ตอนที่ 7 # คุณฉกาจ ตอนนี้ผมเป็นคนตกงานโดยสมบูรณ์แบบครับ บริษัทไม่ได้ไล่ผมออกหรอก แต่ผมละอายเกินกว่าที่จะกลับไปทำงานได้ ในเมื่อสาเหตุทั้งหมดมันมาจากตัวผมเอง... ผมจึงตัดสินใจยื่นจดหมายลาออก พร้อมกับแนบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งติดไปด้วย แม้ว่ามันอาจจะดูเป็นเงินจำนวนน้อยนิดสำหรับบริษัท แต่สำหรับผม เงินจำนวนนั้น มันสามารถทำให้ตัวเองพอกินพอใช้ได้จนถึงปีหน้าเลยทีเดียว...
อันที่จริงจะว่ายื่นจดหมายลาออกก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าทิ้งไว้ดีกว่า...ผมวางมันไว้บนโต๊ะทำงานของผมนั่นแหล่ะ ถึงแม้ว่าการลาออกที่สมบูรณ์ต้องได้รับลายเซ็นอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก็ตาม แต่ผมคงไม่รอ และคงจะไม่กลับไปทำงานที่นั่นอีกแล้ว...
ผมกลับมาที่ห้อง เฝ้ารอให้คุณยามของผมกลับมา ผมเชื่อว่ามันต้องมีคำอธิบายดีๆให้กับผมแน่ แต่ดูเหมือนผมจะหวังมากเกินไป เพราะเวลาล่วงเลยมาสามวันแล้ว...ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ามันจะกลับมา ผมร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มที สามวันมานี้ ผมอยู่แต่ในห้อง ไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำเปล่า แม้แต่อาหารมื้อสุดท้ายที่มันทิ้งไว้ให้ ผมก็ยังไม่ได้แตะ ผมกินอะไรไม่ลง และไม่อยากขยับตัวไปไหน ผมกลัว...กลัวว่าถ้าออกจากห้องไป หากมันกลับเข้ามาเราอาจจะคลาดกัน... เลยได้แต่เฝ้ารอ...รอจนไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่
แกร๊ก... ผมหันขวับ มองไปทางประตูที่เกิดเสียง ความหวังถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในหัวใจที่มืดมนของผม แต่ก็ต้องดับวูบลงเมื่อคนที่ปรากฏตัว... ไม่ใช่คนที่ผมรอคอย
“อะ...เอ่อ คุณขา ขอโทษค่ะป้าไม่ทราบว่าคุณอยู่” คุณป้าคนนั้นชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผม และกำลังจะปิดประตูออกไป
“เดี๋ยว...ครับ...” ผมเค้นเสียงที่แหบแห้งออกมาจากลำคอ พยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้นเดินไปหาคนที่หันรีหันขวางอยู่ทางประตู แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีเอาเสียเลย
“
ว้าย! ตายแล้ว คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ” คุณป้าร้องออกมาอย่างตกใจ รีบเข้ามาพยุงตัวผมที่เดินไปไม่กี่ก้าวแล้วล้มลง
“ป้าอย่าเพิ่งไปนะ อยู่กับผมก่อน...” ผมบอก
“โถ...คุณ หน้าตาทำไมซีดเซียวอย่างนี้ ทานอะไรบ้างรึยัง เดี๋ยวป้าทำให้ทานนะคะ” คุณป้าถามพลางเอามือลูบหน้าลูบตาผม ผมเลยยิ้มให้แกน้อยๆ...ไม่เป็นไร ถึงไม่ใช่มัน แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ดีกว่าปล่อยให้ผมนอนตายแบบไม่มีใครรู้
คุณป้าคนนั้นชะงักกับอาหารที่เน่าเสียอยู่บนโต๊ะนั่นเล็กน้อย ก่อนจะเก็บกวาดลงถังขยะ สักพักแกก็ค้นดูอะไรๆในตู้เย็น เพื่อจะนำไปประกอบอาหารอย่างง่ายๆ เสร็จแล้วคุณป้าก็ถือถาดอาหารที่ส่งกลิ่นหอมฉุย เดินมายังผม ที่นั่งพิงหัวเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ทานหน่อยนะคะ” บอกพร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม เมื่อเห็นว่าผมหยิบช้อนได้ แกก็บอกว่า เดี๋ยวจะเก็บกวาดห้อง ถ้ามีอะไรก็เรียกหาแกได้ทันที
แกบอกว่าแกชื่อป้าเรือง มาเก็บกวาดที่นี่อาทิตย์ละครั้ง และส่วนใหญ่จะมาตอนบ่ายๆแบบนี้...มิน่า ผมถึงไม่เคยเห็นป้าเลย ผมคิดในใจแล้วมองป้าแกเก็บกวาดไปเรื่อย บางทีป้าเรืองก็จะชวนผมคุย ผมที่มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาหน่อยจากการทานอาหารก็คุยตอบโต้กับป้าเรืองไปบ้าง
“ใครจ้างคุณป้ามาทำความสะอาดครับ” ผมถาม
“คุณหนูนะค่ะ...อะ...เอ่อ ป้าหมายถึงคุณฉกาจ” แกตอบพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
“ถ้าอย่างนั้น ป้ารู้ใช่ไหมครับว่าเขาอยู่ไหน”
“เอ่อ..คือป้า...” เห็นป้าแกอึกอักผมก็พอจะรู้แล้วล่ะครับว่าอะไรเป็นอะไร...
“ไม่เป็นไรครับ หากลำบากใจที่จะพูดก็ไม่เป็นไร...” ผมบอกเสียงแผ่ว
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน อันที่จริงหากไปที่บริษัทของมันก็คงจะเจอกันได้ง่ายๆ เพียงแต่ผม...ยังไม่อยากยอมรับความจริงก็เท่านั้น ผมไม่อยากเจอมันในสภาพสวมสูท ผูกเนกไท... มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความโง่ของผม
ก่อนที่ป้าเรืองจะกลับ แกหันมาถามผมว่า อยากให้ป้ามาอยู่เป็นเพื่อนอีกไหม แกมาให้ได้นะ แกจะมาหาผมทุกวัน...ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้ สภาพของผมมันคงดูน่าสมเพชมากสินะ... ผมยกมือไหว้แล้วกล่าวขอบคุณก่อนที่ประตูจะปิดลง ผมกลับเข้ามาในโลกส่วนตัวของตัวเองอีกครั้ง โลกส่วนตัวของผม ที่เคยมีมัน...
เกือบอาทิตย์ที่ป้าเรืองมาหาผม ส่วนใหญ่จะมาเป็นเพื่อนคุย และหุงหาอาหารให้ พร้อมกับบังคับให้ผมกิน อย่างน้อยๆผมต้องกินให้ได้สองมื้อ ป้าแกถึงจะพอใจ ป้าเรืองบอก หากผมกินไม่ครบหรือกินอาหารที่แกทำไม่หมด แกก็จะไม่กลับบ้าน ผมละอยากจะกินเหลือซะจริงๆ อยากให้ป้าเรืองอยู่เป็นเพื่อนผม
และเป็นอีกเกือบอาทิตย์ที่ผมได้อยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผมคิดว่าการรออยู่เฉยๆแบบนี้มันเสียเวลา ผมไม่อยากรอมันอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะพูดคุยกับมันให้รู้เรื่อง ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมก็จะยอมรับมันให้ได้ ผมจึงบอกป้าเรืองว่าไม่ต้องมาหาผมแล้ว ผมแข็งแรงขึ้นเยอะแล้ว ป้าแกก็ลังเล ถามผมว่าแน่ใจเหรอ แต่ผมก็ยืนยันหนักแน่น จนป้าแกอ่อนใจกลับไปเอง...ผมว่าคนเราไม่ควรจะมาจมปลักอะไรนานขนาดนั้น
.
.
.
“อะ...เอ่อ ติดต่อคุณฉกาจครับ”
ผมพูดกับพนักงานต้อนรับประจำตึกตรงเคาน์เตอร์ด้านล่าง เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมยืนเก้กัง ทำตัวไม่ถูก เมื่อถูกจ้องไม่วางตา เธอยกหูโทรศัพท์โทรติดต่อใครสักคนบนนั้นก่อนจะบอกกับผมว่า
“ท่านประธานติดประชุมอยู่นะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะลงมาข้างล่าง เชิญคุณนั่งรอตรงนั้นก่อน” เธอบอกพร้อมกับผายมือไปตรงที่นั่งรับแขก
ผมได้แต่นึกขำในใจ ไม่ได้ขำเพราะตลก แต่ขำเพราะสมเพชตัวเอง เมื่อก่อนโทรเรียก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็จะรีบมา แต่เดี๋ยวนี้...ผมต้องเป็นฝ่ายรอเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะได้พบกับมัน แต่ก็นะ...มันเป็นท่านประธานแล้วนี่ ผมมันก็แค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา ผมเคยคิดนะว่าเราแตกต่างกันมาก แต่ไม่คิดว่าเราจะแตกต่างกันถึงขนาดนี้... มันเป็นท้องฟ้า อยู่ในที่สูง ใครก็เอื้อมไม่ถึง... ผมเป็นพื้นดิน ต่ำ...มีแต่สิ่งสกปรก ใครจะเหยียบย่ำก็ได้... และที่สำคัญ สองสิ่งนั้น มันไม่มีวันมาบรรจบกัน...
ผมสลัดความคิดอะไรที่มันน้ำเน่าออก ตอนนี้กังวลว่าถ้าเจอมันแล้วจะทักทายว่ายังไงดี
‘สวัสดีครับคุณยาม’ ทักแบบนี้โดน รปภ. ตึกนี้ลากไปทิ้งกลางถนนแน่กู ข้อหาตาถั่ว เสือกไปทักท่านประธานว่าคุณยาม
พยายามคิดเรื่องตลกเข้าไว้ จะได้ไม่ประหม่า แต่พอถึงเวลาที่คนๆนั้นลงมา มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด... ร่างสูงในชุดสูท เดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนกันสี่ห้าคน ผมไม่กล้าเรียกออกไป เลยยืนขึ้นหวังจะให้มันเห็นผม แล้วมันก็เห็นจริงๆ...
“นายครับ...” เสียงใครบางคนเรียกตอนที่มันกำลังย่างเท้ามาทางที่ผมยืนอยู่
“คุณไปรอที่รถก่อน ผมขอจัดการธุระสักครู่” มันโบกมือ พร้อมกับคนๆนั้นที่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
“
ไง... ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผม” มันเองที่เป็นฝ่ายปริปากทักก่อนเมื่อเห็นผมยืนทำอะไรไม่ถูก
“สะ...สบายดีเหรอครับ” ผมทักไปเสียงสั่น
“ก็...สบายดี
มาก เลยแหล่ะ” มันเน้นเสียงตรงคำว่ามาก น่าแปลกที่เสียงทุ้มๆของมันสามารถเสียดแทงหัวใจคนฟังอย่างผมได้ น้ำตาจะไหลอีกแล้ว...
“มีธุระแค่นี้ใช่ไหม” มันถามเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร กำลังจะหันหลังกลับ แต่ผมคว้ามือของมันเอาไว้ก่อน
“ทำไม...ถึงทำแบบนี้” ผมก้มหน้าถามเสียงแผ่ว คำพูดแต่ละคำถูกเค้นออกมาผ่านลำคออย่างลำบาก
“อะไรนะ” มันหันกลับมาหาผมเต็มตัว
“ทำไมถึงหลอกผม...อึก” น้ำเสียงผมเริ่มสะอื้น
“
หึ...ก็นึกว่ามีเรื่องอะไร เกิดคิดจริงจังอะไรขึ้นมาอีก ผมบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถ้าคุณจำไม่ได้ผมจะช่วยทวนให้...” ร่างสูงพูดพร้อมกับเขยิบเข้ามาชิดตัวผมก่อนจะกระซิบใส่หู
“ผมแค่อยากลอง
‘เอา’ เล่นๆ ไม่ได้คิดจริงจังอะไรด้วยเลย แล้วคุณก็เป็นฝ่ายเสนอตัวให้ผมเอง...หวังว่าคงจะไม่ได้มาเรียกร้องให้ผมรับผิดชอบอะไรหรอกนะครับ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นแค่การแสดง เพราะฉะนั้นเลิกคร่ำครวญได้แล้ว” มันตอบก่อนจะผละจากตัวผม
“อึก...คุณมันแย่ที่สุด”
“หึ...รู้เอาไว้ด้วยว่าตัวคุณเองก็แย่พอกัน คุณกับไอ้ ผอ.นั่น โกงกินกันไปเท่าไหร่แล้วล่ะ เห็นทำงานหามรุ่งหามค่ำ นึกว่าเป็นคนขยัน ที่ไหนได้ ก็แค่พวกหิวเงินอย่างที่ผมคิดไว้ไม่ผิด...ผมไม่ฟ้องร้องคุณข้อหาสมรู้ร่วมคิดก็ถือว่าปราณีมากพอแล้ว...นับตั้งแต่วันนี้ เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ผมไม่ใช่ยามหน้าโง่คนเดิมอีกแล้ว สถานะของพวกเรามันต่างกัน จำเอาไว้”
มือของผมที่รั้งมันไว้หมดแรงเอาดื้อๆกับประโยคที่ว่า
‘สถานะของพวกเรามันต่างกัน’… ผมไม่เคยรังเกียจมัน ที่มันเป็นยาม แต่ตอนนี้ มันคงรังเกียจพนักงานออฟฟิศอย่างผม...รังเกียจผม...ที่เป็นผม...
ผมได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลไม่รู้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อความเสียใจในครั้งนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงสุดท้ายของมันที่ทำให้ผมปวดร้าวไปทั้งหัวใจ
“ช่วยไม่ได้...มันเป็นเรื่องของธุรกิจ”
มาถึงขั้นนี้ ผมคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจาก... เลิก
' รัก ' มันเสียที...
.
.
.
ผมใช้เวลาเก็บของออกจากห้องพักของมันไม่นาน เพราะเลือกเอาแต่ของที่จำเป็นกลับไป กำลังจะออกจากห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นชุดยามที่แขวนเอาไว้...เลยตัดสินใจหยิบเอาชุดของมันติดไปด้วย มันเป็นประธานบริษัทแล้ว คงไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นขอผมเถอะนะ...ขอให้ผมได้เก็บความทรงจำดีๆเอาไว้...
กลับมาถึงห้องของผม ห้องที่ไม่ได้กลับมานาน เปิดประตูเข้าไปก็ต้องทำจมูกฟุดฟิด เพราะฝุ่นจับอุปกรณ์เครื่องใช้เขรอะไปหมด จะก้าวเท้าเข้าไป ก็เหมือนเหยียบอะไรบางอย่างที่อยู่หน้าประตู ก้มลงมองก็เห็นเศษกระดาษหลายแผ่น เขียนด้วยลายมืออุบาทว์ๆ
‘ไอ้นิด อยู่ที่ไหน ทำไมติดต่อไม่ได้’
‘ไอ้นิด กูมาหามึงหลายรอบแล้วนะ อย่าให้เจอตัวนะมึง กูจะต่อยให้หน้าแหก!’
‘ไอ้เหี้ยนิด กูจะไปแจ้งคนหายที่ สน. แล้วนะโว้ย ติดต่อกูด้วย’ ผมมองลายมือยึกยือนั่นแล้วยิ้มออกมา จิตคงมาหาผม แล้วสอดกระดาษพวกนี้ผ่านประตู มันคงเป็นห่วงผมมาก แต่ผมยังไม่อยากติดต่อมันตอนนี้...ยังก่อน ขอให้กูหางานให้ได้ก่อนนะจิต ขอให้กู...ยืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ไม่นานเกินรอแน่...
.
.
.
ผมเดินทางไปตามที่สถานที่ต่างๆ ที่หลายๆบริษัทประกาศรับสมัครงานไว้ในอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เคยนึกสงสัยว่าอาการเดินเตะฝุ่นมันเป็นยังไง...มันคงเป็นแบบผมตอนนี้นี่เอง งานสมัยนี้หายากชะมัด…
‘รับสมัครพนักงานเช็คสต๊อกสินค้า’ ป้ายประกาศที่ติดไว้ว่าแบบนั้น ไม่เลวแฮะ... งานไม่น่าจะเครียดอะไรมาก บอกตามตรงว่าผมไม่อยากรับผิดชอบอะไรในตำแหน่งใหญ่ๆอีกแล้ว ผมเหนื่อยแล้วกับทุกสิ่งทุกอย่าง
“เอ่อ...ติดต่อสมัครงานครับ” เดินเข้าไปในสถานที่ทำงาน ที่นี่แตกต่างกับที่ทำงานเก่าของผมลิบลับ มันเป็นโกดังที่เต็มไปด้วยสินค้ามากมาย...คิดแล้วปลง จะไหวรึเปล่าวะกู
“โอ้ย ไอ้น้อง มาสมัครวันอื่นได้ไหมวะ ที่นี่เขากำลังยุ่งๆกันอยู่” เสียงห้าวนั่นตอบกลับมาติดตะคอกนิดๆ มือข้างหนึ่งเขียนอะไรยุกยิก มืออีกข้างก็กุมโทรศัพท์ไว้ พนักงานในโกดังวิ่งกันให้พล่าน
“อ่า...ครับๆ” ผมตอบกลับไป คิดในใจว่า แล้วมึงจะติดประกาศไว้ทำไมวะ... กำลังจะหันหลังกลับอยู่แล้ว แต่มันดันเรียกผมไว้ก่อน
“เฮ้ยเดี๋ยว มึงมีใบขับขี่เปล่า แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์เป็นรึเปล่าวะ ไปส่งเอกสารนี่ให้หน่อย ส่งเสร็จกลับมาเดี๋ยวรับเข้าทำงานเลย”
“ได้ครับ!” ดวงตาของผมแวววาว ลิงโลดกับคำว่ารับเข้าทำงาน แต่เดี๋ยวก่อน...ผมไม่มีใบขับขี่ และประเด็นสำคัญคือ...กู...ขับมอเตอร์ไซค์...ไม่เป็น...
“เอ้า เอาไป ให้ไวนะโว้ย” พี่แกพูดจบก็ยัดซองเอกสารพร้อมกับกุญแจรถใส่มือผมมาเลยครับ เอาไงดีวะ...จะปฏิเสธก็กลัวจะไม่ได้งาน หันไปมองมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ก็หนักใจ แต่ไม่เป็นไร ฉกาจมันเคยสอนผมขับอยู่นี่นา...เอาอีกแล้ว ดันไปนึกถึงมันอีกแล้ว…
ผมสั่นหัว...ไม่เอา อย่าเพิ่งคิดถึงมัน งานต้องมาก่อน ผมคิด ก่อนจะสวมหมวกกันน็อคที่วางเอาไว้ แล้วค่อยๆพยุงรถ เอาขาตั้งขึ้น พาตัวเองขึ้นคร่อมรถคันนั้น แล้วสตาร์ทรถ
“ไม่ยากนี่หว่า...แค่ทรงตัวให้ได้ก็น่าจะพอแล้ว” ผมพูดให้กำลังใจตัวเอง
กว่าจะขับออกมาถนนใหญ่ได้ ฉวัดเฉวียนอยู่พอสมควร กลัวจะขับไปชนรถที่สวนมาอีกเลนหนึ่งจริงๆ ผมพยายามตั้งสมาธิ พยายามขับให้เนียนที่สุด ถ้ามีพิรุธเดี๋ยวโดนตำรวจโบก ฮ่าๆ
‘อยู่นิ่งๆครับ เดี๋ยวรถล้ม เอาเข่าหนีบถังน้ำมันไว้ แล้วเอาเท้าวางบนที่พักเท้า อย่าเกร็งสะโพกนะ นั่งสบายๆ...’ อีกแล้ว... ภาพของวันนั้นทับซ้อนขึ้นมาในหัวของผม...ยังจะคิดถึงมันทำไม ในเมื่อบอกตัวเองให้ยอมรับความจริง เข้มแข็งแล้วทำไมยังเป็นแบบนี้...ผมก่นด่าตัวเองในใจ น้ำตาที่คลอหน่วยบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า ผมว่าผมควรจะจอดรถก่อน ขับไปแบบนี้อันตรายแน่ๆ…
ปัง! เอี๊ยดดด...! ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรอย่างที่ใจคิด ก็ได้ยินเสียงปะทะอย่างรุนแรง ความรู้สึกแรกที่ผมได้รับคือ เจ็บ...มันเป็นอาการเจ็บทางร่างกายที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ผมเห็นท้องฟ้าโครงเครงไปมา...รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยขึ้นที่สูง ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นปูนจนรู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงอีกครั้ง...
...............................................................
R.I.P คุณนิดผู้เข้มแข็ง แต่ความซวย ไม่เคยปราณีใคร
