ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]  (อ่าน 100349 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่16 [10/01/13]
«ตอบ #150 เมื่อ10-01-2013 23:25:45 »

อยากรู้จังว่าเซเอลคิดอะไรอยู่ อย่าให้เป็นเรื่องร้ายเลยนะ ไม่อยากเศร้าอะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #151 เมื่อ13-01-2013 17:39:29 »

ตอนที่ 17 ความหวาดระแวง


   มีความสุขเหลือเกิน....มีความสุขอะไรอย่างนี้...

   หญิงสาวหมุนตัวกลางแสงจันทร์พลางร้องเพลงที่เคยได้ยินในวัยเด็ก ปลายเท้าพาร่างกายเคลื่อนไปในแนวป่าที่มีต้นไม้สูงสลับกับพุ่มไม้เตี้ยตลอดทางเดิน แนวป่าซึ่งไร้ผู้คนผ่านไปมานี้คือสถานที่ของเธอ ที่ซึ่งใช้หลบซ่อนตัวตน หากิน และพักผ่อนใจมาแสนนาน เสียงหวีดหวิวในยามค่ำคืนกับสายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าพาเรือนผมสีทองปลิวไสวทำให้จิตใจที่หมองมัวกลับแช่มชื่น เสียงหรีดหริ่งเรไรสะท้อนก้องวิเวกวังเวงกลับทำให้ใจสงบอย่างประหลาด และในความสงบนั้น จิตใจของเธอก็กำลังพองโต

   สามีที่เสียไป....ลูกรักที่เสียไป...

   เธอกำลังจะได้มันคืนมาทั้งหมด...

   วาเลซอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ข้างกายของเธอ ชายคนรักที่ถูกพรากจากไปโดยคนเหล่านั้นได้หวนกลับมาแล้วราวกับทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้าย และยังลูกของเธอ ลูกชายที่รักประหนึ่งแก้วตาดวงใจซึ่งไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูก็กำลังจะกลับมาสู่อ้อนกอดของเธอเช่นกัน

   ริเรียโอบแขนเข้าหาตัวพลางจินตนาการถึงวันที่จะได้โอบอุ้มเด็กคนนั้นอีกครั้ง ในวันนั้นทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ...วันที่เธอได้ครอบครัวอันเป็นที่รักกลับคืนมา

   จะไม่ยอมอีกแล้ว...

   จะไม่ยอมให้ใครพรากไปอีกแล้ว...

   เธอเงยหน้าขึ้น แย้มรอยยิ้มให้กับจันทร์เสี้ยวและดวงดาวพร่างพราย ถ้าหากว่าคืนที่ลูกของเธอเกิดมา ท้องฟ้าสว่างสวยงามได้อย่างนี้ก็คงจะดี แล้วจากนั้น...เธอก็จะเลี้ยงเขาให้เติบโต ก่อนที่จะทำให้คนทั้งสองได้อยู่กับเธอไปตลอดกาล....

   เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีใครพรากพวกเขาไปได้อีก

   ค่อนคืนแล้วที่ริเรียมีความสุขในภวังค์ของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้นึกรู้เลยว่ามีใครบางคนเข้าไปในบ้านของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต

   จนกระทั่งใกล้รุ่งสาง ริเรียจึงรู้สึกตัวว่าต้องกลับแล้ว แม้เธอจะรู้สึกเศร้าที่ไม่อาจอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับวาเลซได้ แต่เธอก็ไม่อาจขัดขืนธรรมชาติของสิ่งที่ตนเองเป็นได้

   แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก...

   ในเมื่อเธอได้พบกับเขาทุก ๆ วัน ก่อนนอน หลังตื่นนอน เพียงแค่นั้นก็มีมากพอแล้วเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอันยาวนานที่ต้องห่างไกลกัน

   หญิงสาวยิ้มให้กับตนเองก่อนหมุนตัวไปยังทิศทางกลับบ้าน ขณะก้าวเท้าเดินกลับ เสียงฮัมเพลงอย่างมีความสุขก็ดังแว่วไปตลอดทาง

   ทว่า....

   มีบางสิ่งบางอย่างกระทบประสาทสัมผัสของเธออย่างไม่คาดคิด เป็นกลิ่นอายของบุคคลอื่นนอกเหนือจากพ่อ แม่ และวาเลซ ไม่ใช่กลิ่นอายของผู้หญิงที่มีลูกของเธออยู่ด้วย แม้จะทำให้นึกถึงใครบางคนในความทรงจำแต่เธอก็ไม่สนใจเพราะมันเป็นสิ่งแปลกปลอมซึ่งเธอไม่ต้องการให้เข้ามาก้าวก่ายชีวิตครอบครัวและคนที่เธอรัก เจ้าของคือใครกัน...ใครที่รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตซึ่งเป็นของเธอ...

   ริเรียเดินตรงไปยังบ้านซึ่งเงียบสนิทไม่มีวี่แววของใครอื่นเลย แต่เธอก็มั่นใจ...มีใครบางคนมาที่นี่และกลับออกไปแล้ว คน ๆ นั้นได้ทิ้งกลิ่นกายอันเข้มข้นไว้ราวกับจงใจให้รู้สึกถึงได้ ซ้ำกลิ่นนั้นยังเข้มข้นมากที่สุดในจุดที่อยู่เหนือศีรษะนี้เอง....

   ดวงตาสีเลือดเหลือบมองขึ้นไปอย่างช้า ๆ

   หน้าต่างบานหนึ่งอยู่ตรงนั้น ปิดสนิท...ไม่มีแสงไฟจากข้างใน ไม่มีการเคลื่อนไหวของใครบนบานหน้าต่างหรือแม้กระทั่งเงาของเจ้าของห้อง

   แต่...นั่นคือห้องของวาเลซ....

   แสงอาทิตย์ปรากฏที่ขอบฟ้า เป็นการเตือนให้หญิงสาวรีบกลับสู่การนิทรา

   เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้านเพื่อหลบหนีแสงที่ทำให้เธอรู้สึกทรมานราวกับถูกแผดเผาจากข้างในร่างกาย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พ่อของเธอตื่นนอนแล้วและเพิ่งลงมาชั้นล่าง

   “กลับมาแล้วหรือ ริเรีย” ชายชรายิ้มทักทายบุตรสาว

   “กลับมาแล้วค่ะ คุณพ่อ” ริเรียตอบกลับแล้วยิ้มรับ “วาเลซล่ะคะ?”

   “ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นนะ แต่อีกสักพักก็ตื่นแล้ว” ผู้เป็นพ่อรู้สึกสงสัยที่ลูกสาวถามถึงวาลเ.อิคเอาเวลาอย่างนี้ ทั้งที่วาลเซอิคจะตื่นช้ากว่าเขาเล็กน้อยเป็นปกติ ซึ่งก็เป็นเวลาก่อนที่ริเรียจะเข้านอนเช่นกัน หรือว่าเธอออกไปพบบางอย่างและอยากจะเล่าอะไรให้ฟังกันนะ?

   “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขึ้นไปปลุกเขานะคะ” หญิงสาวไม่ได้สนใจความสงสัยบนใบหน้าของคู่สนทนา เธอเดินผ่านชายชราไปด้วยท่าทางรีบเร่งจนผิดสังเกต และเพียงไม่กี่วินาที เธอก็มาถึงหน้าห้องของวาลเซอิค ประตูไม้ที่ยังดูใหม่ขวางกั้นระหว่างเธอกับคนข้างในไว้อย่างเงียบงัน

   ไม่มีเสียงเคาะประตู...

   ริเรียเปิดเข้าไปโดยไม่ได้ให้สัญญาณเลยสักครั้งเดียว และภายในห้องนั้นก็ยังมืดสลัว มีร่างของชายคนหนึ่งนอนราบอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเสื้อผ้าของเขากองอยู่ด้านล่าง และบนร่างนั้นก็มีแต่เพียงผ้าห่มคลุมอยู่อย่างหมิ่นเหม่ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปเห็นภาพนี้คงหัวใจเต้นระรัวด้วยความเขินอาย แต่ริเรียกลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แม้แต่น้อย เธอเดินเข้าไปที่เตียง และนั่งลงข้าง ๆ สำรวจกลิ่นอายของใครคนนั้นที่เข้ามาตอนเธอไม่อยู่

   “อืม....” วาลเซอิคขยับตัวเพราะรู้สึกว่ามีคนเข้ามานั่งใกล้ ๆ เขาปรือตาขึ้นมองผ่านแสงสลัวรางของยามเช้าตรู่และง่วงงุน

   “วาเลซ เมื่อคืนนี้ใครมาหรือ?”

   “เอ๋?.....” ถึงแม้จะง่วง แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าริเรียมาอยู่ข้าง ๆ และถามคำถามที่เขาไม่ควรตอบตามความจริง “ก็ไม่มีนี่”

   “เมื่อคืนอากาศเย็น ทำไมถึงถอดเสื้อผ้าอย่างนี้ล่ะ?” เธอถามต่อแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เป็นท่าทางเหมือนภรรยาที่เข้ามาเก็บของที่สามีวางทิ้งเรี่ยราดตามปกติ เพียงแต่ปกติแล้ว...ริเรียไม่เคยทำอย่างนี้ ไม่เคยขึ้นมาที่ห้องนี้ด้วยซ้ำไป “แล้ว.....แผลนั่น....” เธอมองไปยังแนวบ่าด้านขวาซึ่งเปื้อยรอยแผลเป็นวงใหญ่คล้ายกับว่าครั้งหนึ่งร่างกายตรงจุดนี้เคยเกิดบาดแผลร้ายแรงขึ้น

   วาเลซไม่มีแผลตรงนี้...

   ใครเป็นคนทำ.....

   “ไม่มีอะไรหรอก แค่...เอ่อ....ก่อนหน้านี้ข้าถูกน้ำร้อนลวกเอา” วาลเซอิคพยายามตอบให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่ทำได้และมองแผลเป็นที่เกิดมาก่อนตนเองจะจำความได้ “แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้วเห็นไหม” เขายกแขนขึ้นลงให้อีกฝ่ายดูว่าบาดแผลนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบันขงเขาเลยแม้แต่น้อยเพื่อให้ริเรียเลิกใส่ใจมัน

   แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเลิกสนใจตามคาด เธอกลับขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นก่อนเอนตัวลงซุกใบหน้ากับแผงอกกว้างที่มีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อยตามแบบของเด็กหนุ่มที่กำลังโต อ้อมแขนบอบบางปล่อยจากเสื้อผ้ามาโอบกอดรอบตัววาลเซอิคหลวม ๆ

   “ม...มีอะไรหรือ?” ด้วยเกรงว่าริเรียจะระแคะระคายอะไรเข้า วาลเซอิคจึงเอ่ยถามพลางลูบผมเบา ๆ เมื่อเขาทำเช่นนี้หญิงสาวมักจะเลิกจับผิดเขาไปโดยปริยาย

   “วาเลซ เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปใช่ไหม?”

   “พูดเรื่องอะไรน่ะ ทำไมข้าจะต้องทำแบบนั้นด้วย?”

   “สัญญาสิวาเลซ” ริเรียช้อนตาขึ้นมอง ในดวงตาของเธอมีประกายของความหวาดกลัวแอบซ่อนอยู่อย่างลึกล้ำ “เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปไหนอีก จะไม่ไปที่ไหนกับใครทั้งนั้น”

   “ริเรีย...” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มของอีกฝ่ายด้วยปลายนิ้ว “ข้าไม่ไปที่ไหนหรอก ตอนนี้ใกล้เช้าแล้วเจ้าไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวแสงแดดส่องเข้ามาเจ้าจะลำบากเอา” เขาพยายามพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าทอะไรที่ทำให้หญิงสาวผู้เป็นแม่ของเขากังวลใจถึงขนาดนี้ ราวกับว่าการกระทำบางอย่างของเขาได้ไปรบกวนจิตใจของเธอ และทำให้ตะกอนซึ่งนอนจมอยู่ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง ริเรียสัมผัสอะไรได้อย่างนั้นหรือ? เขาซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาคงไม่อาจรู้คำตอบนั้นได้

   ริเรียยังคงซบอิงอยู่นานจนกระทั่งแสงแดดไล่เลียเข้ามาทางหน้าต่างเธอจึงผละออกและกอบเสื้อผ้าไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง เธอลุกขึ้น และเดินถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ

   “เดี๋ยว....”

   แต่วาลเซอิคกลับเป็นฝ่ายรั้งเอาไว้

   หญิงสาวหันกลับมาพลางเอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายจะถามว่าต้องการอะไรอีก

   “คืนนี้....ไปเดินเล่นด้วยกันไหม?”

   เธอยิ้มให้เขาอย่างดีอกดีใจ

   “ได้สิ”

   เมื่อริเรียตอบแล้วเธอก็เดินออกไปจากห้อง ตอนนั้นแสงแดดก็สาดเข้ามาทำให้ภายในห้องสว่างจนเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงวี่แววของความลำบากใจบนใบหน้าของวาลเซอิค...

   เขารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ตลอดไปจึงไม่กล้าเอ่ยปากสัญญา เซเอลรู้แล้วว่าริเรียอยู่ที่นี่และสักวันเมื่อเจ้าตัวพร้อมคงจะมาเพื่อนำริเรียไปอยู่ด้วยกัน ส่วนเขา....ก็จะอยู่ดูแลตากับยายแทนในฐานะหลานที่ไม่เคยได้ทำมาตลอดหลายปี

----------------------->

   ริเรียถือเสื้อผ้าของวาลเซอิคลงไปวางข้างล่างโดยเก็บของสิ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมดติดตัวเอาไว้และไปยังห้องของตนเองด้วย และเมื่อถึงห้อง เธอจึงหยิบมันขึ้นมา....

   สร้อยคอประดับจี้ที่แสนคุ้นตา

   ของสำคัญ...จากเพื่อนคนสำคัญ ซึ่งเธอทำหายไป....

   ตอนนี้มันกลับมาพร้อมกับกลิ่นอายของคนที่คิดจะพรากวาเลซไป คน ๆ นั้น...จะไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการ เธอจะไม่มีวันให้เขาได้สิ่งที่ต้องการอย่างแน่นอน...

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #152 เมื่อ13-01-2013 17:39:49 »

   “อัลเรส มาเก็บตรงนี้เสร็จก็กลับบ้านได้แล้วล่ะนะ” ชายร่างใหญ่พูดพร้อมกับยกของเข้าในบ้าน ชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกมือจึงรีบจัดแจงเก็บตามที่บอกพลางมองท้องฟ้าที่ใกล้จะค่ำลงทุกที ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ระยะหลัง ๆ ชีวิตของเขาเหมือนจะเกี่ยวกันกับกลางคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ปกติเป็นเวลาพักผ่อนหลับนอนของมนุษย์แท้ ๆ แต่พอตกค่ำก็จะถึงเวลาตื่นของผู้ต้องสาป ทำให้เขาต้องคอยตามดูว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางจึงเข้านอนได้ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกล้าขึ้นมาจากการพักผ่อนที่น้อยลง

   “กำลังเหม่อคิดถึงสาวอยู่หรือจ๊ะ?” ภรรยาเจ้าของร้านเดินเข้ามาถามไถ่ เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างท้วมแต่หน้าตาใจดีทำให้เขานึกถึงแม่ทุกครั้งที่มองดู

   “เปล่าครับ ข้าแค่กำลังคิดว่าน้อง ๆ จะซนกันหรือเปล่า” อัลเรสรีบตอบปฏิเสธ

   “นั่นสินะ เอลยาไม่อยู่อย่างนี้เจ้าคงลำบาก” หญิงสูงวัยส่ายศีรษะอย่างเวทนาชะตากรรมของครอบครัวนี้ พี่สาวคนโตที่เป็นเหมือนแม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับจนบัดนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวคราว น้องสองคนก็ยังเล็กเกินกว่าจะดูแลตัวเองลำพังได้ “คงจะดีนะอัลเรส ถ้าเจ้าจะเริ่มมองหาผู้หญิงสักคน อายุอานามเจ้าก็เริ่มมากแล้ว หน้าตาเจ้าเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ซ้ำยังขยันขันแข็ง พวกเด็กสาวในหมู่บ้านชื่นชอบเจ้าพอดูเลยนะ”

   พอพูดถึงเรื่องการหาคู่ครอง อัลเรสก็มีสีหน้าเจื่อนลงทันที เขาไม่ค่อยถูกกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะไม่ใช่คนอ่อนโยนหรือโรแมนติก ไม่รู้วิธีปฏิบัติกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากพี่สาวกับน้องสาว การจะให้ไปจีบผู้หญิงจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการลากซุงไปรอบหมู่บ้านเสียอีก

   “ถ้าลูกข้าไม่แต่งงานไปแล้วข้าคงจะอยากยกให้เจ้าแน่ สนใจหลานข้าแทนไหมล่ะ” เจ้าของร้านที่เดินออกมาสมทบพูดจบก็หัวเราะร่า ทั้งที่ลูกสาวของเจ้าตัวก็แก่กว่าอัลเรสหลายปี ส่วนหลานสาวก็อายุพอ ๆ กับอเลนตอนนี้ ทำให้อัลเรสได้แต่ยิ้มตอบแหย ๆ แล้วรีบยกของชิ้นสุดท้ายเข้าไปเก็บข้างใน

   “วันนี้ข้าต้องรีบกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพวกน้อง ๆ จะหิวแย่” เมื่ออัลเรสบอกลา ชายหญิงทั้งสองก็เข้าใจความจำเป็นและไม่ได้รั้งตัวไว้ พวกเขาจ่ายค่าแรงรายวันตามปกติก่อนที่อัลเรสจะรีบเร่งกลับบ้านไปเหมือนทุก ๆ วันไม่ต่างจากวันที่เอลยายังอยู่ดีเลย

   ที่บ้าน แอนน์และอเลนกำลังรอคอยอาหารเย็นอย่างใจจดใจจ่อโดยที่คัลดิชยังไม่ตื่นเหมือนเดิม อัลเรสจึงรีบจัดการเข้าครัวก่อนที่เด็กทั้งสองจะเริ่มงอแง

   พอท้องฟ้ามืดลง คัลดิชก็ตื่นพอดี

   ชายหนุ่มเดินลงมาระหว่างที่คนทั้งสามกำลังจัดการกับอาหารเย็นซึ่งเป็นปกติเหมือนทุกวัน เขาเดินออกไปจากบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวกับใครแต่ก็เป็นอันรู้กันกับอัลเรสว่าเจ้าตัวจะไปหาอาหารนั่นเอง ในตอนแรก ๆ ที่แอนน์และอัลเลนถามเรื่องนี้ เขาได้แต่โกหกไปว่าคุณเทวดาผู้พิทักษ์อะไรนั่นต้องออกไปอาบแสงจันทร์รับพลังงาน นับเป็นการโกหกไร้หัวคิดไปหน่อยแต่เด็ก ๆ ก็ยังเชื่อ....

   หลังอาหารเย็น อัลเรสก็เอาน้อง ๆ ขึ้นนอนก่อนที่คัลดิชจะกลับมา แต่ก่อนที่เขาจะเก็บของขึ้นนอนอีกคนนั้นเอง ประตูบ้านก็เปิดออกโดยไม่มีคำขออนุญาตใด ๆ คนที่เปิดเข้ามาไม่ใช่คัลดิช แต่เป็นชายหนุ่มผมเงินในเสื้อคลุมยาวคนเดียวกับที่มาเมื่อวานนี้

   “โทษทีนะ ตอนนี้เจ้านั่นไม่อยู่หรอก” เขารีบบอกเพื่อเชิญแขกไม่พึงประสงค์ออกไป

   “อย่างนั้นหรือ เอาเถอะ ข้าจะรอก็แล้วกัน” แต่แทนที่เซเอลจะถอยออกไปโดยดี เขากลับเดินมานั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางสูงสง่าแบบขุนน้ำขุนนางโดยไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย อัลเรสที่ไม่รู้จะพูดอะไรอีกจึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแบบหงุดหงิดที่พวกผู้ต้องสาปไม่รู้จักมารยาทกันเลยสักคน แต่หลังจากนั้นไม่นานคัลดิชก็กลับมาพร้อมสัตว์ที่ตายแล้วอย่างเคย ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนมาเยือนบ้านหลังนี้อีกครั้งแต่อัลเรสก็ไม่บอกอะไรนอกจากทำท่าบุ้ยใบ้ให้ไปคุยกันเอง

   “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?” คัลดิชเดินเข้าไปหาและเอ่ยถาม

   “คืนนี้ข้ามีงานให้เจ้าทำ เจ้าจะพามนุษย์ที่อยู่ตรงนั้นไปด้วยก็ได้” เซเอลเหลือบสายตาไปทางอัลเรสแวบหนึ่ง “อย่างไรเขาก็คงยินดีอยู่แล้ว”

   “เรื่องนั้นคงขึ้นกับว่าเกี่ยวกับคนของเขาหรือไม่” อย่างที่รู้กันดีว่าอัลเรสห่วงแต่เรื่องพี่สาวของตนเองเท่านั้น หากเป็นเรื่องของคนอื่นเจ้าตัวคงอาละวาดอีก

   “เจ้ากะเวลาไว้ก่อนรุ่งสางเล็กน้อย จงพาเขาไปที่บ้านเก่าของวาลเซอิค แล้วเจ้าจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรต่อไป” ว่าแล้ว เซเอลก็ลุกขึ้น “จำไว้แค่ว่า อย่าไปเร็วเกินไปก็พอ” และโดยไม่รอคำตอบรับ เซเอลก็หมุนตัวเดินไปทางประตูโดยไม่ได้ให้ความสนใจอัลเรสที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เลย และเมื่อชายหนุ่มจากไป อัลเรสจึงหันไปทางคัลดิชซึ่งเป็นผู้รับคำสั่งอันกำกวมมาโดยตรง

   “นั่นหมายความว่ายังไง?”

   คัลดิชกลอกตาไม่รู้ว่าตนเองควรจะอธิบายอย่างไรเพราะเขาก็ได้ยินเท่าที่อีกฝ่ายได้ยิน

   “หมายความว่าเจ้าควรไปนอนพักเสียตอนนี้ เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามเจ้าจะต้องไปทำงานกับข้าน่ะสิ”

----------------------------->

   วาลเซอิคเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกตั้งแต่หัวค่ำ ตากับยายต่างแปลกใจเมื่อเขาบอกว่าจะออกไปเดินเล่นกับริเรียแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรและพากันขึ้นนอน ผิดกับริเรียที่ดูตื่นเต้นและสุขใจกว่าวันอื่น ๆ เธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ยายเพิ่งตัดเย็บให้อย่างสวยงาม แต่งผมให้ดูดีกว่าทุกวัน และเฝ้ารอวาลเซอิคเตรียมตัวอย่างใจเย็น ตลอดช่วงเวลานั้นเธอเอาแต่มองไปที่ท้องฟ้าและยิ้มกับตนเองราวกับว่าลืมเลือนบางสิ่งบางอย่างที่น่าสงสัยซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น และคิดแต่เรื่องของปัจจุบันเท่านั้น

   “ไปกันเถอะ” วาลเซอิคออกมาจากบ้านแล้วจับมือริเรียไว้ก่อนเอ่ยชวน หญิงสาวจึงยิ้มรับแล้วดึงมืออีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไปในแนวป่าซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเดินเล่นของเธอ

   “วาเลซ เจ้าจะคิดยังไงหากข้าจะตั้งชื่อลูกของเราว่าวาลเซอิค”

   เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว

   “ทำไมหรือ?”

   พอถูกถาม ริเรียก็หัวเราะคิกคักเหมือนเด็ก ๆ

   “เจ้าจำเซเอลได้หรือเปล่า เขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของข้าเลยนะ” พอพูดแบบนี้ขึ้นมา วาลเซอิคนึกถึงเรื่องที่เซเอลเคยพูดกับตนเองครั้งหนึ่งในสมัยเด็ก เป็นสิ่งที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว “ข้าอยากจะให้มีชื่อของเขาในชื่อลูกของเราด้วย วาลเซอิค ชื่อของคนสำคัญของข้าทั้งสองคน”

   วาเลซ....กับเซเอล....

   ชื่อของเขามีที่มาอย่างนี้เองหรือ? แสดงว่าแม่ของเขาคงจะรักคนทั้งสองมากทีเดียว ความรักที่มีต่อวาเลซพ่อของเขานั้น ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้านของตากับยาย ริเรียก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนไร้ข้อกังขา ส่วนความรักที่ริเรียมีต่อเซเอล....คือเพื่อนที่นึกถึงอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อใด มันได้ถูกฝังเอาไว้ภายในชื่อของเขา...ชื่อซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจว่ามันมีความสำคัญอย่างไร

   แต่นั่น...มันน่าเศร้ามาก...ไม่ใช่หรือ...

   สุดท้ายแล้ว แม้จะเป็นคนสำคัญมากเพียงใดก็ไม่อาจปกป้องเธอเอาไว้ได้เลยแม้แต่คนเดียว และเธอก็ไม่อาจปกป้องใครได้เลย

   เพราะอย่างนั้น...ริเรียจึงมีชีวิตอยู่ในความฝัน และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันของตนเองสมบูรณ์ และไม่มีสิ่งใดทำลายได้อีก

   วาลเซอิคบีบมือแม่ของตนแล้วเสมองไปทางอื่นเพื่อปกปิดความรู้สึกเจ็บปวด

   ทั้งเซเอลและแม่ของเขาต่างก็อยู่กับฝันร้ายมานานเกินไปแล้ว...มันควรจะยุติลงเสียที...

   “ดูสิวาเลซ ที่นี่สงบดีใช่ไหม?” เมื่อมาถึงจุดหนึ่งของแนวป่า ริเรียก็หยุดแล้วดึงให้อีกฝ่ายมองไปรอบ ๆ ที่มีแต่ต้นไม้อยู่ทั่วไปแต่ไม่หนาตามากนัก เสียงของแมลงกลางคืนดังแว่วจากทุกทิศทาง จะว่าสงบ...ในมุมมองของมนุษย์แบบเขาน่าจะใกล้เคียงคำว่าวังเวงมากกว่า ซ้ำในสถานที่แบบนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นมาเมื่อไหร่ ถ้าตอนนี้เซเอลอยู่ข้าง ๆ แทนริเรีย เขาคงจะคิดถึงตอนเด็กขึ้นมาอีกแน่

   ช่วงหลัง ๆ นี้เขามักจะย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องอดีตอยู่บ่อยครั้ง คงเพราะทุก ๆ อย่างชักชวนให้นึกเปรียบเทียบตัวตนของเขาในปัจจุบันกระมัง....

   วาลเซอิคนั่งลงท่ามกลางหมู่ต้นไม้แล้วเอนพิงต้นหนึ่งซึ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในละแวกนั้น

   “เจ้ามาที่นี่ทุกวันเลยหรือ?” เขาหันไปถามหญิงสาว

   “ใช่ ข้าชอบที่นี่ ทุก ๆ วันถึงจะเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ก็ทำให้ข้าสงบใจ” ริเรียยิ้มให้กับเขา “ที่นี่ไม่มีใครมาเลยตลอดหลายปี มีแต่ข้าคนเดียวซ้ำไปซ้ำมา แค่ข้าคนเดียวที่อยู่ที่นี่ในทุก ๆ คืน กับความเงียบ....กับความมืด...ข้าได้แต่เฝ้ารอให้เจ้ากลับมา” ว่าจบ หญิงสาวก็ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ วาลเซอิคพลางเอนศีรษะซบบนบ่ากว้างและลูบมือบนจุดที่เธอเห็นรอยแผลเป็นเปื้อนอยู่เมื่อเช้านี้ เธอไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ข้างตัวตอนนี้ไม่ใช่คนรักที่เฝ้ารอ แต่เป็นลูกชายของเธอเองที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์โดยความช่วยเหลือของเซเอล

   วาลเซอิคเลื่อนมือขึ้นไปแตะบนบ่าตนเองซึ่งริเรียสัมผัสอยู่อย่างแผ่วเบา มันจางหายไปมากหากเทียบกับตอนที่เขายังเด็กและเริ่มสงสัยว่ารอยตรงนี้เกิดมาได้อย่างไร มันคือรอยตำหนิที่เตือนให้รู้อยู่เสมอว่าชีวิตของเขาถูกดึงขึ้นมาจากความตายด้วยมือของใคร...

   แต่สำหรับริเรียแล้วมันกลายเป็นจุดที่ทำให้เขาแตกต่างจากพ่อไปเสีย

   บางที....เธออาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วก็ได้....

   “ข้า...เจอกับเซเอลด้วยนะ วันนี้” เพื่อให้ริเรียเลิกสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาปกปิดไม่ได้ วาลเซอิคจึงเอ่ยถึงบุคคลที่สามขึ้นมา

   “จริงหรือ? เขาว่ายังไงบ้าง คงจะทำหน้าบึ้งใส่เจ้าเหมือนเคยใช่หรือเปล่า?” ริเรียพูดพลางหัวเราะ แสดงว่าความสัมพันธ์ของเซเอลกับวาเลซคงไม่ค่อยราบรื่นนัก

   “....เซเอลอยากให้เจ้าไปอยู่ด้วยกัน”

   เมื่อวาลเซอิคพูดประโยคนั้นจบ เสียงหัวเราะก็ชะงักไป สีหน้าของริเรียปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกับการเกร็งมือบีบแขนของเขาจนแน่น

   “แล้วเจ้าจะไปที่ไหน?”

   “เอ๋ ข้าก็....

   “จะไม่ไปจากข้าอีกใช่ไหม?” ดวงตาสีแดงที่เรืองแสงวาบทำให้วาลเซอิคเสียวสันหลังหมือนกำลังถูกจ้องด้วยสายตาของปีศาจจากที่อันมืดมิด คำว่าจากลาสำหรับริเรียแล้วคงเป็นคำต้องห้าม...มันกระทบความรู้สึกของเธออย่างรุนแรงและเธอไม่อาจยอมรับมันได้

   วาลเซอิคกลั้นหายใจเฮือก พยายามที่จะไม่แสดงความกลัวและยกมือขึ้นบีบไหล่บอบบางของหญิงสาวแทนการเตือนสติ

   “ข้าไม่ไปไหนหรอก...” ถึงจะพูดอย่างนั้นออกไป แต่ก็ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ริเรียจะสงบลง

   และเมื่อเธอสงบลงแล้ว หญิงสาวก็ไม่พูดอะไรอีก แค่นั่งซบอิงอยู่เฉย ๆ ราวกับว่าอยากให้เวลาเช่นนี้ดำรงอยู่ตลอดไป

   และเมื่อผ่านไปค่อนคืน วาลเซอิคก็เริ่มรู้สึกง่วง บางทีคงเพราะดึกดื่นมากแล้วและเขาเองก็เริ่มชินกับช่วงเวลาของมนุษย์ปกติแล้ว

   “กลับกันเถอะ” เขาเอ่ยชวน

   “ตอนนี้น่ะหรือ?” ริเรียจ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ และในวินาทีต่อมาเหมือนเธอจะคิดออกว่าเขากับเธอมีบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่จึงพยักหน้ารับ

   วาลเซอิคจูงมือริเรียกลับมาที่บ้านโดยไม่ได้พูดอะไรกันสักคำเดียว ปกติพวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความเงียบที่คั่นกลางพวกเขามาหลายชั่งโมงจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ริเรียดูจะไม่ใช่คนช่างพูดมากนัก เธอคล้ายว่าจะชอบคิดอะไรอยู่คนเดียวเสียมากกว่า และนั่นก็ทำให้วาลเซอิคกลัวขึ้นมาเป็นบางครั้งเพราะไม่อาจเข้าใจความคิดของเธอได้

   ไม่เหมือนกับริเรียที่เซเอลเล่าให้ฟังสักนิดเดียว...

   เพราะริเรียที่อยู่ในความทรงจำของเซเอลคือหญิงสาวที่ร่าเริง ฉลาดเฉลียว และมีความมั่นใจในตัวเอง

   บางครั้งเขาก็ยังคิดสงสัยว่าเซเอลจะรักริเรียคนนี้อยู่จริง ๆ หรือเปล่า มันเหมือนกับการให้ความหวังตัวเองอยู่กลาย ๆ แต่วาลเซอิคก็พบว่าตนเองเสียใจที่คิดแบบนั้นออกมา เพราะเหมือนกับการพยายามทำให้ตัวเองมีความสุขบนความทุกข์ของคนเป็นแม่

   อย่างวันนี้...ที่พูดเรื่องเซเอลออกไป คงเพราะส่วนหนึ่งในใจของเขาอยากรู้ว่าแม่มีเยื่อใยให้ฝ่ายนั้นมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องที่แย่จริง ๆ ...

   เฮ้อ...

   “มีอะไรหรือ?”

   วาลเซอิคสะดุ้งตอนที่ถูกถาม ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองเพิ่งถอนหายใจออกมา

   “ข้าแค่ง่วงก็เลยคิดถึงเตียงขึ้นมาน่ะ” หลังคำตอบ เด็กหนุ่มก็หัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าริเรียไม่ได้กำลังฟังเขาอยู่เลย เธอหยุดยืนนิ่งไม่ยอมก้าวเดิน จับแขนของเขาแน่น และตั้งสมาธิกับบางสิ่งบางอย่างที่สายตามองไม่เห็น “เกิดอะไรขึ้น?” วาลเซอิคแตะมือเธอเบา ๆ แต่หญิงสาวก็ไม่รู้สึกตัว ไม่ไหวติง ยังคงขึงสายตาแน่นิ่งกับปลายเท้าของตัวเอง

   วาลเซอิคเริ่มมองไปรอบตัว ผู้ต้องสาปล้วนแต่มีประสาทสัมผัสดีเลิศ ซึ่งบางที...ริเรียคงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เข้ามาในรัศมีรอบตัวพวกเขา

   มนุษย์? หรือว่าผู้ต้องสาป?

   เซเอลหรือเปล่า?

   จะว่าไป เซเอลรู้แล้วว่าริเรียอยู่ที่นี่ คงจะมาดูกระมังว่าเขาพูดจริงหรือแค่หลอกให้ดีใจเล่น แต่ท่าทางของริเรียนั้นเหมือนกำลังสัมผัสได้ถึงศัตรูมากกว่า เหมือนพบคนแปลกหน้าเข้ามาในอาณาเขตแบบเดียวกับที่เขาเคยมาที่บ้านโดยไม่ได้ตั้งใจในวันแรก

   “วาเลซ...เจ้าเข้าบ้านก่อนเถอะนะ” อยู่ ๆ ริเรียก็ผ่อนคลายท่าทีแข็งกร้าวลงก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและปล่อยแขนให้เป็นอิสระ

   “แล้วเจ้า....?”

   “เดี๋ยวข้าก็กลับมา ไม่นานหรอกนะ” หญิงสาวแตะใบหน้าของเขาและลูบบนแก้มเบา ๆ “แล้ว...เราก็จะอยู่ด้วยกัน...นะ วาเลซ”

   โดยที่วาลเซอิคยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ริเรียก็จากไปอย่างรวดเร็วด้วยการเคลื่อนไหวแบบผู้ต้องสาป การเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เขาเคยถูกโจมตี และแบบเดียวกับที่เคยเห็นอาร์วิน่าทำเมื่อครั้งที่อัลเรสรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเซเอล

   แบบนี้มันไม่ปกติเลยไม่ใช่หรือ?

   เกิดอะไรขึ้นกันแน่? และเขาควรจะตามไปหรือเปล่า ถึงแม่ของเขาจะเป็นผู้ต้องสาปแล้วแต่ก็ใช่ว่าไม่สามารถบาดเจ็บได้ ซ้ำเวลานี้อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ถ้าริเรียอยู่ข้างนอกจนกระทั่งแสงแดดสาดลงมาต้องร่างกาย เธอก็จะ....สลายกลายเป็นฝุ่นผง!

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #153 เมื่อ13-01-2013 20:15:33 »

งานเข้าแล้วไง

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #154 เมื่อ13-01-2013 21:35:34 »

เซเอลต้องวางแผนไว้แน่ๆเลย

 :sad4: กำลังจะมันแล้วมาต่อเร็วๆน้า

รอจ้า รอ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #155 เมื่อ13-01-2013 23:02:35 »

เป็นตอนที่อ่านแล้วสงสารริเรียอย่างแรง โกรธไม่ลง เกลียดไม่ลง ถึงริเรียจะทำเรื่องร้ายๆมามากแล้วก็เถอะ
เรื่องชื่อนี่อ่านแล้วสะเทือนใจอ่ะ รู้สึกหดหู่แทนน้องวาลเลย ถึงริเรียจะคิดว่าเซเอลเป็นเพื่อน แต่ก็สำคัญถึงขั้นอยากจะนึกถึงตลอดเวลา เซเอลก็ปกป้องริเรียไว้ไม่ได้ แถมมีแววว่าต้องฆ่าผู้หญิงที่ตัวเองรักด้วย ส่วนน้องวาลก็พยายามเต็มที่ให้คนที่ตัวเองรักทุกคนมีความสุขให้ได้ นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆอ่ะ!

ว่าแต่เซเอลใช่ไหมที่เข้ามาหาวาลเซอิค แล้วน้องวาลเราไม่รู้ตัวเลยเรอะ!

รอตอนหน้า T^T

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #156 เมื่อ14-01-2013 01:38:23 »

เอาแล้วไง

lovelymoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่17 [13/01/13]
«ตอบ #157 เมื่อ15-01-2013 00:56:54 »

ทำไมยิ่งอ่านมันยิ่งเศร้าอ่า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #158 เมื่อ16-01-2013 20:16:32 »

ตอนที่ 18 ใต้แสงดาว


   เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วาลเซอิคจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่บ้าน ซึ่งหากเขาจำไม่ผิด...มีดพกสำหรับล่าสัตว์ของตายังเก็บไว้บนห้องของเขา อย่างน้อยมันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างหากมีอันตรายเกิดขึ้น หรืออย่างน้อย...หากริเรียไปทำร้ายใครเข้า เขาก็อาจต้องใช้กำลังหยุดเอาไว้

   เมื่อเหน็บมีดไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบออกจากบ้านโดนพยายามทำทุกอย่างด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ตากับยายตื่นขึ้นมา

   แต่....เขาจะตามริเรียไปได้ยังไงกัน?

   มองไปรอบด้านแล้วดูไม่รู้เลยว่าหญิงสาวหน้าจะไปทางไหน หากเป็นอาณาเขตของเซเอลเขายังเดาได้ว่ามนุษย์น่าจะเผลอรุกล้ำเข้ามาจากทางที่เชื่อมกับหมู่บ้าน แต่ของริเรีย....ดูไม่มีทิศทางชัดเจนและไม่รู้ว่าทางทิศใดจะมีใครเข้ามาได้บ้าง เพราะบ้านหลังนี้ด้านหนึ่งติดชายป่า อีกด้านหนึ่งก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ด้านที่ติดกับชายป่าอาจจะมีพวกพรานเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

   ถึงอย่างนั้น...เวลากลางคืนอย่างนี้พรานที่ไหนจะยังเดินดุ่ม ๆ ไปทั่ว

   วาลเซอิครู้ว่าตนเองไม่มีเวลาให้พิจารณาสถานการณ์มากนัก เขาจึงตัดสินใจที่จะลองวิ่งหารอบ ๆ ดูก่อน เพราะริเรียน่าจะไปไม่ไกลจากที่นี่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอ

   ทว่า...

   “วาลเซอิค!”

   เสียงที่รั้งเขาเอาไว้เป็นของคนที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่....

   วาลเซอิคหันไปในทิศทางที่ได้ยิน และที่นั่น เขาเห็นคัลดิชกับอัลเรสยืนอยู่ด้วยกัน ท่าทางของทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้มาที่นี่โดยบังเอิญ

   หรือว่าเซเอล?

   เซเอลบอกทั้งสองคนเรื่องเขาหรือ?

   “ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา” เพราะกำลังเร่งรีบ วาลเซอิคจึงลืมเรื่องเอลยาไปเสียสนิท ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของริเรียและสิ่งที่กระตุ้นให้อีกฝ่ายไล่ตามไป ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้ทั้งอัลเรสและคัลดิชรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เซเอลให้พวกเขามาที่นี่ ไม่ใช่แค่มาเพื่อพบวาลเซอิคแต่น่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น

   “เดี๋ยวก่อน นายท่านบอกให้ข้ามาพบเจ้า” คัลดิชดึงรั้งเด็กหนุ่มไว้

   “เซเอล?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว “หมายความว่ายังไง เซเอลคิดจะทำอะไรกับแม่ของข้า!?”

   “แม่ของเจ้า? เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อัลเรสที่จับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่มองทั้งสองคนสลับกันไปมา “อย่าบอกนะวาลเซอิค ว่าแม่ของเจ้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของพี่สาวข้าด้วย!”

   “....เรื่องนั้น....” เมื่อถูกคาดคั้นจากอัลเรส วาลเซอิคก็เกิดอาการอึกอัก หากพูดความจริงออกไป....อัลเรสจะต้องทำอะไรรุนแรงแน่ และตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะให้ตากับยายตื่นขึ้นมารู้เรื่อง ซึ่งเขาไม่ควรจะให้สองคนนี้มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้าน

   ไม่สิ...นี่อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้

   เมื่อริเรียไม่อยู่...ก็เป็นโอกาสที่จะปล่อยเอลยาออกมา

   ในที่สุดวาลเซอิคก็ถูกปลุกจากความตื่นตระหนกและนึกได้ว่าเอลยายังคงเฝ้ารอความช่วยเหลือซึ่งเขาได้มอบความหวังเอาไว้ให้

   ซ้ำตอนนี้เขายังไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากวิ่งพล่านไปทั่วชายป่าโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ดังนั้น หากเขาช่วยเอลยาออกมาเรียบร้อยแล้ว คัลดิชก็อาจจะสามารถช่วยเขาหาตัวแม่ของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน ถึงแม้วาลเซอิคจะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าทำไมคัลดิชจึงมาช่วยเหลืออัลเรสกับเอลยา แต่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะคิดมาก ทำอะไรได้ก็ควรทำไปก่อน

   “นี่เจ้า......!” เพราะเห็นวาลเซอิคเงียบไปนาน อัลเรสจึงเกิดมีน้ำโห ในใจของเขาเชื่อมั่นว่านายของคัลดิชได้นำทางเขามาพบกับเงื่อนงำของเอลยาแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนี่กลับเอาแต่อ้ำอึ้ง ซึ่งคิดได้อย่างเดียวว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำของใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะโวยวายอะไรออกมา วาลเซอิคก็รีบโถมตัวเข้ามาปิดปากเขาจนแน่นและยกมืออีกข้างขึ้นจุ๊ย์ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ

   ชายหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความกังขาในจุดประสงค์และท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และพอจะดึงมือวาลเซอิคออกเจ้าตัวก็กระซิบขึ้นมา

   “เงียบหน่อย ข้าไม่อยากให้คนข้างในตื่น”

   “อย่ามาอุบายกับข้านะ!” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อัลเรสก็ลดระดับเสียงลงมากในขณะที่คัลดิชเพ่งมองไปยังบ้านซึ่งเขารับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่นอกจากพวกเขา

   “ข้าคิดว่าควรจะฟังวาลเซอิคดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยให้หูข้าสบายขึ้น” เจ้าตัวกล่าวเตือนกึ่งเล่นกึ่งจริงจังก่อนหันไปทางเด็กหนุ่ม “ทีนี้บอกข้ามาได้แล้ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ในสถานที่ที่มีกลิ่นของผู้ต้องสาปผสมกับมนุษย์คละคลุ้งแบบนี้ และนายท่านต้องการให้ข้ามาหาอะไร”

   วาลเซอิคเหลือบมองไปที่บ้านเล็กน้อยก่อนจะทำสัญญาณมือ

   “ตามข้ามาสิ เงียบ ๆ ด้วยล่ะ”

   คัลดิชหันไปมองอัลเรสโดยส่งสายตาปรามไม่ให้อาละวาดออกมาก่อนจะเดินตามวาลเซอิคไปโดยไม่พูดอะไร อัลเรสจึงต้องยอมทำตามเพราะดูท่าเรื่องที่มีคนอื่นในบ้านคงจะจริง

   วาลเซอิคพาทั้งสองคนอ้อมไปข้างหลังตัวบ้านซึ่งพวกเขาก็พบห้องเก็บของห้องหนึ่ง แต่กลับมีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย....

   มันถูกคล้องด้วยโซ่และแม่กุญแจ...

   อะไรกัน? ก่อนหน้านี้มันยังไม่มีเลยนี่!

   เด็กหนุ่มเดินเข้าไปดึงโซ่ด้วยความโมโห ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางทีตากับยายคงรู้ว่าเขาลงมาที่นี่เพราะผ้าห่มบนตัวเอลยา จึงได้ล็อคประตูเอาไว้ไม่ให้เขาแอบมาได้อีก

   “นี่เจ้าหลอกให้ข้าเสียเวลาเล่นหรือไง!” อัลเรสคำรามออกมาอีกครั้งหลังจากพบว่าตนเองถูกพามายืนหน้าประตูที่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ซ้ำยังเป็นแค่ห้องเก็บของแคบ ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย

   “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาที่นี่แต่แรกแล้วนะ เจ้าต่างหากที่บังคับให้ข้าต้องพามา!” ในสมองก็มีเรื่องอยู่มากพอแล้ว อัลเรสยังมาโทษว่าเป็นความผิดของเขาไปเสียทุกอย่าง ในที่สุดวาลเซอิคจึงสุดทนและตวาดสวนกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน

   “ข้างในนี้มีของที่นายท่านต้องการอยู่สินะ?” คนที่เยือกเย็นที่สุดในเวลานี้กลับเป็นคัลดิช เขามองพิจารณาโซ่และแม่กุญแจที่ยังใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนกับของที่ท้าลมฝนอยู่ตรงนี้มานานพอ ๆ กับบานประตูเลย บางทีมันคงจะเพิ่งถูกนำมาใส่ไว้เพื่อปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่มีกุญแจ และเขาเองก็ไม่ได้พกดาบมา สิ่งที่มีก็แค่มีดพกของวาลเซอิคซึ่งดูจะไร้ประโยชน์ หากตัดลงไปบนโซ่ก็มีแต่จะบิ่นเอาเท่านั้น “พวกเจ้าถอยออกไปหน่อย” อยู่ ๆ คัลดิชก็พูดออกมาแบบนั้นและเดินไปในระยะช่วงขาถึงประตู

   วาลเซอิคและอัลเรสถอยออกไปไกลจากระยะนั้นอีกช่วงหนึ่งก่อนที่คัลดิชจะตั้งท่าหยั่งขาข้างหนึ่งไว้บนพื้นจนมั่นคงดี และ...

   โครม!

   ด้วยแรงถีบเพียงครั้งเดียว ข้อต่อระหว่างประตูและกรอบไม้ก็ถูกกระแทกหลุดออกทำให้บานประตูห้อยร่องแร่งโดยมีโซ่เหล็กเส้นเดียวพยุงเอาไว้กับกรอบอีกด้านหนึ่ง

   “เข้าไปกันเถอะ” โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของอัลเรส คัลดิชก็เดินนำเข้าไปข้างในตามด้วยวาลเซอิคที่คุ้นชินกับพลังเหนือมนุษย์ของพวกผู้ต้องสาปมานานแล้ว

   ในห้องเก็บของมืด ๆ วาลเซอิคคลำทางด้วยการเตะเท้าไปบนพื้นจนกระทั่งเจอพรมผืนหนึ่ง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งและตลบผ้าออกพร้อมทั้งควานมือหาที่จับสำหรับเปิดประตูห้องใต้ดิน คัลดิชที่สายตามองเห็นในความมืดชัดเจนจึงดึงวาลเซอิคออกมาและจัดการเปิดด้วยตัวเอง

   พวกเขาเดินตามกันลงไปข้างล่างโดยคัลดิชเป็นคนนำเพราะมองเห็นทาง ส่วนอัลเรสปิดท้ายเพราะไม่ไว้ใจวาลเซอิคที่อาจขังพวกเขาไว้ข้างล่างตอนเผลอ

   สายตาของอัลเรสชินกับความมืดมากขึ้นตอนที่ลงมาถึงพื้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังขยับกลอนประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ ๆ จึงหันไปมองและเห็นเลือนรางว่าเป็นประตูบานเตี้ย ๆ ที่เขาต้องก้มตัวลงจึงสามารถลอดผ่านเข้าไปได้ เมื่อมันเปิดออก คัลดิชก็เข้าไปก่อนโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวอะไรเช่นเคย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาความกล้ามาจากไหนหรือเป็นคนที่เดินหน้าแบบไม่คิดอะไรมาแต่แรกแล้ว

   “วาล...เซอิค?” จากในห้องนั้น มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเปล่งเรียกขานชื่ออีกบุคคลหนึ่งขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและไม่แน่ใจ แต่อัลเรสสามารถจดจำเสียงนั้นได้ทันที

   “เอลยา!”

   “.....อ....อัลเรส....?” เอลยาได้ยินเสียงของน้องชายตนเองก็เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นมาในใจ เสียงของเธอสั่นเทาและมีการขยับตัวเกิดขึ้น “อัลเรส อัลเรส!” หญิงสาวตะโกนจากมุมห้องด้วยควาหมวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปจากตรงนี้ เธอพยายามผุดลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แข้งขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงเพราะไม่ได้ขยับตัวมานานเสียจนแทบจะเดินไม่ได้

   อัลเรสแหวกสองคนที่ขวางทางเข้าไปหาพี่สาวและอุ้มเธอขึ้นมา

   “เอลยา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เจ้าบ้านี่ทำอะไรเจ้า?” คำถามที่เจ้าตัวถามเอลยาเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะหญิงสาวยังไม่ทันตอบ อัลเรสก็หันไปทางวาลเซอิค “เจ้าทำอะไรกับเอลยา!”

   “ข้าไม่ได้ทำอะไร เลิกโทษข้าไปทุกเรื่องเสียทีได้ไหม!?” วาลเซอิคปฏิเสธข้อกล่าวหาด้วยความหงุดหงิดใจ “ตอนนี้รีบพาเอลยาออกไปจากที่นี่....”

   “ระวัง!” คัลดิชขัดจังหวะการพูดของวาลเซอิคด้วยการดึงอีกฝ่ายให้พ้นรัศมีประตูก่อนที่ขวานเล่มหนึ่งจะถูกจามลงมาปักห่างจากปลายเท้าไปไม่กี่เซนติเมตร

   เด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีดเผือดไม่ต่างกับคนที่เหลือซึ่งเห็นเหตุการณ์ เพราะหากคัลดิชดึงเขาออกมาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที กะโหลกของเขาคงจะแยกออกเป็นสองเสี่ยง....

   วาลเซอิคไล่สายตาจากขวานขึ้นไปจนถึงผู้ถือ และนั่น...

   ค...คุณตา!?

   โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายชราก็ยกขวานเล่มนั้นขึ้นอีกครั้งและหันมองวาลเซอิคด้วยสายตาเหมือนกับการมองหนูตัวใหญ่ซึ่งเข้ามาทำลายข้าวของก่อนกวาดสายตาไปยังอัลเรสและเอลยา หญิงสาวขดตัวสั่นในอ้อมแขนของน้องชายด้วยความหวาดกลัว พวกเขากลายเป็นเป้าหมาย...เพราะสิ่งที่ชายชราต้องการคือเอลยา คนที่มีสิ่งที่ลูกสาวของตนสูญเสียไป...

   เขาก้าวย่างเข้าไปหาอัลเรสและเอลยาพร้อมขวานในมือโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับวาลเซอิคและคัลดิชอีก ฝ่ายอัลเรส...เขาก็ไม่มีแม้กระทั่งมือจะยกป้องกันตัว เมื่อถอยหลังไป หลังของชายหนุ่มก็ชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ คมของขวานถูกเงื้อขึ้นสูง...

   “ข้าเป็นคนทำเอง”

   ....

   ทุกอย่างหยุดชะงักด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของคัลดิชที่ผลักวาลเซอิคให้ถอยไปทางประตู ชายชราหันมาทางผู้ต้องสาปเพียงคนเดียวในห้องอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงเหมือนคนที่สูญสิ้นความคิดดีชอบ แต่ก็เพียงมอง...โดยไม่ทำอะไรเหมือนกำลังรอว่าคนที่เริ่มประโยคไว้คิดจะพูดอะไรต่อ ในช่วงนาทีนั้นหากมีสิ่งใดขยับเคลื่อนไหวหรือเสียงใดเกิดขึ้น ขวานคงถูกจามลงทันที เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงพากันนิ่งเงียบ ไม่กล้าขยับขา...ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แม้อัลเรสจะเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปทางอื่น แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะเอลยาอยู่ในแขนของเขา

   มีเพียงคัลดิชที่วางตัวสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนกับความกดดันที่ชวนให้หายใจลำบาก เขาเดินก้าวออกมาอีกก้าวและอยู่ไม่ไกลจากระยะขวานมากนัก

   “เลือดของข้าคือสิ่งที่เปลี่ยนริเรียให้กลายเป็นปีศาจ”

   เอ๋...

   เดี๋ยวสิ ถ้าบอกความจริงไปแบบนั้น...   

   วาลเซอิคคิดจะอ้าปากเตือน แต่แล้วกลับบังเกิดเสียงแผดร้องกึกก้องจนความคิดและการกระทำทั้งหมดถูกปิดกั้นชั่วขณะเพราะความตกตื่น และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็เห็นขวานเล่มนั้นที่เคยจดจ้องไปทางอัลเรสและเอลยาเบี่ยงกลับมาทางคัลดิช ชายชราโถมแรงทั้งหมดที่มีเข้าใส่หวังจะสังหารคนตรงหน้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทว่า...คัลดิชไม่ได้สละตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นโดยไม่ได้คิดอะไรเอาไว้ มันไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้วที่จะเป็นผู้เสียสละ และเมื่อทุกกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ ชายหนุ่มก็ย่อตัวลงและกางกรงเล็บรอ

   ข้าจะควักหัวใจในครั้งเดียวเจ้าจะได้ไม่ต้องทรมาน....

   อีกเพียงนิดเดียวเป้าหมายก็จะเข้าถึงระยะ...

   “อย่า!!” วาลเซอิคตะโกนขัด เป็นวินาทีเดียวกับที่ชายชราพุ่งเข้ามาถึงตัว ทำให้คัลดิชเสียจังหวะที่ตนเองหวังเอาไว้และหลบพ้นคมขวานอย่างฉิวเฉียด “นั่นเป็นตาของข้า อย่าฆ่าเขานะ!” ทั้งที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน วาลเซอิคก็ยังคงคิดว่ามันไม่สมควรเลยที่จะฆ่าแกงกัน และความคิดเช่นนั้นทำให้คัลดิชหงุดหงิดใจขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงสบถเบา ๆ และยกขาเตะขวานให้หลุดจากมืออีกฝ่าย

   “แก....ไอ้ปีศาจ....ไอ้ปีศาจ! อั่ก!” เสียงแผดร้องก่นด่าของชายชราหยุดชะงักเมื่ออุ้งมือของผู้ต้องสาปคว้าเข้าที่ลำคอและยกขึ้นกระแทกกับผนัง

   “ปีศาจน่ะ ไม่ใจดีแบบข้าหรอกนะ” รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏบนใบหน้าก่อนที่ดวงตาสีแดงเลือดจะเปล่งแสงเรืองรองในความมืด มนตร์สะกดของผู้ต้องสาปกลืนกินสติของชายชราผู้คลุ้มคลั่งและพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทว่าเขาก็ไม่อาจขัดขืนสิ่งที่เหนือกว่าโดยธรรมชาติได้และแน่นิ่งไปในที่สุด

   ร่างที่หมดสติถูกทิ้งลงบนพื้น วาลเซอิครีบวิ่งเข้ามาดูอาการของผู้เป็นตาด้วยความเป็นห่วง

   “แค่หลับไปเท่านั้นแหละ ออกไปก่อนที่เขาจะตื่นดีกว่า” ชายหนุ่มผู้ต้องสาปว่าแล้วเตะขวานที่ตกอยู่แถวนั้นไปไกล ๆ

   วาลเซอิคจำต้องผละจากร่างของตาและตามอีกสามคนขึ้นไปข้างบน เขาขอให้อัลเรสอย่าปิดประตูห้องใต้ดิน เพราะตาคงจะออกมาเองไม่ได้แน่ และมนตร์ของคัลดิชก็ใช่ว่าจะคลายในไม่กี่นาที ถึงปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นอะไร เพราะพวกเขาคงจะไปไกลแล้ว

   อัลเรสวางเอลยาลงบนพื้น หญิงสาวยังคงเสียขวัญจึงไม่ยอมปล่อยมือจากน้องชายของตนเลย

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวกลับล่ะนะ” คัลดิชเตรียมจะปลีกตัวจากไป เพราะภารกิจที่เซเอลมอบให้ก็จบแล้ว และเขาก็ไม่ติดค้างอัลเรสแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาควรจะกลับปราสาทได้เสียที แต่พอหันหลัง วาลเซอิคก็เรียกเอาไว้และรี่มาคว้าข้อมือไม่ให้หนีไปก่อน

   “พาข้าไปหาแม่ที”

   หา!?

   “เพื่อให้นางกลับมาขังเอลยาอีกหรือไง!” อัลเรสดูจะไม่พอใจที่สุดที่วาลเซอิคคิดจะไปหาริเรีย

   “ไม่ใช่นะ! แต่ว่า...ป่านนี้นางยังไม่กลับมา อาจจะเจอเรื่องอันตรายก็ได้” หากนับจากตอนที่ริเรียรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างและรีบรุดจากไป นี่ก็ผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว ริเรียไม่น่าจะไปนานขนาดนี้ หากเป็นเรื่องเล็กน้อยเธอก็น่าจะกลับมาแล้ว หรือว่าจะเจอคนทำร้ายเข้าจริง ๆ ....

   คัลดิชกลอกตา เอาเถอะ...กลิ่นของริเรียยังไม่จางหายไป แค่นำทางไปแล้วกลับปราสาทก็คงพอกระมัง

   “เจ้ารีบพาพี่สาวเจ้ากลับไปก่อนนางกลับมาก็แล้วกัน” เขาแนะนำก่อนหันมาทางวาลเซอิค “ไปกันเถอะ ก่อนที่จะเช้า” ว่าแล้วคัลดิชก็เงยหน้ามองฟ้า อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นทั้งเขาและริเรียคงจะลำบากด้วยกันทั้งคู่

   ก่อนจะก้าวออกไป ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงบางสิ่งปรกลงบนศีรษะ เขามองผืนผ้าห่มกว้างที่คลุมจากศีราะจรดปลายเท้าและหันไปมองคนด้านหลังพลางเลิกคิ้ว

   “ข้าเจอข้างล่างน่ะ” อัลเรสพูดแค่นั้นแล้วหันไปอุ้มเอลยาขึ้นมา

   คัลดิชหัวเราะหึในคอ

   “ถ้ามีมนุษย์แบบเจ้าเยอะ ๆ โลกคงน่าอยู่พิลึก” เขาตลบผ้าไว้บนแขนเพราะมันค่อนข้างเกะกะ แต่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นมันคงช่วยปกป้องร่างกายเขาเอาไว้ได้มากกว่าร่มของต้นไม้ คัลดิชจึงยินดีรับมันเอาไว้และเดินนำวาลเซอิคออกไปข้างนอก “ตามข้าให้ทันล่ะ วาลเซอิค” ว่าจบ เจ้าตัวก็พุ่งตัวเข้าชายป่าไปอย่างรวดเร็วโดยมีวาลเซอิครีบเร่งตามไปข้างหลัง

------------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #159 เมื่อ16-01-2013 20:17:29 »

   สายลมพัดเย็นเยือกบนที่โล่งในค่ำคืนหนาวเย็น ดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งทอดมองไปบนท้องฟ้าและกำลังเฝ้ารอใครบางคนซึ่งกำลังมุ่งมาทางนี้ ใครบางคน...ซึ่งเขาได้หลอกล่อให้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด และฝ่ายนั้นก็ติดตามมาโดยไม่มีการคิดหน้าคิดหลังเลยสัดนิดเดียว นั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่บกพร่อง มีเพียงผู้ที่ผิดปกติทางด้านการคิดวิเคราะห์เท่านั้นจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา เพราะมันเกิดจากสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์ป่าที่ไล่ตามผู้รุกล้ำอาณาเขตของมันเพื่อขับไล่สิ่งนั้นออกไป

   กระนั้น...จุดประสงค์ของคนที่ตามเขามาคงไม่เรียบง่ายถึงขนาดนั้น เพราะความต้องการฆ่าจากอีกฝ่ายทิ่มแทงลงบนร่างกายของเขาตลอดเวลาที่อยู่ในระยะสายตา

   นั่น...คือความอาฆาตและความปรารถนาที่รุนแรง และเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เธอ...ตามเขามาจนถึงที่นี่

   “ใช่หรือไม่ ริเรีย...” ดวงตาสีเลือดไล่จากท้องฟ้าลงมาถึงร่างบอบบางของหญิงสาวซึ่งทิ้งระยะห่างจากเขาไปหลายช่วง

   เธอเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและว่างเปล่า ราวกับว่าข้างในนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่พร้อม ๆ กับที่ไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งที่เซเอลรู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือ...เธอจดจำเขาไม่ได้เลยสักนิดเดียว ในสายตาของริเรีย เขาเป็นเพียงคนอีกคนหนึ่งที่เข้าใกล้ครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ชายที่เธอแสนหวงแหนและรักใคร่

   “คนของข้า....ข้าไม่ให้เอาไปหรอก...” เสียงพึมพำลอดผ่านริมฝีปากอิ่มสวยที่เป็นสีแดงราวกับเลือด ริเรียแย้มรอยยิ้มเลื่อนลอยและค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ “ลูกของข้า....สามีของข้า...จะไม่ให้ใครแตะต้องทั้งนั้น...” พร้อมกับการร่นระยะห่าง มือของเธอก็ปรากฏกรงเล็บแหลมคมดูน่ากลัว ริมฝีปากที่แย้มออกเห็นเขี้ยวขาวตัดกับสีแดงสดของริมฝีปาก

   ถึงอย่างนั้น...เซเอลก็ยังสังเกตเห็นที่คอของเธอ สายสร้อยเส้นนั้นที่เขาจงใจทิ้งเอาไว้ ริเรียยังคงเก็บกลับมาแสดงว่าหญิงสาวไม่ได้ลืมเขา เพียงแต่ว่า...ตัวตนของเขาในความทรงจำของเธอไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ที่นี่

   ในช่วงจังหวะที่เซเอลมองดูสิ่งของแห่งความทรงจำนั้นเอง ริเรียก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วพร้อมกรงเล็บที่เล็งเป้าหมายมายังลำคอ แต่เซเอลก็ยังไหวตัวทันและขยับตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เกิดแต่เพียงรอยถากสีแดงบนผิวขาวซีด เพียงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในไม่กี่วินาที ชายหนุ่มก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าตนเองนั้นร่วงโรยไปมากเต็มทีแล้ว...ทั้งการขยับตัว ทั้งประสาทสัมผัส ความว่องไว การป้องกันตัว ทุก ๆ อย่างตอบสนองอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากมนุษย์ปกติ อย่างดีก็เหมือนมนุษย์ที่ฝึกการต่อสู้มาเท่านั้น

   จะถ่วงเวลาไว้ได้แค่ไหนกันนะ...

   เซเอลคิดพลางเริ่มตอบโต้กลับไปบ้าง แต่ก็เป็นตามที่คิดไว้ พลังอำนาจของเขาแทบจะไม่ใช่ของผู้ต้องสาปอีกต่อไปแล้ว ริเรียแทบจะไม่ต้องหลบหลีกเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ เธอยังเหลือบสายตามองเขาราวกับเห็นลูกหนูที่พยายามต่อกรกับพญาราชสีห์

   ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะตกต่ำถึงเพียงนี้ได้.....

   ร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดสุดแล้วจริง ๆ หรือ....

    ปลายเล็บคมที่ถากผ่านแผ่นอกเฉือนเสื้อของเขาจนเกือบขาด เซเอลจำต้องทิ้งระยะห่างออกมาเพื่อป้องกันตัวไปด้วย

   ตัวเขาในตอนนี้....คงไม่สามารถแม้แต่จะทำให้อีกฝ่ายมีบาดแผลสาหัสได้ กระทั่งการสัมผัสตัวหญิงสาวก็ยังแสนยากเย็น

   แต่ริเรียไม่ยอมให้ผู้บุกรุกถอยหนี เธอพุ่งตัวตามไปโดยไม่เว้นจังหวะให้หายใจ เสียงหัวเราะแว่วกังวานเมื่ออุ้งมือตะปบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายก่อนโถมให้เสียหลักล้มลงไปบนพื้น เซเอลหอบหายใจ เลื่อนสายตาขึ้นมองหญิงสาวที่กุมชีวิตตนเองเอาไว้ จี้ห้อยคอร่วงตกลงมาจากคอเสื้อและเคลียอยู่บนใบหน้าของเขา ของขวัญที่เขามอบให้...ริเรียยังจำได้หรือเปล่า...

   “ริเรีย...ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้....”

   ไม่มีคำตอบ....

   ริเรียเพียงแย้มรอยยิ้มตอบกลับมาเหมือนกับว่าในคำถามนั้นไม่มิถ้อยคำไหนเลยที่เข้าไปถึงใจของเธอได้ หญิงสาวไม่ได้ยิน....ไม่เห็น...ไม่เข้าใจในสิ่งใด ๆ แค่เพียงต้องการทำลายคนที่คิดจะพรากคนที่รักของเธอไปเท่านั้น และคน ๆ  นี้ก็จะต้องถูกทำลาย

   แรงบีบรัดรอบคอเริ่มมากขึ้น ปลายเล็บจิกจนเกิดบาดแผลบนผิวเนื้อ ในวินาทีที่เธอคิดว่าลมหายใจอีกฝ่ายจะปลิดปลิวนั้น กลับมีบางสิ่งเสียดแทงเข้ามาในร่างของเธอ...

   “อ๊า!!!!” หญิงสาวกรีดร้องและผละหนีออกไปไกลหลายก้าว สีข้างของริเรียปรากฏรอยเลือดที่ซึมผ่านเนื้อผ้าออกมาเป็นสีเข้ม เธอกดบาดแผลตรงนั้นไว้ด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ร่างกายของผู้ต้องสาปจะรักษาบาดแผลได้รวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีเหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป

   เซเอลยันตัวลุกขึ้น ในมือปรากฏคมของมีดพกเล่มหนึ่งและรอยเลือดที่ไหลหยดลงสู่พื้น เขาสะบัดครั้งหนึ่ง เลือดที่เปื้อนบนคมมีดก็ถูกสลัดออกไปจนหมด เหลือเพียงมีดสีเงินวาวที่คมกริบและเนียนเรียบเปล่งประกายความสูงค่าของมันในความมืดมิด

   “ข้าไม่เคยลดเกียรติของตนเอง....ด้วยการใช้อาวุธกับผู้ที่ไร้อาวุธ....” ชายหนุ่มกล่าว “แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นข้าจะไม่ออมมือ”

   แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เซเอลก็มีอยู่เพียงมีดพกเล่มเล็ก ๆ ที่ถูกตกแต่งสลักเสลาอย่างสวยงาม เป็นประหนึ่งเครื่องประดับยศและป้องกันตัวมากกว่าอาวุธที่ใช้ต่อสู้โดยตรง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่ได้คาดคิดว่าความร่วงโรยของตนจะส่งผลชัดเจน จึงไม่ได้พกพาอาวุธอื่นใดออกมา รวมถึงไม่ได้บอกให้ใครติดตามมาด้วย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง และอีกส่วน...หากเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะใช้อาวุธกับอีกฝ่าย...

   แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางเลือกถึงขนาดนั้น

   ริเรียแสดงความตกใจออกมาเพียงครู่เดียวเมื่อเห็นว่าตนถูกทำร้าย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ไม่ทันทีเซเอลจะคิดโจมตีซ้ำ หญิงสาวก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะในคอ บาดแผลที่เกิดจากมีดปลายแหลมขนาดเล็กและไม่ยาวมากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวจนไม่รู้สึกอะไรอีก เลือดที่ซึมเปื้อนออกมาก็หยุดไหล ปากแผลของริเรียคงปิดสนิทไปแล้ว...ส่วนบาดแผลของเซเอล....กลับสมานตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น กระทั่งรอยเล็บถากข้างคอก็ยังเหลือรอยแดงจางประดับอยู่

   เมื่อริเรียพาตนเองเข้ามาอีกครั้ง เซเอลก็สะบัดผ้าคลุมออกเพื่อปิดกั้นการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม และกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาก็พลาดเป้าจากตัวเขาไปไม่กี่เซนติเมตร เป็นจังหวะให้เซเอลสามารถตอบได้บ้าง เขาเหวี่ยงขาเตะสีข้างตรงจุดเดียวกับที่ถูกแทงเมื่อครู่ และมันกระเทือนให้แผลที่เพิ่งสมานตัวเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอน...เขารู้จักร่างกายของผู้ต้องสาปดี รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดบาดแผลฉกรรจ์จึงจะหาย และเมื่อรวมกับสติที่ครบถ้วน นั่นอาจจะเป็นจุดได้เปรียบเดียวที่ชายหนุ่มมี

   การกระทำของเขาหยุดการเคลื่อนไหวของริเรียได้สำเร็จ หญิงสาวดูสับสนและมึนงงเมื่อความเจ็บแล่นกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยความโกรธเกรี้ยวที่มากกว่าเดิม

   เสียงคำรามจากในลำคอไม่ต่างจากสัตว์ป่า ริเรียกางกรงเล็บจากมือทั้งสองข้าง เพียงพริบตาเดียวก็ก้าวเข้าประชิดตัวเซเอล เป็นความเร็วที่แตกต่างจากตอนต้น หมายความว่าช่วงเวลาอันแสนสนุกของการหยอกล้อเหยื่อจบลงแล้ว และนี่คือการล่าอย่างแท้จริง

   เซเอลที่ถูกบังคับให้ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัวจากการบาดเจ็บจึงยกมีดแทงลงไปที่ข้อมืออีกฝ่ายแต่ก็ยังหลบไม่พ้นมืออีกข้าง แขนที่เขายกขึ้นมาป้องกันใบหน้าถูกข่วนลงไปลึกจนเลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกมาเปรอะฉ่ำแขนเสื้อ

   แม้จะต้องสละแขนไปคนละข้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะริเรียใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถขยับมือข้างนั้นได้อีกครั้ง ส่วนเขา...

   แขนขวาเจ็บจนชาเสียจนไม่อาจฝืนขยับได้ นานเท่าไหร่แล้ว...ที่ไม่เคยพบเผชิญความเจ็บปวดแบบนี้...แม้กระทั่งตอนเป็นมนุษย์ ลูกชายของขุนนางแบบเขาก็ยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่ครั้งเดียว เซเอลกัดฟันเปลี่ยนมีดมาถือด้วยมือข้างซ้าย เขารู้สึกได้ถึงพลังที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายพยายามที่จะกำจัดบาดแผลออกไป แต่มันก็อ่อนแรงเสียเหลือเกิน...

   ความกลัว...แทรกซึมเข้ามา...

   ความรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายและสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า...

   ความรู้สึกในแบบของมนุษย์ซึ่งเขาแทบจะหลงลืมไปแล้ว

   น่าสมเพชตัวเองเสียเหลือเกิน เซเอลคิดขณะมองมือของตนเองที่สั่นเทา แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่อาจหนีไปได้ ถึงแม้คิดจะหนีจริง ๆ แค่หันหลังเขาก็คงถูกฆ่าแล้ว และทั้งหมดนี้...ก็เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของตนเองซึ่งเขาจะไม่เบือนหน้าหนีมันอีกต่อไป

   ครั้งนี้ริเรียก็ไม่ออมมือเช่นกัน เธอก้าวเข้าหาและเมื่อเซเอลตวัดมีดออกไป หญิงสาวก็ก้มศีรษะหลบ จากด้านล่างเซเอลที่สามารถเคลื่อนไหวแขนได้เพียงข้างเดียวจะไร้การป้องกัน ริเรียจึงตวัดกรงเล็บจากจุดนั้นและเสยขึ้น โชคยังดีที่เซเอลคุ้นเคยกับการต่อสู้ที่เป็นระบบแบบนี้จึงสามารถเอี้ยวตัวหลบได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำได้สำเร็จ เขาดึงมีดกลับมาและทิ้งปลายมีดลง มันทำได้แค่เพียงเฉี่ยวเส้นผมของหญิงสาวไปเท่านั้น

   และโดยไม่ทันตั้งตัว เซเอลก็ถูกกระแทกจากด้านข้างด้วยเรี่ยงแรงมหาศาล เขากระเด็นไปหลายก้าวก่อนล้มลงบนพื้น แต่ก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะพาตนเองลุกขึ้น เพราะกรงเล็บพุ่งลงมาจากด้านบน ชายหนุ่มกลิ้งตัวหลบและเห็นมันปักลงบนพื้นตรงจุดที่เคยเป็นหัวใจของตนเองพอดิบพอดี

   เขาโซเซลุกขึ้นด้วยแรงที่พอมีเหลือ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กำลังกายก็ค่อย ๆ ถดถอยเหมือนกับมนุษย์ปกติที่มีเหนื่อยมีล้า การหายใจเริ่มติดขัดและยากลำบาก การก้าวขาในแต่ละครั้งก็แทบจะไม่สามารถพาร่างกายไปยีงจุดที่ต้องการได้ เพียงแค่หลบหลีกก็เต็มกลืนแล้ว...

   ร่างกายของเขายังพอมีพลังเหลือ...บาดแผลบนแขนตื้นขึ้นทำให้เลือดไหลน้อยลง ถึงแม้มันจะช่วยเขาได้ไม่มากนักในเวลานี้แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

   เซเอลเบิกตากว้างเมื่อเห็นริเรียผ่านวาบไปตรงหางตา และในวินาทีต่อมาเธอก็ยืนขวางหน้าเขาพร้อมกับร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมราวกับไม่ได้ผ่านการต่อสู้มาเลยสักครั้งเดียว

   อีกนานแค่ไหนกันนะ....

   ชายหนุ่มกัดฟันมองไปยังขอบฟ้า ด้วยฝีมือของตนเองอย่างไรก็เอาชนะริเรียไม่ได้อยู่แล้ว วิธีที่จะฆ่าผู้ต้องสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี...และเขากำลังรอ...วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดในตอนนี้ แต่ก็เป็นวิธีที่เสี่ยงมากที่สุดเช่นกัน เพราะเขาทำได้เพียงเฝ้ารอเวลา และริเรียก็ไม่มีทางปล่อยให้รออยู่เฉย ๆ

   แต่ว่า...

   “ริเรีย...”

   ขอแค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนจากกัน...

   “...ให้ข้าได้พบเจ้าคนเดิมอีกครั้ง...ไม่ได้เลยหรือ...”

   ไม่...

   นั่นอาจจะเป็นคำตอบ เพราะคำถามของเขาได้รับการตอบด้วยบาดแผลอีกรอยหนึ่งบนใบหน้า

   เหนื่อยเหลือเกิน...

   เซเอลรำพึงกับตนเองอย่างอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ นานหลายปีแล้วที่เขาได้แต่เจ็บปวดกับการสูญเสียคนที่สำคัญยิ่งกว่าใคร หลายร้อยปีแล้วที่เขาต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างและทนทุกข์ทรมานกับชีวิตที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของผู้ใด และในตอนนี้ เขายังต้องทำลายคนสำคัญคนนั้นด้วยมือของเขาเอง ทั้งที่อยากให้มันจบลงไปโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้

   เป็นอีกครั้งที่เซเอลล้มลง เขาไม่เหลือแรงที่จะทำอะไรอีกแล้วและเงาของความตายก็คืบคลานมาในร่างของหญิงสาวที่ตนเคยรัก

   เขาเริ่มถามตัวเองด้วยคำถามที่ไม่ได้ยินจากตนเองมานานแล้ว

   ทำไม...

   ทำไมเขาถึงต้องพบเจอกับเรื่องอย่างนี้อยู่เรื่อยไป

   “....ได้โปรด....”

   ได้โปรด....ให้มันจบลงเสียที....

   ทันใดนั้น...ราวกับเป็นครั้งแรกที่สวรรค์หันกลับมามองวิญญาณที่ถูกทอดทิ้งเช่นเขาอีกครั้ง และที่ขอบฟ้า....ก็ปรากฏแสงสีทองอันงดงาม....

TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
« ตอบ #159 เมื่อ: 16-01-2013 20:17:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






countryside_69

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #160 เมื่อ16-01-2013 21:19:29 »

 :sad11: so sad :sad11:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #161 เมื่อ16-01-2013 23:27:36 »

แต๋ว! ตัดฉับเลย

ออฟไลน์ phakajira

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #162 เมื่อ17-01-2013 22:18:03 »

เงิ่บ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #163 เมื่อ17-01-2013 22:25:30 »

เออะ
ฮืออออ เซเอลอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่18 [16/01/13]
«ตอบ #164 เมื่อ18-01-2013 00:27:55 »

 :a5: ค้างมาก

 :z3:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #165 เมื่อ20-01-2013 14:12:19 »

ตอนที่ 19 แสงสีแห่งอรุณรุ่ง


   “แม่ของข้ามาทางนี้แน่หรือ?” วาลเซอิคตะโกนถามคัลดิชที่ทิ้งระยะห่างออกไปไม่มากนัก แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยและเหมือนว่ามันไกลเกินกว่าจะเป็นไปได้ พวกเขาน่าจะออกจากอาณาเขตของริเรียมาสักพักหนึ่งได้แล้ว

   “เจ้าคิดว่าข้ากำลังหลงทางหรือไง?” คัลดิชตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

   “แต่ว่านี่มันไม่น่าจะ....”

   “เจ้าบอกว่าแม่ของเจ้าตามอะไรบางอย่างไปใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกที่นางจะถูกสิ่งนั้นล่อออกไปนอกเขตของตัวนางเอง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อริเรียทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยสัญชาตญาณและสภาพอารมณ์เป็นหลัก เธอคงไม่มีเวลาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าตนเองกำลังถูกชักนำไปทางใดและไกลแค่ไหนแล้ว แต่คัชดิชก็ยังรู้สึกแปลกใจเพราะกลิ่นที่เคียงคู่กับริเรียนั้นคือกลิ่นของเซเอล...

   มันแปลว่าเจ้านายของเขาคือคนที่ปรากฏตัวออกมาล่อหลอกหญิงสาวคนนั้นหรือ? หรือว่ามันเป็นความบังเอิญที่ฝ่ายนั้นรู้สึกตัวตอนเจ้านายของเขาอยู่แถวนั้นกันแน่

   มีความเป็นไปได้ว่า นี่คือความตั้งใจของเซเอลเพื่อพาริเรียไปจากที่นั่น แต่เพื่ออะไรล่ะ? เพื่อช่วยหญิงมนุษย์ที่ตนเองไม่รู้จักน่ะหรือ? ไม่หรอก พวกเขา...โดยเฉพาะเซเอล เย็นชาต่อชีวิตของผู้อื่นมานานแล้ว หากไม่ใช่คนที่รู้จักใกล้ชิดแบบวาลเซอิค ถึงจะตายไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยให้เอลยาหลุดพ้นจากการกักขัง

   เซเอล...คิดจะทำอะไรกับริเรีย...

   คงไม่ใช่ว่า...

   “ของแบบนั้นแค่บอกให้ข้าหรือคนอื่นไปทำก็ได้ไม่ใช่หรือไงกัน” คัลดิชกระซิบพึมพำกับตนเอง ตัวเขาที่อยู่กับเซเอลมานานมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอ่อนแอแค่ไหน ถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาของมนุษย์ได้ดึงเอาสิ่งที่ได้มาเพราะคำสาปไปทีละน้อยในแต่ละวัน แต่ละนาที ในตอนนี้เซเอลเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้นและมากขึ้น เป็นมนุษย์...ที่ก้าวเข้าสู่ความตาย เพราะอย่างไรผู้ต้องสาปก็ไม่มีวันกลับเป็นมนุษย์ปกติได้ ถ้อยคำนั้นเพียงแค่ช่วยให้พวกเขาไม่ถูกแผดเผาในแสงตะวัน แต่ต้องมีอายุขัยที่แสนสั้นยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป และเมื่อตายลง...ร่างกายจะไม่สูญสลายเป็นฝุ่นผง และจะสามารถเอนกายลงสู่พื้นดินได้ดังมนุษย์ปุถุชน

   ด้วยถ้อยคำนั้น พวกเขาจะได้คืนเป็นมนุษย์อีกครั้งก็เมื่อสิ้นลมหายใจ...

   เหลือเพียงแค่ร่างกายที่กลับสู่ผืนดิน...

   “คัลดิช นี่ใกล้จะเช้าแล้วนะ” วาลเซอิคมองท้องฟ้าด้วยความกังวล จริงอยู่ว่ามันยังมืดมิดและไม่มีแสงสว่างทอเรืองเรื่อง แต่จากการกะเวลาแล้ว อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็คงจะปรากฏบนขอบฟ้า ด้วยระยะทางตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าตอนพบริเรียเขาจะสามารถพาอีกฝ่ายและคัลดิชหาที่หลบเร้นจากแสงสว่างได้ทัน “ถ้าเช้าแล้วจะเป็นยังไง? ที่ว่ากันว่าพวกเจ้าจะถูกเผาจริงหรือเปล่า?”

   “ก็ตามนั้น”

   “ถ้าอย่างนั้น....!”

   “เลิกโวยวายได้แล้ว ข้าไม่มีสมาธิ” กลิ่นอายที่โฉบผ่านเพียงครั้งเดียวนั้นเจือจางจนยากจะติดตามหากไม่สังเกตอย่างตั้งใจ และเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกใช้บ่อยนักทั้งโดยมนุษย์และผู้ต้องสาปเอง ชายหนุ่มกอดผ้าห่มผ้ากว้างในมือด้วยความหวังว่ามันจะช่วยปกป้องเขาได้ดีพอเพราะจากที่นี่เขาอาจจะกลับไปปราสาทไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่อย่างน้อยหากเป็นเขตรกครึ้มของป่าก็ยังดี

   คัลดิชเหลือบสายตากลับไปมองเด็กหนุ่มที่ห่วงพะวงแต่เรื่องของแม่ อีกฝ่ายจะตื่นตระหนักร้อนอกร้อนใจกว่านี้หรือไม่ หากเขาบอกความจริงว่าคนที่อยู่กับแม่ของเจ้าตัวคือเซเอล

   แต่ก่อนจะห่วงเรื่องคนอื่น...เขาก็ต้องห่วงตัวเองด้วยเหมือนกันสินะ ในสถานการณ์แบบนี้....

-------------------------->

   แสงสีทองทาบทาเหนือแนวป่า ริเรียตระหนักรู้ด้วยสัญชาตญาณทันทีว่าถึงเวลาที่ตนเองต้องหลบซ่อนแล้ว มันไม่ใช่ความรักชีวิตแต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสั่งการจากภายใน ทำให้เซเอลไม่ได้อยู่ในสายตาของเธออีกต่อไป ในเวลาที่เธอต้องการมีเพียงที่หลบซ่อนซึ่งมืดมิด อับแสง และสามารถหลับนอนได้โดยไม่มีใครพบเห็น กรงเล็บที่เงื้อง่าถูกลดลง เธอหันมองท้องฟ้าก่อนจะถอยออกจากเหยื่อที่นอนหมดเรี่ยงแรงไร้ทางสู้บนพื้น เธอเดินผ่านเซเอลไปราวกับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น

   แต่จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ?

   เซเอลมองเท้าเล็กที่เคลื่อนผ่านสายตาตนเอง

   ตอนนี้คือเวลาที่รอคอยแล้ว แค่อีกเพียงเฮือกเดียว...แล้วเขาก็จะ...ไม่มีอะไรติดค้างอีก

   ชายหนุ่มสูดหายใจเฮือกก่อนพลิกตัวคว้าข้อเท้าบอบบางนั้นไว้ก่อนดึงกระชากให้อีกฝ่ายล้มลง ริเรียเสียหลักโดยทันทีและเป็นจังหวะให้เซเอลขึ้นกดจากด้านบน ด้วยแรงที่เขามีอาจไม่สามารถรั้งไว้ได้นานนัก แต่ช่วงเวลากลางวันซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนคือช่วงเวลาที่ผู้ต้องสาปจะอ่อนแอที่สุด

   “ปล่อยข้า!” ริเรียกรีดเสียงร้องและจิกข่วนเป็นพัลวัน แสงที่ไล่มาตามแนวป่ากำลังบ่งบอกยามรุ่งที่ผู้ต้องสาปเช่นเธอไม่อาจสัมผัสได้ แต่ละแผลที่หญิงสาวกรีดลงไปฝังรอยบนแขนฉีกกระชากผิวเนื้อให้ขาดวิ่นจนแขนเสื้อสีขาวชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ถึงอย่างนั้นเซเอลก็ยังไม่ปล่อยมือ

   “ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าอีก ริเรีย” อีกไม่นานทุกอย่างจะจบลงแล้ว....

   แสงสว่างกำลังใกล้เข้ามา แสงยามเช้าที่สวยงามเหมือนกับวันที่พ่อและแม่ของเขาจบชีวิตลง เขาได้แต่หวังว่ามันจะไม่ทรมานนัก...

   การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของริเรียก็เกินมือเซเอลไปมาก ถึงจะใช้กำลังทั้งหมดยุดยื้อไว้แต่ร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเสียจนไม่อาจฟื้นฟูได้ดังเดิม ทว่า หากปล่อยรืเรียไปในตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เวลาของเขาเองก็เหลือน้อยลงทุกทีจนไม่รู้ว่าจะอยู่ได้จนถึงเมื่อไหร่ เพราะคิดอย่างนั้นเซเอลจึงฝืนทนรับความเจ็บปวดด้วยความเงียบ และยอมให้ริเรียประทุษร้ายโดยไม่ปริปาก

   แต่แล้ว...

   สวบ!

   เซเอลเบิกตากว้าง มือของหญิงสาวคว้านเข้าไปในอกของเขาและกอบกุมหัวใจซึ่งแทบจะหยุดเต้นเพราะความตกตะลึง เลือดสีคล้ำไหลทะลักจากบาดแผลเปรอะเปื้อนไปทั่วและไหลฉาบผิวเนื้อสีขาวของริเรียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง หากเธอออกแรงเพียงครั้งเดียวเขาก็จะหมดลมหายใจ...

   ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงหยุด?

   ริเรียที่กุมจุดอ่อนชิ้นสำคัญก็ดูแปลกใจตนเองที่ไม่ยอมกระชากมือกลับทั้งที่เป็นโอกาสของเธอ ราวกับว่าลึก ๆ ในสติสัมปชัญญะที่เหลือเพียงน้อยนิดกำลังรั้งมือของเธอเอาไว้ไม่ให้ทำอย่างที่ใจคิดได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาคับขัน...แสงอาทิตย์ไล่มาจนเกือบจะถึงปลายเท้า เจ็บปวด...มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นข้างในอก เจ็บเสียยิ่งกว่าความกลัวว่าจะถูกแผดเผาด้วยแสงของรุ่งอรุณ

   ไม่รู้ว่าทำไม....เซเอลจึงละมือจากการเกาะกุมขึ้นมาสัมผัสที่หน้าอกบริเวณหัวใจตนเองที่บัดนี้กลายเป็นแผลเหวอะหวะและมีมือข้างหนึ่งคว้านอยู่ข้างใน

   “จงเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่ข้า และข้าจะมอบคำสัญญานั้นแก่เจ้า” เขากล่าวอย่างแผ่วเบาและลมหายใจรวยระรินอ่อนแรง และทำให้เห็น....ปฏิกิริยาตอบรับของริเรีย ดวงตาสีแดงเลือดที่สับสนงุนงงเงยขึ้นสบกับเขาด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ประโยคที่ได้ยินมันกระทบไปถึงบางส่วนในใจของเธอ ทำให้นึกถึงภาพในอดีตที่สวยงาม

   ‘หากแม้นข้าเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่เจ้า คำสัญญาจะเป็นจริงจนถึงเมื่อใด’

   ในค่ำคืนหนึ่ง....เคยมีบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้น....เมื่อนานแสนนานมาแล้ว....   

   “ตราบจนกว่าเจ้าจะสิ้นลมหายใจ.....ตราบจนกว่าชีวิตข้าจะสูญสิ้นไป” เซเอลทอดมองหญิงสาวด้วยดวงตาอ่อนโยน แบบเดียวกับที่เขาเคยจ้องมองเมื่อครั้งที่เขากล่าวประโยคเหล่านี้ ถ้อยคำ...ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไป สิ่งที่ริเรียมอบไว้ให้ประหนึ่งของขวัญอันล้ำค่า

   ‘ถ้อยคำนั้นสำคัญนักหรือ แสงสว่างที่ไม่เคยพบเห็นมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่อาจดื่มกินรสอันหวานหอมที่แสนรักได้อีกเลยก็ตาม’

   สำคัญสิ...สำคัญเพราะว่าแสงสว่างนั้น...ไม่ได้อยู่บนฟากฟ้า...

   “แม้จะต้องแลก.....ด้วยสิ่งใดในโลกนี้ ข้าก็พร้อมจะยอมสละสิ้น...” เซเอลแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้ว “เพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า....แสงสว่างใด ๆ ที่เจ้าหรือข้าเคยรู้จัก”

   เฮือกหนึ่งที่ริเรียกลั้นหายใจเพราะแสงสว่างที่สัมผัสหลายเท้า มันไม่ได้อุ่น...หรืออ่อนโยน แต่มันได้สร้างความเจ็บปวดให้เธอเหมือนการหยั่งเท้าลงในน้ำมันที่เดือดพล่าน ทั้งที่เป็นอย่างนั้น...ในจิตใจของเธอกลับสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่นลม เป็นความสงบที่บังเกิดขึ้นหลังจากที่จมอยู่ในพายุอันคลุ้มคลั่งจนไม่รู้วันเวลา ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใดที่ทุกอย่างมืดมิดและเลือนราง และราวกับว่าในที่สุด พายุคลุ้มคลั่งมืดมัวนั้นก็ผ่านไปจนสามารถพานพบแสงสว่างได้อีกครั้งหนึ่ง

   “....สิ่งนั้นคือ....สิ่งใดกัน” ริมฝีปากสีสดเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาและแหบแห้ง มือที่กุมหัวใจเริ่มคลายออกแต่ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใด ๆ มากไปกว่านั้น แต่ก็ทำให้เซเอลชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง....ชั่วขณะที่ภาพเก่าในวันวานหวนกลับมาอีกครั้ง

   วันที่สายลมโชยพัดฉ่ำเย็นพากิ่งไม้เสียดสีแกรกกราก ดวงจันทร์สีเงินลอยเด่นบนผืนฟ้ากว้างสีดำที่พร่างพรายด้วยแสงดาวนับแสนล้านดวง

   คำถาม....ที่เขาไม่ได้ตอบ.....

   “สิ่งนั้น.....” เสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ “....คือเจ้า ริเรีย....เป็นเจ้ามาตลอด....และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป....”

   หยดน้ำใสปริ่มจากหางตาก่อนหยดไหลไปตามพวงแก้มตกลงสู่พื้นดิน ริเรียกะพริบตาครั้งหนึ่งเมื่อในดวงตาของเธอเอ่อคลอจนภาพข้างหน้าเลือนรางไปด้วยหยดน้ำ

   “ข้าเรียกหาเจ้า...เรียกชื่อของเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่มา เซเอล...”

   “ข้าขอโทษ...” ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนใบหน้าของริเรีย “...ขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”

   เปลวไฟลุกแผดเผาร่างของหญิงสาวจากปลายเท้าไล่ขึ้นมา ก่อนจุดที่ถูกเผาจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง ริเรียยิ้มบางทั้งน้ำตา เหมือนกับว่าจะไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจของเธอแล้ว แต่ก็ยังมีอีกสิ่งที่ยังไม่อาจปล่อยวางได้ เด็กคนนั้น....ใช่...เธอจำได้ เด็กชายที่อยู่ในความทรงจำ ภาพที่เด่นชัดที่สุดในม่านหมอกพร่ามัว

   “ลูกของข้า....”

   “แม่!” ไม่รู้ว่าเพราะบุญพาวาสนาส่งหรือกรรมผลักดันกันแน่ วาลเซอิคจึงมาถึงในตอนนั้นพอดีและได้เห็นแม่ของตนกำลังลุกไหม้และสลายไปต่อหน้าต่อตาโดยมีเซเอลอยู่ข้าง ๆ

   ริเรียหันมองลูกชายที่รู้สึกไม่เหมือนกับว่าได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่เพียงได้ยินเสียงเรียกตนเองความปิติยินดีก็เอ่อล้นขึ้นมาจากในอกกลั่นเป็นหยดน้ำตา....แค่เวลาชั่วนาทีก่อนที่ร่างกายของเธอจะสลายกลายเป็นผุยผงและปลิวไปตามสายลมที่พัดวูบผ่านมา...

   “....ลาก่อนริเรีย...” เซเอลกำเศษซากจากร่างกายของริเรียในมือก่อนจะปล่อยให้มันถูกพัดปลิวจากไป
   ในที่สุดเธอก็ได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที....

   วาลเซอิคเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสถึงหญิงสาวผู้แหลกสลาย ทว่ามือของเขาก็ไม่อาจแตะต้องสิ่งใดได้เลยนอกจากความว่างเปล่า

   เซเอลกุมหน้าอกตนเองที่เลือดไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เขายังคงรู้สึกถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูตัวเองของร่างกาย แต่แผลใหญ่นี้ก็ทำให้เขาหน้ามืดจนแทบยืนไม่ขึ้น ชายหนุ่มกัดฟันยันตัวเองให้ยืนก่อนเซถลาไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ ๆ อย่างไร....การมาตายเอาตรงนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของตัวเขานัก เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้คิดว่าคนที่เห็นการตายของเขาจะเป็นวาลเซอิค...

   เด็กคนนั้นต้องเจ็บปวดมากแน่ที่เห็นแม่หายไปต่อหน้าแล้วยังเขาอีก....

   “เซเอล....แผลนั่น....!” ในที่สุดวาลเซอิคก็ตั้งสติได้ และเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าทั้งตัวชายหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเลือด ยิ่งมองเห็นใต้แสงสว่างอย่างนี้ ภาพนั้นยิ่งดูน่ากลัวเสียจนทำให้สติถูกแช่แข็งไปชั่วครู่

   เซเอลคล้ายพยายามทรงตัวให้ได้แม้อยู่ในสภาพโชกเลือดไปทั้งตัว และในตอนนั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านหน้าวาลเซอิคไปโดยไม่มีใครทันสังเกต ร่างเล็ก ๆ นั้นตรงไปยังเซเอลพร้อมกับเงาสะท้อนวาววับของมีดในมือ มันเสือกแทงเข้าไปในร่างของเซเอลซึ่งไม่สามารถป้องกันตัวได้ทัน ร่างโปร่งทรุดฮวบลงไปบนพื้นเพราะแข้งขาไม่อาจพยุงต่อไปได้อีก ดวงตาของเซเอลสะท้อนภาพหญิงชรากำลังมองเขาด้วยความคั่งแค้น

   “คุณยาย อย่านะ!” วาลเซอิควิ่งเข้าไปดึงหญิงชราออกมา แต่กลับถูกตอบโต้ด้วยมีดคมที่ตวัดกรีดแผ่นอกเขาเป็นแนวยาวและถูกผลักล้มเพื่อไม่ให้เข้ามาขวาง เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและไม่เป็นศัพท์พร้อมกระหน่ำปลายมีดใส่ร่างของเซเอลที่ไม่สามารถตอบได้เลย

   วาลเซอิครีบตะเกียกตะกายเข้าไปโอบหญิงชราจากด้านหลังเพื่อรั้งไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่านี้ สภาพยับเยินของเซเอลแสดงถึงขีดจำกัดที่ไม่อาจรับการกระทบกระเทือนได้อีก หากยายของเขายังทำแบบนั้นต่อไป เซเอลจะต้องตายจริง ๆ แน่!

   “ปล่อยข้านะ! ข้าจะฆ่าไอ้ปีศาจนี่!” หญิงชราร้องพร้อมสะบัดตัวจากแขนของเด็กหนุ่ม แต่วาลเซอิคทุ่มแรงทั้งหมดที่มีเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้ ที่สุดเธอจึงทำได้เพียงการตะโกนร้องด้วยหัวใจที่แตกสลาย “เอาลูกข้าคืนมา เอาลูกสาวข้าคืนมา!” เสียงร้องของยายเหมือนการเตือนให้วาลเซอิครับรู้ความจริงอีกครั้งว่าริเรีย...แม่ของเขาได้ตายไปแล้ว ตายไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย และเพราะอย่างนั้น เขาจึงได้กลัว....กลัวว่าจะเสียเซเอลไปอีกคนหนึ่ง ถึงเซเอลจะฆ่าแม่ของเขา แต่ว่า....

   แต่ว่า....

   สวบ!

   ในช่วงที่วาลเซอิคกำลังขัดแย้งกับตัวเองอย่างยากลำบาก มีดก็แทงลงบนขาจนมิดด้าม เด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนเผลอปล่อยมือจากอีกฝ่ายเมื่อถูกกระแทกซ้ำที่ลิ้นปี่อย่างแรง

   คมมีดเงื้อง่าเข้าใส่เซเอลอีกครั้งเมื่อหญิงชราเป็นอิสระ ทว่ากลับไปไม่ถึงตัวของเซเอล เพราะเพียงเธอก้าวเข้าไปไม่กี่ก้าว ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในผ้าผืนใหญ่ที่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นขวางระหว่างกลางทั้งสองคน ทันใดที่เธอหมายจะทำร้ายคนที่คิดขวางทาง มือข้างหนึ่งก็โผล่พรวดจากในร่มผ้าและตรงเข้าบีบที่คอของเธออย่างแรงพร้อมกับดวงตาสีเลือดเปล่งแสงเรืองรอง

   “มดปลวกอย่างเจ้าอย่าบังอาจหันคมอาวุธใส่ข้าหรือนายของข้า” สิ้นคำ ชายหนุ่มก็ตวัดแขนโยนร่างท้วมเตี้ยของหญิงชราปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ดังผลั่ก เขาเหลือบสายตามองวาลเซอิคชั่วครู่และหมุนตัวหันหลังอุ้มเซเอลขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร

   “พา...ข้ากลับ...” เซเอลกระซิบบอกก่อนปิดเปลือกตาลง

   “เดี๋ยว! คัลดิช...” วาลเซอิคร้องเรียกฝ่ายนั้นเพราะต้องการจะเข้าไปดูอาการเซเอลที่บาดเจ็บจนไม่อาจขยับตัวได้ ทั้งที่ผู้ต้องสาปมีร่างกายที่เป็นอมตะ แต่ทำไม....ทำไมเซเอลจึงถูกทำร้ายถึงขนาดนั้น หรือว่าเพราะถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาที่แม่ของเขาเคยทำไว้!?

   “ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้าหรอกนะวาลเซอิค” คัลดิชปฏิเสธที่จะประวิงเวลา เขาพาผู้บาดเจ็บจากไปอย่างรวดเร็วโดยที่วาลเซอิคไม่อาจติดตามไปได้ทัน เด็กหนุ่มละล้าละลังไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรต่อไป ทั้งเรื่องที่แม่ถูกฆ่า ทั้งเรื่องที่เซเอลบาดเจ็บสาหัส มันทำให้สมองของเขาสับสนไปหมดและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก

   เสียงครางจากหญิงชราเรียกให้วาลเซอิคหันไปมอง

   จริงสิ...ยายของเขาเองก็....

   เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปดูอาการและดึงมีดโยนทิ้งไปไกล ๆ ซึ่งก็สามารถดึงออกมาได้อย่างง่ายดายกว่าที่คาด และเมื่อเขาหันกลับมาอีกครั้งเขาก็พบว่า....ยายกำลังร้องไห้ หญิงชราก้มหน้าสะอึกสะอื้นฟูมฟายเหมือนกับว่าโลกทั้งใบได้แตกสลายลงไปแล้ว เธอโถมตัวใส่วาลเซอิคจะทุบตีแทนการระบายอารมณ์ที่พลุ่งพล่านออกมาจากภายใน เป็นอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายและอัดอั้นมานานอย่างไร้ทางออก ใจของเธอรู้มานานแล้วว่าจะไม่มีวันได้ลูกสาวคนเดิมคืนมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหลอกตัวเองมาหลายต่อหลายปี...จนกระทั่งความฝันได้จบลงด้วยการถูกกระชากให้ตื่นอย่างโหดร้าย

   วาลเซอิคกอดยายของเขาด้วยความรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดร่วมไปกับเธอ เขากุมแผลบนอกตนเองพลางเบ้หน้าและค่อย ๆ พยุงหญิงชราขึ้น

   “ข้าจะพายายไปส่งที่บ้านนะ...”

   แล้วจากนั้น...เขาจะรีบไปหาเซเอลทันที...

--------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #166 เมื่อ20-01-2013 14:13:46 »

   อาร์วิน่าตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นสภาพของเซเอลตอนกลับมาถึงปราสาท เลือดที่ชุ่มโชกจนเสื้อสีขาวถูกย้อมเป็นสีแดง ซ้ำบาดแผลบนร่างกายกลับไม่ยอมหายสนิท เธอไม่ยอมนอนมาจนถึงตอนนี้เพราะความไม่สบายใจแปลก ๆ ที่รบกวนมาตั้งแต่ตอนค่ำ แต่ไม่คิดว่าลางสังหรณ์ตัวเองจะแม่นยำกับเรื่องแบบนี้ได้ พวกเขารีบพาเซเอลไปที่ห้องนอนโดยคัลมาร์ยกเอาเครื่องมือทำแผลตามไป

   เครื่องมือทำแผล....สิ่งที่พวกเขาเริ่มใช้มันอีกครั้งเมื่อวาลเซอิคมาอยู่ที่ปราสาท และเด็กมนุษย์ก็ไม่สามารถรักษาตัวได้อย่างพวกเขา ใครจะทันคิด...ว่าวันหนึ่งนายแห่งปราสาทที่ถูกสาปจะได้ใช้มันด้วย...

   จะนับว่าเป็นโชคดีอีกข้อก็ได้ที่เคยเลี้ยงวาลเซอิคมาก่อน ทำให้คัลมาร์คุ้นเคยดีกับการรักษาแผล แต่...ไม่ใช่แผลฉกรรจ์ขนาดนี้..... ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่อาการของเซเอลก็คล้ายจะไม่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผลบนแผ่นอกที่เป็นรูกว้าง หากเป็นมนุษย์ปกติ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าคงไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว แต่เพราะคำสาป...มันจึงพยุงชีวิตของเซเอลไว้ได้ แต่ก็คงจะอีกไม่นาน...

   คัลมาร์เดินออกมาจากห้องของเซเอลพลางถอนหายใจต่อหน้าอาร์วิน่าและคัลดิชซึ่งเฝ้ารออยู่ข้างนอก ท่าทางของอีกฝ่ายแปลว่าสถานการณ์ย่ำแย่อย่างที่สุด

   “นายท่านบอกว่าให้พวกเราไปจากที่นี่”

   อาร์วิน่ามุ่นคิ้ว

   “หมายความว่ายังไง?”

   “เจ้าน่าจะรู้แก่ใจอยู่แล้ว ปราสาทหลังนี้อยู่ได้ด้วยพลังของนาย ดังนั้นเมื่อนายท่าน...ตาย...ปราสาทหลังนี้ก็จะหมดอายุขัยไปด้วย” คัลมาร์อธิบายด้วยสีหน้าลำบากใจ พวกเขาอยู่ที่นี่และคอยดูแลทุก ๆ อย่าง ปราสาทหลังนี้ก็เป็นเสมือนบ้านของครอบครัวที่เหลืออยู่แค่เพียงพวกเขาสี่คน แต่ตอนนี้...บ้านหลังนี้กำลังจะแตกซ่านกระเซ็น เพราะนายท่านผู้เป็นประหนึ่งเสาหลักของบ้านกำลังก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายของชีวิต และพวกเขาก็จะต้องแยกย้ายกันไปโดยไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวไว้ได้อีก

   “เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ!” หญิงสาวผมแดงทุบโต๊ะดังปัง “นี่คิดว่าพวกข้าอยู่ที่นี่ ไม่ออกไปตามคนอื่น ๆ เพราะอะไรกัน ไม่ใช่เพราะพวกเรากลัวตายเมื่อต้องไปอยู่กับพวกมนุษย์ แต่เพราะพวกเราเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ เขาไม่มีสิทธิไล่ข้าไปไหนทั้งนั้น!”

   “แต่เมื่อนายท่านไม่อยู่แล้ว ปราสาทก็คงจะพังทลาย พวกเราไม่มีทางเลือกมากนักหรอก” คัลดิชไหวไหล่แบบยอมรับความจริง ปราสาทหลังนี้แสดงอาการมานานแล้วว่ามันจะสูญสิ้นพร้อมกับเจ้านายของมัน ทั้งรั้วเหล็ก กรอบหน้าต่าง และต้นไม้ในสวน...พวกมันคร่ำครวญอย่างอ่อนล้าและร่วงโรยลงไปพร้อมกับเซเอล

   คำตอบของคัลดิชขัดอกขัดใจอาร์วิน่าไม่ใช่น้อย หญิงสาวกระทืบเท้าแล้วกอดอกหันไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด

   “นอกจากนี้....” คัลมาร์ขัดจังหวะขึ้นมาอีกคำหนึ่ง “นายท่านยังฝากข้อความถึงวาลเซอิคด้วย”

   “ถึงวาลเซอิค?” อาร์วิน่ามุ่นคิ้ว

   “นายท่านบอกว่า....”

-------------------------->

   “กลับไปซะ และอย่ามาที่นี่อีก”

   ....

   วาลเซอิคฟังคำต้อนรับจากอาร์วิน่าหลังจากที่ไม่ได้มาเหยียบปราสาทนี้เสียเกือบเดือน แต่คำต้อนรับนั้นไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออาร์วิน่าบอกเขาว่าเป็นข้อความฝากของเซเอล
   ทำไม....ทำไมกันล่ะ?

   ทำไมเซเอลต้องไล่เขาด้วย...

   เด็กหนุ่มไม่อาจหาเหตุผลอะไรมาปลอบใจตัวเองได้เลย ในใจของเขามแต่คำถามและความไม่เข้าใจต่อคนที่เลี้ยงดูตนเองมา

   ความตกตะลึงของวาลเซอิคทำให้อาร์วิน่าอ่อนใจ เธอไม่อยากเป็นคนส่งสารนี้เลยสักนิดแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฝาแฝดสองคนนั้นปฏิเสธหนักแน่น

   “ยังไงก็เถอะ...เจ้าเข้ามาทำแผลก่อนก็แล้วกัน” หญิงสาวกล่าวหลังจากพิจารณาบาดแผลบนอกที่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ กับต้นขาที่ถูกพันผ้าไว้ลวก ๆ ยังไงวาลเซอิคก็เป็นมนุษย์ธรรมดา หากปล่อยไว้คงติดเชื้อจนเน่าเข้าพอดี ซึ่งเธอไม่ได้คาดหวังว่าเด็กที่ดูแลมาตลดจะมีจุดจบน่าอเน็จอนาถแบบนั้น

   “แล้วเซเอล...เซเอลเป็นยังไงบ้าง?” วาลเซอิคคว้ามืออาร์วิน่าแล้วละล่ำละลักถาม เป็นคำถามที่หญิงสาวเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความรู้สึกว่าตนเองไม่อยากจะพูดเรื่องแย่ ๆ อีกแล้ว ด้วยการตอบรับเช่นนั้น ทำให้วาลเซอิคอนุมานได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี “ข้าจะขึ้นไปดู” เขาพูดแค่นั้นแล้ววิ่งเข้าไปในปราสาทโดยไม่ฟังคำทัดทานของอาร์วิน่าที่ตะโกนห้ามไล่หลังมา

   คัลดิชและคัลมาร์อยู่ระหว่างทางเดินไปยังห้องของเซเอล แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ห้ามเขา...

   “เซเอล!” เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายพร้อมกับเปิดประตูห้องด้วยความร้อนใจ

   ในความมืดนั้น เป็นการยากที่เขาจะมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน แต่เขาก็เห็นเงาร่างของเซเอลที่ขยับเคลื่อนไหวเพราะการมาเยือนของเขา

   วาลเซอิคสาวเท้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว และเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสอีกฝ่าย แต่กลับถูกรั้งไว้

   “เจ้าไม่ควรมาที่นี่” เซเอลกล่าวเสียงแผ่ว และเพราะความมืด วาลเซอิคจึงไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวทำสีหน้าเช่นไรอยู่ “กลับไปซะ...”

   “แต่ท่านบาดเจ็บ...”

   “ข้าเป็นคนฆ่าแม่ของเจ้า วาลเซอิค ข้า....ไม่ใช่คนดีแบบที่เจ้าคาดหวังหรอก” ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งก่อนพูดต่อ “ที่ข้ารับเจ้ามา...ก็เพราะคำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับริเรีย ที่ข้าดูแลใกล้ชิดเจ้าก็เพราะเจ้ามีดวงตาคล้ายกับนาง เจ้าไม่มีอะไรติดค้างข้าทั้งนั้น”

   “....ถ้าอย่างนั้น...ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองบาดเจ็บแบบนี้...” วาลเซอิคค่อย ๆ ลดมือลงสัมผัสท่อนแขนอีกฝ่ายและเลื่อนไปบนผ้าพันแผลที่ปกปิดแทบทั้งตัว “หากท่านแค่อยากจะฆ่าแม่ข้า ท่านแค่สั่งให้ใครสักคนทำแทนก็ได้ เซเอล...เพราะท่านรักนางถึงได้อยากจะชดใช้ใช่หรือเปล่า คิดว่าตลอดเวลาที่ข้าอยู่กับนางข้าจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของนางเลยหรือ?”

   เซเอลไม่ได้ตอบ....เขานอนนิ่งไม่ไหวติง...

   “เซเอล...ทำไมต้องขับไล่ข้าด้วย ข้าทำอะไรไม่ดี....เพราะข้ารักท่านใช่ไหม? เพราะท่านรักแม่ข้าถึงได้ไม่ยอมตอบรับความรู้สึกของข้า” เด็กหนุ่มดึงมือเซเอลขึ้นมากุมแน่นจนเขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ถ่ายทอดเข้ามา มือของวาลเซอิคชื้นไปด้วยเหงื่อและกำลังสั่น... “ม...มันไม่เป็นไรเลย...ข้าก็แค่...อยากจะอยู่กับท่าน อยากจะอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม จะทำเหมือนข้ายังเป็นแค่เด็กก็ได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้...แต่ข้า...”

   คำพูดของวาลเซอิคชะงักเมื่อเซเอลวางมือข้างหนึ่งบนศีรษะของเขา

   “ตอนนั้นเจ้าเป็นแค่เด็ก...ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าโตมากพอแล้ว ได้เวลาเป็นผู้ใหญ่แล้ว และข้า...ก็อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้อีกแล้ว” จากนั้น เซเอลก็ลดมือบงวางบนอกตนเอง การเลื่อนไหวเพียงเล้กน้อยกลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างมาก “....ถ้าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด....ก็ออกไปจากที่นี่ซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์แบบเจ้า และไม่มีวันที่จะเป็นเช่นนั้นได้”

   “....เซเอล....”

   “ออกไป...”

   ....

   วาลเซอิครู้ว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ สิ่งที่เซเอลตัดสินใจลงไปแล้วมักยากจะเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มวางมืออีกฝ่ายลงบนเตียงอย่างเบามือที่สุดและค่อย ๆ ถอยออกมา

   ด้านนอก อาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์กำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียว แต่ทั้งสามก็ไม่ได้ถามอะไร...

   “ไปทำแผลกัน” คัลมาร์เป็นคนทำลายบรรยากาศเงียบงันที่น่าอึดอัด และจูงมือวาลเซอิคไปยังห้องนั่งเล่น เขาจุดเทียนเพื่อให้วาลเซอิคมองเห็นสิ่งต่างๆได้สะดวกก่อนจะลงมือทำแผลอย่างชำนิชำนาญ อย่างน้อยบาดแผลของวาลเซอิคก็ไม่น่าปวดหัวเท่ากับของเซเอล...

   ตลอดเวลานั้น วาลเซอิคไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่นั่งนิ่งและก้มหน้าลงต่ำเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรบางอย่างและคิดไม่ตกเสียที ทั้งที่โดนเย็บแผลสด ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ร้องสักแอะราวกับว่ามีสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดได้ยิ่งกว่านี้อยู่ข้างใน

   “พอเดินไหวแล้วก็ค่อยกลับแล้วกัน อย่าลืมไปทักทายเซราฟกับวอเรนด้วยล่ะ พวกมันคิดถึงเจ้าเอาการเลย” คัลมาร์เก็บของแล้วลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าก็จะไปนอนพักเสียที...” พอคิดจะทำอย่างที่พูด เขาก็ถูกดึงเอาไว้ไม่ให้เดินจากไปแต่โดยดี

   “...มีทางไหน...ที่จะช่วยเซเอลได้บ้าง?”

   คัลมาร์เหลือบสายตาไปมองผู้ชมอีกสองคนที่ต่างก็ไม่มีความเห็น แต่คัลดิชก็ทำสีหน้าคล้ายจะบอกว่า บอกความจริงไปเสียให้จบ ๆ ดีกว่า

   “ก็มีอยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่านายท่านจะยอมหรือเปล่า” ชายหนุ่มโครงศีรษะเล็กน้อย “นั่นคือต้องทำให้นายท่านกลับเป็นผู้ต้องสาปเต็มตัวดังเดิม....ก่อนที่จะตาย”

   “เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วเซเอลจะไม่ตายใช่ไหม?”

   “ก็จะเป็นเหมือนพวกเรา ดื่มกินเลือดมนุษย์ได้ แต่อยู่กลางแสงแดดไม่ได้ และเป็นอมตะ....แน่นอนว่าบาดแผลจะสมานตัวอย่างรวดเร็ว และมีพละกำลังเหมือนเดิม”

   นั่น....ก็จะทำให้เซเอลกลับเป็นผู้ต้องสาปเหมือนเดิม เป็นเหมือนกับตัวเซเอลก่อนจะเจอกับแม่ของเขา...

   ถ้ามันทำให้เซเอลมีชีวิตอยู่....

   “ข้าต้องทำยังไง?”

   อาร์วิน่าและคัลดิชมองหน้ากัน ความตั้งใจของวาลเซอิคดูขัดแย้งกับความต้องการของเซเอลอย่างสิ้นเชิง และเมื่ออย่างไรก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อยู่แล้ว ทำไมวาลเซอิคจึงยังต้องการช่วยเซเอลอีก?

   “ข้อห้ามของการถูกผูกมัดด้วยถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาคือเลือดของมนุษย์”

   เด็กหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินไปหยิบแก้วไวน์ออกมาจากตู้เก็บแก้วและหยิบมีดที่วางในลิ้นชักออกมากรีดลงบนแขนตนเอง เพราะเมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาจึงเข้าใจทุกอย่าง แม่ของเขาเอง....ก็หลุดพ้นจากพันธะของถ้อยคำนั้นด้วยการหันกลับไปฆ่าคนและดื่มกินเลือดของมนุษย์เช่นกัน เลือดมนุษย์ไม่ใช่ยาพิษ...แต่มันคือสิ่งที่ปัดเป่าแสงสว่างออกไปและทำให้คำสาปครอบงำร่างกายนั้นอีกครั้งหนึ่ง...

   “พอได้แล้ว! แค่นั้นก็พอแล้วเจ้าเด็กโง่นี่!” อาร์วิน่ากำข้อมือวาลเซอิคเพื่อปิดปากแผลหลังจากที่เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนจดจ้องแก้วที่บรรจุเลือดตนเองและปล่อยให้มันไหลไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดเสียที

   “...นั่นสินะ....” วาลเซอิคใจลอยไปเล็กน้อยและกลับไปเงียบอีกครั้งตอนที่คัลมาร์เข้ามาพันแผล “...ถ้าอย่างนั้น...ข้าไปล่ะ เซเอลคงจะไม่อยากให้ข้าอยู่นานกว่านี้....” ประโยคหลังของเจ้าตัวดูเหมือนกำลังน้อยใจคนที่ไล่ตนเองออกไปทั้งที่เป็นห่วงจนลืมนึกกระทั่งเรื่องของตัวเอง ถึงแม้คัลมาร์จะบอกให้พักที่นี่ไปก่อนวาลเซอิคก็ไม่สนใจ เขากลั้นความรู้สึกปวดร้าวเอาไว้และรีบเดินออกไปจากปราสาทอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้

   มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม....

   เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้...เซเอลยังคงเลือกแม่ของเขา และปรารถนาที่จะตายตามไปเมื่อริเรียไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว ส่วนตัวเขาที่ไม่เป็นที่ต้องการ...ก็ควรจะจากไป...เพราะไม่อาจแทนที่แม่ได้

   เพราะเขาเป็นมนุษย์...จึงต้องจากไป

   เพราะเป็นมนุษย์จึงได้เติบโต...เป็นผู้ใหญ่

   เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว....เพราะเขาไม่ใช่เด็กที่เซเอลต้องปกป้องดูแลอีกต่อไป....

   แต่ทำไม....ไม่มีใครเคยบอกเขาเลยว่าการโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องเจ็บปวดถึงขนาดนี้....

   การเติบโต...ช่างโหดร้ายเหลือเกิน...

---------------------->

   บางทีวาลเซอิคคงไปแล้ว...โดนไล่เสียขนาดนั้น....

   เซเอลมองออกไปที่หน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่า เขาไม่อยากขยับตัว...ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น...ไม่อยาก....กระทั่งคิดอีกแล้ว...

   แต่มันก็ยังคงอดคิดไม่ได้...ถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งตามเขาต้อย ๆ ไปทั่ว เหมือนกับว่าหากวันใดไม่ได้พบเขาวันนั้นจะไม่สามารถอยู่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสถึงการเป็นที่ต้องการของใครสักคนถึงขนาดนี้ ที่มีคนเห็นว่าเขามีค่าและควรแก่การเป็นที่รัก....

   “นายท่าน” อาร์วิน่าเปิดประตูเข้ามาพร้อมแก้วใบหนึ่งในมือโดยไม่เคาะประตูและไม่ขออนุญาต

   “ข้าไม่อยากพบใครตอนนี้”

   “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ทำเหมือนข้าไม่อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” ในบางเวลาที่อาร์วิน่าเกิดอยากดื้อแพ่งขึ้นมา ใครก็เถียงเธอไม่ขึ้น เซเอลที่ไม่มีแรงจะถกเถียงอยู่แล้วจึงเงียบไปและทอดสายตาไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้และวางแก้วในมือบนบนโต๊ะเล็กข้างเตียง “วาลเซอิคเพิ่งไปเมื่อครู่ บาดแผลของเขาลึกพอดูแต่ก็พาตัวเองมาหาท่านก่อนโดยไม่ยอมทำแผลตัวเองสักนิด พอทำแผลเสร็จก็ไปทันทีไม่ร่ำไม่ลาเลย บางทีคงเพราะถูกทำร้ายจิตใจกระมัง ท่านเคยโอ๋เขาเสียขนาดนั้นนี่”

   ตลอดเวลาที่อาร์วิน่าพูด คล้ายว่าเซเอลไม่ได้ฟังเลยสักนิด แต่ความจริงเจ้าตัวได้ยินทุกถ้อยทุกคำอย่างครบถ้วนแต่ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร

   จะบอกว่า...เพราะเขาไม่ต้องการวาลเซอิคแล้วอย่างนั้นหรือ?

   หากเขาพูดอย่างนั้น...มันก็เป็นคำโกหก...

   “แต่ก่อนไปเขาฝากของขวัญไว้ให้ท่านด้วย ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการจะกลับเป็นเหมือนเดิมเพราะความอ่อนแอนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ริเรียทิ้งเอาไว้ให้แม้มันจะนำท่านไปสู่ความตายก็ตาม” หญิงสาวผมแดงถอนหายใจ “แต่ท่านน่ามองรอบตัวบ้างนะ คนที่ต้องการท่านไม่ได้มีแต่ริเรียเสียหน่อย ความทุกข์ทรมานของนาง...ท่านเองก็ชดใช้มามากเกินพอแล้ว และท่านก็เป็นคนทำให้นางได้หลับอย่างสงบในที่สุด และตอนนี้มีคนที่ต้องการท่านมากกว่านางอยู่ ข้าไม่ใช่คนชอบพูดอะไรน้ำเน่าแต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ....เด็กคนนั้น...แค่ต้องการให้ท่านมีความสุข ถึงแม้จะถูกท่านจะไสส่งแต่เขาก็ยังคงอยากให้ท่านมีชีวิตอยู่แม้ไม่มีเขา”

   อาร์วิน่าพูดสิ่งที่อยากพูดไปจนหมดแล้ว ครึ่งหนึ่งก็เป็นการระบายของเธอเอง ส่วนอีกครึ่งเป็นส่วนของวาลเซอิคในฐานะพี่สาวคนหนึ่ง พอคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรพูดอีกแล้วเธอจึงหมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่เมื่อกำลังจะออกไปหูก็แว่วเสียงการขยับตัวของเซเอล....

   “.....ท่านเคยขอให้ข้าแนะนำ ข้าก็ยังยืนยันจะแนะนำท่านอย่างเดิม” เพราะปฏิกิริยาของเซเอล อาร์วิน่าจึงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้อีกประยคหนึ่งก่อนเดินออกไป

   ‘ท่านน่าจะซื่อตรงกับตัวเองบ้าง’

   เสียงของอาร์วิน่าก้องอยู่ในหู...

   เซเอลยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำยาก เพื่อมองดู ‘ของขวัญ’ จากวาลเซอิค....สิ่งที่จะคืนทุก ๆ อย่างให้แก่เชา ชีวิตอมตะ พลังอำนาจ และความว่างเปล่า....

   เด็กคนนั้น....จากไปแล้วจริง ๆ

   วาลเซอิค....

   ลำคอของเขาแห้งผากเมื่อพยายามจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา ข้างในอกมีบางสิ่งเคลื่อนไหวจนรู้สึกอึดอัด และก่อนที่เขาจะรู้ตัว....ก็มีหยดน้ำหยดลงบนมือของตัวเขาเอง....

   น้ำตา?

   ทั้งที่มันไม่เคยไหลเลยนับแต่วันแรกที่เขาต้องกลายเป็นผู้ต้องสาป ราวกับว่ามันได้แห้งเหือดหายไปพร้อมกับหัวใจของเขาที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่ในวันที่เขาต้องสูญเสียริเรียไปทั้งสองครั้ง มันก็ไม่เคยไหลออกมา แล้วทำไม....เมื่อเขาคิดถึงเด็กคนนั้น....ทำไมมันถึง....

   “....วาลเซอิค...”

   วาลเซอิค...

   วาลเซอิค...
 
(เล่นมุกจบแล้วอีกไำด้ไหมคะ /โดนตบ)
TBC

ออฟไลน์ Little_Devil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #167 เมื่อ20-01-2013 15:33:19 »


ฮึก.. ซึ้งและเศร้าจนน้ำตาซึม สงสารวาลเซอิค
ปกติบรรยากาศรอบตัวเซเอลจะหม่นๆ แต่ตอนนี้หม่นกว่าทุกที
คงเพราะพลังชีวิตใกล้หมด ฉะนั้น..ก็รีบๆ กระเดือกเลือดในแก้วลงไปซะ
แล้วไปตามวาลเซอิคกลับมาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างแฮปปี้

รอตอนต่อไปค่ะ (รีบๆ มาต่อเร็วๆ นะ มีคนรออยู่)

ปล.แอบจิ้นอัลเรสกับคัลดิชนะนี่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2013 21:35:02 โดย Little_Devil »

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #168 เมื่อ20-01-2013 16:16:47 »

โอยย
เศร้าจัง
ไม่อยากให้เซเอลตายเลย

countryside_69

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #169 เมื่อ20-01-2013 16:19:57 »

โอ้วววววว์........ :o12: :o12: :o12:
เหตุการณ์ไม่ได้เหนือคาดหมาย
แต่เค้นอารมณ์ได้สุดแสนจะบรรยาย

 o22 o22 o22 o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
« ตอบ #169 เมื่อ: 20-01-2013 16:19:57 »





ออฟไลน์ Ali$a฿eth

  • [จิ้น]ตนการ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #170 เมื่อ20-01-2013 16:33:21 »

โอ่ยยยย ใกล้จาจบแล้วอ่าสิ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #171 เมื่อ20-01-2013 16:58:08 »

อย่ามาเล่นมุข จบแล้ว นะ! กำลังเศร้าๆอยู่ เดี๋ยวหัวใจวายทำไง
ที่จริงจะเม้น18แล้วล่ะ พออ่านเสร็จ อ้าว อัพ 19 แล้วเหรอ -*- ก็เลยต้องมาเม้นรวบ (อีกแล้ว)
จากตอน18-19 เนี่ย แปลว่าเรื่องนี้ใกล้จบแล้วสิเนี่ย (ม่ายยยยยยยยยยยยยย) เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก ยกเว้นเวลาอัลเรสกับคัลดิชออกมา มันมีออร่าอะไรสักอย่างวิ้งๆให้ชื่นนนนนนใจ 555 (อรั๊ยยยย อยากอยู่ในเหตุการณ์ผ้าห่มคลุมหัว มันฟินนาเร่มากมาย ><)
บทสรุปของริเรีย เราอ่านแล้วสะเทือนใจมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่จะเป็นได้ อย่างน้อยริเรียก็ตายในขณะที่ตัวเองเป็นริเรีย ไม่ใช่ปิศาจร้าย
(ตอนควักหัวใจเซเอลเนี่ย อย่างเครียด T^T) คุณตาคุณยายก็น่าสงสาร มันเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่อยู่แล้วที่รักลูก และจะปกป้องลูกไม่ว่าลูกตัวจะเป็นคนผิดก็เถอะ
ส่วนเซเอลกับวาลนี่ เจ็บหนักกันทั้งคู่เลย เซเอลปากหนักมาก ที่จริงที่ไม่อยากให้วาลอยู่คงเพราะฆ่าแม่วาล และก็คงไม่อยากให้อยู่เห็นวาระสุดท้ายของตัวเองสินะ ใจจริงก็คงรักริเรียอยู่ แต่กับวาลจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ น้องวาลก็ยังคิดว่าเซเอลไม่สนใจตัวเอง (แหงล่ะ ปากหนักขนาดนั้น) สุดท้ายก็ทิ้งเลือดไว้ให้ แล้วก็จากไปพร้อมใจที่เจ็บช้ำ T^T
ตอนหน้าเราคิดว่าเซเอลคงเลือกที่จะดื่มเลือดแหละ แต่จะเป็นไงต่อจากนั้น คงต้องรอท่านZiarตอนหน้าล่ะ

ขอบคุณค่า ^^

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #172 เมื่อ20-01-2013 19:05:18 »

เซเอลสู้ๆนะ กินเลือดนั่นสะแล้วก็ไปอบู่กะวาลเซอิค


วาลเซอิค  กลับมาดูแลเซเอลเร็วเข้า

ทำไมยอมแพ้ง่ายแบบนี้ ฮือ ๆ  ต้องอยู่ต่อไปน้าเซเอล

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #173 เมื่อ20-01-2013 23:07:42 »

ตอน 20 อยู่หนายยยย

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #174 เมื่อ21-01-2013 21:13:31 »

อยากให้เซเอลรอดดดด.

ฮือออออ ซื่อตรงกับตัวเองบ้างเถอะนะ เซเอล

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #175 เมื่อ22-01-2013 15:10:05 »

แปะในเพจแล้วมาแปะที่นี่บ้าง

ระหว่างเซียร์กำลังอู้(?) ลองมาทายกันเล่นๆฆ่าเวลานะคะว่าภาพต่อไปนี้ใครเป็นใครบ้าง XD



ปล. แลดูทายไม่ยาก แต่ละคนมีเอกลักษณ์มาก 5555

ออฟไลน์ CHOKUN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทที่19 [20/01/13]
«ตอบ #176 เมื่อ23-01-2013 19:47:01 »

 :call: :call: :call: :call:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
บทส่งท้าย ราตรีนิรันดร


   “วาลเซอิค มาช่วยทางนี้หน่อยสิ” หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังอุ้มท้องอ่อน ๆ ตะโกนเรียกชายหนุ่มที่กำลังง่วนงานอยู่ใกล้ ๆ ทั้งเธอและเขาต่างก็ถือจานชามเต็มมือ แต่ลูกจ้างคนอื่น ๆ ก็ไม่ว่างเช่นกัน ดูเหมือนหญิงสาวจะถูกลูกค้ารบเร้าชวนคุย ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปทางไหนได้ วาลเซอิครีบเดินเข้าไปรับจานในมือของเธอและเดินเข้าหลังบ้านไป ที่ข้างหลังนั้น พนักงานเก็บล้างก็ยุ่งใช่น้อย...

   “วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษเลยนะ เพราะใกล้งานเทศกาลแน่ ๆ” พนักงานเก็บล้างเป็นชายร่างอ้วนท้วมท่าทางอารมณ์ดี เขาไม่เคยบ่นเรื่องงานเยอะเลยสักครั้งนอกจากทักทายคนที่เดินเข้าเดินออกเก็บของหยิบของในทำนองนั้น “แต่อีกเดี๋ยวก็ปิดร้านแล้วล่ะนะ”

   “จริง ๆ แล้วข้าก็ไม่เคยเห็นลูกค้าน้อยเลยสักวัน” วาลเซอิคตอบแล้วหัวเราะก่อนรีบกลับไปบริการลูกค้าเพราะคนที่เหลือกำลังหัวหมุน

   ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่ในเมืองใหญ่และเป็นที่ติดอกติดใจของคนในชุมชนซึ่งมาเยือนอย่างเนืองแน่นทุก ๆ วัน ทำให้งานในร้านวุ่นวายสม่ำเสมอไม่เคยว่างเว้น ยิ่งในช่วงที่ในเมืองใกล้จะมีงานอะไรบางอย่างก็จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ร้านยิ่งวุ่นวายไปด้วยจำนวนลูกค้าและความจู้จี้จุกจิกเพื่อการบริการที่ถูกใจ แม้จะจ้างลูกจ้างให้พอดีกับจำนวนผู้มาใช้บริการในเวลาปกติ แต่ในช่วงเวลาพิเศษก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

   เมื่อตกดึก ลูกค้าในร้านก็บางตาลง เหลืออยู่เพียงไม่กี่โต๊ะที่คุยติดลมทำให้ไม่ยอมลุกจนกระทั่งเห็นพนักงานเก็บโต๊ะกันจะเสร็จแล้วจึงค่อย ๆ พากันลุกออกไป

   การปิดร้านในแต่ละคืนไม่ใช่เรื่องยากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย

   วาลเซอิคปลีกตัวไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ก็ถูกหญิงสาวเจ้าของร้านเรียกลงมาข้างล่างเพื่อชิมอาหารสูตรใหม่ของเธอ

   “เป็นยังไงบ้าง? เจ้าชอบมันหรือเปล่า?” หญิงสาวมองเขาด้วยความคาดหวัง

   “เจ้าน่าจะใส่เครื่องเทศอีกหน่อยเพราะข้าคิดว่ามันยังจืดไปนิด” วาลเซอิคว่าแต่ก็กินไปเรื่อย ๆ

   “อะไรกัน กล้าวิจารณ์ข้าแล้วหรือ?” เธอหัวเราะเบา ๆ

   “อย่าไปแกล้งวาลเซอิคเขาสิ เจ้านี่ก็....” จากบทสนทนาของคนสองคน ก็ปรากฏหญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเข้ามาร่วมด้วย

   “แหม แม่คะ ก็วาลเซอิคชอบทำหน้าซึมตอนอยู่คนเดียว ข้าก็ต้องแกล้งหยอกบ่อย ๆ น่ะสิ” หญิงสาวทำหน้าบูดใส่แม่ของตนเองก่อนหันกลับมาหาวาลเซอิค “แต่ตอนนี้เจ้าก็ยิ้มเก่งขึ้นแล้วนะ เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนที่เจ้าเพิ่งมาที่นี่ใหม่ ๆ หน้าเจ้าอย่างกับคนไน้วิญญาณแหน่ะ”

   “พอแล้วน่า มีร่า คนอื่นเขาก็ต้องมีเรื่องอะไรในใจกันบ้างสิ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ลูกสาวแล้วยิ้มให้วาลเซอิคอย่างอ่อนโยน

   เด็กหนุ่ม....ที่เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มแล้วได้แต่หัวเราะเป็นการตอบโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

   นั่นสินะ....เขามาอยู่ที่นี่ได้ 5 ปีแล้ว...

   นับแต่วันนั้น....เขาก็พาตากับยายออกมาจากหมู่บ้านเพื่อที่จะลบเลือนเรื่องน่าเศร้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตากับยายบอกเขาว่าน้องชายคนหนึ่งของตามาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมือง แต่เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าน้องชายของตาจะเสียชีวิตไปแล้ว ถึงอย่างนั้นลูกสาวและหลานสาวก็ยังยินดีต้อนรับญาติห่าง ๆ ซึ่งไม่เคยพบพานกันมานานให้พำนักอาศัยอยู่ด้วยโดยไม่ไถ่ถามอะไรเลย

   ตากับยายจนอยู่ในความทุกข์ทำให้เขาต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งสองดีขึ้น แต่...เขาก็ไม่สังเกตเลยว่าตนเองก็แสดงความเศร้าออกมาเช่นกัน...

   “แม่คะ แม่บอกว่ามีอะไรบางอย่างจะบอกวาลเซอิคไม่ใช่หรือ? ถึงบอกให้ข้าเรียกเขาลงมาก่อน” มีร่าสะกิดเตือนความจำทำให้หญิงสูงวัยร้องอ้อแล้วพยักหน้าก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระโปรงและหยิบซองกระดาษที่ข้างในใส่บางสิ่งหนาเป็นปึกออกมา

   “นี่เป็นเงินค่าทำงานของเจ้าตลอด 5 ปี และ...ถึงแม้เจ้าจะเคยบอกข้าแล้วว่าไม่ต้องการ...” เธอรีบพูดขัดและยกมือปรามก่อนวาลเซอิคจะปฏิเสธ “...แต่ข้ากับมีเรียก็เก็บรวบรวมไว้ให้ เพราะมีเจ้าอยู่พวกข้าถึงสบายขึ้น ลูกเขยข้าต้องเดินทางบ่อย ๆ ไม่ค่อยอยู่บ้าน เจ้าทำให้เราอยู่ได้อย่างอุ่นใจ และเจ้าก็ทำงานหนักและคอยดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักครั้ง ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะให้รางวัลตัวเองบ้าง และนี่คือค่าตอบแทนที่พวกข้าพอจะให้ได้ ไหน ๆ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเทศกาลแล้ว เพลิดเพลินให้เต็มที่ ถือเสียว่าวันนั้นเป็นวันพักผ่อนพิเศษ”

   วาลเซอิคมองปึกกระดาษบนโต๊ะด้วยความตื้นตันใจจนไม่รู้ว่าจะกล่าวขอบคุณยังไง รับแต่ตากับยายตรอมใจและจากไปหลังจากมาถึงที่นี่เพียงครึ่งปี เขาก็เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร เหลือเพียงญาติห่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักและที่ซุกหัวนอนไปวัน ๆ แค่ความกรุณาที่ทั้งสองมีให้เขาก็ซาบซึ้งใจมากพอแล้ว จึงไม่เคยกล้ารับเงินค่าทำงานของตนเองเลย แต่ครั้งนี้หากเขาปฏิเสธมันคงจะเป็นการเสียมารยาทและทำร้ายน้ำใจของแม่ลูกคู่นี้เป็นแน่

   “ขอบคุณ...มากครับ...” เขารับเงินมาและโค้งศีรษะให้

   “ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก นี่ ถึงพวกเราจะเหมือนคนไม่รู้จัก แต่จริง ๆ ก็เป็นพี่น้องกันนะ” มีร่าพูดพลางลูบท้องตัวเอง “อีกอย่าง มีน้องชายหน้าตาหล่อเหลาแบบเจ้าก็เป็นบุญของข้าอยู่ไม่น้อย รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่เจ้ามาทำงานที่นี่ มีลูกค้าผู้หญิงเพิ่มขึ้นมามากทีเดียว”

   “จะว่าไป เจ้าก็อายุเยอะแล้วนะวาลเซอิค เจ้าน่าจะถือโอกาสนี้เลือกดูหญิงสาวสักคนที่เจ้าถูกใจไปงานด้วยกันดีหรือไม่?” ผู้เป็นแม่เสริมขึ้นมาหลังจากลูกสาวของเธอพูดถึงพวกลูกค้าผู้หญิงที่มาใช้บริการร้านเพื่อมองวาลเซอิคเป็นอาหารตา

   วาลเซอิคเองก็ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้

   หญิงสาวในตัวเมืองล้วนแต่แตกต่างจากหญิงสาวในหมู่บ้านของเขา พวกเธอแต่งตัวสวยงามประชันโฉมอย่างไม่อายสายตาใคร เหมือนกับดอกไม้ที่แข่งขันกันเบ่งบานในทุก ๆ วัน พวกเธอส่วนมากแทบจะไม่เคยทำงานหนักและมีความเฉลียวฉลาดทัดเทียมกับผู้ชาย

   มันทำให้เขาคิดถึงแม่....ตากับยาย...และเซเอลก็เคยบอกว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมั่นใจในตัวเอง เธอมีบุคลิกที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนใดในหมู่บ้าน

   การใกล้ชิดพวกเธอมีแต่จะทำให้เขาเปรียบเทียบกับเรื่องที่เกิดในอดีต...

   นอกจากนี้....เขาก็ยังลืมเซเอลไม่ได้...

   5 ปีมาแล้วที่เขายังคิดถึงคน ๆ นั้นและถามตัวเองว่า...เขาทำให้เซเอลยินยอมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า...หรือว่า...มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

   “ว่าแต่....วิคเตอร์จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ?” วาลเซอิคพยายามปัดประเด็นหาคู่ให้พ้นตัวจังเอ่ยถามถึงพี่เขยซึ่งปกติจะกลับมาบ้านในช่วงเวลานี้ของทุกปีและอีกสามเดือนจึงจะออกเดินทางอีกครั้ง

   “จากจดหมายที่ส่งมาเห็นว่าน่าจะมาถึงพรุ่งนี้ก่อนงานเทศกาลเริ่มพอดี แต่ข้าคงไม่ออกไปเบียดเสียดผู้คนหรอก กลัวจะล้มลุกคลุกคลานไปเสียเปล่า ๆ” มีร่าโบกไม้โบกมือพลางลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมาจนเริ่มเห็นชัด แม้จะอายุครรภ์ไม่กี่เดือนแต่เธอก็สวมเสื้อยาวปล่อยชายทำให้ทุกคนมองออกได้ทันทีว่ามีอีกชีวิตหนึ่งกำลังถือกำเนิดในตัวของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นท้องของเธอก็ยังไม่ทำให้ลำบากในเวลางานนักในตอนนี้ “แต่เห็นว่าครั้งนี้จะอยู่ยาวคงไม่ไปไหนแล้วเพราะถึงตอนนั้นข้าคงใกล้คลอด ข้าเองก็อยากให้เขาทำงานที่นี่เสียมากกว่า เดินทางไปไกล ๆ ข้าก็อดห่วงไม่ได้ ระยะนี้โจรผู้ร้ายยิ่งชุกชุมอยู่ด้วย”

   “วิคเตอร์กลัวว่าจะหาเลี้ยงไม่พอกินน่ะสิ ไหนจะค่าจ้างลูกจ้าง ค่าวัตถุดิบในแต่ละวัน แล้วอีกหน่อยก็ต้องเลี้ยงลูกอีก” ฝ่ายแม่แจกแจงเหตุผลพลางถอนหายใจ “แต่หากขยับขยายร้านสักหน่อย รับลูกค้าให้ได้มากกว่านี้ ก็คงจะทำให้มีรายได้เข้ามากขึ้นกระมัง” เธอพูดเช่นนั้นพลางมองไปรอบ ๆ

   “เช่นนั้นข้าคงต้องเตรียมตัวเหนื่อยยากเสียแล้ว” วาลเซอิคหัวเราะ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับคุณป้า มีร่า” หลังกล่าวลาเรียบร้อย วาลเซอิคก็กลับขึ้นไปพักผ่อนข้างบน สองแม่ลูกก็สนทนาต่ออีกเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกันไปนอนเพราะตอนเช้าต้องตื่นมาดักพวกพ่อค้าขายเนื้อและผักเพื่อให้ได้ของที่สดสะอาดที่สุดก่อนที่จะเปิดร้าน

   คืนนั้นเขาฝัน....

   ฝันถึงวันที่เซเอลมาหาเขาที่บ้านของตากับยาย วันที่เซเอลแสดงความต้องการในตัวเขาก่อนที่จะเข้าใจในวันถัดมาว่ามันเป็นแค่แผนการที่จะล่อลวงแม่ของเขาให้ตามไปเท่านั้นเอง...

   วาลเซอิคไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองจึงยังฝันถึงคืนนั้นทั้งที่ผ่านมานานถึง 5 ปี ทั้งที่มันจะดีกับเขามากกว่าหากลืมมันไปเสีย แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้ความฝันดำเนินไปอย่างนั้นโดยไม่พยายามที่จะฝืนมัน และเมื่อฝันจบลง...เขาก็จะได้พักผ่อนเสียที

-------------------------->

   วันถัดมา จนถึงบ่ายคล้อยก็ยังไม่มีวี่แววของวิคเตอร์ มีร่าและแม่ของเธอเริ่มกระสับกระส่ายใจไม่อยู่กับงานเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ปกติแล้ววิคเตอร์จะมาถึงก่อนเวลาที่กะไว้เสมอ ดังนั้นวันนี้เขาควรจะมาถึงตอนเช้าหรือสายหน่อย ไม่ใช่ตกบ่ายแล้วก็ยังไม่เห็นเงาอย่างนี้ ตอนเย็นงานเทศกาลก็จะเริ่มแล้วผู้คนจึงคับคั่งเต็มท้องถนนและร้านรวงใกล้จตุรัสกลางเมือง ก็ยิ่งน่าหวั่นใจว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน

   “เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ทำไมถึงยังไม่มาอีก” มีร่าพึมพำออกมาขณะถือถาดเข้าไปหลังบ้าน

   “ข้าจะลองออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน บางทีเขาอาจจะเข้าเมืองมาแล้วแต่รถม้าฝ่าฝูงคนมาไม่ได้” วาลเซอิคอาสาและวางมือจากงานก่อนรีบเดินออกไปจากร้าน เขาเข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนที่รักดี และความร้อนอกร้อนใจนั้นจะไม่มีวันหายไปโดยง่ายตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าคน ๆ นั้นปลอดภัย

   บนถนนเต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์และเครื่องมือจัดร้านแผงลอยดังที่คาดไว้ เป็นช่วงเวลาที่รื่นเริงและครื้นเครง มีไฟประดับประดาทั่วทั้งถนนทั้งที่ยังไม่ค่ำมืด รถม้าไม่มีผ่านมาแถวนี้สักคันเพราะคงรู้ดีว่าไม่อาจฝ่าฝูงชนบนถนนเส้นเล็ก ๆ ได้จึงเลือกไปวิ่งบนถนนสายหลักที่ใหญ่กว่าหมด

   วาลเซอิคเดินจากร้านมาทางหน้าเมืองที่กลุ่มคนบางตาลงเนื่องจากไปชุมนุมกลางเมืองกันหมด แต่ก็มีคนเข้าออกสม่ำเสมอโดยมีคนเข้ามากกว่าออกเพราะนักท่องเที่ยวบางคนก็เพิ่งจะมาถึงเอาตอนนี้ ซึ่ง...คงจะหาที่พักยากเอาการตามปกติของช่วงเทศกาลประจำปี

   แต่วิคเตอร์อยู่ที่ไหนกันนะ?

   หรือว่าจะวนหาทางเข้าร้านอยู่ในเมือง?

   เขามองหารถเทียมม้าของอีกฝ่ายไม่พบเลย หรือไม่ก็คงเพราะรถม้าอยู่รอบตัวเขาทำให้ไม่อาจแยกแยะได้ว่าของใครเป็นของใคร

   แล้วเขาจะหาพี่เขยพบได้ยังไงนะ?

   “วาลเซอิค! นั่นวาลเซอิคสินะ!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงของบุคคลหนึ่งตะโกนเรียกเขาจากที่ไกลตา ชายหนุ่มหันมองกวาดไปมาหลายครั้งก็ไม่พบคนเรียกตนเองจนกระทั่งคน ๆ นั้นวิ่งเข้ามาถึงตัว “พอดีเลย ข้ากำลังกังวลว่ามีร่าจะเป็นห่วง แสดงว่านางคงอยู่ไม่ติดแล้วเจ้าถึงได้ออกมาตามหาสินะ?” วิคเตอร์นั่นเอง ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขากำลังหัวเราะอย่างโล่งอกที่พบตัวเขาในที่สุด และเขาเองก็โล่งอกเช่นกัน

   “เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” วาลเซอิคมองท่าทางของวิคเตอร์ที่ไม่เหมือนคนที่เพิ่งถึงเมืองเลย เหมือนว่ามาถึงสักพักใหญ่แล้วและกำลังพักผ่อน

   “โอ๊ย ข้ามาถึงแต่เช้าแล้ว แต่มีปัญหานิดหน่อยเลยต้องติดอยู่ที่นี่” เขาชี้ไปที่รถม้าของตนเอง

   “ปัญหา? รถเสียหรือ?” แต่วาลเซอิคกลับรู้สึกว่ารถม้าก็ปกติดี ม้าเองก็ยังสุขภาพดี “หรือเพราะเข้าเมืองไม่ได้เพราะคนเยอะเกินไป?”

   “มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก” วิคเตอร์โบกไม้โบกมือ “แต่ระหว่างทางที่ข้ากลับมา ข้าผ่านหมู่บ้านใหญ่ที่หนึ่งที่ข้าไปค้าขายบ่อย ๆ แล้วบังเอิญว่ามีคนขอโดยสารมาด้วย เขาไม่บอกข้าว่าจะไปที่ไหนแต่ท่าทางจะสุขภาพไม่ค่อยดีข้าก็เลยสงสาร บางทีคงจะอยากมาหาญาติแต่เดินทางคนเดียวไม่ไหวก็ได้ ข้าคิดว่าพามาที่เมืองแล้วอาจจะพอรู้เรื่องอะไรบ้าง แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องการอะไร” ชายหนุ่มว่าจบก็ไหวไหล่พลางยกมือเกาศีรษะอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ

   “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ถามเขาดูล่ะ?”

   “เพราะข้าถามไม่ได้น่ะสิ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาป่วยเป็นอะไรแต่เขาไม่พูดอะไรกับข้าเลย กินก็น้อยนิด และไม่ยอมโดนแสงแดดอย่างเด็ดขาด ตอนกลางวันก็เอาแต่นอนจะตื่นก็แต่ตอนที่ตะวันลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น แต่ก็มีข้อดีนะที่เขาช่วยดูแลรถม้ากับสินค้าตอนกลางคืนข้าก็เลยนอนกลางทางได้อย่างสบายใจ”

   วาลเซอิคฟังคำของวิคเตอร์แล้วมุ่นคิ้ว เพราะพฤติกรรมที่อีกฝ่ายว่ามานั้นมันเป็นพฤติกรรมที่เขาคุ้นเคยดี สิ่งมีชีวิตที่นอนตอนกลางวันและตื่นตอนกลางคืน ไม่ยอมสัมผัสกับแสงแดด....นั้นคือ...ผู้ต้องสาป? แต่ทำไมคน ๆ นี้จึงไม่กินเลือดของวิคเตอร์และยึดรถเป็นของตัวเองเสียเลยล่ะ?

   “อ้อ อีกอย่าง ข้าเห็นว่าเขาพกขวดยาแปลก ที่ข้างในมียาสีแดงสดดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” วิคเตอร์ว่าต่อ “ตอนกลางคืนเขาจะหายไปสักพักแล้วถึงกลับมา เสร็จแล้วก็ดื่มยาที่ว่านั่นแหละ”

   นั่นคงจะเป็นเลือด?

   วาลเซอิคมองไปยังรถม้า...ที่มีผู้ต้องสาปกำลังพักผ่อนอยู่ข้างใน เขาพอจะเดาเหตุผลของวิคเตอร์ได้แล้ว...เจ้าตัวคงรอให้อีกฝ่ายตื่นเพื่อที่จะสอบถามว่าจะไปที่ไหน และที่ไม่ยอมพาไปที่บ้านเพราะอันตรายเกินไปที่จะให้คนแปลกหน้ารู้จักบ้านช่องและอยู่กับผู้หญิงในบ้านของตัวเอง

   “แต่ตอนค่ำเจ้าจะเข้าบ้านลำบากน่ะสิ ตอนนี้ถนนหน้าบ้านมีแต่คนเต็มไปหมด”

   “ก็นั่นแหละ ข้าถึงคิดไม่ตกอยู่นี่ไง” วิคเตอร์กุมขมับทำท่าเหมือนปวดหัว

   “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปดูเอง” วาลเซอิคไม่อยากให้พวกเขาต้องลำบากในภายหลังเมื่อคนเต็มท้องถนน ถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะต้องแบกรถกับรถเข้าไปก็ได้ เขาจึงเดินไปที่รถม้าด้วยความระมัดระวัง ผู้ต้องสาปล้วนแต่มีกำลังกายมหาศาลแต่ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน หากหนีออกมาข้างนอกได้ทันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้คนที่นี่ล้วนแต่ไม่เชื่อเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลเช่นเรื่องคำสาปของปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดเรื่องแบบนั้นให้วิคเตอร์ฟังเพราะเจ้าตัวคงคิดว่าเขาล้อเล่น

   วาลเซอิคเปิดผ้าคลุมโดยระวังไม่ให้แสงแดดส่องเข้าไปข้างใน ในแสงสลัวนั้นเขาเห็นร่างหนึ่งในห่อผ้านอนซุกตัวในมุมที่มืดที่สุด และเมื่อเขาเอื้อมมือเข้าไป ก็เกิดการเคลื่อนไหวจากร่างนั้นทำให้ต้องชะงักมือ

   “ข้า...บอกเจ้าไว้ก่อนนะ...” วาลเซอิคกลืนน้ำลายก่อนชิงพูดขึ้นเพราะเห็นฝ่ายนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นมา “ถ้าเจ้าคิดจะมาทำร้ายใครที่เมืองนี้ ข้าจะลากเจ้าออกไปให้แสงแดดแผดเผาเจ้าเสียเลย”

   “....เจ้าคิดจะทำอย่างนั้นกับข้าจริง ๆ หรือ?”

   เอ๋!?

   เสียงที่เขาได้ยินตอบกลับมานอกจากจะไม่มีความเกรงกลัวต่อคำขู่แล้วยังไม่มีวี่แววคุกคามด้วย แต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่งเสมือนกำลังอยู่ต่อหน้าบางสิ่งบางอย่างซึ่งสูงค่าและยากจะแตะต้อง แค่คำถามประโยคเดียวกลับทำให้เขาไม่กล้าสัมผัสกระทั่งชายผ้าอีกฝ่าย ความรู้สึกแบบนี้....เขาคุ้นเคยกับมัน...

   ผืนผ้าสีหม่นค่อย ๆ เลื่อนออกเมื่อผู้ต้องสาปคนนั้นเลิกมันด้วยตัวเอง ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในแสงสลัวราง.....

------------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
«ตอบ #178 เมื่อ28-01-2013 21:22:06 »

   “โธ่เอ๊ย เรื่องเป็นแบบนี้เอง เจ้าก็น่าจะฝากใครสักคนมาบอกบ้างนะ ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงอยู่ได้!”

   ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบ้านโดยพาคนแปลกหน้าคนนั้นมาด้วย แน่นอนว่าวิคเตอร์โดนมีร่าสวดยาวเป็นหางว่าวอยู่หลังบ้านส่วนหน้าร้านวาลเซอิคก็ดูแลไปพลาง ๆ จนกว่ามีร่าจะสวดสามีตนเองจบ

   ส่วนคนแปลกหน้าที่ว่าน่ะหรือ....

   “ทำไมถึงปล่อยให้แขกรอในรถม้าอย่างนั้นล่ะ?” แม่ของมีร่าเดินออกมาถามเขา เพราะวิคเตอร์บอกว่าตนเองพาคนมาด้วยและดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักของวาลเซอิค

   ใช่...เป็นคนรู้จักของเขา

   “เขาบอกว่าไม่อยากจะทำให้พวกเราลำบากใจน่ะครับ”

   “ลำบากใจอะไรกัน เป็นเพื่อนของเจ้าทั้งที ไปเชิญเขาเข้ามาเถอะ”

   วาลเซอิคมองท้องฟ้าที่มืดลงแล้วก่อนเดินออกไปที่รถม้าตามความต้องการของหญิงสูงวัย เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งและเลิกผ้าคลุมขึ้น ข้างในนั้น....ผู้มาเยือนตื่นแล้วและกำลังดื่มยาสีแดงที่วิคเตอร์เล่าไว้ เขาได้แต่นิ่งมองขณะอีกฝ่ายกำลังกินอาหาร ไล่ไปยังเรือนผมสีเงิน และไม่นานหลังจากนั้นดวงตาสีเลือดก็เบือนมาสบกับตาของเขาก่อนเบือนไปทางอื่น

   “ท่านน่าจะ...เข้าไปข้างใน”

   “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบอยู่ท่ามกลางมนุษย์” เจ้าของเรือนผมสีเงินตอบโดยไม่ขยับตัว

   “ถ้าอย่างนั้นท่านมาที่นี่ทำไม เซเอล?”

   ....

   อยู่ ๆ เซเอลก็ไม่ยอมตอบอะไรและลุกขึ้นก่อนเดินออกมาจากรถ เขาขยับผ้าคลุมให้ปิดเส้นผมกับดวงตาของตนเองจนเรียบร้อยดีแล้วก็ยืนรอเหมือนการบอกให้วาลเซอิคนำทางเข้าบ้านอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าคำถามทำให้ไม่พอใจหรือไม่ วาลเซอิคจึงไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกันและพาเซเอลเข้าไปในร้านโดยเข้าทางประตูหลังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องฝ่าสายตาและเสียงเอ็ดตะโรวุ่นวายภายในร้าน

   “วานหาอะไรให้เขากินหน่อยนะวาลเซอิค ข้างหน้าไม่ว่างเลย” มีร่าเข้ามากระซิบแล้วรีบหันไปหยิบอาหารที่ทำเสร็จแล้ว

   “ข้าออกไปช่วยไม่ดีกว่าหรือ?”

   “ไม่ได้ นี่วันพักผ่อนเจ้านะ อย่างที่คุยกันไง เจ้าต้องออกไปเที่ยวจำได้ไหม?” หญิงสาวขยิบตาแล้วหันไปทักทายเซเอลเพียงสั้น ๆ ก่อนพลิ้วตัวหายออกไปหน้าร้านเพื่อรับลูกค้า วิคเตอร์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาไม่ทันได้พักก็ต้องออกไปช่วยเช่นกัน แน่นอนว่าเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดอยู่นิดหน่อย และตอนนี้หลังบ้านก็เหลือแต่เขา เซเอล พ่อครัว และคนล้างจาน ซึ่งพนักงานหลังบ้านต่างก็พากันจับจ้องเซเอลด้วยความสนเท่ห์และอยากรู้อยากเห็น

   “แขกของเจ้าไม่ค่อยพูดเลยนะ” แม่ของมีร่าเดินเข้ามาหาเขาระหว่างกำลังจะนำจานไปเก็บ

   “เขาไม่ค่อยชินกับการโดนคนอื่นจ้องมองน่ะครับ” วาลเซอิคไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวให้เซเอลอย่างไร แต่ในที่สุดเขาก็นึกอะไรออก “จะเป็นอะไรไหมถ้าข้าจะพาเขาออกไปงานเทศกาลด้วยกัน เขาอาจจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น”

   แม่ของมีร่าดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยในทีแรกเพราะตั้งใจจะให้วาลเซอิคถือโอกาสนี้มองหาผู้หญิงที่ถูกใจ แต่เมื่อคิดอีกที วาลเซอิคก็พูดถูก พาแขกมาถึงบ้านแต่ไม่มีเวลารับรองก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว การมีคนนำทางไปชมงานเทศกาลอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

   “เอาสิ เอากุญแจบ้านไปด้วยล่ะ”

   เมืองใหญ่ไม่เหมือนกับหมู่บ้านที่เขาเคยอยู่ มีทั้งขโมยและโจรชุกชุมไปตามความเจริญของชุมชน ด้วยเหตุนั้นเมื่อตกค่ำและเข้านอนแล้ว บ้านจะต้องปิดล็อคประตูกันทุกหลัง

   วาลเซอิคเดินไปหยิบกุญแจบ้าน เสื้อนอก แล้วสะกิดเซเอลให้ตามออกไปด้วยกัน

   และตอนนี้...พวกเขาก็มายืนอยู่บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังจตุรัสรวมถึงคนที่หยุดยืนซื้อของตามข้างทาง

   วาลเซอิคก้มมองคนข้างตัวที่เอาแต่เงียบมาตั้งแต่ลงจากรถม้า เพราะผ้าคลุมศีรษะอยู่เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่หรือไม่

   “...บางที..ท่านคงไม่ชอบงานเทศกาล แต่เมืองนี้มีเทศกาลใหญ่ ๆ แบบนี้ก็แค่ปีละครั้ง ก็บังเอิญดีที่ท่านมาในจังหวะที่วุ่นวายแบบนี้” เขาเริ่มชวนคุยและเดินนำหน้าไป เมื่อเห็นว่าเซเอลเดินตามมาข้าง ๆ ก็เบาใจลง “ข้า...จับมือท่านได้หรือเปล่า ถ้าเดินกันแบบนี้ท่านอาจจะพลัดหลงก็ได้” ขออนุญาตจบ วาลเซอิคก็เอื้อมมือไปจับอีกฝ่ายทันทีเพราะเจ้าตัวกำลังจะถูกชนจากด้านข้าง ตอนนั้นเขารู้สึกว่าท่าทางของเซเอลดูเหม่อลอยชอบกล โดยปกติเซเอลคงไม่ถูกชนเอาง่าย ๆ แบบนั้นแน่

   “วาลเซอิค...เจ้าโตขึ้นมาเลยนะ”

   “เอ๋?”

   “ข้าแทบจะลืมไปแล้วว่ามนุษย์โตเร็วแค่ไหน”

   ชายหนุ่มมองผู้ที่เคยเลี้ยงดูตนเองด้วยดวงตาแสดงความสงสัยในประโยคที่เจ้าตัวเปรยออกมา เขาบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนโคลงศีรษะ

   “ส่วนท่านก็ยังเหมือนเดิม...ดูสุขสบายดี”

   “ก็เพราะเจ้าไม่ใช่หรือ...” เซเอลหลุบตาเล็กน้อยพลางคิดถึงตัวเองในตอนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจที่จะดื่มเลือดของวาลเซอิคเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความตาย มันก็แค่....อยู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวความเดียวดายหลังจากนั้น การที่เขาจะต้องตายไปเพียงลำพังโดยไม่มีใครเลย “วาลเซอิค เจ้ามีความสุขดีหรือไม่?”

   “ในตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไร คงเว้นแต่เรื่องคนรักล่ะมั้ง ทั้งมีร่าและคุณป้าต่างก็เป็นห่วงว่าข้าจะไม่แต่งงาน จริง ๆ พวกนางคงไม่รู้ว่าข้าเองก็มีคนที่มอง ๆ อยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มเกาศีรษะตนเองพลางหัวเราะเสียงสดใส ในตอนแรกที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้เซเอลไม่ต้องมาเป็นกังวลหรืออึดอัดใจกับความรู้สึกของเขา ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้วเขากลับพบว่าเซเอลมีปฏิกิริยาที่ผิดคาด เจ้าตัวคล้ายจะเกร็งมือเล็กน้อยและพยายามดึงกลับชั่วขณะก่อนผ่อนแรงเช่นเดิมในเวลาต่อมาและเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน

   นั่นมัน....อะไรกันน่ะ....

   “บางที...พรุ่งนี้ข้าคงไปต่อ ข้าไม่อยากอยู่รบกวนเจ้านาน”

   “ท่านเพิ่งจะมาถึงเองนะ แล้วยังไม่ยอมบอกข้าเลยว่าท่านเดินทางไกลแบบนี้ทำไม หรือว่าที่ปราสาทจะมีเรื่อง?” วาลเซอิคลองเดาประเด็นอื่นก่อนที่จะเผลอให้ความหวังตัวเอง เพราะนี่มันก็ 5 ปีมาแล้ว....อะไร ๆ ก็คงไม่เหมือนเดิม ที่เซเอลมาที่นี่ก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญเช่นกัน

   “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อาร์วิน่า คัลดิช กับคัลมาร์ ดูแลปราสาทเป็นอย่างดี” เซเอลตอบตามจริง เขายังคงไว้ใจให้ทั้งสามดูแลปราสาทของเขา และทั้งสามคนก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมไปจากที่นั่น “ข้าแค่...คิดว่าตัวเองควรจะเห็นโลกกว้างเสียบ้าง และบังเอิญญาติของเจ้าผ่านมาพอดี...”

   “แล้วท่านจะกลับมางานแต่งของข้าหรือเปล่า?”

   ชั่ววินาทีหนึ่งหลังประโยคนั้น เซเอลแสดงอาการขัดขืนออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดเดินไปจังหวะหนึ่งและเหมือนจะพยายามขืนตัวพราะความไม่พอใจ

   “ข้าเหนื่อยแล้ว ที่นี่คนมากเกินไป” เจ้าตัวแสดงความต้องการที่จะกลับไปพักผ่อนก่อนหมุนตัวไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมาแต่วาลเซอิคกลับไม่ยอมปล่อยมือ และเพราะเซเอลไม่ได้ตั้งใจจะออกแรงมากมายอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่วาลเซอิคจะลากจูงไปยังทิศทางตรงข้าม และการกระทำอุกอาจเช่นนั้นทำให้เซเอลยิ่งไม่พอใจมากขึ้น “วาลเซอิค อย่าให้ข้าต้องบังคับใช้กำลังกับเจ้านะ”

   “ถ้าอย่างนั้นท่านก็อย่าเดินหนีสิ ซ้ำตอนนี้เราอยู่กลางจัตุรัสของเมือง หากท่านทำอะไรขึ้นมาทุกคนก็จะรู้ถึงตัวจริงของท่านกันหมด” ทั้งที่ถูกเซเอลขู่อย่างนี้เป็นครั้งแรก แต่วาลเวอิคก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงแต่อย่างใด เพราะในเวลานี้ ต่อหน้ามนุษย์ทั้งหลาย เขาย่อมเป็นต่ออยู่หลายขุมเพราะเซเอลไม่สามารถแสดงตนต่อหน้าใครได้หากอยากให้เรื่องของตนยังคงเป็นความลับกับโลกภายนอก

   เซเอลมองไปรอบตัวซึ่งมีแต่มนุษย์เดินอยู่ยั้วเยี้ยยิ่งกว่าฝูงมด เป็นอย่างที่วาลเซอิคว่า...เขาไม่สามารถทำอะไรตรงนี้ได้เลย

   “ปล่อยมือข้า”

   “ไม่เอา”

   “วาลเซอิค เจ้าเลิกทำตัวเป็นเด็ก......!!” เซเอลอ้าปากต่อว่าไม่ทันจบประโยคก็กลับถูกอีกฝ่ายดึงเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัวและประกบริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่เซเอลกำลังตกตะลึงอยู่นั้น วาลเซอิคก็ฉวยโอกาสล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อคลุมยาว โอบเอวสอบให้เบียดตัวเข้าแนบชิดโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างว่ากำลังมองมาหรือไม่ ริมฝีปากอุ่นบดจูบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานหลายนาทีก่อนผละออกเมื่อเซเอลตั้งสติได้และเริ่มผลักตัวออก

   การได้เห็น...ใบหน้าของเซเอลที่กำลังมีสีเรื่อน้อย ๆ นั้นนับว่าเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง วาลเซอิคยิ้มเจ้าเล่ห์พลางขยับผ้าคลุมศีรษะของอีกฝ่ายที่เลิกไปเล็กน้อย

   “จริงอย่างที่ท่านว่า ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว...เพราะอย่างนั้นข้าถึงรู้ว่าท่านกำลังทำหน้าผิดหวังในตอนที่ข้าพูดถึงผู้หญิง”

   เซเอลเถียงไม่ออก ปกติเขาก็ไม่เคยทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแก้ต่างอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนและกำลังเสียเปรียบ

   “คนอื่นอาจจะมองอยู่ก็ได้...” เขาว่าเหมือนตำหนิก่อนดึงผ้าคลุมศีรษะให้ปิดมิดชิดมากขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นแปลว่าท่านอยากอยู่ในที่รโหฐานกับข้าเพียงสองคนใช่หรือเปล่า?”

   “.....” ครั้งนี้เซเอลไม่ยอมตอบแต่ก้มหน้าลงต่ำหลบเลี่ยงสายตา

   “นี่ เซเอล....” วาลเซอิคลูบมือไปที่แก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือ “...บอกข้าหน่อยสิว่าที่ท่านจากปราสาทมาเพื่อตามหาข้าหรือเปล่า?”

   หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง...เซเอลก็ค่อย ๆ พยักหน้า

   “ถ้าอย่างนั้น...ท่านจะอยู่ที่นี่กับข้าไหม?” ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปนิดหน่อยหลังตัวเองพูดออกมาทำนองเหมือนกำลังขอแต่งงาน “ข้าหมายถึง...แค่อยู่เป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะแก่และ...เอ่อ...สำหรับท่านมันคงจะไม่นานเท่าไหร่ หรือหากท่านต้องการ...ข้าจะมอบถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาให้ท่านอีกครั้ง แล้วเราสองคนก็จะ....ค่อย ๆ ร่วงโรยไปด้วยกัน” ตลอดเวลาที่พูดนั้น วาลเซอิคจับมือเซเอลไว้และบีบเบา ๆ ให้เข้าใจถึงความตั้งใจจริงของเขาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด

   “ข้าทำไม่ได้”

   “....อย่างนั้นหรือ....”

   “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด วาลเซอิค” เพราะเสียงของอีกฝ่ายดูผิดหวังและเจือปนความเจ็บปวดอยู่ด้วย ไม่ต่างกับ 5 ปีก่อนที่ถูกเขาผลักไสสักนิด เซเอลจึงรีบอธิบายต่อ “ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้าหรือรำคาญเจ้า แต่ข้าเคยทำให้พวกเขาผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งอาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ต่างก็อยู่ภายใต้อาณาเขตของข้า พวกเขาดูแลปกป้องปราสาทอย่างซื่อสัตย์และภักดี แต่เพราะริเรียข้าจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งคนที่ใกล้ชิดข้าและไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง หากครั้งนี้ข้าเลือกเจ้า...ข้ารู้ว่าข้าจะต้องตายไปกับเจ้าอย่างแน่นอน เพราะข้าไม่อาจทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียสิ่งที่สำคัญต่อข้าได้อีกแล้ว...”

   วาลเซอิคถอนหายใจออกมาก่อนยิ้มกว้าง

   “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ข้าเป็นเหมือนท่านสิ”

   “พูดอะไรโง่ ๆ เจ้าก็รู้จักพวกเรามาตลอด การเป็นผู้ต้องสาปไม่ใช่ชีวิตที่สวยงามนักหรอก....” แม้แต่ตัวเซเอลเองก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขที่ตนเองเป็นอย่างนี้เลยสักครั้ง...

   “ไม่เห็นเป็นไรเลย” วาลเซอิคยกมือคนตรงหน้าขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากตนเอง “ท่านเองยังเคยยอมเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อแม่ของข้ามาแล้ว ดังนั้น...ครั้งนี้ข้าจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนให้ท่านบ้าง ตัวข้าเองก็ไม่เหลือใครแล้ว ตากับยายก็เสียไปแล้วทั้งคู่พวกมีร่าก็เป็นญาติห่าง ๆ ที่ข้าเพิ่งรู้จักเมื่อ 5 ปีก่อน ครอบครัวที่แท้จริงของข้าเหลือแค่ท่าน...กับพวกอาร์วิน่า...”

   “...เซราฟกับวอเรนด้วย...”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อสุนัขสองตัวที่ตนเองนำไปที่ปราสาท การที่เซเอลพูดถึงพวกมันขึ้นมาแปลว่าพวกมันยังอยู่ดีสินะ...

   “แล้วท่านจะอนุญาตหรือเปล่าถ้าข้าจะกลับไป....”

   เซเอลเหลือบสายตามองคู่สนทนาเล็กน้อยก่อนพรูลมหายใจช้า ๆ

   “ถ้าเจ้าคิดดีแล้ว....” หากไม่นับตอนที่เขาตัดสินใจผลักไสวาลเซอิคออกมา เจ้าตัวก็แทบจะไม่เคยถูกขัดใจเลย ดังนั้นก็คงจะเดาผลลัพธ์ครั้งนี้ได้ไม่ยากนัก ทั้งที่ใจจริงเซเอลไม่เคยนึกอยากจะทำให้ใครเป็นอย่างตนเอง แต่เขาก็รู้ว่าตนเองไม่อาจขัดความตั้งใจของวาลเซอิคได้ ถึงเขาจะไม่ยอม อย่างไรเด็กคนนี้ก็คงจะหาทางขโมยเลือดจากเขาด้วยวิธีต่าง ๆ ที่นึกออกเป็นแน่

   วาลเซอิคยิ้มขำแล้วลดมือลงกุมไว้หลวม ๆ เช่นเดิม แต่ก่อนจะพาออกเดินต่อ ชายหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนข้างตัวและกระซิบ

   “อีกสัก 2 ชั่วโมงคนที่บ้านก็จะขึ้นนอนกันหมด ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยกลับก็แล้วกัน คืนนี้...ท่านนอนกับข้านะ เซเอล”

   คำพูดนั้นทำให้ผู้ฟังเข้าใจจุดประสงค์ได้อย่างไม่ยากเย็น

   “....เจ้าเด็กลามก”

   แม้จะถูกเรียกแบบนั้น วาลเซอิคก็ทำแค่หัวเราะรับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน เขากำลังหัวใจพองโตอย่างมีความสุขหลังจากจมอยู่กับอดีตมาถึง 5 ปีโดยที่ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าได้ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้ว...เพราะถึงแม้ทางข้างหน้าจะเป็นความมืดมิดชั่วนิรันดร์ แต่เขาจะมีเซเอลเป็นแสงนำทางตลอดไป...

END


ไม่รู้ทำไม ทั้งที่จบแฮปปี้แต่เซียร์น้ำตาไหลพรากๆ orz

สำหรับรวมเล่ม...เซียร์จะเปิดหลังจากทำปกเสร็จนะคะ ตอนนี้ไม่มีปกเลย :'D
และมีคำถาม...ตอนพิเศษเอายังไงดี 55555 /โดนนักอ่านตบ

และเผื่อว่านิยายจะถูกย้ายไปห้องจบแล้ว คนที่สนใจฉบับรวมเล่มสามารถติดตามข่าวเป็นระยะได้จากเพจ http://www.facebook.com/ZiarNovel นะคะ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ปฏิญญารัตติกาล บทส่งท้าย [28/01/13]
«ตอบ #179 เมื่อ28-01-2013 22:16:44 »

ขอบคุณครับ ยังอ่านไม่จบครับ เดี๋ยวมาเม้นท์ใหม่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด