(ต่อ)
“อร่อยดี” หลังตักปลาราดพริกเข้าปาก เคี้ยวสองสามที ต๊อกแต๊กก็หันไปยิ้มให้คนที่ตักมันมาวางในจานของเขา
“เอาอีกชิ้นไหม?” ปากถาม แต่มือตะนอยก็ตักอีกชิ้นมาวางในจานของต๊อกแต๊กแล้ว
“เฮ้ย เดี๋ยวมึงก็ไม่อิ่มหรอก เอาคืนไป” ต๊อกแต๊กรีบตักคืนไปด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไร” แต่ตะนอยก็ตักมาไว้ที่เดิมอีก “แค่เห็นมึงกินกูก็อิ่มแล้วล่ะ”
“อ่ะ.. อย่าทำให้กูอยากอ้วกทั้งที่ยังกินไม่อิ่มได้ป่ะ” ปากบ่นกระปอดกระแปดแต่หูกลับแดงเถือกไปหมด ทำเอาเจ้าของปลาราดพริกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนบ้า
“.........” ผมซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามได้แต่มองทั้งสองคนสลับกันไปมา แล้วตักข้าวทานต่อเงียบๆ
เพราะวันนี้คุณป๋ามีสอนถึงหกโมงเย็น พี่ก็ยังอยู่ในช่วงเข้าค่ายเก็บตัว ผมเลยออกมาทานข้าวเย็นแถวหอเก่าพร้อมตะนอยและต๊อกแต๊ก
“หวัดดีครับเฮียจี้” ตะนอยเอ่ยทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน
พี่หมอพยักหน้าแล้วมานั่งเก้าอี้ว่างข้างๆ ผม
“เอ้า” พี่หมอยื่นเสื้อคลุมที่ผมไปลืมไว้ที่คลินิกเมื่อวันก่อนคืนให้ ก่อนมาพี่หมอก็โทรมาบอกผมก่อนแล้ว
“ขอบคุณฮะ” ผมเก็บเสื้อใส่เป้
“แล้วเรื่องแม่เป็นยังไงบ้าง?”
“ผ่านไปด้วยดีฮะ จนถึงวันที่พาคุณแม่กลับไปส่งก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“อืม”
“พี่หมอทานอะไรมาหรือยังฮะ?”
“ยัง แต่นัดกับพวกไอ้ฝูไว้แล้ว เห็นมันบอกว่าจะมาหาตะนอยพอดี” ประโยคท้ายพี่หมอหันไปพูดกับเจ้าของชื่อ
“เฮียจะมาหาผมเหรอ? ..เรื่องอะไรวะ?” ตะนอยพึมพำกับตัวเอง ก่อนหันไปเห็นต๊อกแต๊กที่นั่งมองพี่หมอด้วยท่าทางสนใจ แต่ยังไม่มีใครแนะนำ
“เออไอ้หล่อ นี่เฮียจี้ เพื่อนเฮียฝู อยู่คณะแพทย์ แล้วก็..สนิทกับเพชรด้วย”
“หวัดดีครับ” ต๊อกแต๊กยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรที่ดูเกร็งเล็กน้อย
คงเพราะสีหน้าแววตาที่ค่อนข้างเย็นชาตามปกติของพี่หมอนั่นล่ะ
“หวัดดี” พี่หมอรับไหว้
“มันชื่อแต๊กน่ะ” ตะนอยบอก
“อืม ที่เป็นเดือนมหา’ลัยปีนี้ใช่ไหม?” พี่หมอให้ยิ้มนิดๆ ทำเอาเจ้าตัวพยักหน้ารับแบบเขินๆ
“เฮียรู้ด้วยเหรอเนี่ย แสดงว่าไอ้หล่อของเราก็ดังเหมือนกันน่ะสิ”
“ดังสิ สาวๆ ที่คณะพี่พูดถึงกันบ่อยจะตาย มีแต่เรานั่นแหล่ะตะนอย พอเปลี่ยนลุคแล้วเงียบกริบเลยนะ”
“ฮ่ะๆๆ สงบสุขขึ้นเยอะเลยล่ะเฮีย”
“ดีแล้ว จะได้จบตามเกณฑ์กับเขาสักที”
“โหเฮีย..” หน้าบานไม่เก็บอาการจนคนที่นั่งข้างๆ เริ่มมองแปลกๆ แล้ว แต่ตะนอยก็ยังไม่รู้ตัว
“โย่ว” ผ่านไปครู่หนึ่งพี่ฟงฝูกับพี่ปอก็เดินเข้ามาในร้าน
“อ้าวหมอจี้ มานานแล้วยังวะ?” พี่ปอเป็นคนทัก
“เพิ่งมา”
“เฮียมีอะไรกับผมเหรอ?” หลังทักทายกับเรียบร้อย ตะนอยก็เข้าประเด็น
“กูมีข่าวดีๆ มาบอกมึงล่ะตี๋” พี่ฟงฝูแย้มยิ้มไม่น่าไว้ใจสุดๆ
“อะไร?” ตะนอยเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาทันที
“เฟยเฟยกลับมาแล้ว”
“ห๊ะ?!” ท่าทางตะนอยตกใจกับข่าวนั้นมากทีเดียว
ผมกับต๊อกแต๊กมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เพราะไม่ค่อยได้เห็นอาการสะดุ้งสะเทือนแบบนี้ของตะนอยสักเท่าไหร่
“ตามนั้นแหล่ะ อิอิ” แต่คนแจ้งข่าวกลับดูอารมณ์ดีแบบแปลกๆ
“กูมาแค่นี้ล่ะ โชคดีนะ”
“เดี๋ยวเฮีย! ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้วะ?”
“วันก่อน.. ที่จริงมันสั่งว่าห้ามบอกเพราะกะจะมาเซอร์ไพรส์มึง อืม..เย็นนี้แหล่ะ”
“เย็นนี้? แล้วเพิ่งมาบอกเนี่ยนะ?!”
“เอ๊า ความผิดกูเหรอ?” พี่ฟงฝูทำตาปริบๆ ไม่รู้เรื่องราว
“ก็บอกแล้วไงว่ามันสั่งห้าม แต่กูก็ยังอุตส่าห์ใจดีถ่อมาบอกมึงถึงนี่ เผื่อมึงต้องการเวลาเตรียมใจสัก..สองสามนาที”
“ใจดีกับผมมาก ไอ้เฮีย” ตะนอยกัดฟันกรอด “จริงๆ แค่โทรมาบอกก็ได้นะ ไม่ต้องอุตส่าห์ถ่อมา”
“เพราะกูอยากเห็นหน้ามึงตอนนี้ไงล่ะตี๋~ ฮ่าๆๆ”
“เอาน่ะ โชคดีที่ตอนนี้มึงยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน ไม่งั้นล่ะเตรียมหย่าขาดได้เลย เอี้ยเฟยไม่ยอมปล่อยมึงหลุดมือแน่” พี่ปอมาตบบ่าตะนอยแล้วหัวเราะชอบใจตามเพื่อนซี้ไปอีกคน
“ไอ้บ้านั่นจะมาเหรอ งั้นกูรีบไปดีกว่า” พี่หมอพึมพำแล้วลุกขึ้น
“เออ กูก็ไปแล้วนะ ไม่ค่อยอยากเจอหน้ามันเท่าไหร่เหมือนกัน ไปก่อนนะน้องเพชร ไปแล้วโว้ยไอ้หล่อแต๊ก”
แต่ยังไม่มีใครได้ก้าวออกไปนอกร้าน ใครอีกคนหนึ่งก็เปิดประตูสวนเข้ามา พาพวกพี่ฟงฝูถอยกรูดกลับมาตั้งหลักกันที่โต๊ะด้วยความตกใจ
“นอยยยยย~” แต่คนมาใหม่เหมือนมองยังไม่เห็นใครนอกจากตะนอย
“เฮียเฟยมาได้ไงเนี่ย?” ตะนอยผวาถอยหลัง
แต่อีกฝ่ายคว้าแขนกอดหมับ ไม่ยอมให้ขยับหนี
“เซอร์ไพรส์ไหมล่ะ?”
ผู้ชายคนนี้ตัวสูงกว่าผมไม่เท่าไหร่ หน้าตาออกสวยพอๆ กับพี่หมอจี้ หรือเผลอๆ อาจจะดูสวยกว่าด้วยซ้ำ แต่ให้อารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้ามองพี่หมอแล้วนึกถึงภูเขาน้ำแข็ง ผู้ชายคนนี้ก็ให้อารมณ์ประมาณภูเขาไฟนั่นล่ะ
“มากมาย” ตะนอยที่ไม่สามารถสลัดอีกฝ่ายหลุดได้ทำหน้าเซ็งโลกเต็มที
“อ้าว แล้วลื้อมาทำอะไรที่นี่น่ะอาฝู?” ผู้ชายคนนั้นเพิ่งจะสังเกตเห็นคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แม้จะเจาะจงยิงคำถามไปที่พี่ฟงฝู แต่สายตากลับพุ่งตรงไปที่พี่หมออย่างไม่เป็นมิตร
“อั๊วะก็มีธุระบ้างสิ แต่ตอนนี้หมดแล้ว ขอตัวล่ะ” ตอบแล้วก็ทำท่าจะผละออกไป
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ จิรา คงไม่ได้แอบมาหาอานอยของฉันหรอกนะ”
ว่าสายตาไม่เป็นมิตรแล้ว น้ำเสียงยิ่งเป็นศัตรูชัดๆ
“เฮ้ยๆๆ ลื้ออย่าพาล เฟยเฟย ไอ้หมอมันมากับอั๊วะเว้ย”
พี่ฟงฝูกับพี่ปอที่กำลังจะออกไปต้องรีบกลับมาล็อคแขนพี่หมอคนละข้างแล้วลากออกไปด้วยกันทันที
“จิ๊ หมอนั่นไม่ได้มาหาลื้อแน่นะนอย?” คนถามตวัดสายตามองคนที่ตัวเองยังไม่ยอมปล่อยแขน พอตะนอยทิ้งตัวนั่งลง ทางนั้นก็ทิ้งตัวนั่งตามโดยไม่ยอมห่างไปไหน
“แหงสิ ทำไมเขาต้องมาหาผมด้วย?”
“อย่าคิดว่าอั๊วะไม่รู้นะว่าลื้อชอบหมอนั่นมาตั้งแต่ ม.ต้น ไม่ใช่ว่าอาศัยช่วงที่อั๊วะไปเรียนต่อแอบคบกันหรอกนะ?”
“บ้าน่า” ตะนอยตอบปัดพลางเหลือบมองต๊อกแต๊กที่เริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ
“ยิ่งไอ้คนน่ากลัวหัวหงอกๆ นั่นไม่อยู่แล้ว ยิ่งทางสะดวกเลยสิ”
“ถึงเฮียฟ้าจะอยู่หรือไม่อยู่ ระหว่างผมกับเฮียจี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”
“อย่าให้รู้แล้วกัน อั๊วะไม่ยอมแน่.. แล้วเด็กนี่เป็นใคร?”
แล้วก็ถึงคิวผมจนได้ ตาเรียวสวยตวัดจ้องผมอย่างเอาเรื่อง
“เพื่อนน่ะ”
“แค่เพื่อน?”
“แค่เพื่อนน่ะสิ ชื่อเพชร ส่วนคนนี้ชื่อแต๊ก”
“รู้จักกันได้ยังไง?” คนพูดเหลือบมองต๊อกแต๊กแค่แว้บเดียว แล้วพุ่งเป้ากลับมาที่ผมต่อ
“ก็เรียนคณะเดียวกัน” ตะนอยยังทำหน้าที่ตอบคำถามต่อไป สายตาเป็นกังวลก็เหลือบมองต๊อกแต๊กอยู่เรื่อยๆ
“สนิทแค่ไหน?”
“ก็แค่เพื่อนนั่นแหล่ะ ไอ้เปี๊ยกนี่มันมีแฟนแล้วน่า ซึ่งก็ไม่ใช่ผม”
“แล้วแฟนไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้มานั่งกินข้าวกับนอย? หรือว่าเป็นหมอนี่?” เขาหันไปทางต๊อกแต๊ก
“เปล่าๆ เพื่อนกัน เพื่อนกันหมดนี่แหล่ะ แล้วเพื่อนจะมานั่งกินข้าวด้วยกันไม่ได้หรือไง?”
“แล้วแฟนเด็กนี่ล่ะ?” ถามไปถามมาก็เหมือนจะวนอยู่ในลูปเดิม
“เขาเป็นนักกีฬา ช่วงนี้อยู่ในช่วงเก็บตัวเลยไม่ว่าง”
“ปกติมานั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้บ่อยไหม?”
“ก็ทุกวัน”
“ทุกวัน!”
“เอ้อ ก็เฉพาะกลางวัน ตอนเย็นแบบนี้ไม่ค่อย”
“แค่เพื่อนจริงๆ นะ”
“จริงครับ จริงๆ”
“ก็ดี..” ผู้ชายคนนั้นพักหน้า แต่สายตาที่มองมายังดูไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่
“.........” เหมือนเขากำลังระแวงผิดคน
แต่เอาเหอะ ท่าทางต๊อกแต๊กตอนนี้คงไม่พร้อมจะรับมือใคร งั้นผมจะยอมนั่งเฉยๆ ให้เขาระแวงต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกัน..
“กูถูกใครสาปเปล่าว้า..” ตะนอยที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเลกเชอร์ระหว่างรอเรียนคาบแรกบ่นพึมพำ
“หมอนั่นไม่ยอมฟังนายอธิบายหรือไง?” ผมรื้อชี้ทออกมาพลิกหาหน้าที่เรียนค้างไว้
“ไม่ยอมให้อธิบายเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เมื่อวานเย็นก็ปิดมือถือไปเลย กว่าเฮียเฟยจะยอมปล่อยตัว กว่าจะถ่อไปถึงหน้าบ้านหมอนั่นก็ดึกดื่น แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมออกมาให้เจออีก ไม่รู้จะงอนอะไรนักหนา ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย”
“ก็ไม่ถูก”
“หือ?” ตะนอยเอียงหน้าขึ้นมองผม
“คนเราพอยืนต่างมุม สิ่งที่มองเห็นต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว เมื่อเราไม่ได้ไปเห็นอย่างที่อีกฝ่ายเห็น บางทีแค่คำพูดอาจยังไม่พอ..”
“เหรอ.. นั่นสินะ”
“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะเพชร” เพื่อนสนิทต๊อกแต๊กที่ผมจำหน้าได้ดีแต่ลืมชื่อทุกทีเอ่ยทักเมื่อเดินเข้ามาในห้อง
“คุณป๋ารีบมาเคลียร์งานน่ะ”
ปกติถ้ามีเรียนเช้าขนาดนี้ คุณป๋ามักจะพาผมมาถึงมหา’ลัยแบบเฉียดฉิวทุกที
“หวัดดีเพชร” ต๊อกแต็กเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างผมแทนที่จะเป็นข้างตะนอยเหมือนทุกวัน แถมยังทำเป็นมองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของผมด้วย
ผมหันไปมองตะนอย หมอนั่นก็ส่งสายตาขอร้องมาทางผม
“ผู้ชายคนเมื่อวานเป็นใครเหรอ?” ช่วยสักหน่อยก็แล้วกัน..
“เฮียเฟย เป็นคนรู้จักตั้งแต่เด็กน่ะ” ตะนอยพูดไปก็เหลือบมองอีกคนที่ทำเหมือนไม่สนใจไป แต่ผมมั่นใจนะว่าทางนั้นกำลังตั้งใจฟังอยู่
“อากงเรากับอากงของเฮียเฟยเป็นเพื่อนรักกัน ครอบครัวเราก็เลยสนิทกันไปด้วย รู้จักคุ้นเคยกันหมดทุกคนแหล่ะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเฮียเฟยถึงได้มาปักอกปักใจอยู่กับเราคนเดียว ทั้งที่ครอบครัวเราก็มีเด็กผู้ชายอีกตั้งหลายคน แล้วก็คอยตามหึงตามหวงจนเรากับคนที่เคยคบกันก่อนหน้านี้จบไม่สวยเลยสักราย”
“ก็ไปม่อเขาเอาไว้น่ะสิ..อ่ะ!” พอรู้ตัวว่าหลุดพูด ต๊อกแต๊กก็รีบตะครุบปากตัวเองไว้ ..แต่ไม่ทันแล้วล่ะ
“เปล่าเหอะ เขามาของเขาเอง” พอเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจ ตะนอยก็เริ่มได้ใจ แต่ก็ยังคงรักษาระดับน้ำเสียงไว้ให้ได้ยินกันแค่สามคน
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะมีคนสวยขนาดนั้นมาติดพันเอง เฮอะ” ต๊อกแต๊กเบ้ปาก
“หน้าอย่างกูมันทำไม? ก็หน้าอย่างกูไม่ใช่เหรอที่..”
“แล้วไม่เคยปฏิเสธเขาไปหรือไง?” ผมแทรกก่อนที่สองคนนี้จะเริ่มทะเลาะกันข้ามหัวผม
“เคย ขนาดเคยปฏิเสธไปตรงๆ แล้วว่าเราไม่ได้คิดแบบนั้นกับเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง จนเราไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน จะให้ด่าแรงๆ ก็ใช่ที่ ยังไงเขาก็เป็นพี่เราหลายปี ยิ่งถ้าอาละวาดขึ้นมาจะยิ่งน่าปวดหัว ..แล้วก็อย่างที่บอกว่าครอบครัวเราสนิทกัน”
“.........” เพราะท่าทางจริงจังด้วยเหตุด้วยผลของตะนอยทำให้ท่าทีของต๊อกแต๊กเริ่มอ่อนลง แต่แววตายังแอบดื้อดึง
“จริงๆ เฮียเขาก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกนะ แค่อาจจะมั่นใจในความคิดของตัวเองมากไปหน่อย เลยไม่ค่อยยอมฟังคนอื่นเท่าไหร่ มันพูดยากก็ตรงนี้แหล่ะ”
“ก็ทำให้เขายอมฟังสิ” พอเห็นต๊อกแต๊กอ้าปากเหมือนนึกเหตุผลที่จะเถียงออก ผมก็รีบแทรกขึ้นอีก สองคนมองมาที่ผมจุดเดียว
“เพราะที่ผ่านมาไม่ได้คิดจะจริงจัง ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าเดือดร้อนเวลาที่ถูกเขามารังคราญจนต้องเลิกราไปใช่ไหมล่ะ?”
“ก็..ใช่” ตะนอยยอมรับ
“เขาเองก็คงเห็นว่านายไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนจริงจัง มันคงเหมือนมองเห็นความหวังล่ะมั้ง ก็เลยยังตามรังควาญมาเรื่อยๆ แบบนี้”
“ก็อาจจะใช่”
“แล้วคราวนี้ล่ะ?” ผมถามเปิดทางให้
“จริงจัง” ตะนอยตอบหนักแน่น สายตาจับจ้องไปที่ต๊อกแต๊กแบบไม่วางตา จนทางนั้นต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเอง
“งั้นก็ไปดับความหวังเขาซะสิ” ผมพูดลอยๆ
ทั้งต๊อกแต๊กทั้งตะนอยมองผมแบบอึ้งๆ
“เลือกใช้คำพูดได้เลือดเย็นสมเป็นนาย..” ตะนอยพึมพำ
แล้วก็หันประสานสายตาเข้ากับต๊อกแต๊กที่กำลังมองมาพอดี
“ไปกับกูนะ”
คำขอร้องของตะนอยได้รับริ้วแดงๆ จากแก้มของต๊อกแต๊กเป็นคำตอบ
ก็..เคลียร์แล้วล่ะมั้ง
“.........” จู่ๆ ผมก็นึกสงสัยว่าตัวเองมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้
“ขอโทษค่ะ ใช่น้องเพชรหรือเปล่าคะ?”
หลังเลิกเรียน มีผู้หญิงหน้าตาไม่คุ้นคนหนึ่งมาดักรอผมที่หน้าตึก
“ฮะ” ผมพยักหน้าให้ เธอเดินก้าวเข้ามาหาใกล้ๆ
“ขอเวลาสักครู่ได้ไหม?”
ตากลมโตที่มองมาทางผมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ผมไม่อาจเดาสาเหตุ
“.........” ผมกระพริบตามองอีกฝ่ายด้วยไม่เข้าใจเจตนา
“ฉันชื่อขวัญข้าวค่ะ เป็นคู่หมั้นของคุณนนทรี”
ผมหันไปมองตะนอยที่เลิกคิ้วมองมา แล้วพยักหน้าให้เพื่อนกลับไปก่อน
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้” ตะนอยยกมือลา แล้วเดินออกไป
“หึ คราวนี้ไปยุ่งกับคนมีเจ้าของหรือไง เขาถึงได้ตามมาทวงน่ะ” แพตตี้เดินกระแทกไหล่ผ่านผมออกจากตึกไป
“ก็นึกอยู่ว่าจะเป็นเด็กดีของพี่อินได้นานแค่ไหน ออกลายซะแล้วเพื่อนเรา” อรก็ตามไปติดๆ
สองคนนี้ก็ยังหาโอกาสเล่นผมได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อ
“ทางนี้ฮะ” ผมบอกผู้หญิงแปลกหน้าให้เดินตามมาที่ม้านั่งตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตัวอื่นๆ พอสมควร
ผมนั่งลง แต่เธอไม่ ยังคงยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าผม แววตามุ่งมั่นเมื่อครู่เริ่มฉายแววสับสน ริมฝีปากเคลือบสีหวานเม้มสนิท สองมือกำแน่นเหมือนกำลังต่อสู้อยู่กับความคิดของตัวเอง ผมเลยนั่งรอเงียบๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะใกล้ถึงเวลาที่พี่มักจะโทรหาเป็นประจำทุกวันแล้ว
“ฉัน..” ในที่สุดเธอก็ยอมเปิดปาก
ผมเลยต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มามองคู่สนทนา
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก”
ผมเลิกคิ้วน้อยๆ กับประโยคโดดๆ ที่ไม่มีบริบทแวดล้อมนั่น
“ฉันรักเขา.. และไม่คิดจะยอมแพ้คุณ” เธอจ้องมองผมอย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“.........” โทรศัพท์ในมือผมสั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าใครบางคนได้โทรมาตามเวลาแล้ว ผมก้มมองแต่ยังไม่ได้กดรับ
“ฉันมาเพื่อบอกแค่นี้แหล่ะค่ะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอีกครั้ง
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะคะ” เธอค้อมหัวให้ผมเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางที่ผึ่งผายกว่าตอนมามาก
“.........” ผมเอนหลังพิงขอบโต๊ะ แหงนหน้ามองก้อนเมฆเลื่อนลอยบนท้องฟ้า ปล่อยให้โทรศัพท์ทำหน้าทีสั่นเตือนของมันต่อไป
“พี่นท..”
TBC. 