“พี่เต้ยผมหิวข้าว” เสียงนนท์มาเกาะแกะแถวโต๊ะทำงานผม
(จริงไม่ใช่โต๊ะทำงานผมหรอกแค่มานั่งเล่นตอนว่าง)
“เออแล้วไง” ผมตอบแบบทั้งที่ตายังมองมอนิเตอร์ค้างอยู่
“ไปกินข้าวกับผมหน่อยได้ไหม”
“ไม่ มีงานต้องทำ”ผมบอกแล้วเอาปากกาจิ้มๆกระดาษที่วางข้างๆให้ดู
“แต่ผมเห็นเมื่อกี้พี่เล่นเกมส์อยู่” นนท์ทำหน้าจะชะเง้อดูว่าผมทำไรอยู่แต่ผมดันหัวนนท์ออกไปก่อน
“ตาฝาดรึเปล่า” ...ที่จริงเล่นเคาเตอร์แลนกันเองในที่ทำงานเนี่ยแหละ(หนึ่งในสาเหตุการส่งงานล่าช้าอย่างเป็นหมู่ขณะ)
“แค่ไปกินข้าวเองพี่เต้ยใจร้ายไปมั้ง” คนชวนทำเสียงเหมือนต่อว่าผม
“วันหลัง”
“ไม่ว่าง มีนัดกินข้าวแล้ว”
“เฮ้ยนี่มันจะบ่ายแล้วนะพี่ ไม่กินข้าวเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะหรอก”
“เป็นอยู่...นั้นเพื่อนรออยู่ไม่ใช่รึไง” ผมชี้ไป เพื่อนนนท์ที่เริ่มเดินลงบันไดมาแล้วทำท่าเหมือนจะยืนรอ
“ถ้ากินช้าแบบนี้วันหลังผมซื้อข้าวมาฝากไหม”
“เออๆรีบไปไกลๆเลยไป” ผมรีบบอกปัดๆเพราะเริ่มรำคาญ
หันกลับมามอติเตอร์อีกที...โดนยิงกะบาลเละ...แค้นนี้ต้องชำระ
เล่นจนเบื่อไม่มีไรผมเลยเดินไปหาเป้เห็นมันเล่นเกมส์เล็งจะยิงใครสักคนอยู่
“เบื่อแล้วไปบริหารปอดกัน” ผมพูดขึ้น
“ผู้ชายเดี๋ยวนี้มีปกติบ้างไหมวะ” ผมนั่งคุยกับเป้ตรงที่หลบมาดูดบุหรี่ที่ประจำ
สงสัยผมกับเป้จะเป็นหน่วยว่างงาน จริงๆงานประจำมันก็มีทำแต่ทำไมไม่ค่อยมีงานก็ไม่รู้
หลังๆทำตั้งแต่ชงกาแฟยันทุกอย่างตกลงนี่ตูทำอะไรวันๆ...อนาถโดนแท้
“ถามตัวเองหรือถามกู” มันหันมายิ้มกวนตีน
“สัด กูถามมึง” ผมด่ากลับด้วยความรัก
“งั้นกูให้มึงถามตัวเอง” มันยังยิ้มกวนตีนได้เหมือนเดิม ความจริงมันอาจจะไม่กวนตีนแต่ผมมองมันกวนตีนเอง
“ขอบคุณช่วยกูได้เยอะ” ...เกลียดมึงจริง ถามไรไม่เคยจะได้คำตอบได้แต่คำถามกลับมา
ผมจะกลับไปทำงานที่ค้างจากเมื่อกี้เพราะมัวแต่เล่นเกมส์ก็เหมือนมีคนทำให้เสร็จแล้ว
เลยกลับเข้าหมวดว่างอีกตามเคย ไม่มีไรทำ เลยไปดูคุณต้องว่าเป็นไง
...เป็นไงคือถ้าอารมณ์ไม่เสียจะเข้าไปเล่น(ก่อกวน)
“หิวข้าวหรอ”เสียงคนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียวทักผม
“เปล่าว่าง” ผมเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้าง
“แปปเหลืออีกนิด”
“อืม” ผมรับคำเบา ส่วนคนที่ทำงานอยู่ก็หันไปทำงานต่อ
สักพักเหมือนนึกไรออกหันมามองหน้าผม
“เด็กมาใหม่เป็นไงบ้างมีปัญหาไหม”
“ไม่มีไร...ทำไม” ...แต่ใกล้มีปัญหากับมึงแล้ว
“โดนจีบไหม” หมอนั้นถามผมเสียงเริ่มชวนเสียวสันหลังยิ่งนัก
“ใครมันจะมาจีบมีมึงคนเดียวแหละตาบอด”
“ถึงตาบอดแต่กูยังได้ยินบางอย่างอย่างเช่น...”
คุณต้องพูดไม่จบประโยคแถมทำเสียงเหมือนมีเล่-สะ-ไน
“อะไร?”
“อย่างเช่น...มีคนมาขอเบอร์มึง”
“หูแว่วแล้ว” พูดไปตากระตุกไป...อย่าให้รู้นะมึงใครเป็นคนคาบข่าวไปบอกชิมตีนกูแน่
แต่มันไม่แปปอย่างที่พูด ผมนั่งว่างแล้วจะหลับก็แล้วเลยลงไปนั่งข้างล่างตรงเคาเตอร์เล่นกับพี่ยุท
คือพี่ยุทนั่งทำงานแต่ผมเป็นคนดีเลยช่วย...เป็นกำลังใจอยู่ใกล้ๆแทนพอ นั่งๆพี่ยุทก็ยื่นข้าวกล่องมาให้
“โหพี่ยุทมีเงินซื้อข้าวให้คนอื่นด้วยหรอ” ผมหันไปพูดพร้อมปล่อยหมาออกไปด้วย
“ปากมึงเห็นกูเป็นพี่บ้างไหมวะ”
“เห็นดิหน้าพี่ล้ำหน้าไปไกลแล้ว”
“เหอๆกูไม่ได้ซื้อไอ้เด็กดัดฟันซื้อมา ไม่เห็นมึงเลยฝากกูไว้”
“อ่อ...นนท์มั้ง...ขอบคุณ” ผมรับของที่ฝากมาไว้ในมือแล้วแง้มๆดู
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกถ้าวันนี้ไม่เจอมึงกูเอากลับไปที่บ้านอยู่ดี” เสียงพี่ยุทแสดงความกวนตีนอย่างชัดเจน
ระหว่างกำลังเขี่ยๆและเอานิ้วแหกกล่องโฟมเล่นคุณต้องลงมาพอดี
“อ้าวข้าวใคร” คุณต้องถามเสียงไม่ใส่ใจสิ่งใดผมก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจสิ่งใด
“เด็กวงที่คุมเอามาฝาก” ...ผมตอบอย่างที่ว่าไว้ ไม่คิดไรแต่พี่ยุทลุกพรวดไปเลยผมยังอยู่ในภาวะไร้สติ
แถมแอบด่าในใจ...จะรีบไปไหนลูกควายตายรึไง...พอผมเงยหน้าขึ้นได้คำตอบที่มีคนลุกไปหาควายพอดี
“ใครเอามาฝากมึงนะ” เสียงเรียบแกมสยองถามผม
“...เหอๆ...คือว่า” ...เอาไงดีกู
........................................
ไดอารี่ ยัง อัพ เป็นช่วงๆ หุหุ ตามอารมณ์
http://my.dek-d.com/to3i_ps69/diary/