พันธนาการ...รัก #1“ลูน่า…พี่นายกำลังมาแล้วใช่มั้ย…”
“อื้ม… พี่ยะบอกว่าอีกห้านาทีถึง…” พระจันทร์ตอบเพื่อน… วันนี้เป็นวันมารับผลคะแนนจบม.ปลายของเขา… และตอนนี้เขาก็กำลังยืนรอคนมารับอยู่หน้าโรงเรียนกับเพื่อนสาวลูกเสี้ยวสเปนญี่ปุ่น…และนั่นก็ทำให้ชื่อของพระจันทร์ถูกเรียกว่า ‘ลูน่า’ แทนที่จะเป็น ‘พระจันทร์’ ตามชื่อจริงๆในภาษาไทยของเขา เพราะเพื่อนเขาคนนี้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ เลยแปลชื่อเขาเป็นภาษาสเปนเพื่อจะได้ออกเสียงเป็นภาษาบ้านเกิดของพ่อง่ายกว่า…
“โชคดีเนอะ… มีพี่ชายหน้าตาหล่อๆมาคอยรับคอยส่งทุกวัน… ดูพี่ชายฉันซิ…ขนาดขอร้องให้มารับน้องหน่อย…แทนที่จะตอบว่า ‘ได้ เอาสิ’ กลับบอกให้กลับเองเฉยเลย… นายก็รู้ว่าฮ่องกงช่วงนี้มันร้อนมากขนาดไหน… พี่ฉันเทียบพี่ชายนายไม่ได้เลยซักนิดเดียว…จริงๆนะ”
“ก็พี่ชายเธอเขาทำงานยุ่งนี่… เพิ่งได้เลื่อนขั้นไม่ใช่เหรอจะยุ่งมากก็ไม่แปลกหรอก…” พระจันทร์เอาไหล่ชนเพื่อนที่ทำหน้าอิจฉาเขาเบาๆ…
“รู้น่า… ฉันก็บ่นไปเรื่อยนั่นแหละ… อ๊ะ…นั่นไงรถพี่ชายเธอ…นินทายังไม่ทันขาดคำเลย…”
“โรสกลับด้วยกัน… เดี๋ยวไปส่ง…” พระจันทร์ออกปากชวนเพื่อน แต่สาวเจ้ากลับส่ายหน้าจนผมกระจายแล้วบอก…
“ขอบใจมาก…แต่เดี๋ยวฉันว่าจะแวะไปตากแอร์เย็นๆที่ร้านหนังสือตรงหัวมุมซักพักแล้วค่อยกลับน่ะ… เดี๋ยวเย็นนี้จะโทรหา…บ๊ายบาย”
“…เอางั้นเหรอ… ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยนะ… ถ้ามีอะไรก็โทรมาล่ะ แล้วเจอกัน…” พระจันทร์โบกมือให้เพื่อนที่เริ่มเดินห่างออกไปทางประตูโรงเรียน… ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์สัญชาติอิตาลีชื่อดังอย่างแลมโบกินี่สีควันบุหรี่ขับเข้ามาจอดเทียบข้างฟุตปาธตรงหน้าพระจันทร์อย่างพอดิบพอดี…
ประตูฝั่งข้างคนขับเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติเพื่อรอรับผู้โดยสารอีกคนเข้ามาด้านใน… พระจันทร์ไม่รอให้ประตูเปิดจนสุดเขาก็สามารถมุดเข้าตัวรถมานั่งอยู่บนเบาะหนังนุ่มๆได้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมยกมือดึงประตูปิดตามหลังแล้วยกมือไหว้คนมารับ…
“ไหนพี่ยะบอกว่าอีกห้านาทีถึงไง… ทำไมมาถึงเร็วจัง…”
“ก็รถมันไม่ติด…แล้วตอนที่โทรหาเมื่อกี๊พี่ก็อยู่ตรงสี่แยกไฟแดงก่อนถึงโรงเรียนเรานี่แหละ…” ชายหนุ่มผู้เป็นสารถีเหลือบมองกระจกมองหลังก่อนจะสาวพวงมาลัยพารถออกถนนใหญ่หน้าโรงเรียนนานาชาติชื่อดังของเกาะฮ่องกงด้วยความระมัดระวัง… “แล้วทำไมไม่ชวนเพื่อนขึ้นรถมาด้วยกันล่ะ…พี่ไปส่งให้ก็ได้นะ…”
“โรสเขาจะแวะร้านหนังสือก่อนน่ะครับ… ก็เลยไม่กลับด้วย…” พระจันทร์ตอบ มือก็ค้นยุกยิกๆในกระเป๋สะพายหลัง ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ออกมาคลี่แล้วยื่นจ่อให้คนขับรถดูผลคะแนนในเทอมสุดท้ายที่ตัวเองได้…
“เก่งนี่… เทอมนี้ก็ไม่มีซีหลุดออกมาซักตัว… แบบนี้จะเอารางวัลเป็นอะไรดี…”
“…จันทร์อยากกินไอศครีม…”
“ชอบจริงๆเลยนะของหวานเนี่ย… งั้นไปที่ถนนแคนตั้นก็แล้วกัน… อยากกินร้านไหนชี้เลย…” ชายหนุ่มร่างสูงผิวคร้ามแดดเอ่ยบอก… ริมฝีปากที่มีไรหนวดเบาบางยกยิ้มให้เด็กข้างตัวเล็กน้อยที่นั่งยิ้มแฉ่งเพราะได้ของกินที่ถูกใจ… ดวงตาภายใต้แว่นตาดำพราวระยิบยามมองพื้นถนนเบื้องหน้า เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุสถานีวัยรุ่นถูกเปิดคลอในรถเอาใจเด็กหนุ่มผิวขาวที่ร้องคลอตามอย่างอารมณ์ดี
“ผมขอเสื้อคุณนะ…” พระจันทร์เอ่ยขออนุญาตก่อนจะหยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่ตรงหลังเบาะมาห่มตัวเอง
“เบาแอร์ก็ได้นี่ถ้าหนาว…” คนขับเอ่ยพลางเอื้อมมือจะไปปรับอุณหภูมิในรถให้… แต่อีกคนกลับส่ายหน้าแล้วบอก
“ไม่เป็นไรครับ… ผมรู้ว่าคุณน่ะขี้ร้อน… เสื้อคุณตัวเดียวก็อยู่แล้ว…” พระจันทร์พยับเพยิดให้ดูเสื้อสูทที่ห่อตัวเขาเอาไว้จนมิด กลิ่นน้ำหอมเลอ-เมลจากฌอง ปอล โกลติเยร์ค่อยๆลอยขึ้นมาจากตัวเสื้อ พระจันทร์สูดกลิ่นหอมของมิ้นท์ ส้ม ซินนามอนและวานิลลาเข้าไปเต็มปอด มันให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก… ชายหนุ่มเลือกน้ำหอมสูตรนี้มาใช้แสดงว่าวันนี้คงจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว…
-----------------------------------------------------
กระทิงดุสีควันบุหรี่ทะยานพาผู้ขับขี่ทั้งคู่เข้าสู่เขตช็อปปิ้งชื่อดังจิมซาจุ่ย ซึ่งแม้เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ขาช็อปทั้งหลายจะเข้ามาจับจ่ายซื้อของกัน แต่มันก็มีรถติดไม่น้อย สุริยะมณฑลเลื่อนรถเข้าจอดในที่ว่างที่โชคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องวน เขาตัดสินใจหาที่จอดก่อนแล้วค่อยเดินเอา เพราะถนนสายนี้เป็นทางวันเวย์ ถ้าจะไปวนรถมาใหม่ก็เสียเวลาน่าดู…
“จะกินที่สวีท ไดนาสตี้ (Sweet Dynasty) อีกมั้ย…” ชายร่างสูงกว่าเอ่ยถามถึงร้านขนมหวานชื่อดังที่ใครไปใครมาในย่านนี้เป็นต้องแวะ แต่อีกคนกลับส่ายหน้าแล้วบอก
“ไม่เอา… ร้านนั้นคนเยอะ โรสแนะนำร้านเค้กบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ในซอยถัดจากนี่ไปอีกสองบล็อกมา… เห็นบอกว่าเค้กอร่อยมาก แล้วก็ถูกด้วย…”
“เค้กบุฟเฟ่ต์? แล้วจะมีอะไรที่พี่กินได้มั้ยเนี่ย…” สุริยะมณฑลแกล้งเอ่ยเซ้าระหว่างที่กำลังล็อกรถ พระจันทร์ที่ออกไปยืนคอยอีกคนอยู่ที่ริมถนนเลยบอก
“ร้านนี้กาแฟก็อร่อย… เห็นบอกว่ามีเค้กสูตรใหม่เพิ่งออกมา เป็นเค้กกาแฟดำ… เหมาะกับคนกินขมอย่างพี่ยะที่สุดเลย…”
สองคนเดินคุยกันเบาๆไปตามทางที่ผู้คนเริ่มจอแจเพราะบรรดาคนทำงานเริ่มออกมาหาข้าวเที่ยงทานกัน… พระจันทร์เดินนำสุริยะมณฑฝ่าฝูงคนเดินเข้ามาในซอยเล็กๆที่อยู่ระหว่างกำแพงอิฐสีแดงทั้งสองด้าน… เดินเข้ามาไม่นานก็เจอร้านเค้กบุฟเฟ่ต์ที่ว่าเปิดป้ายติดไฟว่าโอเพ่นตั้งอยู่จริงๆด้วย…พระจันทร์กระตุกแขนคนที่ยืนข้างๆให้เดินเข้าไปพร้อมกัน สุริยะมณฑลหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะถอดแว่นตาแล้วเดินตามเด็กหนุ่มตัวเล็กผิวขาวเข้าไปด้านใน… บอกตรงๆว่ายังไงเขาก็ไม่ค่อยจะชอบอะไรที่มันหวานๆกลิ่นเลี่ยนๆแบบนี้จริงๆ…
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยไฟสีอมส้ม พื้นที่นั่งของลูกค้าแต่ละโต๊ะก็แยกกันเป็นสัดส่วนโดยมีกำแพงต้นไม้บังไว้เป็นล็อกๆ พอเข้ามาแล้วสุริยะมณฑลก็รู้สึกว่ามันดูกว้างขวางกว่าที่ดูจากภายนอกร้านเมื่อสักครู่นี้มากเลยทีเดียว… โซนขนมเค้กและของหวานอื่นๆจัดแยกไว้ด้านหนึ่ง ส่วนด้านตรงกันข้ามก็เป็นโซนน้ำและกาแฟที่เราสั่งได้ตามใจแล้วคนทำก็จะปั่นน้ำให้เราทันทีเดี๋ยวนั้นเลย… เขาสองคนเข้าไปเลือกที่นั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน แล้วเขาก็ปล่อยให้พระจันทร์เป็นคนไปเลือกขนมที่ชอบเอง และอย่างที่คิด… สิ่งแรกที่พระจันทร์เดินนำกลับมาวางให้ที่โต๊ะก็คือกาแฟดำน้ำตาลไม่ใส่ของเขานั่นเอง…
“เขาบอกว่าเค้กกาแฟดำเพิ่งหมด ของใหม่กำลังจะเสร็จในอีกห้านาที เดี๋ยวจันทร์ไปเอาให้นะ…” เด็กหนุ่มเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปเลือกหยิบขนมเค้กที่ตัวเองชอบ…
สุริยะมณฑลได้แต่ยกยิ้มมุมปากให้กับความใส่ใจในเรื่องของเขาเล็กๆน้อยๆแบบนี้ที่เด็กหนุ่มคอยทำให้เขาจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว…
เขาพาตัวพระจันทร์มาอยู่ด้วยกันที่ฮ่องกงได้เกือบสองปีแล้ว… ตอนมาถึงช่วงแรกเขามีความคิดที่จะส่งตัวเด็กหนุ่มเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลหรือสถานรับเลี้ยงเด็กออทิสติกแล้วเชียว แต่ว่าเหยียน จวิ้น หรือชื่อในวงการคือ แซม ลี ผู้เป็นทั้งเพื่อนรักและนักพยากรณ์ของบริษัทเขาทักว่า เขากำลังได้ ‘แก้ว’ มาอยู่ในมือ… ห้ามเขาเอาไว้ห่างตัวเด็ดขาด… เด็กที่ชื่อพระจันทร์คนนี้แหละที่จะมาช่วยเสริมดวงทางด้านธุรกิจให้เขา… เพราะธุรกิจของเขาที่อยู่มาได้จนทุกวันนี้อาศัยพลังร้อนของไฟดุจดังชื่อของเขาในการปราบปรามคู่แข่งคนอื่น… นั่นทำให้ไม่มีใครกล้ามาเทียบรัศมีของพระอาทิตย์ที่แผ่ปกคลุมคุ้มครองอาณาเขตของตัวเอง แต่นั่นมันก็เป็นแค่พลังงานร้อนด้านเดียว… เขายังขาดพลังงานในด้านเย็นที่จะเข้ามาต้านและช่วยเสริมดวงธุรกิจของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก…
และใครคนนั้นที่เหยียนจวิ้นเคยบอกเอาไว้ก็คือ ‘พระจันทร์’ เด็กที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในชีวิต เด็กที่มีชื่อ ความชอบ และชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง… …เด็กที่ต้องเสียบิดาแท้ๆไปเพราะเขาเป็นคนลงมือฆ่าเองเมื่อเกือบสองปีก่อน ก่อนจะตัดสินใจหิ้วพาเด็กคนนี้กลับมาด้วยและตกลงใจใช้ชื่อตัวเองระบุเป็นผู้ปกครองแทนพ่อของเจ้าตัวทันทีที่รู้ว่าเด็กคนนี้จะมีประโยชน์ต่อธุรกิจของเขาในภายภาคหน้า…
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยให้คนนอกรับรู้ ทุกคนรู้เพียงแต่เขารับน้องชายบุญธรรมที่เป็นเด็กพิเศษเพราะสื่อสารได้ช้ากว่าคนทั่วไปมาอยู่ด้วย… และหลังจากสอบถามไปๆมาๆเขาก็พบว่าเด็กคนนี้อยากจะเรียนหนังสือต่อให้จบม.ปลาย เขาค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกันเนื่องจากประวัติการศึกษาของเด็กคนนี้เรียนในโรงเรียนนานาชาติเหมือนเด็กทั่วไปทุกประการ และผลการเรียนก็ไม่ได้แย่… นั่นก็หมายความว่าถึงจะมีปัญหาด้านการสื่อสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรียนไม่รู้เรื่อง… เขาจึงตัดสินใจให้พระจันทร์สมัครเข้าเรียนต่อในเกรด 11 แล้วก็อย่างที่เห็น สองปีที่ผ่านมาจนจบชั้นม.ปลาย ถึงเกรดจะไม่ได้ A+ ทุกตัว แต่เขาก็ไม่เคยเห็น C โผล่ออกมาในใบเกรดเลยแม้แต่ตัวเดียว…
บางทีเขาก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจริงๆแล้วเด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษจริงๆรึเปล่า ถ้าเขาไม่ได้เห็นผลรายงานการตรวจสุขภาพทางการแพทย์ของเด็กคนนี้ด้วยตาตัวเองแล้วล่ะก็นะ… ยิ่งช่วงพักหลังๆนี่เด็กคนนี้ก็แทบจะไม่มีอาการสื่อสารติดขัดให้เห็น ก็ยิ่งยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าแท้จริงแล้วเด็กคนนี้แกล้งทำเป็นฟังคนอื่นพูดไม่รู้เรื่อง …แกล้งทำเป็นปัญญาอ่อนรึเปล่า…
“เค้กกาแฟดำมาแล้ว… จันทร์เอามาให้ชิม…” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางวางชิ้นเค้กสีน้ำตาลเข้มเสี้ยวหนึ่งลงบนโต๊ะ… สุริยะมณฑลที่ได้ลองลิ้มชิมรสชาดกาแฟดำไปแล้วก็ต้องยอมรับว่าความขมกำลังถูกปากพอดี… เขาจึงคิดอยากลองชิมขนมหวานตรงหน้าต่อ… ไม่แน่มันอาจจะเป็นขนมหวานชิ้นแรกที่เขาทานได้ก็ได้…
“กินเยอะขนาดนั้นไม่กลัวอ้วนเหรอ…” เขาทัก เมื่อเห็นอีกคนยังไม่หยุดหยิบจานเค้กและคุ้กกี้มาวาง… เด็กหนุ่มผมยาวประบ่าส่ายหน้าจนผมม้ากระจาย… ก่อนจะอมยิ้มจนแก้มตุ่ยแล้วบอก…
“แค่นี้ไม่ถึงครึ่งกระเพาะหรอก… คุณก็รู้ว่าพยาธิในท้องจันทร์ทำงานดีแค่ไหน…” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะหันกลับไปหยิบชีสเค้กบลูเบอร์รี่ กับแอปเปิ้ลน้ำตาลเชื่อมมาอีกสองจาน…
สุริยะมณฑลนั่งมองเด็กผิวขาว ผมประบ่า หน้าม้าซอยสั้น กับปากสีอมส้มที่อ้ารับเค้กหลากสีไม่ได้หยุด กินเสร็จก็มีการวิจารณ์ให้ฟังอีกต่างหากว่าเค้กแต่ละจานนั้นใส่อะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง… เขาไม่ได้ฟังหรือรู้หรอกว่าเด็กคนนั้นพูดจริงหรือว่าแค่พูดไปตามการลิ้มรส… แต่ไม่รู้ทำไม…เขาถึงได้ไม่รู้สึกเบื่อในการที่จะฟังสิ่งที่เด็กคนนี้พยายามจะพูดให้เขาฟังจริงๆ…
“...มองอะไรครับ… ไม่เคยเห็นผมกินเค้กเหรอ…หรือว่าคุณอยากชิม… เอามั้ยครับ…” พูดแล้วพระจันทร์ก็ตักเค้กเป็นคำเล็กๆไปจ่อให้ที่ปาก… อีกคนมองตามมือของเขาแล้วเอื้อมมือใหญ่ๆข้างหนึ่งมาจับซ้อนมือเขาไว้เพื่อป้อนเค้กเข้าปากตัวเอง… พระจันทร์มองเขาเคี้ยวซักพักแล้วก็เห็นว่าดื่นกาแฟตาม เด็กหนุ่มจึงพูดขึ้น “…ฮ่าๆ ไม่ชอบล่ะสิ…”
“ใช่… มันหวานเกินไปพี่ไม่ชอบ… พระจันทร์กินเข้าไปได้ยังไง… หมดนี่นี่ไขมันคงปาไปซัก… สองสามกิโลฯเลยนะ”
“ช่วยไม่ได้นี่… คุณบอกเองนะว่าจะให้รางวัลจันทร์… เพราะฉะนั้นก็ทนดูจันทร์กินไขมันสองสามกิโลฯนี่ไปเถอะ…”
สุริยะมณฑลยิ้มมุมปากขำๆแล้วส่ายหน้า… เขายังคงนั่งจิบกาแฟดำพร้อมละเลียดเค้กสีดำๆช้าๆต่อไป สายตาคมกล้าจ้องมองพระจันทร์ที่กำลังมีความสุขกับเค้กกองโตตรงหน้าแล้วก็ยิ้มกับตัวเองคนเดียว… ซักพักโทรศัพท์ของเขาก็สั่น ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจอและพบว่ามันเป็นสายเรียกเข้าของลูกน้องที่บริษัท…
“ฮัลโหล…” ชายหนุ่มหยุดฟังไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “…ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่งแผนที่มาให้ก็พอ…” เขาพูดตอบลูกน้องแค่นั้นแล้วก็วางสายไป…
“เอางานมาทำเองอีกแล้วนะครับ… แล้วแบบนี้คุณจะมีลูกน้องไว้จ่ายเงินเดือนให้อย่างเดียวเองเหรอ…” พูดจบพระจันทร์ก็ทานเค้กเข้าไปอีกคำแล้วเคี้ยวเสียแก้มตุ่ย
“ช่วยไม่ได้… ก็มันบริษัทพี่นี่… ถ้าเราทำอะไรเองได้เราก็ควรจะทำ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็สั่งให้คนอื่นไปทำหมดเหมือนไอตะวัน…” เขาพูดแขวะน้องชายตัวเองเล็กน้อยพลางเอานิ้วโป้งปาดเค้กที่เลอะขอบปากเด็กหนุ่มออกให้แล้วเอามากินเสียเอง… “หวาน…!”
“รู้ว่าหวานแล้วยังจะกินอีกนะ…” พระจันทร์พูดก่อนหัวเราะขำเบาๆ พลางมองชายหนุ่มตรงหน้าดื่มกาแฟดำเสียจนเกือบหมดแก้ว… “คนบ้างาน…” แล้วก็แอบกลับไปแขวะเล็กๆในเรื่องเดิมๆอีกครั้ง
“ก็งานมันสนุกดีนี่… ว่าแต่คืนนี้สนใจจะไปทำงานกับพี่มั้ยล่ะ…”
“ทำงานตอนกลางคืนเนี่ยนะ… งานอะไรล่ะ ไม่ใช่งานบนเตียงใช่มั้ย…” ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขากล้าพูดเรื่องทะลึ่งพรรค์นี้กับผู้ชายตัวสูงตรงหน้า อาจจะเพราะรู้เองโดยธรรมชาติว่า…ระหว่างพวกเขาสองคน จะไม่มีทางเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นอย่างเด็ดขาด… ต่างคนต่างปฏิเสธกันและกันจากส่วนลึกของหัวใจขนาดนี้ มันคงยากที่จะเกิด…
มันก็เหมือนเพื่อนที่สนิทกันมาก จนกล้าที่จะล้อเรื่องแบบนี้ได้ในวงเหล้านั่นแหละ…
“อยากทำมั้ยล่ะ… พี่ไม่มีปัญหาหรอกนะ…” แต่อีกคนกลับหยอดกลับ… ซึ่งนั่นก็ทำเอาคนเริ่มแซวก่อนนั่งหน้าแดงแป๊ด ไปไม่เป็นเลยทีเดียว… “…โธ่ นึกว่าจะแน่…” สุริยมณฑลทำเป็นแสร้งหัวเราะทางจมูกเยาะเด็กตัวน้อยตรงหน้าไปที
“สนุกมั้ยเนี่ยพี่ยะที่แกล้งจันทร์ได้เนี่ย…” เขาว่างอนๆ ตักครีมหน้าเค้กที่หวานจนแสบคอไปปาดป้ายไว้บนหน้าเค้กกาแฟดำของชายหนุ่มเป็นการแก้แค้น…
“ก็ไม่เลวนะ… แกล้งเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบจันทร์ได้… พี่โคตรจะมีความสุขเลย…” แล้วต่างคนต่างก็ทันกันเมื่อสุริยมณฑลก็ตักเอาเค้กกาแฟขมๆของเขาไปป้ายบนจานเค้กที่เด็กหนุ่มถืออยู่ เพราะรู้ดีว่าอีกคนก็เกลียดความขมเข้าไส้พอกันกับที่เขาเกลียดของหวาน…
พระจันทร์อารมณ์เสียกับวิธีการเอาคืนเลียนแบบเด็กๆอย่างเขาของผู้ใหญ่อย่าง ‘พี่ยะ’ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าลุกขึ้นเดินไปเอาเค้กจานใหม่ แล้วก็เผลอหยิบเค้กกาแฟดำติดมือกลับมาให้อีกคนด้วยเช่นกัน
จำไม่ได้แล้วว่าแอบเผลอดูแลกันและกันอย่างไม่รู้ตัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่…
แต่มันก็ไม่แปลกหรอก…ก็เป็นพี่เป็นน้องกันนี่นา… ดูแลกันแค่นี้ธรรมดาออกจะตาย… ตรรกะในหัวชี้แจงเหตุผลให้ตัวเองเสร็จสรรพ
“แล้วว่าไง… จะไปช่วยพี่รึเปล่า… งานไม่ยากหรอกน่า ไม่หลอกพาไปขายด้วย ไม่ต้องออกแรง แถมได้แต่งตัวสวยๆอีกต่างหาก…”
“จะยืมตัวไปควงออกงานอีกแล้วเหรอครับ… คราวนี้เป็นงานกาลาร์ดินเนอร์หรือว่างานประมูลของละครับ…”
“เปล่า…แค่จะยืมไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถ นั่งรถเล่นกับพี่ซักสองสามชั่วโมง… เอามั้ย…”
“แค่นั่งรถเล่นเนี่ยนะ…งาน? อารมณ์ไหนครับเนี่ยคุณมาเฟียใหญ่ จะชวนจันทร์ออกเดททางอ้อมก็บอกมาตรงๆก็ได้นะครับ… สำหรับพี่ยะจันทร์ไม่ปฏิเสธหรอกน่า…”
“เดทเหรอ… ไม่รู้สินะ พี่ไม่เคยชวนผู้หญิงที่ไหนออกเดทด้วยสิ ไม่รู้จะเรียกว่าเดทได้รึเปล่า ปกติมีแต่ชวนไปกินอาหารเย็นแบบนี้ แล้วก็ไปต่อที่โรงแรม เปิดห้องสวีทหรูๆซักห้อง เข้าไปด้วยกัน แล้วก็ออกมาตอนฟ้าสาง…and it’s the end”
“แหวะ… ผู้ชายเจ้าชู้ มั่วกาม ขี้หื่น คาสโนว่าตัวพ่อ…” พระจันทร์ร่ายฉายาชายหนุ่มเสียยาว ก่อนจะจบลงด้วยการย่นจมูกแล้วชิปากใส่
“ฮ่าๆ… น่ารักตายแหละไอเด็กบ้า… ว่าไงจะไปรึเปล่า”
“มาเรียกจันทร์ว่าไอเด็กบ้าแล้วยังจะใช้งานอีกเนี่ยนะ… แบบนี้ใครเขาจะไปด้วยเล่า…”
“อย่างอแงไปเลยน่า…คนแก่ง้อเด็กไม่เป็นจันทร์ก็รู้…”
“ไม่ได้งอแง… เอาเป็นว่าจันทร์ไปด้วยก็ได้ แต่พรุ่งนี้คุณต้องพาจันทร์ไปดูหนัง…” เขานิ่งคิดไปแป๊บนึงว่าช่วงนี้มีหนังเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้ดูอีกบ้าง “…สองเรื่อง…! ตกลงมั้ย”
“เอ้า…แถมเซอร์วิสพิเศษกินข้าวเที่ยงฟรี จะร้านนมปั่น ร้านเค้ก ฟู๊ดคอร์ตหรือจะอาหารตามสั่งก็ได้ ตามใจเลย…”
“เย้ !! จริงนะ… งั้นก็โอเคตกลง… จันทร์ยอมไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้พี่ยะ…ไม่ต้องสามชั่วโมงหรอก เอาเป็นทั้งคืนไปเลยเป็นไง…”
“ทั้งคืนก็ตีกันตายน่ะสิ… ไม่กลัวจะตื่นมาดูหนังไม่ไหวรึไง… พี่ให้เวลาได้แค่หมดมื้อเที่ยงนะ ตอนเย็นต้องเข้าออฟฟิศ…”
พระจันทร์แกล้งตีหน้าง้ำแล้วก็กินเค้กต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ในใจนึกค่อนขอดอีกคนโดยไม่ออกเสียงว่า… ‘ถ้าจะบ้างานขนาดนี้ แต่งกับงานแล้วอยู่กินกันไปจนแก่เถอะ !’
------------------------------ ---- - - - -- -- - -- - - - -
to be continue...
เปิดเรื่องใหม่ (จุดพลุ !!!)...คราวนี้มาในแบบ คนสองคนที่แตกต่างในเรื่องส่วนตัวกันอย่างสุดขั้วบ้าง ทั้งความชอบ นิสัย ที่สำคัญ...อายุ !!! กร๊ากกกกกกกกก อยากเขียนมานานแล้วแนวโชตะค่อนเนี่ย ห้าห้าห้า เรื่องนี้ยอมรับว่าเหนื่อยกว่าเรื่องก่อนมาก เพราะคราวนี้ลงทุนหาข้อมูลเป็นพะเรอเกวียนตั้งแต่ตอนแรกกันเลยทีเดียว
เหมือนเดิมนะคะ ^^ แนะนำ ติ ชม ได้เลยเต็มที่... หรือจะตามไปติกันเป็นการส่วนตัวก็เชิญได้ที่เดิมค่าาาา จิ้มโลด >>>
https://www.facebook.com/pat.majestic.1<<<
อาจไม่ได้มาอัพบ่อย...
กรุณาจิก ทวง กันให้เมามันส์ค่ะ กราบ... @(_ _)@