Chapter :: 20 :: โบยบิน“ห้องนั้น..”
ตอนกำลังจะกลับเข้าห้องพัก จู่ๆ พี่ก็ชะงักเท้า เหลียวมองไปทางขวามือ
ผมมองตามไป เห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้สีขาวซึ่งมีร่างเล็กๆ ถูกคลุมเอาไว้จนมิดชิดออกมาจากห้องนั้น
“อ้าวน้องเพชรกลับมาพอดี พี่กำลังจะออกไปตามหาเลย” พี่สาวพยาบาลพิเศษเปิดประตูออกมาจากห้องพักของผม
“ห้องนั้นน่ะครับ” พี่พยักพเยิดไปทางขาวมือ
ตอนนี้เตียงสีขาวนั้นกำลังหยุดรอลิฟต์ มีเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ของหญิงสาววัยกลางคนที่ยืนรออยู่ด้วยกันดังสะท้อนไปตามทางเดินที่เงียบเชียบ
“ผมได้ยินมาว่าเป็นเด็ก”
“ค่ะ น้องโมแกจากไปแล้วอย่างสงบเมื่อช่วงสายนี้เอง นี่ญาติๆ คงมารับศพกลับ”
“น่าสงสารจังเลยนะครับ”
“ค่ะ แกเป็นเด็กน่าสงสาร แต่แกก็ไปสบายแล้วล่ะค่ะ.. น้องเพชรเข้าห้องดีกว่านะคะ ได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว”
“.........” ผมหันกลับไปมองเตียงสีขาวพร้อมร่างเล็กๆ ที่ถูกคลุมไว้มิดชิดอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็รู้ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง
“ไปตัวเล็ก ทานข้าวแล้วจะได้ทานยาเนอะ” พี่แตะบนหลังมือผมที่จับแขนของพี่ไว้
“ฮะ” ผมพยักหน้า
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขา คุณป๋าในสภาพน้ำตานองหน้า เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงก็เดินเข้ามา
“อาจารย์? เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น?” พี่ผละเข้าไปถามคุณป๋า
“คุณธัชบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ? ทำไมมีสภาพแบบนี้?” พี่สาวพยาบาลก็เช่นกัน
“น้องเพชร..” แต่คุณป๋าราวกับมองไม่เห็นคนทั้งคู่
คุณป๋าโผเข้ามากอดผมไว้แน่น
“คุณป๋าเป็นอะไรฮะ?”
ผมลูบหลังลูบไหล่อันสั่นเทานั้นอย่างปลอบประโลม
“คุณแม่.. คุณแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว” เสียงคุณป๋าแหบพร่าไร้เรี่ยวแรง
“เป็นไปได้ยังไงครับ? ก็หมอเขาบอกว่าอาการน้านาฏพ้นขีดอันตรายแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่ละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ
“เธอ..เธอกระโดดตึก..เมื่อกี๊นี้เอง..กระโดดลงไปจากระเบียงห้อง”
“ตายจริง!” เสียงพี่สาวพยาบาลอุทาน
“แต่..แต่น้านาฏยังไม่ฟื้น..”
“ฟื้นแล้ว.. เธอฟื้นแล้ว..ป๋าเห็นเธอฟื้น...ป๋าเลยไปตามหมอ..แต่..แต่พอกลับมา..เธอก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว..”
“โธ่ น้านาฏ..”
“.........” ผมยังลูบหลังลูบไหล่คุณป๋าต่อไป
ข่าวที่ได้รับไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ เพราะร่างเล็กๆ ที่ผมเห็นตอนมองลงไปข้างล่าง.. ร่างเล็กๆ แหลกเหลวบนพื้นซีเมนต์สีแดงฉาน..
ร่างนั้นคือคุณแม่
ผมแค่ผ่านไป.. แต่เห็นประตูห้องคุณแม่เปิดแง้มเอาไว้ ผมเลยเดินเข้าไปดู ร่างคุณแม่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง
พอผมเดินเข้าไปใกล้ คุณแม่ก็ลืมตา เราสบตากันอย่างเงียบเชียบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมจะถอดท่อช่วยหายใจของคุณแม่ออก
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียง.. เสียงเพลงอันคุ้นหู
ผมขยับเท้า แต่ถูกคุณแม่ดึงชายเสื้อเอาไว้ ผมหันกลับไป คุณแม่พูดอะไรบางอย่าง พูดโดยไม่มีเสียง คอของคุณแม่คงไม่สามารถเปล่งเสียงได้อีก แต่ผมเข้าใจ ผมรู้ว่าคุณแม่ต้องการอะไร
“จำไม่ได้แล้วเหรอฮะ? ก็คุณเป็นคนฆ่าเองกับมือ ..น้องเพชรคนนั้นน่ะ” คุณแม่ยอมปล่อยมือ ผมเดินออกจากห้อง
ตามเสียงเล็กๆ นั้นไป..
ตามแผ่นหลังเล็กๆ นั้นไป..
มาถึงตอนนี้ ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินนั้นคืออะไร มันจะใช่สิ่งที่เรียกกันว่าดวงวิญญาณ หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพหลอนที่ผมจินตนาการไปเอง ผมไม่รู้.. ไม่สนใจที่จะรู้ ไม่ว่าอย่างไหนมันก็คงไม่สำคัญหรอก
ไม่ว่าจะอยู่..หรือตาย
เป็นผี..หรือเป็นคน
ตอนนี้ไม่มีใครต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว
ทุกคนถูกปลดปล่อย.. ทุกคนได้โบยบิน..
“ไม่เป็นไรนะฮะ คุณแม่ไปดีแล้วฮะ” ผมกระซิบปลอบคนที่กำลังเสียใจ
ใกล้แล้วฮะคุณป๋า..
อีกแค่นิดเดียวเรื่องนี้ก็จะจบบริบูรณ์แล้ว...
“เสียใจด้วยนะคะ”
คู่หมั้นของพี่นทในชุดแต่งกายสีดำล้วนเดินเข้าพูดกับคุณป๋าและผม ห่างออกไปเห็นพี่นทกำลังพยุงป้านีที่เป็นลมแล้วเป็นลมอีกตั้งแต่ได้รับข่าวกลับไปที่รถ
“ครับ” คุณป๋ารับคำสั้นๆ
เธอคนนั้นค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการขอตัว ก่อนเดินตามพี่นทกับป้านีไป
“.........” ผมละสายตาจากแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น หันไปมองคุณป๋า ก็เห็นคุณป๋ากำลังก้มมองลงมาพอดี
ผมยิ้มให้ใบหน้าที่แสนเหนื่อยล้ากับแววตาที่เปล่งแสงเพียงริบหรี่
“.........” คุณป๋าตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่แสนปลอดโปร่ง..
“.........” ผมแหงนหน้ามองกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกจากปล่องเมรุ พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างสีครามสดใส คงมีสักแห่งบนนั้นที่คุณแม่จะอยู่ได้อย่างมีความสุข ..ตลอดไป
“.........” ผมยกยิ้มให้กลุ่มควันที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนท้องฟ้า
แล้วพบกันใหม่นะฮะ
คุณแม่..
“กลับมาแล้วเหรอฮะ?” ผมเดินออกมารับคุณป๋าที่เพิ่งเลิกงานกลับมาถึงบ้านเกือบหกโมงเย็น
“กลับมาแล้ว.. แล้วนี่อินทัชยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” คุณป๋าเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครนอกจากผมก็เลยถามหาพี่
“กลับมาแล้วฮะ แต่ถูกเรียกออกไปอีก พักหนึ่งแล้วล่ะ เดี๋ยวก็คงมา”
ผมวางกระเป๋าคุณป๋าไว้บนโซฟา แล้วเดินไปเอาน้ำเย็นมาให้
ผมกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้เกือบสัปดาห์แล้ว อาการอะไรก็แทบไม่มีแล้ว แต่ยังไม่นึกอยากไปเรียนเท่าไหร่ เลยอยู่ที่บ้านเฉยๆ ส่วนพี่ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่กับเราในช่วงวันธรรมดา ถึงสุดสัปดาห์จึงจะกลับไปนอนบ้านตัวเอง
“อืม.. แล้ววันนี้หนูเป็นยังไงบ้าง?” คุณป๋ายื่นมือมารับแก้วน้ำจากผม
ผมทิ้งตัวนั่งข้างๆ
“ก็ดีฮะ ผมรื้อแปลงกุหลาบหินออกหมดแล้ว”
“รื้อแล้วเหรอ? อย่าหักโหมนะ แผลหนูยังไม่หายดี”
“ฮะ”
“แล้วคราวนี้จะปลูกอะไรล่ะ?”
“แคคตัสฮะ พี่บอกว่าเดี๋ยวเสาร์นี้จะพาไปซื้อที่จตุจักร”
“อืม.. น้องเพชร” คุณป๋าวางแก้วน้ำ แล้วเอามือมาลูบหัวผม
“ฮะ?”
“อินทัชเขาดีกับหนูไหม?”
“ดีฮะ”
“เขาดูแลหนูดีใช่ไหม?”
“ฮะ”
“งั้นเหรอ..” คุณป๋าจ้องนิ่งเข้ามาในตาของผม
“คุณป๋าไม่ต้องห่วงนะฮะ พี่ดีกับผม.. และจะดีกับผมตลอดไป” ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ ซบที่ไหล่คุณป๋า คุณป๋าก็โอบผมเอาไว้หลวมๆ
“งั้นเหรอ..” คุณป๋ายังพึมพำคำเดิม
“วันนี้คุณป๋าเหนื่อยสินะฮะ” ผมผละออกจากอกอีกฝ่าย เงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีหม่นมืด แนบมือตัวเองลงไปบนแก้มสากๆ ทั้งสองข้าง
“อือ” คุณป๋ารับคำในลำคอ ตาทั้งสองข้างค่อยๆ ปรือปิดลง
“งั้นนอนพักสักหน่อยนะฮะ รอพี่กลับมาแล้วเราค่อยทานข้าวเย็นพร้อมกัน” ผมขยับตัวถอยให้มีช่องว่าง ก่อนค่อยๆ กดตัวคุณป๋าให้นอนลงหนุนตัก
“อือ” คุณป๋านอนลงอย่างว่าง่าย ผมใช้นิ้วเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้าปรกตาออกให้ พลางฮัมเพลงโปรดของแม่พลอยกล่อมคลอไป
“Lavender's blue, dilly dilly, … Lavender's green... When you are King, dilly dilly,..” ผมก้มลงไปจูบขมับคนบนตัก แล้วกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“I shall be Queen....”
“.........” คุณป๋าลืมตาขึ้นมอง
เราสบตากันอีกครั้งในระยะห่างเพียงไม่กี่คืบ ก่อนที่มืออุ่นๆ ของคุณป๋าจะรั้งคอผมโน้มลงไปหาอีก
จนริมฝีปากเราจรดกัน..
“คุณพลอย” “ตัวเล็ก..”
ขณะที่ผมกำลังยืนรดน้ำแปลงแคคตัสหลากหลายพันธุ์ของตัวเองอยู่ จู่ๆ พี่ก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหา
“ฮะ?” ผมหันไปมองพี่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ามันค่อนข้างสายมากแล้ว ทำไมพี่ยังไม่ไปเรียนอีก?
“ตัวเล็ก..” พี่มาหยุดยืนตรงหน้าผม ดูเหมือนอึกอักลังเลที่จะพูด
“มีอะไรฮะ?” ผมหันกลับไปสนใจแปลงแคคตัสต่อ
“อาจารย์น่ะ..” พี่เข้ามากอดผมไว้จากด้านหลัง
“.........” คุณป๋า..
“อาจารย์แกไม่อยู่กับเราแล้วนะ”
“.........” ผมจ้องมองสายละอองน้ำที่พร่างพรมลงบนแคคตัสหนามแหลม
“ตำรวจเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี๊.. รถอาจารย์เกิดอุบัติเหตุ...ไปชนกับเสาไฟฟ้า..ระหว่างทางไปมหา’ลัย”
“.........” ดอกสีขาวเล็กๆ ของแคคตัสต้นหนึ่งถูกสายน้ำปะทะจนปลิดปลิวลงสู่ดินสีดำเลอะเทอะ
“ไม่เป็นไรนะ.. ตัวเล็กยังมีพี่อยู่อีกคนนะ” พี่กอดผมเอาไว้แน่น
“.........” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอด
นั่งลงเก็บดอกแคคตัสเปรอะเปื้อนขึ้นมา
“พี่ยังอยู่ข้างๆ ตัวเล็กนะ” พี่นั่งตามมากอดผมเอาไว้เหมือนเดิม
“.........” สีขาว.. ช่างสกปรกง่าย
ผมขยี้ดอกไม้ที่แสนสกปรกนั้นจนแหลกเหลว
“ไม่เป็นไรนะ”
“ตอนนี้คุณป๋าอยู่ที่ไหนฮะ?”
เหลือเพียงเศษซากที่ดูไม่ออกว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นดอกไม้แสนสวย
“โรงพยาบาล..”
“พาผมไปหาคุณป๋าหน่อยสิฮะ”
“เราได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นแล้ว พบว่าช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุไม่มีการขับรถตัดหน้าหรือเบียดแซงใดๆ สภาพถนนในช่วงเวลานั้นก็ค่อนข้างโล่ง รถของผู้ตายขับมาตามปกติก่อนจะพุ่งชนเสาไฟฟ้า การตรวจสอบสภาพรถในเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีปัญหาอะไร จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย” ร้อยเวรที่ไปดูแลจุดเกิดเหตุเป็นคนรายงาน ขณะที่ผมกับพี่เข้ามายืนยันศพคุณป๋า
“อาจารย์..” พี่ครางเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีตอนที่ร้อยเวรเปิดผ้าคลุมร่างออก
“.........” ดูเหมือนคุณป๋าจะถูกทำความสะอาดไปบ้างแล้ว ถึงจะยังมีคราบเลือดติดอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ยังเป็นคุณป๋าคนเดิม
เป็นคุณป๋าที่แค่นอนหลับไป
“ใช่คุณธชยหรือเปล่าครับ?”
“ครับ” พี่พยักหน้า
“เสียใจด้วยนะครับ” เสียงร้อยเวรพูดขึ้นเบาๆ
“.........” ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ ลูบมือลงไปบนแก้มของคุณป๋า
อุณหภูมิที่เย็นเฉียบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแตกต่าง เป็นหนวดเคราที่สากกว่าทุกวันต่างหากที่ทำให้ผมแปลกใจ
“ตัวเล็ก”
“เพราะวันนี้ผมตื่นสาย เลยไม่ได้โกนหนวดให้คุณป๋า ผมขอโทษนะฮะ ผมน่าจะตื่นให้เร็วกว่านี้” ผมกระซิบบอกกับคนที่เหมือนกำลังนอนหลับ
“ตัวเล็ก..”
“เดี๋ยวผมไปหาที่โกนหนวดมาโกนให้นะฮะ กรรไกด้วย ถ้าคุณป๋าได้ตัดผมออกอีกสักหน่อย จะดูเรียบร้อยกว่านี้นะฮะ”
“.........” ผมรับรู้ถึงแรงกอดจากด้านหลัง ..มันอุ่น
แต่ร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเย็น.. เย็นจัง..
ผมเพิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างของอุณหภูมิ ..ทำไมเย็นแบบนี้?
คุณป๋าเย็นไหมฮะ? คุณป๋าหนาวหรือเปล่า?
“ผมน่าจะไปหาเสื้อหนาๆ มาให้คุณป๋าด้วย รอเดี๋ยวนะฮะ”
“ตัวเล็ก..” ผมจะขยับ แต่พี่ก็ยังกอดเอาไว้แน่น
ร้อยเวรกับเจ้าหน้าที่ในห้องต่างเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่มีใครคิดจะสนใจคุณป๋าของผมสักคน
“พี่.. ปล่อยผมก่อนสิ เดี๋ยวคุณป๋ารอ”
“พอเถอะตัวเล็ก.. พอเถอะนะครับ.. ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“.........”
“นะครับ คนดี..”
“.........”
คุณป๋า.. บินไปแล้วสินะฮะ
“.........”
รอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นที่ริมปากของผม..
“เสียใจด้วยนะคะ”
คู่หมั้นของพี่นทในชุดแต่งกายสีดำล้วนเดินเข้าพูดกับผม ห่างออกไปเห็นพี่นทกำลังพยุงป้านีกลับไปที่รถ
“ฮะ” ผมรับคำสั้นๆ
เธอคนนั้นค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการขอตัว ก่อนเดินตามพี่นทกับป้านีไป
“โธ่ ลูกเอ๊ย.. หมดเคราะห์หมดโศกสักทีเถอะนะ” ย่าของพี่เข้ามาลูบหัวลูบไหล่ผมด้วยความเวทนาสงสาร ข้างหลังมีแม่ของพี่กับน้องของพี่ยืนสงบนิ่งอยู่
“จากนี้ก็ดูแลน้องให้ดีนะอิน ให้สมกับที่คุณธัชเขาไว้ใจ เขาจะได้ไปแบบหมดห่วง” พ่อของพี่พูดกับพี่
“ครับพ่อ”
“.........” ผมแหงนหน้ามองกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกจากปล่องเมรุ พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างสีครามสดใสเหมือนดังวันนั้น
ท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่..
คุณป๋าจะได้เจอกับคุณแม่หรือเปล่านะ?
แล้วแม่พลอยล่ะ ป่านนี้จะไปอยู่ที่ไหน?
“.........” ผมยกยิ้มให้กลุ่มควันที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนท้องฟ้า
แล้วพบกันใหม่นะฮะ
ทุกคน..
“Lavender's blue, ..dilly dilly, Lavender's green.. When you are King, ..dilly dilly,.. I shall be Queen... ฮื้ม...ฮืม..ฮือ”
“กลับมาแล้วครับ” เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้ผมที่กำลังนั่งสับไส้เดือนที่เจอในแปลงแคคตัสหันไปมอง
“กลับมาแล้วเหรอฮะ?”
“อื้อ.. คราวนี้จะปลูกอะไรอีกเหรอ คนเก่ง?” พี่เดินเข้ามาหาพร้อมกับแก้วน้ำหวานสีแดง สายตาสงสัยจับจ้องมายังไส้เดือนสามสี่ท่อน และซากต้นแคคตัสที่ถูกรื้อออกมากองไว้ข้างแปลง
“ผมอยากได้ดอกไม้สีแดง..” ผมหันกลับมามองที่แปลงดินสีดำพลางครุ่นคิด เห็นไส้เดือนบางท่อนนั้นยังขยับได้ เลยสับซ้ำลงไปอีกหลายที
“หืม ทานน้ำก่อนนะ” พี่นั่งลงข้างๆ ยกแก้วน้ำหวานมาป้อนให้ถึงปากผม
“พี่ว่าอะไรดีฮะ?” ผมดื่มไปได้เกือบครึ่งแก้วก็ถามพี่อีก
“อืม.. เยอบีร่าดีไหม? เยอบีร่าสีแดงก็ดูสวยดีนะ” พี่เอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้พลางครุ่นคิดบ้าง
“เยอบีร่า..”
“เลี้ยงง่ายด้วยนะ”
“เหรอฮะ”
“รื้อก็ง่ายด้วย เผื่อตัวเล็กอยากปลูกอย่างอื่นอีก”
“ก็ดีฮะ” ผมพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวเสาร์นี้ไปจตุจักรกัน”
“ฮะ”
“ไปซื้อของใช้เข้าบ้านด้วยก็ดีเหมือนกัน วันก่อนเห็นป้าน้อมบอกนั่นหมดนี่หมดเยอะแยะไปหมด”
“ฮะ”
“เหนื่อยหรือยัง?”
“นิดหน่อยฮะ”
“วันนี้แค่นี้ก่อนดีไหม?”
“ก็ได้ฮะ”
“งั้นเข้าบ้านกันเถอะ” พี่ช่วยฉีดน้ำล้างมือล้างขาให้ผม ก่อนโอบพาเดินกลับเข้าบ้าน
“ว่าแต่ว่าเย็นนี้เราจะทานอะไรกันดี?”
“อะไรก็ได้ฮะ”
“ตอบแบบนี้ทุกที”
“พี่ทำอะไรก็อร่อย”
“แบบนี้ค่อยฟังชื่นใจหน่อย”
“คนบ้ายอ”
“ฮ่าๆๆ”
Lavender's blue, ..dilly dilly, … Lavender's green...
When you are King, ..dilly dilly,.. I shall be Queen...
ฮื้ม...ฮืม..ฮือ..- - - - - -
คุณแม่ หรือคุณนาฏ ที่เป็นแม่เลี้ยงนั้นป่วยด้วยเหตุปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่าง ไม่ใช่อาการที่มากับสายเลือดค่ะ
แม่ หรือคุณพลอย ที่เป็นแม่แท้ๆ นั้นนอกจากจะป่วยเพราะเหตุปัจจัยภายนอกแล้ว ก็ยังเป็นอาการที่มากับสายเลือดหรือพันธุกรรมด้วย คุณยายของคุณพลอย(คุณทวดของน้องเพชร)ก็เคยมีอาการเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าอาการมันจะถ่ายทอดมาสู่น้องเพชรด้วยก็เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่น้องเพชรประสบพบเจอมาด้วยนั่นแหล่ะ ก็ผสมปนเปช่วยกันเร่งปฏิกิริยาไป ..ประมาณนั้นล่ะมั้ง ฮ่ะๆๆ
ขออธิบายแค่เรื่องนี้แล้วกันนะคะ ในส่วนอื่นไวท์ขออนุญาตไม่อธิบาย เพราะตั้งใจจะให้คนอ่านเข้าใจไปในทิศทางของตัวเองมากกว่า ด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจอันซับซ้อนของมนุษย์ ก็เลยอยากจะให้คนอ่านซึ่งก็เป็นมนุษย์(..ใช่เปล่า?)ใช้จิตใจอันซับซ้อนของตัวเองทำความเข้าใจเอาเองดีกว่าเนาะ
ค่อยๆ อ่านไป ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน เรื่องนี้มีตัวหนังสือแค่นิดเดียว แต่อาจต้องอาศัยการตีความสักเล็กน้อย กับจินตนาการอีกนิดๆ หน่อยๆ
แต่ถ้าสุดท้ายแล้วจะไม่เข้าใจอะไรเลย ก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้งคะ ฮ่ะๆๆ
เอาน่า ยังมีเรื่องสำคัญในชีวิตอีกมากมายให้คิดไม่ใช่เหรอ?
แฮปปี้ทูรี้ดดีกว่าค่ะ :”)
ปล. ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายอีกสั้นๆ นะ ..อ่า ใช่ เหมือนจะยังไม่ได้บอก... มันจบแล้วล่ะ
