ตอนที่ 18 ใต้แสงดาว
เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วาลเซอิคจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่บ้าน ซึ่งหากเขาจำไม่ผิด...มีดพกสำหรับล่าสัตว์ของตายังเก็บไว้บนห้องของเขา อย่างน้อยมันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างหากมีอันตรายเกิดขึ้น หรืออย่างน้อย...หากริเรียไปทำร้ายใครเข้า เขาก็อาจต้องใช้กำลังหยุดเอาไว้
เมื่อเหน็บมีดไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบออกจากบ้านโดนพยายามทำทุกอย่างด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ตากับยายตื่นขึ้นมา
แต่....เขาจะตามริเรียไปได้ยังไงกัน?
มองไปรอบด้านแล้วดูไม่รู้เลยว่าหญิงสาวหน้าจะไปทางไหน หากเป็นอาณาเขตของเซเอลเขายังเดาได้ว่ามนุษย์น่าจะเผลอรุกล้ำเข้ามาจากทางที่เชื่อมกับหมู่บ้าน แต่ของริเรีย....ดูไม่มีทิศทางชัดเจนและไม่รู้ว่าทางทิศใดจะมีใครเข้ามาได้บ้าง เพราะบ้านหลังนี้ด้านหนึ่งติดชายป่า อีกด้านหนึ่งก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ด้านที่ติดกับชายป่าอาจจะมีพวกพรานเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
ถึงอย่างนั้น...เวลากลางคืนอย่างนี้พรานที่ไหนจะยังเดินดุ่ม ๆ ไปทั่ว
วาลเซอิครู้ว่าตนเองไม่มีเวลาให้พิจารณาสถานการณ์มากนัก เขาจึงตัดสินใจที่จะลองวิ่งหารอบ ๆ ดูก่อน เพราะริเรียน่าจะไปไม่ไกลจากที่นี่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอ
ทว่า...
“วาลเซอิค!”
เสียงที่รั้งเขาเอาไว้เป็นของคนที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่....
วาลเซอิคหันไปในทิศทางที่ได้ยิน และที่นั่น เขาเห็นคัลดิชกับอัลเรสยืนอยู่ด้วยกัน ท่าทางของทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้มาที่นี่โดยบังเอิญ
หรือว่าเซเอล?
เซเอลบอกทั้งสองคนเรื่องเขาหรือ?
“ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา” เพราะกำลังเร่งรีบ วาลเซอิคจึงลืมเรื่องเอลยาไปเสียสนิท ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของริเรียและสิ่งที่กระตุ้นให้อีกฝ่ายไล่ตามไป ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้ทั้งอัลเรสและคัลดิชรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เซเอลให้พวกเขามาที่นี่ ไม่ใช่แค่มาเพื่อพบวาลเซอิคแต่น่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น
“เดี๋ยวก่อน นายท่านบอกให้ข้ามาพบเจ้า” คัลดิชดึงรั้งเด็กหนุ่มไว้
“เซเอล?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว “หมายความว่ายังไง เซเอลคิดจะทำอะไรกับแม่ของข้า!?”
“แม่ของเจ้า? เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อัลเรสที่จับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่มองทั้งสองคนสลับกันไปมา “อย่าบอกนะวาลเซอิค ว่าแม่ของเจ้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของพี่สาวข้าด้วย!”
“....เรื่องนั้น....” เมื่อถูกคาดคั้นจากอัลเรส วาลเซอิคก็เกิดอาการอึกอัก หากพูดความจริงออกไป....อัลเรสจะต้องทำอะไรรุนแรงแน่ และตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะให้ตากับยายตื่นขึ้นมารู้เรื่อง ซึ่งเขาไม่ควรจะให้สองคนนี้มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้าน
ไม่สิ...นี่อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้
เมื่อริเรียไม่อยู่...ก็เป็นโอกาสที่จะปล่อยเอลยาออกมา
ในที่สุดวาลเซอิคก็ถูกปลุกจากความตื่นตระหนกและนึกได้ว่าเอลยายังคงเฝ้ารอความช่วยเหลือซึ่งเขาได้มอบความหวังเอาไว้ให้
ซ้ำตอนนี้เขายังไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากวิ่งพล่านไปทั่วชายป่าโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ดังนั้น หากเขาช่วยเอลยาออกมาเรียบร้อยแล้ว คัลดิชก็อาจจะสามารถช่วยเขาหาตัวแม่ของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน ถึงแม้วาลเซอิคจะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าทำไมคัลดิชจึงมาช่วยเหลืออัลเรสกับเอลยา แต่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะคิดมาก ทำอะไรได้ก็ควรทำไปก่อน
“นี่เจ้า......!” เพราะเห็นวาลเซอิคเงียบไปนาน อัลเรสจึงเกิดมีน้ำโห ในใจของเขาเชื่อมั่นว่านายของคัลดิชได้นำทางเขามาพบกับเงื่อนงำของเอลยาแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนี่กลับเอาแต่อ้ำอึ้ง ซึ่งคิดได้อย่างเดียวว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำของใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะโวยวายอะไรออกมา วาลเซอิคก็รีบโถมตัวเข้ามาปิดปากเขาจนแน่นและยกมืออีกข้างขึ้นจุ๊ย์ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ
ชายหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความกังขาในจุดประสงค์และท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และพอจะดึงมือวาลเซอิคออกเจ้าตัวก็กระซิบขึ้นมา
“เงียบหน่อย ข้าไม่อยากให้คนข้างในตื่น”
“อย่ามาอุบายกับข้านะ!” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อัลเรสก็ลดระดับเสียงลงมากในขณะที่คัลดิชเพ่งมองไปยังบ้านซึ่งเขารับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่นอกจากพวกเขา
“ข้าคิดว่าควรจะฟังวาลเซอิคดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยให้หูข้าสบายขึ้น” เจ้าตัวกล่าวเตือนกึ่งเล่นกึ่งจริงจังก่อนหันไปทางเด็กหนุ่ม “ทีนี้บอกข้ามาได้แล้ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ในสถานที่ที่มีกลิ่นของผู้ต้องสาปผสมกับมนุษย์คละคลุ้งแบบนี้ และนายท่านต้องการให้ข้ามาหาอะไร”
วาลเซอิคเหลือบมองไปที่บ้านเล็กน้อยก่อนจะทำสัญญาณมือ
“ตามข้ามาสิ เงียบ ๆ ด้วยล่ะ”
คัลดิชหันไปมองอัลเรสโดยส่งสายตาปรามไม่ให้อาละวาดออกมาก่อนจะเดินตามวาลเซอิคไปโดยไม่พูดอะไร อัลเรสจึงต้องยอมทำตามเพราะดูท่าเรื่องที่มีคนอื่นในบ้านคงจะจริง
วาลเซอิคพาทั้งสองคนอ้อมไปข้างหลังตัวบ้านซึ่งพวกเขาก็พบห้องเก็บของห้องหนึ่ง แต่กลับมีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย....
มันถูกคล้องด้วยโซ่และแม่กุญแจ...
อะไรกัน? ก่อนหน้านี้มันยังไม่มีเลยนี่!
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปดึงโซ่ด้วยความโมโห ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางทีตากับยายคงรู้ว่าเขาลงมาที่นี่เพราะผ้าห่มบนตัวเอลยา จึงได้ล็อคประตูเอาไว้ไม่ให้เขาแอบมาได้อีก
“นี่เจ้าหลอกให้ข้าเสียเวลาเล่นหรือไง!” อัลเรสคำรามออกมาอีกครั้งหลังจากพบว่าตนเองถูกพามายืนหน้าประตูที่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ซ้ำยังเป็นแค่ห้องเก็บของแคบ ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาที่นี่แต่แรกแล้วนะ เจ้าต่างหากที่บังคับให้ข้าต้องพามา!” ในสมองก็มีเรื่องอยู่มากพอแล้ว อัลเรสยังมาโทษว่าเป็นความผิดของเขาไปเสียทุกอย่าง ในที่สุดวาลเซอิคจึงสุดทนและตวาดสวนกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
“ข้างในนี้มีของที่นายท่านต้องการอยู่สินะ?” คนที่เยือกเย็นที่สุดในเวลานี้กลับเป็นคัลดิช เขามองพิจารณาโซ่และแม่กุญแจที่ยังใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนกับของที่ท้าลมฝนอยู่ตรงนี้มานานพอ ๆ กับบานประตูเลย บางทีมันคงจะเพิ่งถูกนำมาใส่ไว้เพื่อปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่มีกุญแจ และเขาเองก็ไม่ได้พกดาบมา สิ่งที่มีก็แค่มีดพกของวาลเซอิคซึ่งดูจะไร้ประโยชน์ หากตัดลงไปบนโซ่ก็มีแต่จะบิ่นเอาเท่านั้น “พวกเจ้าถอยออกไปหน่อย” อยู่ ๆ คัลดิชก็พูดออกมาแบบนั้นและเดินไปในระยะช่วงขาถึงประตู
วาลเซอิคและอัลเรสถอยออกไปไกลจากระยะนั้นอีกช่วงหนึ่งก่อนที่คัลดิชจะตั้งท่าหยั่งขาข้างหนึ่งไว้บนพื้นจนมั่นคงดี และ...
โครม!
ด้วยแรงถีบเพียงครั้งเดียว ข้อต่อระหว่างประตูและกรอบไม้ก็ถูกกระแทกหลุดออกทำให้บานประตูห้อยร่องแร่งโดยมีโซ่เหล็กเส้นเดียวพยุงเอาไว้กับกรอบอีกด้านหนึ่ง
“เข้าไปกันเถอะ” โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของอัลเรส คัลดิชก็เดินนำเข้าไปข้างในตามด้วยวาลเซอิคที่คุ้นชินกับพลังเหนือมนุษย์ของพวกผู้ต้องสาปมานานแล้ว
ในห้องเก็บของมืด ๆ วาลเซอิคคลำทางด้วยการเตะเท้าไปบนพื้นจนกระทั่งเจอพรมผืนหนึ่ง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งและตลบผ้าออกพร้อมทั้งควานมือหาที่จับสำหรับเปิดประตูห้องใต้ดิน คัลดิชที่สายตามองเห็นในความมืดชัดเจนจึงดึงวาลเซอิคออกมาและจัดการเปิดด้วยตัวเอง
พวกเขาเดินตามกันลงไปข้างล่างโดยคัลดิชเป็นคนนำเพราะมองเห็นทาง ส่วนอัลเรสปิดท้ายเพราะไม่ไว้ใจวาลเซอิคที่อาจขังพวกเขาไว้ข้างล่างตอนเผลอ
สายตาของอัลเรสชินกับความมืดมากขึ้นตอนที่ลงมาถึงพื้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังขยับกลอนประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ ๆ จึงหันไปมองและเห็นเลือนรางว่าเป็นประตูบานเตี้ย ๆ ที่เขาต้องก้มตัวลงจึงสามารถลอดผ่านเข้าไปได้ เมื่อมันเปิดออก คัลดิชก็เข้าไปก่อนโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวอะไรเช่นเคย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาความกล้ามาจากไหนหรือเป็นคนที่เดินหน้าแบบไม่คิดอะไรมาแต่แรกแล้ว
“วาล...เซอิค?” จากในห้องนั้น มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเปล่งเรียกขานชื่ออีกบุคคลหนึ่งขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและไม่แน่ใจ แต่อัลเรสสามารถจดจำเสียงนั้นได้ทันที
“เอลยา!”
“.....อ....อัลเรส....?” เอลยาได้ยินเสียงของน้องชายตนเองก็เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นมาในใจ เสียงของเธอสั่นเทาและมีการขยับตัวเกิดขึ้น “อัลเรส อัลเรส!” หญิงสาวตะโกนจากมุมห้องด้วยควาหมวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปจากตรงนี้ เธอพยายามผุดลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แข้งขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงเพราะไม่ได้ขยับตัวมานานเสียจนแทบจะเดินไม่ได้
อัลเรสแหวกสองคนที่ขวางทางเข้าไปหาพี่สาวและอุ้มเธอขึ้นมา
“เอลยา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เจ้าบ้านี่ทำอะไรเจ้า?” คำถามที่เจ้าตัวถามเอลยาเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะหญิงสาวยังไม่ทันตอบ อัลเรสก็หันไปทางวาลเซอิค “เจ้าทำอะไรกับเอลยา!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร เลิกโทษข้าไปทุกเรื่องเสียทีได้ไหม!?” วาลเซอิคปฏิเสธข้อกล่าวหาด้วยความหงุดหงิดใจ “ตอนนี้รีบพาเอลยาออกไปจากที่นี่....”
“ระวัง!” คัลดิชขัดจังหวะการพูดของวาลเซอิคด้วยการดึงอีกฝ่ายให้พ้นรัศมีประตูก่อนที่ขวานเล่มหนึ่งจะถูกจามลงมาปักห่างจากปลายเท้าไปไม่กี่เซนติเมตร
เด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีดเผือดไม่ต่างกับคนที่เหลือซึ่งเห็นเหตุการณ์ เพราะหากคัลดิชดึงเขาออกมาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที กะโหลกของเขาคงจะแยกออกเป็นสองเสี่ยง....
วาลเซอิคไล่สายตาจากขวานขึ้นไปจนถึงผู้ถือ และนั่น...
ค...คุณตา!?
โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายชราก็ยกขวานเล่มนั้นขึ้นอีกครั้งและหันมองวาลเซอิคด้วยสายตาเหมือนกับการมองหนูตัวใหญ่ซึ่งเข้ามาทำลายข้าวของก่อนกวาดสายตาไปยังอัลเรสและเอลยา หญิงสาวขดตัวสั่นในอ้อมแขนของน้องชายด้วยความหวาดกลัว พวกเขากลายเป็นเป้าหมาย...เพราะสิ่งที่ชายชราต้องการคือเอลยา คนที่มีสิ่งที่ลูกสาวของตนสูญเสียไป...
เขาก้าวย่างเข้าไปหาอัลเรสและเอลยาพร้อมขวานในมือโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับวาลเซอิคและคัลดิชอีก ฝ่ายอัลเรส...เขาก็ไม่มีแม้กระทั่งมือจะยกป้องกันตัว เมื่อถอยหลังไป หลังของชายหนุ่มก็ชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ คมของขวานถูกเงื้อขึ้นสูง...
“ข้าเป็นคนทำเอง”
....
ทุกอย่างหยุดชะงักด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของคัลดิชที่ผลักวาลเซอิคให้ถอยไปทางประตู ชายชราหันมาทางผู้ต้องสาปเพียงคนเดียวในห้องอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงเหมือนคนที่สูญสิ้นความคิดดีชอบ แต่ก็เพียงมอง...โดยไม่ทำอะไรเหมือนกำลังรอว่าคนที่เริ่มประโยคไว้คิดจะพูดอะไรต่อ ในช่วงนาทีนั้นหากมีสิ่งใดขยับเคลื่อนไหวหรือเสียงใดเกิดขึ้น ขวานคงถูกจามลงทันที เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงพากันนิ่งเงียบ ไม่กล้าขยับขา...ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แม้อัลเรสจะเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปทางอื่น แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะเอลยาอยู่ในแขนของเขา
มีเพียงคัลดิชที่วางตัวสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนกับความกดดันที่ชวนให้หายใจลำบาก เขาเดินก้าวออกมาอีกก้าวและอยู่ไม่ไกลจากระยะขวานมากนัก
“เลือดของข้าคือสิ่งที่เปลี่ยนริเรียให้กลายเป็นปีศาจ”
เอ๋...
เดี๋ยวสิ ถ้าบอกความจริงไปแบบนั้น...
วาลเซอิคคิดจะอ้าปากเตือน แต่แล้วกลับบังเกิดเสียงแผดร้องกึกก้องจนความคิดและการกระทำทั้งหมดถูกปิดกั้นชั่วขณะเพราะความตกตื่น และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็เห็นขวานเล่มนั้นที่เคยจดจ้องไปทางอัลเรสและเอลยาเบี่ยงกลับมาทางคัลดิช ชายชราโถมแรงทั้งหมดที่มีเข้าใส่หวังจะสังหารคนตรงหน้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทว่า...คัลดิชไม่ได้สละตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นโดยไม่ได้คิดอะไรเอาไว้ มันไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้วที่จะเป็นผู้เสียสละ และเมื่อทุกกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ ชายหนุ่มก็ย่อตัวลงและกางกรงเล็บรอ
ข้าจะควักหัวใจในครั้งเดียวเจ้าจะได้ไม่ต้องทรมาน....
อีกเพียงนิดเดียวเป้าหมายก็จะเข้าถึงระยะ...
“อย่า!!” วาลเซอิคตะโกนขัด เป็นวินาทีเดียวกับที่ชายชราพุ่งเข้ามาถึงตัว ทำให้คัลดิชเสียจังหวะที่ตนเองหวังเอาไว้และหลบพ้นคมขวานอย่างฉิวเฉียด “นั่นเป็นตาของข้า อย่าฆ่าเขานะ!” ทั้งที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน วาลเซอิคก็ยังคงคิดว่ามันไม่สมควรเลยที่จะฆ่าแกงกัน และความคิดเช่นนั้นทำให้คัลดิชหงุดหงิดใจขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงสบถเบา ๆ และยกขาเตะขวานให้หลุดจากมืออีกฝ่าย
“แก....ไอ้ปีศาจ....ไอ้ปีศาจ! อั่ก!” เสียงแผดร้องก่นด่าของชายชราหยุดชะงักเมื่ออุ้งมือของผู้ต้องสาปคว้าเข้าที่ลำคอและยกขึ้นกระแทกกับผนัง
“ปีศาจน่ะ ไม่ใจดีแบบข้าหรอกนะ” รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏบนใบหน้าก่อนที่ดวงตาสีแดงเลือดจะเปล่งแสงเรืองรองในความมืด มนตร์สะกดของผู้ต้องสาปกลืนกินสติของชายชราผู้คลุ้มคลั่งและพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทว่าเขาก็ไม่อาจขัดขืนสิ่งที่เหนือกว่าโดยธรรมชาติได้และแน่นิ่งไปในที่สุด
ร่างที่หมดสติถูกทิ้งลงบนพื้น วาลเซอิครีบวิ่งเข้ามาดูอาการของผู้เป็นตาด้วยความเป็นห่วง
“แค่หลับไปเท่านั้นแหละ ออกไปก่อนที่เขาจะตื่นดีกว่า” ชายหนุ่มผู้ต้องสาปว่าแล้วเตะขวานที่ตกอยู่แถวนั้นไปไกล ๆ
วาลเซอิคจำต้องผละจากร่างของตาและตามอีกสามคนขึ้นไปข้างบน เขาขอให้อัลเรสอย่าปิดประตูห้องใต้ดิน เพราะตาคงจะออกมาเองไม่ได้แน่ และมนตร์ของคัลดิชก็ใช่ว่าจะคลายในไม่กี่นาที ถึงปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นอะไร เพราะพวกเขาคงจะไปไกลแล้ว
อัลเรสวางเอลยาลงบนพื้น หญิงสาวยังคงเสียขวัญจึงไม่ยอมปล่อยมือจากน้องชายของตนเลย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวกลับล่ะนะ” คัลดิชเตรียมจะปลีกตัวจากไป เพราะภารกิจที่เซเอลมอบให้ก็จบแล้ว และเขาก็ไม่ติดค้างอัลเรสแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาควรจะกลับปราสาทได้เสียที แต่พอหันหลัง วาลเซอิคก็เรียกเอาไว้และรี่มาคว้าข้อมือไม่ให้หนีไปก่อน
“พาข้าไปหาแม่ที”
หา!?
“เพื่อให้นางกลับมาขังเอลยาอีกหรือไง!” อัลเรสดูจะไม่พอใจที่สุดที่วาลเซอิคคิดจะไปหาริเรีย
“ไม่ใช่นะ! แต่ว่า...ป่านนี้นางยังไม่กลับมา อาจจะเจอเรื่องอันตรายก็ได้” หากนับจากตอนที่ริเรียรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างและรีบรุดจากไป นี่ก็ผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว ริเรียไม่น่าจะไปนานขนาดนี้ หากเป็นเรื่องเล็กน้อยเธอก็น่าจะกลับมาแล้ว หรือว่าจะเจอคนทำร้ายเข้าจริง ๆ ....
คัลดิชกลอกตา เอาเถอะ...กลิ่นของริเรียยังไม่จางหายไป แค่นำทางไปแล้วกลับปราสาทก็คงพอกระมัง
“เจ้ารีบพาพี่สาวเจ้ากลับไปก่อนนางกลับมาก็แล้วกัน” เขาแนะนำก่อนหันมาทางวาลเซอิค “ไปกันเถอะ ก่อนที่จะเช้า” ว่าแล้วคัลดิชก็เงยหน้ามองฟ้า อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นทั้งเขาและริเรียคงจะลำบากด้วยกันทั้งคู่
ก่อนจะก้าวออกไป ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงบางสิ่งปรกลงบนศีรษะ เขามองผืนผ้าห่มกว้างที่คลุมจากศีราะจรดปลายเท้าและหันไปมองคนด้านหลังพลางเลิกคิ้ว
“ข้าเจอข้างล่างน่ะ” อัลเรสพูดแค่นั้นแล้วหันไปอุ้มเอลยาขึ้นมา
คัลดิชหัวเราะหึในคอ
“ถ้ามีมนุษย์แบบเจ้าเยอะ ๆ โลกคงน่าอยู่พิลึก” เขาตลบผ้าไว้บนแขนเพราะมันค่อนข้างเกะกะ แต่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นมันคงช่วยปกป้องร่างกายเขาเอาไว้ได้มากกว่าร่มของต้นไม้ คัลดิชจึงยินดีรับมันเอาไว้และเดินนำวาลเซอิคออกไปข้างนอก “ตามข้าให้ทันล่ะ วาลเซอิค” ว่าจบ เจ้าตัวก็พุ่งตัวเข้าชายป่าไปอย่างรวดเร็วโดยมีวาลเซอิครีบเร่งตามไปข้างหลัง
------------------------------->