเขายอมตามที่ขอ กลับไม่ต้องการ
ดูเอาเถอะ การเอาแต่ใจ ประชดประชัน
เล่นตัว อยากให้งอนง้อ
กลับทำให้สถานการณ์ย่ำแย่
“ไม่หรอกครับ เราจะไม่เลิกกัน”
“แล้วทำไมต้องถอย”
กล้าถามนะคนเรา
ผมกับเฮียตกลงถอยห่างออกจากกันคนละก้าว
ผลจากความปากพล่อยของผม
ครั้นจะแข็งขืนก็ออกจะน่าอาย
“ห่างกันไปเราต้องตั้งใจเรียนนะครับ
เฮียก็จะตั้งใจเรียนเหมือนกัน ไม่มองใคร
เชื่อใจกันนะครับ”
“แล้วจะโทรฯหาได้มั๊ยอะ”
ต่อรองกลัวความสัมพันธ์ขาดหาย
ทั้งๆที่เมื่อนาทีที่แล้วเป็นคนเสนอ
“ฟอด ฟอด ได้สิครับ”
“แล้วถ้าเฮียไม่ว่างหล่ะ”
“เอาแบบนี้แล้วกัน มีเวลาว่างปุ๊บ เฮียจะโทรฯหาเราปั๊บ ดีมั๊ย”
“จริงนะ ว่างเมื่อไหร่ต้องโทรฯมาหาผมทันทีเลยนะ”
“รับรองครับ”
หลังจากนั้น ผมกลับมาตั้งใจเรียน
เฮียค่อนข้างจะเรียนหนัก เวลาว่างไม่แน่นอน
แรกๆก็โทรฯมาเกือบทุกวัน
แต่ละครั้งน้ำเสียงฟังแล้วก็ให้เห็นใจ
อดหลับอดนอนตั้งแต่ตอนเรียนเลยอาชีพนี้
พอเฮียขึ้นปี5 ผมขึ้นปี2
ชีวิตรักของเราก็ลุ่มๆดอนๆ ประคับประคองกันไป
ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆ งอนง้อกันไปตามเรื่อง(ที่ผมก่อขึ้นเอง)
ผ่านพ้นมาได้ โดยที่เฮียพยายามหาเวลามาเจอผมอย่างน้อยเดือนละ2-3ครั้ง
ซึ่งไม่ลำบากมากเพราะผมเรียนอยู่ที่กทม.
จนเมื่อ
เฮียขึ้นปี6 ปีสุดท้ายของการเรียน(มาราธอน)
เวลานั้นผมขึ้นปี3แล้วครับ
เฮียต้องออกฝึกต่างจังหวัดเป็นระยะสั้นๆ2-3สัปดาห์
การโทรฯหาผมลดความถี่ลง
เจอกันเดือนละครั้ง
ที่หนักที่สุดคือการไปฝึกปฎิบัติกับคนไข้จริงๆที่จังหวัดใหญ่ทางภาคอีสาน
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการทำงานในวิชาชีพ
วิชาชีพที่จะได้ช่วยชีวิตคนเจ็บไข้ได้ป่วย
หากเปรียบกับการเรียนของวิชาชีพอื่นก็คงเหมือนการฝึกงาน
แต่การฝึกครั้งนี้นานถึง6เดือน
ความรับผิดชอบที่เฮียมี ความรักในการเป็นนศ.แพทย์ปีสุดท้าย
ทำให้เฮียทุ่มเทกับการออกชุมชนครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ส่วนผมตั้งใจเรียนอย่างหนัก คาดว่าคงได้รับปริญญา ภายใน4ปี
เราวาดความฝันไว้ร่วมกัน
เมื่อเฮียเรียนจบ
ผมก็ขึ้นปี4
เราจะหาทางให้ได้อยู่ร่วมกัน
ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน
แก้ปัญหาไปทีละเรื่องตามแต่ที่พัดผ่านเข้ามา
การเลิกกันสำหรับวันนั้น
จบลงด้วยการถอยกันคนละก้าว
แต่...เป็นแค่ลมปากครับ
ต่างคนต่างทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่พูดถึง
เจอกันทีไรก็...ฟิชเชอริ่ง กันทุกที อิอิ
แต่.....
ถ้าเรื่องราวราบรื่น
ครองคู่อยู่ด้วยกัน
ตราบจนวันสุดท้าย
มันจะง่ายเกินไป
บทพิสูจน์
ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
ดังที่เขาตราหน้ากันไว้ว่า
3วันจากนารีเป็นอื่น
แล้ว6เดือนที่จากกัน
เหตุการณ์จะพลิกผัน
ไปในทางใด
ใครอยากรู้
รอดูกันต่อไปครับผม

ชี้แจงสถานการณ์ครับ
ช่วงเฮียปี4
เราเลิกกันโดยยังอาลัยอาวรณ์จึงลดลงเป็นถอยคนละก้าว
ช่วงเฮียปี5
ติดต่อกันแต่ค่อนข้างห่าง
ช่วงเฮียปี6
เทอมแรกฝึกงานระยะสั้น พอจะได้เจอบ้าง
เทอม2 ฝึกงาน6เดือน ช่องห่างขยายตัวมากขึ้น
การติดต่อขาดช่วง...มีเหตุ..หาอ่านได้ในตอนต่อไป
จนทำให้มีคนเข้ามาแทรกกลางระหว่างเรา

ตอนหน้าเฮียไปฝึกงานต่างจังหวัด(ออกชุมชน)
ผมเรียนทางไกล อยู่บ้านบ้างไปเรียนบ้าง
เฮียสามปรากฏตัว
มัวเมาลุ่มหลง...อีกแย้ว
คนนี้แซ่บไม่น้อยหน้าใคร
ไปไกลถึงต่างประเทศ...อ๊ากกกกกกกกก
ชีวิตรักในนิยายใกล้จบแล้วนะครับ
แต่ชีวิตรักในความเป็นจริง
ยังดำเนินต่อไป
ยังสดใส ซาบซ่า(น)
รักเรา...ไม่เก่าเลย อิอิ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ครับผม
ใครยังไม่พบรักแท้...ขอให้ได้เจอะเจอในเร็ววัน
ใครที่มีรักแท้...ขอให้ราบรื่น หนักแน่น
อย่าได้ งุ๊งิ๊ ง๊องแง๊ง เหมือนผมนะครับ
Bye bye ครับผม
