ตอนที่ 11 ลำนำแห่งราตรี
ในที่สุด...หนทางที่จะเยียวยาหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงของความเป็นความตายก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะสังเวยชีวิตผู้คนไปมากมายเพียงใดอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดลงทุก ๆ วัน และด้านนอกของปราสาทนั้น ความสงสัยของผู้คนต่อการหายตัวไปของญาติมิตรของเขาได้ก่อตัวใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นความหวาดระแวง กลิ่นของความตายโชยออกมาจากภายในกำแพงจนยากจะปิดบังต่อไปได้
ความกดดันเริ่มทบทวีทั้งภายในและภายนอกกำแพง
คนงานหยุดทำงานของตนเองในไร่นาเพื่อประท้วงให้ขุนนางเจ้าของที่ดินเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขา ผู้คนมาชุมนุมนอกประตูทุก ๆ วัน ร้องตะโกนและสาปแช่งเมื่อไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่ออกมาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
แต่ความโกรธนั้นก็ไม่อาจส่งไปถึงขุนนางผู้ตกเป็นเป้าหมายได้ เขาตกอยู่ในความเศร้าโศกและสิ้นหวังจนถึงขีดสุด แม้กระทั่งยอมขายวิญญาณให้แก่ปีศาจเขาก็ไม่อาจจะได้ภรรยาที่รักคืนมา ทำได้เพียงเฝ้ามองเธอจากไปอย่างเงียบงันอย่างนี้
แม้ว่าเขาจะช่วยเหลือเธอไม่ได้เลย แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลก็มักจะยิ้มให้แก่เขา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน แค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนเธอจะสิ้นเรี่ยวแรงและหลับไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นประดุจแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องให้เขายังคงมีกำลังใจว่าเธอผู้เป็นที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่ ทำให้เขายังหวนนึกถึงเสียงหัวเราะอันสดใสในวันวานภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ที่มีเขา เธอ และบุตรชาย รวมถึงธารกำนัลทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไม่เคยนึกทุกข์ร้อนใด ๆ กับอนาคต
เมื่อเธอบีบมือของเขาด้วยมืออันอ่อนแรงของเธอ แหวนวงเกลี้ยงบนนิ้วเรียวที่แห้งจนเหมือนกิ่งไม้กระตุ้นให้เขาคิดถึงคำสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเธอไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
และจนถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยผิดสัญญา เขายังคงปกป้องดูแลเธอแม้ว่าเธอใกล้สิ้นลม
ทำไม...เขาถึงไม่นึกถึงมันมาก่อนหน้านี้นะ...
ทำไมเขาจึงหลงลืมช่วงเวลาแห่งความสุขและเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์และความบ้าคลั่งเพราะกลัวที่จะสูญเสียสิ่งเดียวที่เป็นที่รักไป
และในเวลานี้เขาก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปอีกแล้ว...
กลอนประตูหน้าที่ทำจากโลหะถูกพังออก ทหารยามไม่อาจต้านคลื่นความโกรธแค้นของผู้คนได้อีกต่อไป พวกเขาเข้ามาพร้อมจอบ เสียม คราด และทุกอย่างที่แรงงานธรรมดาในไร่นาจะสามารถหามาได้ เสียงร้องตะโกนแว่วดังขึ้นมาถึงห้องนอนที่นายหญิงของปราสาทพักผ่อน
‘นั่นเสียงอะไรกัน?’ เธอตื่นขึ้นและเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาแหบแห้ง
‘ไม่มีอะไร แค่เสียงนกร้องในยามเช้าเหมือนทุก ๆ วัน’ ขุนนางตอบภรรยาของตนพลางยิ้ม หูตาของเธอพร่าเลือนฝ้าฟาง เสียงตะโกนสาปแช่งเหล่านั้นคงไม่ต่างกับเสียงนกน้อยร้องระงมรับแสงอาทิตย์ยามเช้า
‘นั่นสินะ...ข้าไม่ได้ยินเสียงนกร้องมานานแล้ว ยามเช้าวันนี้ช่างสดใสเหลือเกิน....’
และเป็นยามเช้าที่แสนมืดมน ท้องฟ้าภายนอกยังไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงแสงสว่างรำไรจับอยู่บนขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ทั้งที่ควรจะเป็นยามเช้าที่สวยงามเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเช้านี้จะไม่เหมือนวันอื่น ๆ และจะไม่มีวันเหมือนอีกต่อไป
ลมหายใจของหญิงสาวแผ่วเบาและอ่อนระโหย ชีวิตของเธอกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทั้งเธอและเขารู้สึกถึงมันได้
ความตาย...ที่คืบคลานเข้ามา
ชาวบ้านที่บุกถึงภายในกำแพงปราสาทได้ค้นพบหลุมฝังศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยไปทั่วบริเวณ ความโกรธได้แปรเปลี่ยนเป็นความคั่งแค้น พวกเขาทุบทำลายทุกอย่างที่สามารถทำได้ รูปปั้นหิน น้ำพุ และเครื่องประดับสวน ทุกอย่างกลายเป็นเป้าหมายแม้กระทั่งคนรับใช้และยามที่อยู่ภายในบริเวณนั้น ความวุ่นวายก่อขึ้นจากจุดเล็ก ๆ กลายเป็นการจลาจล คนรับใช้ต่างหนีเข้าปราสาทและปิดประตูเพื่อกันชาวบ้านที่คลุ้มคลั่งไว้ภายนอก ทหารยามที่พยายามผลักดันชาวบ้านออกไปก็ถูกรุมทำร้ายจนต้องทิ้งอาวุธและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ที่สุดแล้วประตูก็แพ้พ่ายต่อกำลังคน คลื่นฝูงชนโถมทะลักเข้าสู่โถงหน้าพร้อมอาวุธครบมือ
อำนาจการปกครองและสายใยระหว่างขุนนางกับประชาชนได้ขาดสะบั้น
บุตรชายเจ้าของปราสาทเห็นการดังนั้นจึงเตรียมหาทางหนีทีไล่ด้วยการรวบรวมคนที่ไว้ใจได้ไว้ข้างกายก่อนรุดไปยังห้องที่ผู้เป็นมารดาพำนักอยู่
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้เห็น....บิดาของตนเองกำลังนั่งก้มหน้าเหนือร่างไร้วิญญาณของหญิงผู้เป็นดังดวงใจ
และแล้ว ขุนนางผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนโดยอุ้มร่างผอมแห้งของภรรยาขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองอย่างทะนุถนอม
ยิ้ม....ให้แก่บุตรชาย
รอยยิ้มที่บ่งบอกความหมายมากมายเกินคณานับ ทั้งคำขอโทษ ความปิติยินดี ความเศร้าโศก ความสุข และ...การจากลา
‘เราไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยกันอีกครั้งเถอะนะ’
นั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนที่ขุนนางผู้นั้นจะเดินไปที่หน้าต่าง บุตรชายทำได้เพียงเอื้อมมือออกไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเอื้อมถึงเมื่อร่างทั้งสองพากันร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง...
‘ดูนั่นสิที่รักของข้า...นั่นคือดวงอาทิตย์ของเจ้า....’
ในวินาทีอันยาวนานนั้น ดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงเรืองรองจากขอบฟ้าพาให้แสงสว่างอาบไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพอันสวยงาม บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งใดเจือปนปรากฏต่อสายตาทุกคน เป็นยามเช้าที่สวยงามเกินคำบรรยาย ราวกับของขวัญชิ้นสุดท้ายจากความเมตตาของสรวงสวรรค์แด่ผู้ที่ต้องคำสาปและต้องตกอยู่ในความมืดไปชั่วนิรันดร์ และทันใดที่แสงอาทิตย์สาดส่องมาถึงร่างทั้งสองที่ร่วงหล่นลงมา ก็บังเกิดเปลวไฟขึ้นแผดเผาร่างนั้นจนค่อย ๆ แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะตกถึงพื้นดิน
ประหนึ่งฝุ่นทรายที่ไร้ค่า....เพียงแค่แตกสลายและปลิวลอยไปกับสายลมเย็นยะเยือก...
ภาพอันน่าตกตะลึงเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยวนาทีแต่เหมือนกับการหยุดเวลาไว้ชั่วกัลป์ จากฟากฟ้าทิศตะวันออก เมฆใหญ่หนาทึบลอยเข้าบดบังดวงอาทิตย์ราวกับเกิดอาเพศ เสียงฟ้าครั่นครืนดังสนั่น เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบลงมาเหนือยอดปราสาท และเหล่าผู้คนในปราสาทก็เกิดอาการที่ผิดปกติ พวกเขาล้มลง หอบหายใจและกรีดร้องด้วยความทรมาน ความผิดปกติเหล่านั้นคือสัญญาณเตือนให้ชาวบ้านผู้บุกรุกพากันถอยหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว และจนกระทั่งในที่สุด...ปราสาทแห่งนั้นก็ตกอยู่ในความมืดมิด
นับจากเวลานั้น....กาลเวลาที่ไร้จุดจบของผู้ต้องสาปก็ได้เริ่มต้นขึ้น
และไม่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังปราสาทหลังนั้นอีกเลย....
....วิญญาณของพวกเขาต้องถูกจองจำในร่างกายของปีศาจไปชั่วนิรันดร์....
-------------------------->
เส้นทางมืดมิดที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าเป็นเส้นทางที่เขาใช้สัญจรอยู่เป็นประจำเมื่อต้องการออกไปจากป่า ซึ่งตามเส้นทางนี้มันจะนำไปสู่ชายป่าใกล้ทางเข้าออกของหมู่บ้าน
วาลเซอิคจดจำมันได้ดี เขาเดินตามเซเอลเข้าออกที่นี่ในช่วงแรก และต่อ ๆ มาเขาก็ใช้มันเดินทางด้วยตัวเองเพียงลำพัง ความมืดของผืนป่าเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ข้างกายเขา ความเงียบสงัดของผืนป่าคือสิ่งที่เขาคุ้นเคย ทว่า...เมื่อเขานึกย้อนกลับไป เขาก็จำได้อย่างเลือนรางถึงเส้นทางอีกเส้นหนึ่งซึ่งทอดไปสู่อีกสถานที่หนึ่งซึ่งเขาไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมเยียนเลยนับแต่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท
เส้นทางนั้นในความทรงจำของเขาทั้งน่าหวาดกลัวและยาวไกล
ในสมัยเด็กเขาคิดว่าเป็นเส้นทางเดียวกัน เพราะไม่ว่าทิศทางใดก็มีแต่ความมืดและต้นไม้หนาทึบ ทว่าเมื่อเขาโตขึ้นและรู้จักที่นี่มากขึ้น เขาพบว่าผืนป่าแห่งนี้กว้างใหญ่และมีหลานส่วนอยู่นอกอาณาเขตของผู้ต้องสาป เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้จึงไม่กล้าบุกรุก
เช่นบ้านของพ่อแม่เขาที่เซเอลเล่าให้ฟังก็เป็นส่วนหนึ่ง...
แต่บ้านหลังนั้นมอดไหม้ไปแล้ว...
ถ้าอย่างนั้นบ้านที่อยู่ในความทรงจำของเขานี้คืออะไรกัน? เขามีภาพเลืองรางในหัวถึงชายหญิงชราสองคนที่คอยดูแลเขาภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านแต่ใกล้กับชายป่า จำได้ว่าตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ป่ามากเกินไปและไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านได้
หากอยู่นอกเขตป่าก็หมายความว่าอยู่นอกอาณาเขตของเซเอลแน่นอน
และโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุผลใด ๆ มากกว่านั้น วาลเซอิคก็เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางมืดมิดที่ชื้นแฉะ เขาไม่มีเหตุผลใดพิเศษที่จะตามหาสถานที่ในความทรงจำ เพียงแค่....เขาอยากจะรู้ว่าตนเองยังมีที่อื่นให้สามารถพักพิงได้ในโลกภายนอกนั่น เพราะนอกจากปราสาทหลังนี้แล้วเขาไม่สามารถจะไปที่ใดได้อีก การพบสถานที่ของตนเองอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสามารถดึงตัวเองออกมาจากโลกของเซเอลได้ก็เป็นได้
ทีละก้าว ความทรงจำเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมาทีละน้อย
ช่วงเวลานั้นที่เขาเดินตามหลังเซเอลต้อย ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่หันกลับมามองเขาเลย ในตอนนั้นเซเอลคือคนที่แสนเย็นชาและน่ากลัว เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกอยู่ใกล้ฝ่ายนั้น ตอนที่ฝันถึงครั้งแรกหรือเปล่า....ที่เขาฝันถึงเรือนร่างขาวซีดในความมืด ทอดกายบนผ้าปูเตียงสีเข้ม เชิญชวนให้เขาสัมผัสและโอบกอด หรือว่าจะเป็นก่อนหน้านั้น...ที่เขารู้สึกว่าเซเอลมีเสน่ห์ลึกลับอย่างน่าประหลาด จึงได้เริ่มปรารถนา...
วาลเซอิคยกมือปิดปากตัวเองแล้วหน้าแดงวาบ
ใช่สิ เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ๆ แล้วเมื่อครู่ หากพูดตรง ๆ คือเขารู้สึกยินดีปรีดาจนห้ามตัวเองไม่ได้ที่ได้ครอบครองร่างนั้น แต่ก็ยังปวดใจอยู่ลึก ๆ ที่รู้ว่าอย่างไรสำหรับเซเอล เขาก็ยังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่วิ่งไล่ตามแผ่นหลังของตนเองอยู่วันยันค่ำ
เซเอลจะเกลียดเขามากไหมนะ?
ถ้าหากได้พบกันอีกครั้ง เซเอลจะรังเกียจเขาหรือเปล่า...
ในตอนนั้นเขาอาจจะกลับไปพร้อมกับแม่ เซเอลอาจจะมีความสุขที่ได้พบหญิงคนรัก ส่วนเขาอาจจะกลายเป็นแค่คนนอกก็ได้ เพราะตัดสินใจว่าจะตามหาแม่ของตนเอง จึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา ทั้งหึงหวงและอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ขอให้เซเอลมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งบ้าง....
แต่ถ้าไม่พบแม่ของเขา....หรือเธอตายไปแล้ว เขาจะทำยังไงนะ?
เขาไม่ได้คิดเผื่อจุดนี้ไว้เสียด้วย
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็คงพยายามเอาชนะใจเซเอลให้ได้เหมือนเดิม ดังนั้นตอนนี้มีแต่เขาต้องเดินหน้าไปพิสูจน์เอาความจริงเท่านั้น เมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ว เซเอลก็จะได้ไม่มีข้ออ้างเดินหนีเขาไปได้อีก
วาลเซอิคคิดไปขณะเดินอกมาตามทางที่ตนเองไม่เคยคุ้นแต่พอจะจำได้บ้างว่าควรจะไปในทิศทางใด และเมื่อรู่ตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในบริเวณว่างโล่งตรงชายป่า ข้างหน้านั้นมีบ้านไม้หลังเล็กอยู่หลังหนึ่งที่ทับซ้อนอย่างพอดิบพอดีกับภาพในความทรงจำอันห่างไกล
รอบ ๆ บ้านเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ไม่มีแสงไฟจากข้างในแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืน คาดเดาได้สองอย่างคือ...บ้านหลงนี้ร้างคนอาศัย หรือไม่ก็คงเข้านอนกันหมดแล้ว แต่ไม่ว่าข้อไหนเขาก็ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่ดี วาลเซอิคจึงเดินไปที่ประตูและลองแตะดู
ไม่มีฝุ่น...
บานประตูไม้ยังใหม่เหมือนเพิ่งจะเปลี่ยนไปในเร็ว ๆ นี้ ซ้ำยังไม่มีคราบฝุ่นจับ แสดงว่าบ้านหลังนี้ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้น...ก็คงเข้านอนกันหมด...
เขาคงไม่ควรจะรบกวนเจ้าของบ้านในเวลานี้ วาลเซอิคถอนหายใจแล้วเดินถอยหลังออกมา แต่เขาก็ต้องชะงักเท้าเมื่อรู้สึกเย็นวูบบนสันหลัง ด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างหลังของตนเองทันที
ร่างที่อยู่ตรงนั้น....คือร่างในผ้าคลุมที่ยาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ถ้าเขาจำไม่ผิด....เขาเคยเห็นมาก่อน
เป็นคน ๆ เดียวกับที่เขาเห็นตอนไปที่หอนาฬิกาแน่นอน เขามั่นใจในลางสังหรณ์ของตนเอง
วาลเซอิคเลื่อนมือไปจับที่เอวของตนเอง ก่อนพบว่าเขาสะเพร่าเกินไปจนลืมพกพาอาวุธออกมาด้วย เขาตัดสินใจทิ้งเป้ลงบนพื้น อย่างน้อยจะได้ป้องกันตัวได้สะดวก
แต่ในวินาทีที่เป้หล่นลงบนพื้นนั้น เขายังไม่ทันจะได้ตั้งการ์ด ร่างในผ้าคลุมก็พุ่งวูบเข้าใส่ด้วยเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีแดงที่ซุกซ่อนใต้ผ้าคลุมเปล่งประกายกระหายเลือด อุ้งมือทั้งสองยื่นมาข้างหน้าและข่วนเข้ากับแขนของเขาที่ยกขึ้นป้องกันตัวอย่างฉิวเฉียด
กลิ่นเลือดกำจายออกมา...
มันได้กระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งโจมตีรุนแรงด้วยเล็บคมที่ตะปบเข้ากับต้นแขน
วาลเซอิคถูกดันชิดบานประตูโดยไม่มีทางหนี ครั้นจะเบี่ยงออกข้างก็คล้ายจะไม่สามารถหลบทันความเร็วระดับนี้ได้
เขามีประสบการณ์การเผชิญหน้ากับผู้ต้องสาปมาแล้วสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา แม้คัลดิชและคัลมาร์จะจงใจออมมือให้เขาเล็กน้อยโดยพุ่งเป้าไปที่อัลเรส แต่มันก็ทำให้รู้ซึ่งถึงขีดจำกัดระหว่างร่างกายของมนุษย์และผู้ต้องสาปได้เป็นอย่างดี
พลังกายแบบนี้ กรงเล็บแหลมคม และดวงตาสีเลือด คนตรงหน้าเขาคือผู้ต้องสาปอย่างแน่นอน
ทั้งที่หลบเร้นจากสายตาเซเอลมาได้ตลอด ทำไมในเวลานี้เขาถึงพบอีกฝ่ายได้ง่ายดายนัก? และทำไมอีกฝ่ายจึงเข้าโจมตีเขาทั้งที่คราวก่อนหลบหนีไปเฉย ๆ ?
หรือว่า....บ้านหลังนี้?
บางทีผู้ต้องสาปตรงหน้าเขาอาจจะอาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ เพื่อหลบซ่อนจากสายตาของมนุษย์และสายตาของเซเอล ที่นี่อยู่นอกอาณาเขตและไม่ได้อยู่ใกล้หมู่บ้านมากนัก แล้วที่นี่จะมีผู้ต้องสาปอื่นอยู่อีกหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าเขาพาตนเองมาเป็นอาหารโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?
“อึ่ก!” วาลเซอิคกลั้นเสียงร้องเมื่อบาดแผลบนต้นแขนของเขาเปิดกว้าง กรงเล็บคมถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง หมายจะเผด็จศึกเหยื่อในครั้งเดียว
วาลเซอิคหลับตาลงคิดว่าตนเองอาจจะไม่รอดก็เป็นได้
แต่แล้ว....อยู่ ๆ ผู้ต้องสาปก็หยุดชะงักการกระทำของตนเอง....
.....
เด็กหนุ่มที่เตรียมใจครึ่งหนึ่งว่าอาจจะไม่รอดจากสถานการณ์นี้ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อเขาลืมตา สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างนั้นที่คลุมผ้าสีหม่นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทว่า....ใบหน้าที่กระหายเลือดเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงก่อนที่ริมฝีปากจะค่อย ๆ แย้มรอยยิ้ม และมือที่กางกรงเล็บก็ลดลงมาสวมกอดเขา วาลเซอิคงงงันกับเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรอย่างกะทันหัน ได้แต่ปล่อยให้ตนเองถูกอีกฝ่ายกอดนิ่งอย่างนั้น
อะไร? ทำไม?
เขาได้แต่ถามตัวเองในใจขณะที่หญิงสาวซบใบหน้าลงกับอกของเขาราวกับเป็นคนรักกัน
“เจ้ากลับมาแล้ว....วาเลซ”
.....วาเลซ?
---------------------------->