ตอนที่ 22 ธันว์“ชอบมั้ยครับ” ผมตอบคำถามนี้แบบไม่ต้องคิดเลยว่าชอบและชอบมากด้วย พร้อมแถมรอยยิ้มหวานๆให้คนถามเป็นการยืนยันคำพูดด้วยซะเลย แต่ดูท่าคนถามจะเริ่มเล่นลิ้นอาศัยความเจ้าเล่ห์ส่วนตัวกับผมเข้าแล้ว
“ขอบคุณที่ชอบเฮียนะครับ ฮึๆ” ผมถลึงตาเข้าใส่คนเจ้าเล่ห์ทันที แต่พอคิดอะไรดีๆได้ จึงเปลี่ยนมาส่งยิ้มหวานๆให้อาเฮียเหมือนเดิม
เฮียหลี่ผิงเองแปลกใจถึงขั้นเลิกคิ้วเข้าใส่เชียวล่ะ แต่คุณแฟนรูปหล่อคงได้แปลกใจกว่านี้ ถ้าได้ฟังคำพูดต่อไปนี้จากผม
“ใครบอกว่าธันว์ชอบเฮีย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆพร้อมยักคิ้วใส่
ปฏิกิริยาของเฮียหลี่ผิงที่มีต่อคำพูดและท่าทางของผมคือ การหุบยิ้มทันตาและจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ก่อนอาเฮียจะเอ่ยเสียงเข้มๆคาดคั้นเอาคำตอบจากผม
“ถ้าธันว์ไม่ชอบเฮีย แล้วชอบใคร!”
‘อูยยยย หน้าอย่างโหดอ่ะ’ ขืนผมเล่นตัวอมพะนำไม่รีบพูดให้เคลียร์ มีหวังร้านอาหารแห่งนี้คงพังไม่เหลือซาก
“ธันว์ไม่ได้แค่ชอบเฮียสักหน่อย แต่ ‘ร้ากกก’ เฮียหลี่ผิงเลยต่างหากล่ะ” ผมแทบจะถอนใจดังๆอย่างโล่งอก
เมื่อท่านมาเฟียใหญ่คลายหัวคิ้วลง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวก็อ่อนแสง ก่อนแปรเปลี่ยนมาเจือความอ่อนหวานให้ได้ชุ่มชื่นใจ พร้อมมุมปากสวยที่ยกยิ้มแสดงออกถึงความพอใจ
“ฮึๆ ร้ายนะเรา น้องธันว์รู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำตัวน่ารักน่าฟัดอยู่”
ผมเสหลบแววตาระยับสื่อความนัย เพื่อก้มมองจานอาหารตรงหน้า ก่อนรีบเปลี่ยนประเด็นร้อนใกล้ตัว ด้วยการจิ้มเนื้อปลาแซลมอนในจานตัวเอง และยื่นมันไปจ่อริมฝีปากสีสดที่ช่างสรรหาถ้อยคำมาให้ผมได้อาย จนแก้มร้อนผ่าวอยู่แบบนี้
“อ่ะ อร่อยนะครับ เฮียหลี่ผิงลองชิมสิ” ผมพยักหน้าเชิญชวนให้เฮียหลี่ผิงได้ลองชิม แม้ดวงตากรุ้มกริ่มคู่ตรงหน้าจะบ่งบอกชัดว่าเจ้าของมันรู้ทันผมเข้าแล้วก็ตาม
สำหรับมาเฟียใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ ไม่มีซะล่ะที่จะยอมทำตามคำขอผมง่ายๆ เพราะเค้าต้องมีลวดลายด้วยการยื่นมือมากุมทับมือผมที่ถือส้อมค้างไว้ ก่อนอ้าปากรับเนื้อปลาแซลมอนเข้าปาก จนผมอดไม่ได้ที่จะย่นจมูกยื่นปากเข้าใส่ แถมพอจะดึงมือคืนก็กลับโดนยึดไว้ ทำให้ผมต้องขู่ด้วยการเรียกชื่อท่านมาเฟียใหญ่ออกไปนั่นแหละ ถึงจะยอมปล่อยมือ แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะทุ้มหูตามมาให้ผมนึกหมั่นไส้ ในความเจ้าเล่ห์ของเฮียหลี่ผิงอีกจนได้
เอาเถอะครับปล่อยให้มาเฟียใหญ่เค้าได้มีความสุขบนความเขินอายของผมต่อไป เพราะแลกกับดินเนอร์สุดหรูมื้อนี้ ภายใต้ร้านอาหารชื่อดังถือว่าคุ้มแสนคุ้ม
ผมที่กำลังมีความสุขและเพลิดเพลิน ไปกับอาหารรสเลิศและการเอาใจใส่ของคนรัก ภายใต้ผืนฟ้าดำสนิทไร้ดาว แต่กลับมีแสงไฟระยิบระยับ สร้างบรรยากาศโรแมนติกได้ดีไม่แพ้แสงดาวอยู่นั้น กลับรู้สึกถึงความอึมครึมที่เกิดขึ้นฉับพลัน ทำให้ต้องเบือนหน้าจากยอดตึกที่ประดับไฟนับพันกลับมาที่ผู้ร่วมโต๊ะ จึงได้พบกับสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ด้วยใบหน้าของเฮียหลี่ผิงนั้นเคร่งจัด และจ้องเขม็งไปยังทิศทางด้านหลังของผม
เมื่อผมเอี้ยวตัวมองตามสายตาของอาเฮีย จึงได้พบกับผู้ชายที่มีใบหน้าคุ้นตากำลังมองมาทางโต๊ะของเรา แบบไม่ละสายตาเลยทีเดียว พอผมสังเกตดีๆจึงได้รู้ว่าที่คุ้นตาผู้ชายโต๊ะนั้น เป็นเพราะเคยเห็นหน้าเขามาก่อน
หากผมจำไม่ผิด ผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่ผมและเฮียหลี่ผิงเจอเมื่อวานนี้ในห้างสรรพสินค้า ที่ผมไปหาซื้อของขวัญให้ไอ้นลิน และเป็นผมที่เดินถอยหลังไปชนเขานั่นไง ใช่จริงๆด้วย หน้าขาวๆคิ้วเข้มๆออร่านักร้องดังเปล่งประกายซะขนาดนั้น คงเป็นโชคชะตาแล้วล่ะมั้งที่ทำให้เราได้เจอกันอีกครั้ง
จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับผู้ชายคนนั้นก็ไม่รู้สิครับ แต่ดูท่าจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า เพราะเฮียหลี่ผิงเริ่มทำท่าฮึดฮัดเหมือนจะเข้าไปเอาเรื่องแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็ยังกล้าสบตาไม่มีหลบอีกแน่ะ แต่พอรู้สึกตัวว่าผมมองอยู่ เขาดันหันหน้ามาจ้องผมแทนซะได้
“น้องธันว์!! หันมาทางนี้” ผมสะดุ้งสุดตัวกับเสียงแข็งๆที่ดังขึ้น ก่อนปลายนิ้วอุ่นๆจะเชยคางให้ผมเบือนหน้ากลับมาทางเจ้าของเสียง
ผมแทบตกเก้าอี้ เมื่อเจอเข้ากับหน้าดุๆตาแข็งๆของเฮียหลี่ผิงเข้าอย่างจัง แต่จากประสบการณ์เมื่อช่วงเย็นคงช่วยเตือนความจำของเฮียหลี่ผิงได้ เพราะผู้ชายหน้าดุของผมรีบคลายหัวคิ้วลงทันที ก่อนเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่ฟังนุ่มหูและคว้ามือผมไปกุมไว้ พร้อมเอ่ยขอโทษออกมา
“เฮียขอโทษครับที่เสียงดัง แต่น้องธันว์อย่าไปมองมันสิ มองมาที่เฮียคนเดียวก็พอ เฮียหล่อกว่ามันตั้งเยอะ” ผมถอนใจเบาๆและบรรจงระบายยิ้มอ้อนๆให้คนขี้หึงได้สบายใจ แต่อดจะหมั่นไส้นิดๆไม่ได้ คนอะไรมั่นใจในตัวเองชะมัด
“ธันว์ก็แค่มอง ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นว่าเฮียเงียบไป แค่อยากรู้ว่ามองอะไรก็เท่านั้น เฮียหลี่ผิงอย่าไปสนใจคนอื่นเลย เราทานของเราเถอะครับ” ผมวางมือทับบนหลังมือหนาก่อนพูดในสิ่งที่คิด และชักชวนให้เฮียหลี่ผิงได้สนใจอาหารตรงหน้าแทน แต่อดที่จะรู้สึกกร่อยนิดๆไม่ได้ บรรยากาศกำลังดีแท้ๆเชียว
เฮียหลี่ผิงคงอ่านใจผมออก จึงส่งยิ้มน้อยๆด้วยแววตาสำนึกผิดมาให้ ก่อนเรียกบริกรเพื่อขอเมนูของหวานมาให้ผมเลือก ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา เมื่อเจอเมนูน่าทานหลายอย่าง ผู้ชายร่าเริงอารมณ์ดีเป็นนิจอย่างผม จึงลืมความขุ่นใจเล็กๆจนหมด และหันมาเจื้อยแจ้วชักชวนคนรูปหล่อของตัวเองเลือกของหวานแทน เลิกสนใจใครคนอื่นที่ไม่ใช่ ‘เรา’ ไปจนหมด
เฮียหลี่ผิงเองก็กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเมื่อแรกที่เรามาถึงร้าน แต่มีบางแวบที่ผมแอบเห็นว่าอาเฮียชำเลืองมองไปที่โต๊ะข้างหลัง และทำหน้านิ่งมีขมวดคิ้วบางจังหวะ แต่เมื่อรู้ว่าผมมองอยู่ อาเฮียก็รีบหันกลับมาระบายยิ้มอย่างหล่อให้ผมได้ใจเต้น ทำให้ผมเลือนๆสิ่งที่ผิดปกตินั้นไป
จนกระทั่งของหวานหมดจาน ผมจึงแอบมองเฮียหลี่ผิงที่นั่งจิบไวน์อยู่ตรงหน้า และภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆในอกผมก็เต้นไม่เป็นส่ำ พาให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างจนผิวแก้มร้อนฉ่า ส่วนภาพแบบไหนที่ทำให้ผมมีปฏิกิริยาดังกล่าวน่ะเหรอครับ
ภาพที่ว่านั้นคือภาพของเฮียหลี่ผิงที่นั่งไขว่ห้างแผ่นหลังพิงพนัก และผินหน้าเหม่อมองออกไปยังแสงไฟที่ยอดตึกด้านนอก ในมือถือแก้วไวน์แกว่งเบาๆด้วยท่วงท่าสบายๆนี่ไง ผมไม่รู้ว่าเฮียหลี่ผิงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทางปล่อยตัวสบายๆ ไม่เหลือมาดนายน้อยแห่งหวางหย่งกังผู้เย่อหยิ่งแบบนี้ ทำเอาผมไม่อาจละสายตาได้เลย
คุณจะต่อว่าว่าผมหลงแฟนรูปหล่อของตัวเองก็ว่าได้นะครับ ‘ผมยอมรับเหอะ!’ เพราะเฮียหลี่ผิงของผมออกจะหล่อครบสูตรขนาดนี้นี่หน่า
“เฮียหลี่ผิงคิดอะไรอยู่ครับ” แม้ว่าผมจะชอบท่วงท่าสบายๆตอนนี้ของอาเฮียมาก แต่ผมชอบที่จะให้ดวงตาคู่คมคู่นี้มองมาที่ผมมากกว่า ผมจึงตัดสินใจดึงความสนใจของเฮียหลี่ผิงมาไว้ที่ตัวเอง ด้วยคำพูดที่คุณได้ยินนั่นไงครับ
ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่าตัวเองเป็นเด็กเอาแต่ใจ และขี้หวงมากๆด้วย เพราะผมหวงแม้กระทั่งห้วงความคิดของคนที่ผมรัก ด้วยกลัวว่าเฮียหลี่ผิงจะคิดถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ในสถานการณ์ที่มีแค่ผมและอาเฮียอย่างตอนนี้ ถึงแม้ท่านมาเฟียใหญ่เค้าจะมีข้อเสีย ที่เป็นคนช่างเอาแต่ใจและขี้ใจร้อนมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ผมก็รักแฟนรูปหล่อของผมมากอยู่ดี
ในที่สุดดวงตาคู่คมของคนที่ผมรักก็จับจ้องมายังผม และในตาแวววาวคู่นั้นก็สะท้อนภาพใบหน้าประดับยิ้มของผมชัดตา ‘มันต้องแบบนี้สิ’ ในสายตาของเฮียหลี่ผิงต้องมีเพียงผมเท่านั้น และคำตอบของเฮียหลี่ผิงก็ยิ่งทำให้ผมเปิดยิ้มกว้างได้มากกว่าเดิม พาให้หัวใจที่เต้นถี่อยู่แล้วแทบกระเด็นออกมานอกอก
“เฮียกำลังคิดหาวิธีกักตัวน้องธันว์ไว้แต่ในบ้าน ไม่ให้ออกมาโชว์ความน่ารักให้คนภายนอกเห็นน่ะสิ” แม้คำตอบจะฟังดูเอาแต่ใจมากไปหน่อย และในความเป็นจริงจะเป็นไปได้ยากก็ตาม แต่ผมก็ดีใจมากเหอะที่ได้รู้ว่าช่วงที่สายตาอาเฮียไม่ได้มองมาที่ผม แต่ในความคิดของเฮียหลี่ผิงก็ยังมีผมอยู่ในนั้น
“ยิ้มอะไรหืม คิดว่าเฮียพูดเล่นเหรอเรา เฮียเอาจริงนะครับ เพราะถ้าน้องธันว์ยอมอยู่แต่ในบ้านของเรานะ ถ้าธันว์ขออะไรมาเฮียจะหามาให้หมดเลย เอามั้ย” ผมเชื่อนะว่าเฮียหลี่ผิงพูดจริง
ดูได้จากสายตาจริงจังนี่ก็รู้แล้วครับ ขืนผมพยักหน้ายอมรับนะ เชื่อเถอะว่าหลังจากนี้ นายธันว์ไม่มีทางออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกแน่
“ฮิๆ เรื่องอะไรอ่ะ ธันว์ไม่เอาหรอก เพราะยังไงซะ หากธันว์อยากได้อะไรขึ้นมาจริงๆ เฮียหลี่ผิงสุดหล่อของธันว์ก็หามาให้ได้อยู่แล้วนี่หน่า ไม่เห็นต้องแลกกับข้อเสนอนั้นเลยนี่ ใช่ม้า~” ผมคลี่ยิ้มเต็มหน้าพร้อมส่งสายตาล้อเลียนให้แฟนสุดหล่อทันทีหลังพูดจบประโยค
เฮียหลี่ผิงถึงกลับถอนใจเบาๆ ยามรู้ว่าผมไม่ตกหลุมพรางที่เจ้าตัวขุดล่อไว้ แต่สายตาที่มองมายังผมนั้น กลับทอประกายอ่อนโยนทำให้ผมยิ่งภูมิใจในตัวเอง ด้วยรู้ว่าผมนั้นเป็นที่รักและเป็นคนเพียงคนเดียวที่นายน้อยหวางหลี่ผิงยอมอ่อนข้อให้ ในแบบที่ไม่มีข้อแม้
“ฮึๆ ใช่ครับ ไม่ว่าน้องธันว์ต้องการอะไร เฮียหลี่ผิงคนนี้พร้อมจะหาให้ทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าน้องธันว์จะเห็นใจและให้ตามที่เฮีย ‘ขอ’ ได้บ้างรึเปล่าน่ะสิ” ผมยิ้มค้างทันทีกับประโยคที่มีความนัยแอบแฝงนี้
บวกกับสายตาระยิบระยับตอกย้ำถึงสิ่งที่ผมคิดว่าเฮียหลี่ผิงจะ ‘ขอ’ จากผมเข้าไปอีก ทำให้ยิ่งมั่นใจเลยว่าเฮียหลี่ผิงต้องการอะไร
“เฮียหลี่ผิงเจ้าเล่ห์!” ผมลืมตัวและต่อว่าเฮียหลี่ผิงออกไปไม่เบานัก ก่อนจะรีบปิดปากตัวเองไว้ และเหลือบมองบรรดาแขกคนอื่นของร้านไปด้วย แต่มันคงไม่ทันแล้ว เพราะเกือบทุกสายตาในร้านมองมายังผมเป็นตาเดียว เล่นเอาผมหน้าร้อนอายแทบแทรกแผ่นดิน
แม้สายตาของหลายๆคนในร้านจะอ่านออกได้ว่าขบขันผมเป็นส่วนใหญ่ ที่ทำตัวโวยวายทำลายบรรยากาศโรแมนติกซะหมด แต่มีสายตาเพียงคู่เดียวที่แฝงแววเครียดขึง ออกแนวตำหนิก็ไม่ใช่จะต่อว่าก็ไม่เชิง ผมบอกไม่ถูกแต่มันติดตาผมเชียวล่ะ ซึ่งเจ้าของสายตาคู่นั้นคือผู้ชายที่นั่งโต๊ะด้านหลังผมนี่เอง
ผมหันกลับมามองคนที่นั่งร่วมโต๊ะทันที หลังจากได้ยินชื่อของตัวเองหลุดออกมา ซึ่งสีหน้าแววตาของผมตอนนี้เป็นอย่างไรนั้นผมไม่รู้หรอก แต่สีหน้าตกใจพร้อมน้ำเสียงตื่นๆของเฮียหลี่ผิงที่ผมได้ยินในเวลาต่อมา ทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติให้มากที่สุด ก่อนเอ่ยปากบอกให้เฮียหลี่ผิงได้สบายใจ
“ธันว์ไม่เป็นอะไรครับ เฮียหลี่ผิง เรากลับกันเถอะ ธันว์อายอ่ะ” ไม่ต้องรอให้ผมบอกซ้ำครับ เพราะเฮียหลี่ผิงเรียกบริกรมาเคลียร์ค่าอาหารทันที
แม้บนหน้าหล่อๆของอาเฮียยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆให้ผมได้อายไปมากกว่าเดิม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฮียหลี่ผิงก็เดินมาเลื่อนเก้าอี้ออกให้ ก่อนโอบเอวพาผมออกจากร้าน และมีคำพูดปลอบใจให้ได้หลุดยิ้มออกมาจนได้
“น้องธันว์ไม่ได้อายคนเดียวนะครับ แต่มีเฮียอายเป็นเพื่อนนะรู้มั้ย เพราะชื่อที่น้องธันว์เผลอตะโกนต่อว่าออกมาน่ะ มันชื่อเฮีย จริงๆเฮียต้องอายมากกว่าด้วยซ้ำนะ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว ยิ้มสิคนเก่ง เราพวกเดียวกันนะ” เชื่อคนช่างเอาใจเค้าเลย
ไม่อยากจะเชื่อว่าเฮียหลี่ผิงจะพูดออกมาได้ เพียงเพราะต้องการให้ผมสบายใจ อาเฮียถึงขั้นเอาตัวเองเข้ามาเป็นพวกเดียวกับผมเชียว คนที่กำลังอายที่ไหนเค้าเดินผึ่งผายหน้าชื่นตาบานแบบนี้กัน เชื่อเค้าเลย แต่ผมก็ชอบนะ ‘ไม่สิ! รักเลยล่ะ’ ผมรักเฮียหลี่ผิงที่เอาใจใส่ผมในทุกสถานการณ์คนนี้นักเชียว
ระหว่างทางที่เดินไปยังทางออก เราต้องผ่านโต๊ะของนักร้องบอยแบนด์คนนั้น คนที่มีแววตาประหลาดติดตาผมอยู่ขณะนี้ ผมจึงเหลือบตามองเขาและพบว่าสีหน้าแววตาผู้ชายคนนั้น กลับแตกต่างจากที่ผมเห็นเมื่อครู่นัก ด้วยใบหน้ากระจ่างที่กำลังยกยิ้มส่งสายตาเป็นมิตรมาให้ ทำเอาผมเผลอขมวดคิ้วใส่เขาอย่างไม่รู้ตัว และเริ่มสงสัยว่าตัวตนของเขานั้นเป็นคนยังไงกันแน่ แต่คนที่โอบเอวผมอยู่กลับรั้งตัวและเร่งผมให้ออกเดิน ผมจึงไม่มีเวลามาใส่ใจในท่าทางที่ประหลาดของผู้ชายคนนั้น แม้ลึกๆผมจะติดใจแต่ผมก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ ด้วยคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
“มีเรื่องอะไร” เสียงของเฮียหลี่ผิงดังขึ้นเมื่อเราก้าวไปถึงตัวรถ
ผมจึงหันไปมองพี่เป๋าคนสนิทของเฮียหลี่ผิงทันที และสังเกตเห็นว่าพี่เป๋ามีสีหน้าเครียดขรึมกว่าในยามปกตินัก ผมเริ่มใจไม่ดีและเดาว่าคงเกิดเรื่องอะไรไม่ดีสักอย่างขึ้นในแก๊งแล้วอย่างแน่นอน
“โรงแรมใหม่ที่กงอินโดนลอบวางเพลิงครับ” ผมเงยหน้ามองเฮียหลี่ผิงอย่างตกใจ และขยับตัวไปชิดร่างแกร่งอย่างไม่รู้ตัว
ผมคิดไปต่างๆนานาถึงความเสียหายที่เกิดจากเพลิงใหม่ และอดเป็นห่วงความรู้สึกของเฮียหลี่ผิงไม่ได้จริงๆ ด้วยรู้ว่าโรงแรมที่กงอินนั้นเป็นความภาคภูมิใจของเฮียหลี่ผิงมากมายขนาดไหน
เฮียหลี่ผิงก้มมองผมด้วยสายตาเคร่งเครียดแฝงแววกังวลอย่างที่ผมนึกกลัว แต่ก็ยังมีแก่ใจส่งยิ้มละมุนมาปลอบใจกัน พร้อมขยับฝ่ามือข้างที่โอบเอวผมไว้และลูบเบาๆให้ผมได้คลายกังวล ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาพี่เป๋าและถามถึงความเสียหาย ซึ่งพี่เป๋าก็ยังไม่รู้ระดับของความเสียหาย เพราะทางกงอินกำลังเร่งดับไฟอยู่ จึงยังไม่สามารถประเมินความเสียหายให้ได้
ส่วนปาปามามายังไม่ทราบเรื่อง และเฮียหลี่ผิงก็กำชับพี่เป๋าว่ายังไม่ต้องแจ้งท่านทั้งสอง เพราะอาเฮียจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ด้วยถือว่าโรงแรมนี้เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ก่อนเฮียหลี่ผิงที่ยืนอยู่จะนิ่งไปนาน จนผมเริ่มใจไม่ดี จึงสวมกอดร่างคนรักซะเต็มอ้อมแขน พร้อมส่งยิ้มหวานๆไปเป็นกำลังใจให้เฮียหลี่ผิงได้คลายกังวล
“อาเป๋าเรียกรถที่บ้านออกมา อาอู๋พาคุณธันว์กลับคฤหาสน์” ผมปฏิเสธทันทีที่ได้รู้ว่าตัวเองจะถูกส่งกลับบ้าน
“น้องธันว์ครับ กลับบ้านก่อนนะ กลับไปรอเฮียที่บ้าน ไม่ใช่ว่าเฮียไม่รู้ว่าน้องธันว์เป็นห่วงและอยากไปด้วย แต่ตอนนี้ที่กงอินมันอันตรายเกินกว่าที่เฮียจะพาน้องธันว์ไป เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของพวกไหน ถ้าเฮียพาน้องธันว์ไปและหากน้องธันว์เป็นอะไรขึ้นมา เฮียคงเสียใจมาก เชื่อเฮียนะครับคนเก่ง”
ผมที่แต่แรกจ้องตาเฮียหลี่ผิงอย่างดื้อดึง กลับยอมเปลี่ยนท่าทีโอนอ่อนไปตามการขอร้องของเฮียหลี่ผิง แต่ใจที่กังวลก็อดที่จะเป็นห่วงคนรักไม่ได้อยู่ดี เพราะเฮียหลี่ผิงก็พูดเองแท้ๆว่าที่นั่นมันอันตราย
“ธันว์กลับไปรอที่บ้านก็ได้ แต่เฮียหลี่ผิงต้องระวังตัวเองให้ดีนะ ถ้าบาดเจ็บกลับไปแม้แต่นิดล่ะก็ ธันว์จะโกรธ เพราะถือว่าเฮียไม่ดูแลเจ้าของหัวใจของคนที่ธันว์รักให้ดี” ผมไม่ได้ต้องการหวานใส่เฮียหลี่ผิงในสถานการณ์คับขันแบบนี้นะ
เพียงแต่ผมอยากจะย้ำเตือนให้เฮียหลี่ผิงได้ระวังตัวเองให้ดี และคิดไว้เสมอว่ายังมีผมรออยู่ หากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นที่กงอิน และอาเฮียต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะได้มีสติคิดให้รอบครอบ
“ฮึๆ ครับที่รัก เฮียจะดูแลตัวเองให้ดี ให้สมกับเป็นคนที่น้องธันว์รัก...รักนะครับ” ผมพยักหน้าแรงๆและกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น พร้อมฝังหน้าเข้าหาอกแกร่ง ซึมซับคำบอกรักอย่างเต็มหัวใจ ก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดเพื่อส่งยิ้มหวานๆเป็นกำลังใจให้เฮียหลี่ผิงอีกสักที
อยู่ๆประโยคหนึ่งที่ติดปากไอ้นลินก็ลอยขึ้นมาในหัว เพราะเป็นประโยคที่มันชอบใช้แซวผมบ่อยๆ ‘เป็นเมียมาเฟียต้องอดทน’ หากเป็นเวลาปกติที่ผมได้ยินประโยคนี้ ผมจะมีความรู้สึกคือทั้งโกรธทั้งเขิน จนทำตัวไม่ถูกเชียวล่ะ
แต่ในยามนี้ผมกลับใช้มันย้ำเตือนตัวเอง ด้วยเห็นจริงอย่างที่สุด ว่าผมต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ในการควบคุมอารมณ์ไม่ให้ว้าวุ่น ทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนที่พูดจาไม่รู้เรื่องในสายตาของเฮียหลี่ผิง และกลายเป็นตัวถ่วงในสายตาคนอื่น เพราะใจจริงนั้นผมอยากตามติดคนที่ผมรักไปทุกที่ ยิ่งรู้ว่าสถานที่ที่เฮียหลี่ผิงต้องไปมันเสี่ยงอันตรายด้วยแล้ว ผมยิ่งอยากตามไปให้เห็นกับตาว่าอาเฮียรูปหล่อของผมนั้นปลอดภัย แต่สิ่งที่ผมทำจริงๆคือ การส่งยิ้มหวานๆเป็นกำลังใจพร้อมโบกมือให้เฮียหลี่ผิงที่ยืนส่งผมอยู่นอกรถ
คุณช่วยผมภาวนาต่อสิ่งศักดิ์ด้วยกันเถอะครับ ขอให้คนที่ผมรักปลอดภัย เพื่อให้เฮียหลี่ผิงได้กลับมาดูแลและอยู่เคียงข้างผมเหมือนที่ผ่านมา
............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ตอนนี้ช่างหลากหลายอารมณ์เนอะว่ามั้ย!?
ไหนจะนักร้องบอยแบนด์ที่ยังไม่รู้เจตนาแน่ชัด
ไหนจะเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้นในกงอิน ที่ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
แต่ที่แน่ๆที่เห็นชัด คือ เฮียหลี่ผิงกับน้องธันว์ เค้า ‘ร้ากกก’ กันเว่อร์
และหวานใส่กันจนใครต่อใครต้องอิจฉา
ตอนหน้าก็ยังคงคอนเซปเดิม เพราะมันว้านหวาน!!
แม้ยังมีเรื่องวุ่นๆให้ต้องติดตามก็เถอะ
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
เจอกันวันสีชมพูนะค้า ~ ~
