ตอนที่ 14 เธอผู้หลงทาง
ถึงแม้ว่ายามเช้าจะย่างกรายมาถึง แต่บรรยากาศภายในบ้านก็ยังคงมืดมนและน่าอึดอัดราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกดทับอยู่ตลอดเวลา วาลเซอิคนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีสองตายายนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองมองมายังเขาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเศร้าสร้อย หวาดระแวง และไร้ทางออก ส่วนริเรียกลับเข้าไปนอนแล้วโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ
พวกเขาสามคนนั่งเผชิญหน้ากันโดยไม่มีแม้กระทั่งเครื่องดื่มให้จิบแก้กระหาย
วาลเซอิคขยับตัวอย่างเมื่อยขบและทันใดนั้นเสียงสูดหายใจของสองผู้ชราก็ดังขึ้นจนรู้สึกได้ในห้องที่เงียบกริบไร้ซึ่งสรรพเสียง
“โถ่ ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย....” อยู่ ๆ ยายก็รำพึงรำพันขึ้นมาอย่างแผ่วเบาก่อนซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง “ถ้าเพียงแต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้น...” เสียงของเธอเบาลงเรื่อย ๆ จนวาลเซอิคได้ยินไม่เป็นคำ และเมื่อเขาหันไปมองฝั่งตา ชายชราก็ก้มหน้าลงด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
“เธอ.....” เมื่อเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูด ทั้งสองก็ตวัดสายตามองเขาเป็นจุดเดียวทำให้การเค้นคำพูดนั้นลำบากมากขึ้น “.....เธอที่อยู่ใต้ดิน...ทำไมถึง....” ทางที่ดี เขาไม่ควรจะบอกว่าตนเองรู้จักกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มตัดสินใจเช่นนั้นจึงทำราวกับว่าเอลยาเป็นคนไกลตัวเพื่อที่ตนเองจะไม่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนในบ้านนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจการกระทำเหล่านี้สักนิดก็ตาม
แต่เพื่อชีวิตของเอลยาเอง....
และอาจจะหมายถึงชีวิตของเขาด้วย....
“...หลังจากหลานไปจากที่นี่ไม่นาน....ริเรียก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเรา...” ดูเหมือนสิ่งที่ชายชราพูดออกมาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของเขาแม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็ยอมนิ่งฟังโดยไม่แย้ง “พวกเราจำเธอได้อย่างทันที เพราะริเรียไม่ได้แตกต่างจากวันที่หายตัวไปสักนิด นอกจาก...สภาพของเธอที่เหมือนกับสัตว์ปา เหมือนสัตว์ป่าที่กระหายเลือด...สายตาสีแดงฉานของเธอจับจ้องมายังพวกเรา ปากก็บ่นพึมพำแต่ว่าลูกน้อยของเธออยู่ที่ไหน ถึงเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด แต่ว่า....เพราะความเป็นพ่อแม่พวกเราจึงรู้ได้ทันทีว่าเธอได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว สูญเสียกระทั่งความเป็นมนุษย์....”
หลังจากเขา...จากที่นี่ไปอย่างนั้นหรือ?
น่าจะเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน...
หมายความว่าเซเอลพาตัวเขาไปทำให้คลาดกับแม่? มันคือความจงใจหรือบังเอิญกันแน่ในเมื่อเซเอลไม่รู้ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่
“มันน่าแปลกใจที่ริเรียไม่ทำร้ายพวกเรา เหมือนกับว่าเธอจดจำพวกเราได้ในสติที่เลอะเลือน แน่นอนว่าพวกเรากลัวเธอมากในช่วงแรก แต่ว่า....เพราะเธอเป็นลูก ถึงจะเป็นผู้ต้องสาปเราก็ปล่อยเธอไปไม่ได้”
“แต่ริเรียไม่เคยทำร้ายใครนะ! เธอ...เธอเป็นเด็กดี เธอไม่มีทางทำร้ายใครแน่...” ระหว่างที่คุณตากำลังเล่าความ ยายก็แทรกขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนที่สั่นเครือ เธอเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมา
วาลเซอิครู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองต้องเป็นทุกข์ และต้องขุดคุ้ยความทุกข์เก่า ๆ ขึ้นมาตีกวนให้ผืนน้ำที่ใสสะอาดต้องขุ่นข้นด้วยตะกอนแห่งความเศร้าโศก แต่ถึงอย่างนั้น...การปล่อยให้สิ่งที่พบเห็นผ่านไปเฉย ๆ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเอลย่ากำลังท้องอยู่จริง สภาพความเป็นอยู่ของเธอตอนนี้ถือว่าอันตรายอย่างมากทั้งกับสภาพจิตใจและร่างกาย
“คุณยาย...ขึ้นไปพักก่อนไหมครับ?” แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาของหญิงชราที่อุ้มชูเขามาก็ทำให้ใจอ่อน เธอพยักหน้ารับและเดินขึ้นไปอย่างอ่อนแรง
“คุณตา...ริเรีย...อยู่ที่นี่แบบไหนหรือ? ผู้ต้องสาปต้องกินเลือด...”
“เคยได้ยินเรื่องถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาหรือเปล่า....วาลเซอิค”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย หากมันเกี่ยวกับผู้ต้องสาปเขาก็น่าจะได้ยินจากเซเอลหรือพวกคัลดิชและคัลมาร์บ้าง
“มันเป็นเรื่องเก่าแก่...ที่ริเรียบังเอิญอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับตำนานของผู้ต้องสาป ถึงแม้จะเป็นยุคสมัยที่คิดว่ามันเป็นแค่นิทานแค่ริเรียกลับเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังว่าสิ่งที่บันทึกอยู่นั้นเป็นความจริง ในหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงผู้ต้องสาปในแง่มุมที่เราไม่รู้จัก ผู้ต้องสาปที่ไม่สังหารมนุษย์ อาศัยในอาณาเขตซึ่งถูกสร้างขึ้นและปกคลุมด้วยท้องฟ้ามืดมิดตลอดกาล” น้ำเสียงของชายชราดูไม่เชื่อเรื่องนี้นัก มนุษย์ทุกคนต่างจินตนาการว่าผู้ต้องสาปเป็นอสุรกายที่น่าพรั่นพรึง เป็นผลผลิตของปีศาจ สัญลักษณ์ของความชั่วร้ายสุดพรรณนา บันทึกซึ่งกล่าวราวกับว่าผู้ต้องสาปก็เป็นสิ่งมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งจึงไม่มีน้ำหนักในความคิดของใครนัก
เรื่องนี้วาลเซอิคอยากจะถกเถียงแต่ก็จำต้องเงียบไว้เพราะไม่อยากดึงเรื่องให้ไกลเกินไปนัก
“ในหนังสือเล่มนั้นมีบทหนึ่งกล่าวถึงถ้อยคำแห่งพันธะสัญญา คล้ายกับคาถาซึ่งมีไว้เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้ต้องสาป หากมนุษย์เป็นผู้กล่าวถ้อยคำนี้แก่ผู้ต้องสาปคนใด ผู้ต้องสาปคนนั้นจะได้รับโอกาสที่จะเดินภายใต้แสงตะวันอีกครั้ง แลกกับการห้ามดื่มกินเลือดมนุษย์อีกตลอดอายุขัย และพลังที่อ่อนแอลงตามกาลเวลา”
ทำให้ผู้ต้องสาปเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้?
หรือว่าเซเอลเองก็....
“พวกเราไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยจนกระทั่งหลานถูกพาตัวมาที่นี่โดยผู้ต้องสาปคนหนึ่ง เขามีดวงตาสีแดงฉานราวกับสีเลือด บรรยากาศที่ลึกลับเหมือนกับว่าพวกเรากำลังมองเข้าไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่เหมือนผู้ต้องสาปในตำนานก็คือ....เขาเดินกลางแสงแดดได้โดยไม่ถูกแผดเผา เขามอบเด็กคนหนึ่งให้แก่เรา ซึ่งก็คือเจ้า วาลเซอิค เจ้าคือมนุษย์คนเดียวที่ถูกเลี้ยงโดยผู้ต้องสาป”
“แล้วเรื่องของริเรีย....?” ถึงแม้เรื่องของเขาจำสำคัญต่อความรู้สึก แต่อย่างไรวาลเซอิคก็ไม่อาจปล่อยให้ตนเองโอนเอนไปตามอารมณ์ได้
“อา ใช่” เหมือนกับถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง ชายชราจึงหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง “พวกเราได้ลองใช้มัน....ถ้อยคำแห่งพันธะสัญญานั้นกับริเรีย ทำให้เธอสามารถอยู่ได้อย่างมนุษย์ปกติตลอดหลายปี ฉันเองก็รู้จักกับเจ้าแก่ร้ายขายเนื้อมานานเลยขอเลือดมาทุกวันอ้างว่าจะเอามาให้ยายแกกินบำรุงร่างกาย แต่ถึงยังไงริเรียก็กลับไปในสังคมปกติไม่ได้พวกเราจึงอยู่ที่นี่โดยไม่ย้ายกลับไปในหมู่บ้าน แต่...”
แต่?
“เมื่อ 5 ปีก่อน มีบางอย่างผิดแปลกไป...อยู่ ๆ ริเรียก็ออกไปจากบ้านในตอนค่ำและเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งพร้อมเลือดที่เลอะเต็มตัว เธอก็สัมผัสแสงอาทิตย์ไม่ได้อีกแล้ว” ดวงตาที่อ่อนล้าของชายชราฉายแววของความหวาดกลัวออกมาชั่วขณะหนึ่ง “พละกำลังของปีศาจ คำสาปของปีศาจ หวนกลับมาอีกครั้ง ริเรียไม่ต้องการถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาอีก การล่าของเธอเหมือนการดับกระหาย แค่นาน ๆ ครั้ง แต่มันกลับค่อย ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้...ในฐานะพ่อแม่แล้วพวกเราทำอะไรไม่ได้เลย....”
วาลเซอิคมุ่นคิ้วเมื่อได้รับฟังเรื่องราวเหล่านั้น
5 ปีก่อน....การออกล่านาน ๆ ครั้งแต่ค่อย ๆ เพิ่มความถี่มากขึ้นและมากขึ้น...
นั่นมัน...พ้องกับการตายอย่างปริศนาของพวกคนในหมู่บ้านเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า....ริเรีย...แม่ของเขาเป็นฆาตกรจริง ๆ น่ะสิ!?
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมในลำคอ เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าเธอฆ่าคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าแบบไหน....คงจะแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสาและฉีกกระชากร่างเนื้อเหมือนกับฉีกชิ้นขนมปัง ปล่อยให้เลือดสาดกระจายอาบทั่วร่างจนแดงฉาน เธอคงจะหัวเราะอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งพบของเล่นที่ถูกใจ และเมื่ออิ่มหนำดีแล้ว....เธอก็ปล่อยให้ร่างนั้นนอนจมกองเลือดเหมือนตุ๊กตาพัง ๆ ตัวหนึ่ง....
นั่นมัน.....น่าขยะแขยงเหลือเกิน.....
เขาอดคิดแบบนั้นไม่ได้
แม่ของเขา...มีชีวิตอยู่ด้วยการสังหารผู้คนมาตลอด 5 ปี ทำไม....ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
นั่นมันไม่เหมือนผู้หญิงที่เซเอลสามารถหลงรักได้เลยสักนิด...
“นั่นแหละคือเหตุผลที่เราสร้างห้องใต้ดินขึ้นมา ยกมันให้สูงกว่าพื้นดินเพื่อให้มีช่องระบายอากาศ ริเรีย...ชอบอยู่ที่นั่นมากกว่าห้องอื่น ถึงแม้ภายหลังเราจะตอกปิดหน้าต่างในห้องหนึ่งให้เธอแต่เธอก็ยังชอบห้องใต้ดิน”
“แล้วทำไม....ตอนนี้...” แต่ตอนนี้ริเรียไม่ได้อยู่ที่นั่น...เอลยาต่างหาก....
“ริเรียพาผู้หญิงคนนั้นกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พร่ำเพ้อแต่ว่าลูกของเธออยู่ที่นั่น พวกเราพยาบาลเธอและคิดจะปล่อยตัวกลับไปแต่ว่า.....เมื่อเธอตื่นมาก็ลนลานพูดถึงเรื่องของริเรีย พวกเราจึงต้องขังเธอเอาไว้ไม่อย่างนั้นพวกในหมู่บ้านอาจจะฆ่าริเรียก็ได้” ถึงตอนนี้ดวงตาของชายชราแสดงความแน่วแน่ที่ไม่ต้องการให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาลุกจากเก้าอี้ และโน้มตัวข้ามโต๊ะคว้าแขนวาลเซอิคก่อนบีบแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “หลานต้องสัญญา....สัญญามาสิว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป และจะไม่เข้าไปที่นั่นอีก!”
วาลเซอิคเงยหน้ามองอีกฝ่าย ความคลุ้มคลั่งที่สัมผัสได้ผ่านบรรยากาศบ่งบอกวาลเซอิคว่าตอนนี้ชายชราตรงหน้าเขากำลังถูกครอบงำด้วยความรู้สึกผิดอันแรงกล้าและความรับผิดชอบในฐานะพ่อ ถึงแม้ศีลธรรมในฐานะมนุษย์จะกำลังต่อต้านแต่เพราะไม่อาจหักหลังลูกสาวของตนเองได้พวกเขาจึงได้จมอยู่ในปลักโคลน ทำได้แค่โอบกอดกันในขณะที่จมลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาโดยทิ้งริเรียไว้เบื้องหลังได้....
คนเหล่านี้กำลังถูกครอบงำ....ด้วยจิตใจที่บิดเบี้ยว....
---------------------->
ในขณะเดียวกันนั้นที่บ้านของอัลเรส...
เจ้าตัวเองก็กำลังถูกครอบงำด้วยความสงสัยที่ต้องการคำตอบจนไม่อาจอยู่เฉยได้
หลังจากที่เขาทักทายกับแม่เล้าเจ้าของร้านซึ่งเป็นเจ้านายของเอลยา คัลดิชก็แสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาเหมือนกับว่าคิดอะไรออกในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดอะไรแม้สักคำ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เผ่นขึ้นไปนอนเสียอย่างนั้น!
ห้องนอนของอัลเรสกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของคัลดิชในตอนกลางวัน เพราะเจ้าตัวใช้นอนแต่ตอนกลางคืน แต่ยังไงเจ้าของห้องก็ยังรู้สึกแปลกที่มีคนอื่นเข้ามานอนในห้องตัวเองอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาแบบนี้ที่ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงทำตัวผิดแปลกและเก็บงำไว้คนเดียว ทั้งที่นี่เป็นเรื่องของพี่สาวของเขา!
อัลเรสจัดการกับน้อง ๆ ด้วยความรวดเร็วกว่าวันอื่น ๆ และปล่อยให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นนอกบ้านได้โดยไม่บังคับให้อยู่แต่ในระยะสายตาเหมือนทุก ๆ วัน
“อเลน วันนี้เจ้าไปหาตาลุงแนซแล้วบอกเขาด้วยว่าข้าขอหยุดงานเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มกำชับกับน้องชายซึ่งเป็นการเป็นงานกว่าน้องสาวที่ยังเด็กเกินไป “แล้วก็เอาเงินนี่ไปซื้อขนมกินกับน้องซะ ตอนกลางวันค่อยกลับมา ข้าจะทำอาหารเตรียมไว้ให้”
อเลนรับเงินและคำสั่งโดยพยักหน้าตอบรับและดึงมือแอนน์ให้รีบวิ่งตามออกไปก่อนพี่ชายจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เพราะระยะนี้เจ้าตัวอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนน้องตามกันไม่ทัน
เมื่อส่งน้องออกไปนอกบ้านสำเร็จ คราวนี้ก็ถึงเวลารบกวนเวลาอันสงบสุขของเจ้าคนขี้เซาบ้าง เพราะหากน้อง ๆ อยู่คงไปเข้าข้างเจ้า....เทวดาผู้พิทักษ์จอมปลอมนั่นแน่
ชายหนุ่มจัดการปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องนอนซึ่งตอนนี้มีอีกบุคคลใช้หลับนอนอยู่
เสียงเปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตื่น คัลดิชหลับอยู่บนเตียงในสภาพเหมือนคนตายไม่มีผิด ทั้งนิ่งสนิท...และมีลมหายใจอันแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกถึง การนอนหลับแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อบุคคลนั้นเหนื่อยมากจนหลับสนิทไม่รู้ตัว หรือไม่...มันคงเป็นเรื่องสามัญของพวกผู้ต้องสาป...หรือมันจะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้ต้องสาปถูกมนุษย์ฆ่าเอาได้นะ? อัลเรสเกิดสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ ก่อนส่ายศีรษะสลัดเรื่องไร้สาระออกไป
“เฮ้! นี่เจ้า......!”
หมับ!
เมื่ออัลเรสเอ่ยเรียกและยื่นมือออกไปเท่านั้น ร่างที่นิ่งสนิทก็กลับยกมือขึ้นมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาก่อนลืมตาสีเลือดขึ้นและจ้องมาด้วยความมาดร้ายชั่วขณะ ถึงอย่างนั้นไม่นานมันก็กลับเป็นปกติ...สายตาที่ง่วงซึมและโหยหาการนอนหลับ
ดูท่าการนอนคงไม่ใช่จุดอ่อน....เพราะหากผู้ต้องสาปสามารถตื่นเต็มตาได้ทันทีที่รู้สึกถึงอันตราย มนุษย์ที่หาญกล้าเข้าไปรบกวนต่างหากที่จะตายเสียเอง...
อัลเรสคิดเช่นนั้นเบ้หน้าเพราะข้อมือที่โดนบีบรู้สึกเจ็บขึ้นมา
“....เจ้าไม่รู้จักคำว่ามารยาทบ้างหรือไง...” คัลดิชมุ่นคิ้วแล้วหลับตาลงอีกครั้ง การถูกรบกวนเวลานอนไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยสำหรับผู้ต้องสาปแบบพวกเขาที่นาฬิการ่างกายตรงต่อเวลาเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าสิไม่รู้จักมารยาท ปล่อยข้าได้แล้ว!” ชายหนุ่มทำเสียงข่มขู่ คัลดิชจึงยอมปล่อยมือในที่สุดและลดมือลงเพื่อนอนหลับต่อ ถึงอย่างนั้นความพยายามในการรบกวนเวลานอนของอัลเรสก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนต่อได้ เขาฉุดเจ้าตัวให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ถามความต้องการแม้แต่น้อย คัลดิชที่ถูกรบกวนจึงเริ่มอารมณ์เสียแต่ก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะตอบโต้ จึงทำเพียงแต่หลับตามุ่นคิ้วและทำเป็นไม่สนใจไปเสียด้วยความหวังว่าอัลเรสอาจจะหมดความพยายามไปเองในไม่กี่นาที
แต่เขาก็คิดผิดมหันต์....
“นี่ เจ้าปีศาจ! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ข้าต้องการคุยกับเจ้าได้ยินไหม!” อัลเรสเขย่าอีกฝ่ายด้วยเรี่ยวแรงที่ตัวเองมีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะช้ำชอก ทั้งยังตะโกนจนลั่นห้องและทำให้คัลดิชรู้สึกว่าหูตนเองกำลังถูก
ประทุษร้ายจนใกล้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
“หุบปากได้แล้ว!” คัลดิชยกมือดันหน้าอัลเรสออกไปไกล ๆ ด้วยความรำคาญและหงุดหงิดอย่างที่สุด “รอตอนเย็นไม่ได้หรือไงกัน หรือเจ้าคิดจะตายวันตายพรุ่งเลยกลัวไม่ทันมีชีวิตอยู่รอข้าตื่น!”
“เจ้าบ้านี่! ข้าบอกแล้วว่าถ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับพี่สาวข้าเมื่อไหร่ก็ต้องบอกข้าด้วย เจ้าจะปิดบังไปเพื่ออะไรกัน!”
“ข้าไม่ได้ปิดบัง แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพี่สาวเจ้า มันเกี่ยวกับวาลเซอิคต่างหาก” คัลดิชตอบก่อนออกแรงกระชากอัลเรสลงนอนบนเตียงส่วนตนเองตวัดตัวขึ้นคร่อมด้านบน “ความจริงข้าไม่อยากเสียพลังงานทำเรื่องแบบนี้กับเจ้าหรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้ารบกวนไม่ยอมหยุด...”
“น...นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร...” อัลเรสมองขึ้นไปด้านบน เห็นดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกายขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเจ้านี่คิดจะสูบเลือดเขาจนหมดตัว!
“ก็แค่...คล้ายๆสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์นิดหน่อย พวกข้าใช้ตอนล่าเห...” เสียงของคัลดิชที่ได้ยินผ่านหูของอัลเรสค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ เหมือนกับมีหมอกหนาบดบังสติสัมปชัญญะทำให้ทุกอย่างเลือนรางและพร่ามัว และเพียงไม่นาน ประสาทสัมผัสทุกอย่างก็ถูกปิดกั้น เขาไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็น และไม่รู้สึกใด ๆ ในที่สุด....เขาก็จมลงสู่ห้วงนิทรา...อย่างจำใจ
ชายหนุ่มผู้ต้องสาปถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว มันเป็นเสมือนการสะกดจิตอย่างหนึ่งซึ่งพวกเขาใช้เมื่อล่อเหยื่อออกมายังที่ปลอดคนได้แล้ว มันทำให้เหยื่อจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตื่น ซึ่งช่วยให้การมีอยู่ของพวกเขายังคงเป็นความลับดำมืด ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเลิกดื่มเลือดมนุษย์ ความสามารถนี้ก็ไร้ประโยชน์จนไม่ได้ใช้งานอีก แต่คัลดิชก็พบว่ามันยังคงใช้ได้ดีเพราะอัลเรสหลับไปในเวลาเพียงไม่นาน กระนั้นการใช้ความสามารถแบบนี้ในช่วงเวลาเช่นนี้ก็เป็นการฝืนร่างกายตัวเองใช่เล่น...
ง่วงจริง ๆ ให้ตายสิ...