[3]
“โหยยย ไอ้เหี้ยปู่! กูนึกว่ามึงโมโหหิวจนเผาศาลากูทิ้งซะแล้ว นี่กูแค่เข้าไปทำกับแกล้มแป๊บเดียวเองนะ” เสียงไอ้หมอเอะอะโวยวายพลางเดินแหวกกลุ่มม่านหมอกมะเร็งที่ปกคลุมไปทั่วศาลาริมน้ำเข้ามาหา
“อะไรมึงจะสูบมากสูบมายขนาดนั้นวะ? กลัวจะต้องอยู่เป็นทวดคนหรือไง?” ตั้งเหล้า ตั้งกับแกล้ม ปากก็บ่นเป็นหมีเมาควันเลยมัน หนวกหูจริงๆ
วันนี้ผมออกไปคุยกับ บก. ที่รับผิดชอบงานของผมที่สำนักพิมพ์มา ขากลับผ่านโรงพยาบาลที่ไอ้หมอทำงานอยู่พอดี เลยแวะไปทักทายมันสักหน่อย ก็ว่าจะไปปรึกษาเรื่องไอ้เก้าด้วยนั่นแหล่ะ นับวันมันยิ่งทำผมปวดหัว ก็ปรากฏว่าไอ้หมอมันกำลังจะเลิกงานกลับบ้าน ผมเลยชวนมันไปกินข้าวด้วยกัน เสร็จแล้วมันก็ชวนผมกลับมากินเหล้าที่บ้านสวนเมืองนนท์ของมันอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ
“กูเครียด” ผมตอบทั้งที่ยังคาบบุหรี่เอาไว้
“ฮ่าๆๆ ไอ้เก้ามันจะรู้ไหมว่าวิธีจีบของมันทำปู่มันเครียดขนาดนี้” ไอ้หมอหัวเราะชอบใจ มันรู้ว่าผมเครียดอะไรเพราะผมเล่าให้มันฟังตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว
“ขนมปังปิ้งตัดเป็นรูปหัวใจเอย แพนเค้กรูปหัวใจเอย เบคอนไข่ดาวรูปหัวใจมันก็สามารถ ขนาดวันไหนมันทำโจ๊กหรือข้าวต้ม มันยังอุตส่าห์บรรจงโรยหอมโรยขิงเป็นรูปหัวใจให้กูเลย มึงคิดดูแล้วกันว่ามันกวนส้นตีนขนาดไหน ไหนจะไอ้ลูกอมฮาร์ทบีทที่มาพร้อมกับกาแฟทุกวันๆ นั่นอีกล่ะ!” ผมพล่ามระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาหลายวัน
ก็นั่นแหล่ะ ตั้งแต่วันที่ผมอนุญาตให้ไอ้เก้ามันจีบผมได้ตามใจเพื่อตัดรำคาญ เช้าวันต่อมามันก็เริ่มปฏิบัติการรุกจีบผมด้วยอาหารเช้ารูปหัวใจอย่างที่ว่า แล้วตัวมันเองก็จะนั่งหน้าระรื่นมองผมกระเดือกมื้อเช้าทุกวัน เมื่อก่อนมันไม่ทำขนาดนี้นะ แต่เดี๋ยวนี้มันจะนั่งรอผมกินจนอิ่มนั่นแหล่ะมันถึงจะยอมไปโรงเรียน
ผมเคยถามมันว่าทำไมต้องรูปหัวใจ?
“ก็ผมกำลังจีบปู่ดินอยู่ไง ..จีบ ด้วย ใจ” ไม่พูดเปล่า มันทำมือเป็นรูปหัวใจเหนือหัวแบบที่ไอ้พวกนักร้องเกาหลีมันชอบทำด้วย ตอนนั้นกาแฟผมแทบพุ่งเหอะ ถ้ามึงจะเสี่ยวแดกถึงขนาดนั้นนะไอ้เก้า อย่าไปบอกใครเขานะว่ารู้จักกู
“เดี๋ยวนี้วัยรุ่นเขาจีบกันแบบนี้เหรอวะ?”
“คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่กับปู่ดิน ผมอยากให้ ใจ” นั่น มาอีกดอก มันทำท่าเดิม เมื่อกี๊เอียงขวา แต่คราวนี้เองซ้าย กูไม่น่าถามมันแต่แรกเลยว่ะ แม่ง! พาลจะอิ่มเอาดื้อๆ
“มึงเคยเอามุขแบบนี้ไปจีบใครมาก่อนไหม กูถามจริง?” ผมแค่อยากรู้ว่ามีใครบ้าเคลิ้มตามมันเพราะมุขปัญญาอ่อนนั่นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“ปู่ดินคนแรก” มันตอบอย่างภูมิใจในสถิติ
“แหม กูล่ะประทับใจ”
“จริงเหรอ?!” มันตาโต หน้าบานนำไปก่อนแล้ว
“กูประชด” ผมตอบแบบไร้อารมณ์ หน้าไอ้เก้าฟีบลงนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับสลด
“เนี่ยๆ ผมตั้งใจทำมากเลยนะ อยากให้ปู่ดินได้ ‘กินใจ’ ผมทุกวัน”
“เออๆ” เอาเหอะ ผมเลิกคิดอยากต่อปากต่อคำกับมันแล้ว ก้มหน้าก้มตาจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองดีกว่า
“เผื่อปู่ดินจะใจอ่อน ยอมให้ผมได้กินตับปู่ดินบะ..เหวอออออ!!” ที่มันร้องเสียงหลงก็เพราะผมถีบเก้าอี้ที่มันนั่ง แต่คงจะใส่แรงมากไปหน่อย เก้าอี้มันก็เลยหงายหลังล้มไปพร้อมกับคนนั่ง ไอ้เก้าหัวฟาดพื้น ก็ไม่เจ็บมากมายหรอก แค่หัวปูดเป็นลูกมะนาวเท่านั้นเอง
สรุปเช้านั้นมันก็เลยได้มะนาวกลมๆ หนึ่งลูกติดหนังหัวไปโรงเรียนด้วย..
“เอาน่ะมึง อย่าไปคิดมาก มันก็แค่ทำตามประสาเด็กน้อยแหล่ะ ปั๊ปปี้เลิฟน่ะ ปั๊ปปี้เลิฟ” ไอ้หมอยังหัวเราะร่วนพลางรินเหล้าส่งให้ผม
“ปั๊ปปี้เลิฟเหี้ย บอกจะกินตับกู”
“ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้ไอ้เวรหมอหัวเราะลั่นศาลาเลย เอาเหอะมึง เอาซะให้พอใจ
“กูจะทำยังไงกับมันดีวะ? เอามันไปเข้ารับการบำบัดดีไหม?”
“บำบัดทำไม มันไม่ได้ป่วยอะไรนี่”
“ก็มันเป็นตุ๊ด” ผมเถียงทันควัน
“ห๊ะ?
“ว่าแต่โรคนี้มันรักษาได้เปล่าวะ?”
“ไอ้เหี้ย! ตุ๊ดมันไม่ใช่โรคนะมึง มันเป็นเรื่องของฮอร์โมนกับจิตใจ ไม่ใช่ความป่วย ว่าแต่ไอ้เก้ามันเป็นตุ๊ดเหรอวะ? ดูท่าทางไม่น่าใช่”
“ก็มันชอบกู แล้วกูก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายทั้งดุ้นเลยด้วย แบบนี้ไม่ตุ๊ดได้ไง?”
“ไอ้ปู่นะไอ้ปู่ มึงนี่ทำตัวสมเป็นคนรูจริงๆ” ไอ้หมอส่ายหน้าแบบเอือมระอาผมเต็มที ที่มันเรียกผมว่าคนรู ก็เพราะเวลาที่ผมเร่งปั่นต้นฉบับผมมักจะไม่ออกไปไหน เก็บตัวทำงานอยู่แต่ในคอนโดเป็นเดือนๆ ประหนึ่งอยู่ในรู งานเสร็จโน่นแหล่ะถึงจะยอมโผล่หัวออกมาเห็นตะวันเห็นเดือนอีกครั้ง
“แค่ชอบผู้ชายไม่ได้แปลว่ามันเป็นตุ๊ดเว้ย มันอาจจะเป็นเกย์ เป็นไบ หรือจริงๆ มันอาจจะเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาที่ตาถั่วมาเห็นดีเห็นงามในตัวมึงนี่แหล่ะ กูว่าถ้าจะต้องมีสักอย่างของไอ้เก้าที่น่าพาไปบำบัดล่ะก็ ต้องเป็นที่รสนิยมของมันเลย รสนิยมมันมีปัญหา! ไม่งั้นมันไม่หลงผิดคิดชอบมึงหรอก เชื่อกู!” ไอ้หมอมันทำหน้าจริงจังแถมยังยืนยันหนักแน่นจนผมเริ่มสับสน คือไม่รู้ว่ามันแค่หลอกด่าผม หรือไอ้เก้ามันมีปัญหาจริงๆ น่ะ
แล้วตกลงปัญหามันอยู่ที่ตัวผมหรือตัวไอ้เก้ากันแน่วะเนี่ย?
ไม่เข้าใจ.. ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ งั้นพักประเด็นนี้ไว้ก่อนแล้วกัน
“แล้วไอ้เกย์ ไอ้ไบ ไอ้ตุ๊ดนี่มันต่างกันยังไงวะ?” ทั้งเกย์ทั้งไบอะไรนี่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยได้ยินผ่านหูมาก่อนนะ สมัยเรียนก็เคยเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ผมไม่เคยคิดจำแนกไง แค่เห็นว่ามันเอาผู้ชายได้ผมก็เหมาเป็นตุ๊ดหมดแหล่ะ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดว่ามันต่างกันยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดรังเกียจหรอก ก็คนเหมือนๆ กัน
“มึงรู้จักเทคโนโลยีที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตไหมปู่? ไปหาดูจากในนั้นแล้วกัน กูขี้เกียจมานั่งอธิบายเรื่องไร้สาระกับมึง มาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า มึงจำน้องจ๊ะเอ๋สุดสวยของกูได้ไหม ที่เราเจอในงานปาร์ตี้สละโสดคราวก่อนน่ะ วันนี้กูได้เบอร์มาแล้วนะเว้ย ไม่อยากจะอวด”
“มึงกำลังอวดกูอยู่ แล้วไปเอามาได้ไงวะ?” แล้วหัวข้อพูดคุยของเราก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องสาวที่ไอ้หมอหมายปอง..
กว่าผมจะกลับถึงคอนโดก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า คุยกับไอ้หมอติดลมไปหน่อย ดีที่ไม่ได้ดื่มจนเมา และดีมากๆ ที่ไม่เจอด่านตรวจ เพราะถึงไม่เมาก็มั่นใจว่าเป่าไม่ผ่านแน่นอน เข้าห้องยังเห็นไฟเปิดอยู่ ตอนแรกคิดว่าไอ้เก้าคงเปิดทิ้งไว้รอผม ส่วนตัวมันคงเข้านอนไปแล้วนี้ แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด เพราะไอ้เก้ามันยังอยู่บนโซฟากลางห้อง รอผมหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่ามันนอนกอดหมอนอิงหลับอุตุไปแล้ว
“เก้า ไอ้เก้า เฮ้ยตื่น” ผมเอาตีนไปเขี่ยมัน มันลุกขึ้นมานั่งขยี้หูขยี้ตาอย่างง่วงงุน
“ปู่ดินกลับมาแล้วเหรอ?” มันถามเสียงงัวเงีย
“ยังมั้ง”
“..........” มันมองหน้าผมนิ่ง
“เข้าไปนอนดีๆ ในห้องไป มานอนทำไมตรงนี้?” ผมบอกด้วยความหวังดี แต่ไอ้เก้ามันก็ยังมองหน้าผมนิ่ง จนผมอดแปลกใจไม่ได้ อะไรของมัน? หรือมันละเมอ?
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม อยู่ดีๆ ไอ้เก้ามันก็คว้าเอวผมไปกอด เอาหน้าซุกๆ กับหน้าท้องผมใหญ่
“ทำอะไรของมึงเนี่ย? ละเมอหรือไง?” ผมพยายามแงะมันออกจากตัว แต่มันก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือน
“ผมฝันอยู่” เสียงอู้อี้ที่ตอบกลับมาทำเอาผมมึนตึ้บ
“หา?”
“ก็ปู่ดินบอกว่ายังไม่ได้กลับมา แต่ผมเห็นปู่ดิน แสดงว่าผมกำลังฝันอยู่แน่ๆ”
“ห๊า?” มันจะมามุขไหนวะ?
“ขอผมทำตามใจหน่อยนะ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้เจอกันในฝันทั้งที” มันเอาหัวถูไถกับน้องผม
“มึงมั่วเนียนเอางี้เลย?” ผมลองบีบหูมัน ..อืม หูนิ่มขนาดนี้นี่เอง มันถึงได้หน้ามึนนัก
“น่าๆ อย่าคิดมาก มันก็แค่ความฝัน..” แล้วมันก็เริ่มแกะเข็มขัดผม จากนั้นก็..
“อูยยยย” จะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่ผมทุบหัวมัน จนมันต้องลงไปนั่งกุมหัวอยู่ที่พื้นน่ะ
“จะเล่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยไอ้เก้า ไป รีบกลับเข้าห้องไป หรือต้องให้กูเตะมึงก่อน” แค่ผมยกขา มันก็ไหวตัวไปหลบอยู่หลังโซฟาแล้ว นับวันยิ่งกวนส้นตีน สงสัยต้องเลี้ยงด้วยลำแข้งแล้วล่ะมั้ง
“ปู่ดินใจร้ายอ่ะ คนอุตส่าห์นั่งรอ” มันบ่นหน้าง้ำงอ ยังไม่ยอมกลับเข้าห้อง
“กูบอกให้รอหรือไง?” ผมทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ไอ้เก้าเลยขยับมาเกาะพนักพิงใกล้ๆ
“ก็ผมอยากรอ ผมเป็นห่วง” มันพูดหงอยๆ ทำหน้าตาแบบลูกหมาขี้อ้อนอย่างที่มันชอบทำประจำ “ปู่ดินดื่มมาด้วย เมาไม่ควรขับนะครับ”
“สภาพกูดูเหมือนคนเมาหรือไง? ไปเอาน้ำมาสักแก้วไป” ไหนๆ มันก็ไม่ยอมไปนอน ผมเลยใช้มันซะ
“ครับ” มันก็ลุกไปเปิดตู้เย็นง่ายๆ
“นอกดึกแบบนี้ไม่กลัวตื่นไปเรียนสายหรือไง?”
“พรุ่งนี้วันเสาร์นะ”
“อ่อ..” ผมมันพวกไม่ค่อยสนใจวันเดือนปีสักเท่าไหร่ด้วยสิ พรุ่งนี้วันเสาร์งั้นเหรอ อืมๆ
“มาแล้วๆ น้ำเย็นเจี๊ยบ”
“มึงมีอะไรจะพูดกับกูหรือเปล่า?” ผมถามตอนมันกลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ
“ครับ?” มันเลิกคิ้วแปลกใจ
“ก็เห็นบอกว่ารอกู เลยสงสัยว่ามีอะไรหรือเปล่า?” ผมเอื้อมมือไปรับแก้วน้ำ แต่มืออีกข้างที่ว่างของไอ้เก้ามันยื่นมาจับมือข้างนั้นของผมไว้ก่อน คราวนี้ผมเป็นฝ่ายที่เลิกคิ้วบ้าง
“จริงๆ แล้ว..” มันพูดค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะยกมือผมขึ้นจรดริมฝีปากของมัน “ผมแค่จะรอบอกปู่ดินว่า..ฝันดีนะครับ”
มันยัดแก้วน้ำใส่มือผม ขยิบตาพร้อมส่งจูบทิ้งท้ายอีกที
“ฝันถึงผมด้วยล่ะ” จากนั้นมันก็ยิ้มหน้าบาน เขย่งก้าวกระโดดกลับห้องของตัวเอง..
ส่วนผมน่ะเหรอ? ผมก็ใช้มือสั่นๆ ประคองแก้วน้ำไปวางไว้บนโต๊ะได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ตกแตกไปซะก่อน แล้วค่อยเอามือกลับมากุมขมับน่ะสิ
โอยยย.. เครียดครับ
TBC. 
ยังคงคอนเซ็ป เรื่อง
(ที่อัพทีละ)สั้นๆ ต่อไป
