[7]
“.........”
อืม ผมล่ะไม่รู้จะพูดยังไงกับการตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่ แล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นหมอนข้างให้หลานชายไซส์ควายเรียกเพื่อนมันทั้งกอดทั้งก่ายแบบนี้
“แม่งไม่เอาขาขึ้นมาก่ายคอกูซะเลยล่ะ?” ผมยกขามันออกไปให้พ้นเอว มิน่า เมื่อคืนกูถึงได้ฝันว่าผีอำ หนักชิบหาย แขนขามึงนี่นะไอ้เก้า
“ฮื้อ..อื้อ..งึมๆ” มันส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจเพราะถูกรบกวนการนอนอันแสนสบายโคตรๆ จนผมนึกอยากโดดงับหูให้ร้องจ๊ากจริงๆ เท่านั้นไม่พอ มันยังขยับคว้าผมไปกอดแนบแน่นกว่าเดิม จนสะโพกของผมสัมผัสกับขาที่สามของมันได้อย่างถนัดถนี่
“หือ..” ไม่ใช่ขานี่ ลูกชายไอ้เก้านี่หว่า.. ผมออกแรงเพิ่มอีกหน่อยจนสามารถแงะตัวพ่อมันออกไปได้สำเร็จ พอลุกขึ้นนั่งก็ยังเห็นตัวลูกมันชูหัวทักทายจากในกางเกงนอนลายหมีพูห์ ด้วยความสงสัยถึงไซส์ลูกชายของไอ้เก้า ผมเลยเอื้อมมือไปเกี่ยวขอบกางเกงมันขึ้น มองลอดเข้าไปก็เห็นว่ามันไม่ได้ใส่กางเกงในอย่างที่คิด ลูกชายมันพยักหน้าทายผมอย่างเป็นมิตรสองสามครั้ง ผมก็ปล่อยขอบกางเกงมันลงเหมือนเดิม
แล้วมาดึงขอบกางเกงตัวเอง ก้มดูบ้าง..
“.........”
อืม ไอ้เก้า.. ลูกชายมึงโตเร็วไปเปล่าวะ? ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าตัวพ่อมันโตเต็มวัย แล้วตัวลูกมันจะขนาดไหน? ..ว่าแต่กูจะมานั่งคำนวณหาความน่าจะเป็นอะไรแต่เช้าวะเนี่ย?
“ฮ้าววววว~” ผมอ้าปากหาวหวอดใหญ่ๆ เกาหัวเกาพุงตัวเองแกรกๆ ก่อนจะถีบไอ้เก้าลงจากเตียงรับอรุณ
ตุ้บ!
“โอ๊ยยย..” เสียงมันกลิ้งขลุกๆ อยู่ข้างเตียง สักพักก็ตะเกียกตะกายกลับขึ้นมาด้วยหน้ามึนๆ งงๆ หันมองรอบห้องอย่างคนเซ่อขี้ตาไม่หาย สักพักก็คงจะสำนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของมัน
“ปู่ดิน..”
“ไปเตรียมข้าวเช้าได้แล้ว” ผมบอกก่อนจะลุกจากเตียงมาเข้าห้องน้ำ ครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงมันออกจากห้องผมไป
เพราะวันนี้ตื่นผิดเวลา ผมเลยต้องมานั่งรอไอ้เก้ามันเตรียมมื้อเช้า แทนที่ออกจากห้องแล้วจะได้กินเลยเหมือนทุกวัน และนั่นก็ทำให้ผมได้สังเกตเห็นความคล่องแคล่วในการใช้ครัวของมัน ทั้งที่ตัวใหญ่แบบนั้น แต่กลับไม่ดูขัดหูขัดตาเลยเมื่ออยู่ในครัวเล็กๆ ของผม มือที่จับกระทะจับตะหลิวนั่นก็ไม่ดูเกะกะเก้งก้างเหมือนกัน
“..........”
อืม.. ผมว่ามันก็น่าจะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้เหมือนกันนะ แทนที่จะอยากได้ผมเป็นเจ้าสาว ทำไมไม่มันเสนอตัวเป็นเจ้าสาวให้ผมซะเองวะ? เอ้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากได้มันมาเป็นเจ้าสาวหรอก แค่ลองคิดดูเล่นๆ น่ะ ตัวขนาดนั้นใครจะอยากได้มาเป็นเจ้าสาว ไม่ได้ชวนให้รู้สึกอยากรักอยากกอดเลยสักนิด
“ปู่ดิน” เสียงเรียกของไอ้คนที่ผมกำลังนั่งนินทาในใจทำให้ผมต้องรีบเรียกสติสตังกลับคืนมา
“หือ?” ผมแสร้งเป็นสนใจหนังสือพิมพ์แทนที่จะเป็นมัน เกิดมันรู้ว่าผมกำลังคิดเรื่องของมัน เดี๋ยวมันจะคิดเข้าข้างตัวเองไปกันใหญ่
“หิวหรือยังครับ?”
“เออดิ” ผมพยักหน้าส่งเดช
“งั้นวันนี้ผมขอไม่ทำเป็นรูปหัวใจนะ เดี๋ยวปู่ดินจะรอนาน” มันทำเสียงแบบรู้สึกผิดเต็มที่ ว่าแต่กูเคยขอให้มึงทำแบบนั้นเหรอครับ? ไอ้นี่..
“เออๆ เอามาได้แล้ว กูหิว” ผมวางหนังสือพิมพ์ไว้อีกทาง ไอ้เก้าก็เอาจานที่มีไข่ดาว ไส้กรอก แล้วก็เบคอน มาวางตรงหน้าผมจาน ของมันอีกจาน ผมหยิบขวดซอสมะเขือเทศบีบใส่ไส้กรอกตามความยาว ก่อนเอาส้อมจิ้มเข้าปาก
“ปู่ดิน” ยังไม่ทันได้กัด เสียงไอ้เก้าก็ดังขึ้นอีก
“อะไร?” ผมถามแล้วกัดไส้กรอกเคี้ยว
“เริ่มรักผมบ้างแล้วยัง?”
“กูก็รักมึงอยู่แล้วไง?” ผมตอบไปเคี้ยวไป ไม่ได้คิดอะไรมาก
“จริงเหรอ?!” เสียงตื่นเต้นดีใจเวอร์ๆ ของมันทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นสายตาเป็นประกายปิ๊งๆ แล้วก็ต้องรีบกลืนไส้กรอก แล้วบอกให้มันเข้าใจใหม่
“แบบหลาน” ทันตาเห็น.. หน้าบานๆ ของมันฟีบลงทันที
“แล้วเมื่อไหล่ผมจะได้เลื่อนขั้นอ่ะ? นิดนึงก็ยังดี”
“นิดนึง?” ผมเลิกคิ้ว จิ้มเบคอนเข้าปาก
“ก็..ได้เลื่อนจากหลานชาย ขึ้นเป็นชายชู้ก็ยังดี..เหวอออ” ไม่ต้องสงสัยว่ามันร้องทำไม ก็เบคอนที่เคี้ยวเกือบละเอียดพุ่งออกจากผมไปแปะบนหน้ามันน่ะสิ
“แค่กๆๆ” ผมรีบคว้าน้ำมากรอกปาก ขณะที่ไอ้เก้าบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย
“ปู่ดินอ่ะ” มันเขวี้ยงค้อนใส่ผมแบบงอนๆ
“มึงนี่นะ” ผมล่ะไม่รู้จะพูดอะไรเลย.. จริงๆ นะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อุ้ก..อึก..แค่กๆๆๆ”
เสียงหัวเราะจะเป็นจะตายแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่ไอ้หมอโรคจิตคนเดิม เพียงแต่วันนี้เพิ่มเติมเสียงของไอ้เงิงมาช่วยประสานอีกคน
“หลานมึงแม่งจี้ว่ะ ปู่ โอยยย ฮาเยี่ยวเล็ด ฮ่าๆๆๆ”
ไอ้เงิง คือใคร? มันก็คือไอ้คนที่มีหลานสาวเป็นแฟนคลับของไอ้เก้า แล้วก็เคยให้ผมพาไอ้เก้าออกไปกินข้าวกับหลานสาวของมันนั่นล่ะ จริงๆ แล้วมันชื่อ ไอ้ยศ แต่ตอนรู้จักกันใหม่ๆ สมัยมัธยม มันยังใส่เหล็กดัดฟัน ฟันยังไม่เข้าที่เข้าทางดี พวกเราก็เลยพากันเรียกมันว่า ไอ้เงิง และเรียกมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่ามันจะถอดเหล็กถอดรูปกลายเป็นหนุ่มหล่อมานานแล้วก็ตาม ..คิดว่าพวกผมจะสนหรือไง?
วันนี้มันกับไอ้หมอกอดคอพากันมาตั้งวงที่คอนโดผมตั้งแต่หัวค่ำตามประสาหนุ่มโสดไร้พันธะ ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยมีความลับกับมันเช่นกัน
“หัวเราะเข้าไป นี่ถ้าหลานสาวมึงรู้ว่าไอ้พี่เก้าที่ปลื้มนักปลื้มหนามันบ้าแบบนี้ หลานมึงไม่ร้องไห้โฮเลยเหรอวะ?” ผมถามเซ็งๆ แล้วพ่นควันพิษไปรมพวกมันอีกเฮือกใหญ่ๆ
“ไม่ร้อกๆ” ไอ้เงิงขำจนต้องยกนิ้วขึ้นปาดน้ำตา “มึงรู้จักสาววายไหม? สาววายน่ะ ไอ้หญิงมันเป็นแบบนั้นแหล่ะ กูเห็นมันกลุ้มใจมานานแล้วว่าควรจะเลือกเชียร์ไอ้ซุยกับไอ้เควิล หรือไอ้ซุยกับไอ้เก้าดี ถ้ามันมารู้แบบนี้ มันคงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
“ไอ้ซุยกับไอ้เควิลมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ?” ผมถามงงๆ แต่ได้เงิงยังไม่ทันตอบ ไอ้หมอก็ถามแทรกขึ้นมาก่อน
“สาววาย คืออะไรวะ?”
“ก็ไอ้ลัทธินิยมชมผู้ชายได้กันเองไงล่ะ” ไอ้เงิงมันเลยเลือกตอบคำถามไอ้หมอก่อน
“เหอ..” ผมกับไอ้หมอส่งเสียงประหลาดๆ ออกมา
“มีแบบนี้ด้วย?” ไอ้หมอถาม
“กูก็เพิ่งรู้จากไอ้หญิงเมื่อไม่นานนี้เหมือนกัน ปกติเห็นมันชอบเช่าการ์ตูนกลับมาอ่านที่บ้าน วันนั้นกูนึกอยากรู้ขึ้นมาว่าหลานชอบอ่านเรื่องแนวไหน คือการ์ตูนที่บ้านกูก็สะสมไว้เยอะแยะไง แนวบู๊แนวผจญภัยโดเรม่อนโนบิตะอะไรงี้ แต่ไม่เคยเห็นมันเอาไปอ่านสักที แล้วพอเปิดไปแค่เล่มแรกเท่านั้นแหล่ะ พวกมึงรู้ไหมว่ากูเจออะไร?” ไอ้เงิงเล่าเสียงตื่นเต้น
“ก็เจอรูปการ์ตูนไง มึงคิดว่ามึงจะเจอถังแช่ไวน์หรือไง? ไม่ใช่ตู้เย็นนิ” ไอ้หมอเกทับหน้าตาเฉย ก็เลยโดนเสยกบาลไปที
“เออ! กูเจอรูปการ์ตูน เป็นตัวการ์ตูนผู้ชายสองคนกำลังล่อตูดกัน อ๊ะ.อ๊า..อ๊างงงงงส์~ เลยล่ะ” มันใส่ซาวด์เอฟเฟ็คประกอบความสยองมาให้ด้วย
“เหอ..” ผมกับไอ้หมอส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาอีกครั้ง
“แล้วมึงรู้ไหมว่ากูทำไงต่อ?” ไอ้เงิงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พวกผมมีส่วนร่วมกับเรื่องของมัน
“มึงก็อ่านต่อจนจบ” ไอ้หมอตอบ
“ช่ายยย โคตรฟินเลย... ถุ๊ย!! มึงนี่กวนส้นตีนกูจริงๆ ว่ะไอ้หมอ ลงไปต่อยกันหน้าคอนโดเหอะ” ไอ้เงิงลุกขึ้นท้าเหยงๆ แต่คู่กรณีกลับเอาแต่หัวเราะชอบใจ
“ฟิน คืออะไรวะ?” ผมถามด้วยความสงสัย วันนี้มีแต่ศัพท์ที่ไม่เข้าใจว่ะ
“ไม่แน่ใจว่ะ กูเห็นไอ้หญิงมันชอบพูดบ่อยๆ เวลาเจออะไรไปกระตุ้นต่อมวายมันแตก นี่กูเล่าต่อได้ยัง?”
“เอาดิ” ผมกับไอ้หมอพยักหน้า
“เออ ก็จบแค่นั่นแหล่ะ” มันพูดหน้าตาเฉย เลยถูกผมกับไอ้หมอช่วยกันรุมสะกำยำตีนไปยกนึง แม่ง กวนส้นตีนจริงๆ แต่ละคน
“กลับมาแล้วคร้าบ~” น้ำเสียงลั้ลลาพร้อมเจ้าตัวที่เขย่งก้าวกระโดดเข้ามาทำผมหันมองนาฬิกาโดยอัตโนมัติ สี่ทุ่มแล้ว ไอ้เก้าเพิ่งเข้าบ้าน แต่มันก็ไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนหรอก มันไปโรงเรียนกวดวิชามาน่ะ
“หวัดดีครับ อายศ อาหมอ ปู่ดิน” มันยกมือไหว้กราดทุกคน และที่มันไม่เรียกไอ้หมอกับไอ้เงิงว่า ปู่ เหมือนที่มันเรียกผม ก็เพราะไอ้สองตัวนี้มันเคยขู่เอาไว้ว่าถ้าเรียก ปู่ มันจะเตะน่ะ
“หวัดดีคร้าบบบบ ไอ้หลานชายรูปหล่อ” เสียงยานๆ ของไอ้เงิงตอบรับ พลางกวักมือเรียกยิกๆ “มานี่ๆ มาชงเหล้าให้อาหน่อย สาวน้อย”
“อายศเมาแล้วนี่ แบบนี้จะกลับบ้านไหวเหรอ?” ไอ้เก้าเดินมานั่งบนที่พักแขนโซฟาตัวที่ผมนั่ง ส่วนโซฟาตัวยาวนั้นถูกไอ้หมอที่ยังดูมีสติดี กับไอ้เงิงที่เริ่มเลื้อยเป็นงูยึดครอง ผมเองก็เริ่มมึนๆ เบลอๆ บ้างแล้วเหมือนกันตอนนี้
“ไม่ไหวก็ไม่กลับสิคร้าบบบ อานอนกับเพื่อนปู่ของอาด้ายยยย นอนกอดเพื่อนปู่หลับสบายจะตาย ตัวอุ๊นอุ่นนน เน้ออออ~” ไอ้คนพูดหันมาพยักพเยิดกับผม
“มึงสบายคนเดียวดิ ห่า!” ผมล่ะเกลียดจริงๆ เวลาที่ต้องนอนค้างกับไอ้เงิงในวันที่มันเมาน่ะ นอกจากจะพูดมากหนวกหูแล้วยังชอบเอากูไปก่ายแทนหมอนข้างอีกต่างหาก
พูดถึงสภาพการนอนของไอ้เงิงแล้วก็ไพล่คิดไปถึงไอ้เก้าเมื่อเช้า แม่งมึงก็ทำแบบนั้นกับกูเหมือนกันนี่หว่า
“อะไร?” ผมถามไอ้เก้าที่กำลังทำหน้างอใส่ผมตอนที่ผมหันไปมองมัน
“เปล่า” มันตอบ แต่หน้ามึงนี่สวนทางกับคำตอบมากเลยนะ เป็นอะไรของมันอีกวะ?
“อะไร?” คราวนี้ผมถามไอ้หมอโรคจิตที่กำลังทำหน้ากรุ้มกริ่มมองไอ้เก้าสลับกับผมอยู่
“เปล๊า~” ไอ้นี่ก็ตอบเสียงสูงซะจนกลัวกูไม่รู้ว่ามึงโกหกงั้นแหล่ะ ห่า ถ้าจะปฏิเสธแบบนี้ ยอมรับกันมาตรงๆ เลยดีกว่าเหอะ รอบตัวกูนี่นะ จะหาสักคนที่ไม่กวนส้นตีนไม่ได้เลยใช่ไหมนี่?
“กูว่ากูกลับก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรตอนเช้า” ไอ้หมอลุกขึ้นหลังจากนั่งคุยเล่นกับไอ้เก้าพักอยู่หนึ่ง ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าไอ้เก้ามันคุ้นเคยกับเพื่อนผมพอสมควร แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมก๊ง แต่มันก็ชอบมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อชงเหล้าให้พวกผมอยู่บ่อยๆ
“มึงแน่ใจว่ากลับไหวนะ?” ผมถามมัน
“กูไม่เมาสักหน่อยนี่” แล้วมันก็หันดึงไอ้เงิงที่ใกล้หมดสภาพเต็มทีให้ลุกขึ้นด้วย “ไปไอ้เงิง พรุ่งนี้มึงมีประชุมตอนเช้าไม่ใช่หรือไงครับท่านผู้บริหารหย่ายยย ไปๆ กลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ม่ายยยย กูไม่ปายยยยย กูจะนอนกับเพื่อนปู่วววว กูจะนอนกอดเพื่อนปู่วววววววววว~” มันผวาจะเข้ามาหาผม ผมก็เลยเอาตีนยันท้องมันไว้ ก่อนที่ไอ้หมอกับไอ้เก้าจะช่วยกันกึ่งหิ้วกึ่งลากมันออกจากห้องไป
พอเหลือผมอยู่ในห้องคนเดียว มองเห็นแก้วเห็นขวดเกะกะก็ว่าจะเก็บอยู่หรอก แต่พอลุกขึ้นเท่านั้นล่ะ รู้สึกเลยว่าพื้นมันเอียง.. เอียง.. เอียง..เออ! ไม่เก็บก็ได้แม่ง ปล่อยให้ไอ้เก้ามันกลับมาจัดการแล้วกัน กูไปอาบน้ำนอนดีกว่า
“เฮ้อ~” ได้อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นเยอะ ออกจากห้องน้ำได้ผมก็กระโดดใส่เตียงทั้งหัวหูเปียกๆ นั่นล่ะ ง่วงไม่ไหวจะทน เสื้อผ้ายิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจ ก็ใส่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่นล่ะ แล้วก็หลับไปทั้งแบบนั้นเลย..
“ฮื้อ..” รู้สึกตัวอีกที ตอนที่เหมือนมีคนมาเล่นหัว ใครวะแม่ง? ผมครางอย่างรำคาญในลำคอ
“ปู่ดิน.. นอนทั้งผมเปียกๆ เดี๋ยวไม่สบายนะ” เสียงที่ก้มลงมากระซิบใกล้ๆ แม้มีสติไม่ครบร้อยก็พอจะรู้ว่าเป็นของใคร
“อืม.. ไอ้หมอกับไอ้เงิงกลับไปแล้วเหรอ?” ผมพูดทั้งที่ไม่ลืมตา ยังคงนอนคว่ำหน้าซบหมอน
“ครับ”
“มึงเก็บของข้างนอกเรียบร้อยแล้วยัง?”
“ครับ”
“อืม..” แล้วผมก็คงจะหลับต่อเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เก้ามันชวนคุยอีก
“ปู่ดิน”
“อือ”
“คืนนี้ผมนอนด้วยนะ”
“มึงอาบน้ำยัง?”
“อาบแล้ว”
“อย่าเอากูเป็นหมอนข้างแบบเมื่อคืนอีก”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะกูไม่ใช่หมอนข้างไง” สติผมค่อยๆ ห่างออกจากร่างมากขึ้นทุกที แต่ความสามารถในการตอบโต้ยังคงทำงานอยู่
“ทีอายศยังทำได้เลย”
“มันเมา แล้วก็ใช่ว่ากูชอบ”
“แต่ผมชอบนอนกอดปู่ดินนะ”
“ไปกอดเทดดี้แบร์ที่หม่ามี้มึงซื้อให้เหอะ”
“แต่มันไม่อุ่นเหมือนตัวปู่ดินนี่นา”
“อือ..” ผมเริ่มไม่รับรู้แล้วว่ามันพูดอะไรบ้าง มีที่เช็ดหัวให้ผมก็หายไปแล้ว แต่มีมือใครไม่รู้มาลูบไปตามสีข้างตามแผ่นหลังของผม ..ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซะด้วยสิ
“ปู่ดิน..”
“อือ..” ตอนนี้นอกจากมือปริศนา แล้วก็มีอะไรบางอย่างนิ่มๆ หยุ่นๆ มาพร้อมกับลมร้อนๆ คลอเคลียอยู่แถวลาดไหล่ของผมด้วย
“เป็นเจ้าสาวผมเหอะนะ”
“อือ..”
TBC. 
มาแบบเบลอๆ พิมพ์ผิดพิมพ์ถูก ขออภัยนะจ๊ะ
ว่าแต่ปู่ดิน แอบดูของน้องอ่ะนิสัย

แล้วเป็นไงอ่ะ พอจะไหวอ๊ะเปล่าเบเบ้

ลุ้นให้น้องเก้าได้เจ้าสาวสมใจ กดบวก
ลุ้นให้น้องเก้าได้เป็นเจ้าสาวซะเอง กดเป็ด
