บทที่ 4 เงาที่คืบคลาน
ในตอนแรก สิ่งที่วาลเซอิคพูดออกมานั้นค่อนข้างจะสร้างความวิตกให้กับเซเอลอยู่ไม่น้อย เหมือนจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความหวาดระแวงที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวาลเซอิครู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะของอาหาร และคนอื่น ๆ คือผู้ล่า และถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยมองวาลเซอิคในฐานะอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลาย ๆ ครั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ปลุกเร้าความกระหายของพวกเขา เมื่อวาลเซอิคได้รับบาดแผลมาจากกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงแผลใหญ่จากการฝึกฝน การทำแผลดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเมื่อกลิ่นอันหอมหวานของเลือดมนุษย์กำจายเข้าสู่ประสาทการรับรู้
ทว่าความกังวลของเขาก็เหมือนจะกลายเป็นสิ่งเปลืองเปล่าไป เพราะหลังจากครั้งนั้น วาลเซอิคก็ไม่เคยพูดเรื่องเดิมออกมาอีกเลย
และเมื่อหลายปีผ่านมา.......
“เซเอล” เสียงขานชื่ออย่างอารมณ์ดีดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก ร่างสูงของเด็กหนุ่มโตเต็มวัยก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตและสวมกอดเข้าที่เอวของเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ “ข้ากลับมาแล้ว เหนื่อยจังเลย...ท่านไม่คิดหรือว่าเราควรจะเลี้ยงสุนัขล่าเนื้อไว้สัก 2-3 ตัว จะได้ไว้ต้อนเหยื่อแทนที่ข้าจะต้องวิ่งไล่พวกมันด้วยตัวเอง”
เมื่อหลายปีผ่านไป....วาลเซอิคก็เหมือนจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้ดีกว่าที่คาดไว้ จากเด็กน้อยขี้อายก็กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ความขี้เล่นก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด หรืออาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนความสัมพันธ์กับพวกเขาก็จะใกล้ชิดขึ้น โดยเฉพาะ....กับเขา...
เซเอลเอี้ยวคอไปมองอีกฝ่ายที่เข้ามาสวมกอดตนจากด้านหลัง วาลเซอิคมักจะทำอย่างนี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลัง ๆ มานี้ ซึ่งเขาก็คิดว่าคงจะพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ในตอนเด็ก ๆ
“ข้าเคยเลี้ยงเมื่อนานมาแล้ว แต่พวกมันก็ตายไปหมดแล้ว”
“แล้วท่านไม่คิดจะเลี้ยงอีกหรือ?” วาลเซอิคออดอ้อนพลางวางคางลงบนบ่าชายหนุ่มที่ตอนนี้ตัวเล็กกว่าตนเล็กน้อย
“ข้าจะไปหาพันธุ์มาจากไหนกัน” เซเอลมุ่นคิ้ว
“ถ้าท่านอนุญาต ข้าสามารถหามาให้ได้” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “แต่เป็นลูกสุนัข คงต้องเลี้ยงไว้สักปีสองปีถึงเริ่มออกล่าได้”
“เจ้าพูดแบบนี้แปลว่าวางแผนจะเลี้ยงอยู่แล้ว แค่รอข้าอนุญาตเท่านั้นเองหรือ?” ชายหนุ่มเหลือบดวงตาสีเลือดมองอีกฝ่ายเหมือนกำลังรู้ทัน ทำให้วาลเซอิคยิ้มเผล่ออกมา “แล้วหากข้าไม่อนุญาต เจ้าคิดจะทำยังไงต่อ? ออดอ้อนให้ข้ายอมหรือ?”
“อย่าใจร้ายกับข้าอย่างนั้นสิ ข้ารู้ว่าท่านยอมตามใจข้าอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะถึงแม้เซเอลจะดูเย็นชาที่ภายนอก แต่ก็ไม่เคยขัดใจเขาจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง กลับเป็นคนที่ตามใจเขามากที่สุดเสียด้วยซ้ำ และคงเพราะเหตุนั้นทำให้วาลเซอิคมักจะเข้าหาเซเอลโดยตรงเมื่อต้องการจะร้องขออะไรบางอย่างโดยไม่นึกกริ่งเกรง เพราะหากขอกับอาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ ทั้งสามก็ต้องมาขอจากเซเอลอีกทอดอยู่ดี
หากให้สามคนนั้นขอ จะมีโอกาสได้ผลน้อยกว่าเขาขอเองด้วย...
เซเอลที่รู้แกวได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปเสียแล้ว แต่กระนั้นเขาก็กำลังหาเหตุผลมาขัดใจเด็กคนนี้ให้ได้สักครั้ง
“แล้วเจ้าจะเลี้ยงยังไงกัน? แบ่งส่วนอาหารของเจ้าไปให้พวกมันน่ะหรือ? แล้วยังต้องปล่อยให้เดินเล่นบ้าง เจอแดดเจอลมบ้าง” ว่ากันตามตรงแล้ว เซเอลไม่ค่อยเห็นด้วยว่าปราสาทแห่งนี้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตปกติ แต่ที่เขาพาวาลเซอิคมาเลี้ยงดูก็เพราะสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดที่จะพาเด็กมนุษย์มาอยู่ในสถานที่แบบนี้
“ยังไงข้าก็ต้องออกไปเดินรับแดดทุกเช้าอยู่แล้ว ข้าพาไปเอง” วาลเซอิคว่าพลางยิ้มกว้างขึ้น เพราะเมื่อเซเอลเริ่มหาเหตุผลมาง้างกับเขาแปลว่าเจ้าตัวกำลังจะอนุญาตแต่หาข้ออ้างที่จะไม่ทำเช่นนั้น “อาหารก็ไม่น่าเป็นปัญหา ข้าก็แค่ล่าให้มากขึ้นสักนิดหน่อยก็พอแล้ว พวกท่านเองก็ดื่มเลือดทุกวันนี่นา”
“ช่วงแรกที่พวกมันยังทำอะไรเองไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงปากท้องเพิ่มอีก 2-3 ชีวิตเชียวนะ”
“ข้าไม่ได้ทำคนเดียวเสียหน่อย คัลดิชกับคัลมาร์ก็ช่วยข้าอยู่ด้วย”
เซเอลส่ายศีรษะน้อย ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไปขอมาจากที่ไหน? ใครจะยกลูกสุนัขพันธุ์ดีให้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากัน” สุนัขล่าเนื้อนับเป็นสมบัติของพรานที่ไม่ใช่จะหามาครอบครองได้ง่าย ๆ หากเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมก็ยากจะฝึกให้ทำงานได้ จริงอยู่ว่าในปราสาทมีเงินทองมากมายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร แต่หมู่บ้านรอบ ๆ นี้ก็ไม่มีที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงที่เลี้ยงหรือเพาะพันธุ์สุนัขล่าเนื้อไว้จำนวนมาก ๆ เสียด้วย
“ข้ามีหนทางแล้วแน่นอน แต่ข้าต้องใช้เงินมากหน่อย” พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของวาลเซอิคก็ดูลำบากใจขึ้นมา เพราะถึงแม้เงินทองในปราสาทจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมานานแล้ว เซเอลจึงให้วาลเซอิคหยิบไปใช้ตามสะดวก แต่การหยิบของมีค่าไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยทั้งที่ไม่ใช่ของตนเองก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“เจ้าเอาไปเถอะ หากว่าจำเป็น” สำหรับเซเอลแล้ว ของเหล่านั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย ในเมื่อตัวเขาไม่อาจนำมันไปใช้ได้ สู้ยกให้คนที่จำเป็นต้องใช้ไปเสียดีกว่า “แล้วหากเจ้าจะนำไปใช้กับพวกผู้หญิง ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าทุกครั้งหรอก” ที่เซเอลต้องพูดออกมาแบบนี้ เพราะในบางครั้งวาลเซอิคก็จะเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าประหม่าและบอกว่าจะขอเข้าไปในเมือง เขาดูท่าทางก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่ไหนจึงหยิบเหรียญทองให้ไปแม้วาลเซอิคจะไม่ได้เอ่ยปากขอ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำแบบนี้มาหลายปี จะว่าดีก็ดี ที่อีกฝ่ายไม่ข้ามหน้าข้ามตาเขาไปทำไรตามใจชอบ แต่เขาเองก็เคยบอกแล้วว่าหากเป็นเรื่องนั้นเขาอนุญาตตามสบาย แต่วาลเซอิคก็ยังทำแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน แค่ช่วงปีหลัง ๆ ท่าทางประหม่าหายไปเท่านั้น
“ครั้งนี้ข้าแค่จะไปเอาสุนัข ไม่ได้ไปหาใครหรอก” วาลเซอิคหัวเราะออกมา “หรือว่าท่านหึงข้า?”
เซเอลมุ่นคิ้วเข้าหากันทันที
“ไร้สาระ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกอยู่นิดหน่อย ซึ่งน่าจะใกล้เคียงความหวงมากกว่าความหึงอย่างที่วาลเซอิคว่า และตัวเขาเองก็ไม่นึกแปลกใจที่ตนเองรู้สึกเช่นนั้น เพราะวาลเซอิคเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมา หากไม่หวงเลยสิจึงจะน่าแปลกกว่า
วาลเซอิคจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง
ตัวเขานั้นมีความสงสัยในบางสิ่งบางอย่างมานานแล้ว สายตาที่เซเอลมักจะใช้มองเขานั้นเป็นสายตาที่ใช้มองใครบางคนอยู่หรือเปล่า? เพราะบางครั้งเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูใครบางคนที่อยู่ในตัวของเขามากกว่าตัวเขาเองที่ยืนอยู่ตรงนี้
และที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือ ทำไมเซเอลจึงได้พาเขามาเลี้ยงดูโดยไม่ใช้เป็นอาหาร
เพราะเจ้าตัวเคยช่วยเขาไว้จากกองไฟน่ะหรือ?
หรือเพราะเขาไม่มีพ่อแม่?
เซเอลไม่ใช่คนใจบุญถึงขนาดนั้นเป็นแน่ บางทีคงจะเป็นเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏบนร่างกายของเขา ใบหน้าของเขา...
กระนั้นหลาย ๆ ครั้ง วาลเซอิคก็คาดหวังว่าเซเอลจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับตนเองนอกเหนือจากเด็กในปกครองและตัวแทนของใครบางคน ทุก ๆ ครั้งที่รู้สึกเช่นนั้น วาลเซอิคจะต้องออกไปข้างนอก....ไปหาใครบางคนที่จะตอบสนองเขาได้ เพื่อให้ตัวเขาเองรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ....
“ท่านจะหวงข้าสักหน่อยก็ได้นี่นา...” วาลเซอิคกระซิบกับตัวเอง
“อะไรหรือ?” เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกให้เซเอลเลิกคิ้วด้วยความสงสัย กระนั้นวาลเซอิคก็เพียงยิ้มกว้างแทนคำตอบก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา
“เช่นนั้นข้าไปก่อนดีกว่า หากมืดกว่านี้เดี๋ยวท่านจะคิดว่าข้าไปแอบทำอะไรไม่ดีไม่งาม” เด็กหนุ่มตัดบทอย่างรวดเร็ว
“แล้วเงิน...”
“ข้าจำได้ว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน ข้านำติดตัวไปไม่มากหรอก” ว่าจบ วาลเซอิคก็เดินจากไป ทำให้เซเอลต้องมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ด้วยปกติวาลเซอิคจะรอจนกว่าเขาจะเดินไปหยิบเงินให้ด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้...เรียกว่าเป็นพัฒนาการหรือความผิดปกติเขาเองก็ไม่แน่ใจ
-------------------------->
ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีเหลืองส้มสลับกับสีอ่อนของริ้วเมฆ วาลเซอิคเงยหน้ามองสีสันเหล่านั้นขณะพาตัวเองออกจากแนวชายป่าและมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน สำหรับเขาแล้ว สีสันของท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าพิศวงเป็นสิ่งที่แสนรื่นรมย์ เพราะเมื่อเขากลับเข้าสู่เขตปราสาท เขาก็จะพบแต่เพียงบรรยากาศอันมืดมิดที่แสงสว่างจากเบื้องบนส่องลงมาไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะเมฆหมอกหนาที่ลอยปกคลุมเหนือปราสาทนั้นกระมัง
ตัวเขาเองก็เพิ่งจะได้เห็นท้องฟ้ากว้างอย่างนี้เป็นครั้งแรกในตอนที่ขอเซเอลออกมาที่หมู่บ้านอีกครั้งหลังจากพบกับเอลยา โดยปกติแล้วเขาจะอยู่แต่เพียงในป่า และสัมผัสแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ลงมา ส่วนคัลดิชและคัลมาร์ไม่เคยสนใจจะออกมาในสถานที่ที่แสงสว่างส่องถึงเลย สองคนนั้นจะออกมาก็เมื่อฟ้าเริ่มมืดแล้วเท่านั้น
และเหตุผลที่เขามักจะขอออกมาบ่อย ๆ หลังจากนั้นคงเป็นเพราะจะได้สัมผัสท้องฟ้าและสายลมเหล่านี้กระมัง แต่ในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป้าหมายของเขา
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างคุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นตา โดยปกติแล้วเขาจะมาเมื่อค่ำกว่านี้และพวกชาวบ้านจะกลับเข้าที่พักอาศัยไปจนหมด ในเวลาเย็นอย่างนี้ร้านรวงข้างทางจะอยู่ในช่วงกำลังเก็บข้าวของ ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งเครื่องประดับที่ดูไม่หรูหราอะไรเมื่อเทียบกับสิ่งของในปราสาทแต่ก็สวยงามแบบเรียบ ๆ เสื้อผ้าที่ไม่ได้เป็นผ้าเนื้อดีและตัดเย็บอย่างเรียบง่าย ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้และโลหะผสมเป็นหลักต่างกับในปราสาทที่เป็นเครื่องทองเหลือง และเครื่องเงินทั้งสิ้น ถึงอย่างนั้นข้าวของมีคมก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เพียงความประณีตในการตกแต่ง
ระหว่างที่วาลเซอิคเดินไปตามถนน ผู้คนรอบข้างก็มองมายังเขาด้วยสายตาต่าง ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นความสงสัย อาจเพราะเขาค่อนข้างเป็นเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับคนเหล่านี้ และเครื่องแต่งกายของเขาก็ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเอาเสียเลย
แต่งกายแบบชนชั้นสูง...
นั่นคงเป็นคำนิยามการแต่งกายของเขาในเวลานี้ ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนเขาคงไม่เข้าใจความแตกต่าง แต่เมื่อได้เข้าออกหมู่บ้านบ่อยขึ้นเขาก็เข้าถึงคำนี้ได้มากขึ้น ถึงอย่างนั้นหากเอาการแต่งกายของเขาไปเทียบกับเซเอล เขาก็คงจะดูเหมือนชาวบ้านไปในทันที เพราะเซเอลนั้นเหมือนกับชนชั้นสูงทั้งเครื่องแต่งกาย รูปลักษณ์ และการวางตัว กระนั้นเมื่อออกมาข้างนอกเซเอลก็จะอยู่ในชุดคลุมมิดชิดเสมอ
วาลเซอิคเดินทะลุหมู่บ้านมาจนเกือบถึงหอระฆัง เขาเลี้ยวจากจุดนั้นไปเล็กน้อยโดยไม่ได้เดินไปถึงด้านหลังของหมู่บ้านที่เป็นเขตสำหรับอาชีพกลางคืนซึ่งตอนนี้เริ่มจะมีคนเดินเข้าออกกันบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ บริเวณหน้าบ้านมีเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เขายิ้มให้เด็กสองคนนั้นซึ่งมองมาด้วยสายตาสงสัย
“เอลยาอยู่ไหม?”
“พี่อยู่ข้างในค่ะ” เด็กผู้หญิงกล่าวตอบแล้วชี้ไปที่ประตู
วาลเซอิคเดินเข้าไปตามคำบอก และพบหญิงสาวในเครื่องแต่งกายที่แตกต่างไปจากยามปกติที่พบเจอกัน เอลยาอยู่ในชุดสาวชาวบ้านธรรมดา เสื้อแขนพองปิดถึงข้อศอก กระโปรงยาว ผ้ากันเปื้อน และใบหน้าที่ไร้เครื่องเติมแต่ง แต่ดูเหมือนเธอกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้ากันเปื้อนจึงถูกปลดไปแล้วครึ่งทาง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะขออาเจ้าไม่สำเร็จเสียอีก” เอลยาหัวเราะ
วาลเซอิคไม่ค่อยได้พูดถึงครอบครัวตัวเองมากนักกับคนอื่น ๆ เพราะถูกกำชับไว้หลังจากที่เขาออกมาจากปราสาทบ่อย ๆ ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะอ้างกับเอลยาว่า ต้องขออนุญาต ‘อา’ จึงสามารถมาเที่ยวได้ และเรื่องครั้งนี้ก็ต้องผ่านการอนุญาตจาก ‘อา’ เช่นกัน
เอลยาตลบผ้ากันเปื้อนไปวางบนโต๊ะแล้วพาวาลเซอิคเดินออกไปทางประตูหลังบ้านซึ่งมีสวนเล็ก ๆ ที่ปลูกผักสวนครัว 2-3 ชนิดอยู่ก่อนจะถึงรั้วกั้นของบ้านอีกหลัง ในสวนนั้นมีกรงสำหรับเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่พอประมาณตั้งอยู่ติดประตู และในกรงมีลูกสุนัขในวัยน่าเอ็นดูอยู่สองตัว
“ถ้าเจ้าไม่มารับวันนี้ข้าก็ไม่รู้จะเอาอะไรเลี้ยงแล้วล่ะนะ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ
ตัวเอลยาเองแม้จะเป็นผู้หญิงกลางคืนแต่ก็ค่อนข้างมีระดับจึงได้พบปะกับคนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านนี้บ่อยครั้ง และหลาย ๆ คนก็รู้จักมักจี่กับคนที่มีฐานะดี ถึงอย่างนั้นก็ต้องอ้อนแล้วอ้อนอีกกว่าจะได้ลูกสุนัขสองตัวนี้มา เพราะวาลเซอิคบอกว่าอยากได้นักหนา เจ้าตัวรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าราคาไหนก็จ่ายได้แน่ แต่เห็นท่าทางแล้วเธอก็เดาได้ทันทีเลยว่าเจ้าตัวกะเวลากระชั้นชิดแล้วค่อยขอคุณอาที่อ้างถึงบ่อย ๆ ซึ่งถึงอยากจะปฏิเสธก็คงปฏิเสธไม่ทัน ช่างไม่คิดถึงตัวเธอที่ต้องเป็นคนดูแลเจ้าตัวซนสองตัวนี้บ้างเลย
“ข้าสัญญาแล้วข้าต้องมารับสิ” วาลเซอิคยื่นหน้าไปหอมแก้มเอลยาแล้ววางถุงเงินให้ในมือก่อนเดินไปนั่งยอง ๆ ข้างกรง มองลูกสุนัขสองตัวที่นั่งจุ้มปุ๊กมองกลับมาด้วยสายตาระแวดระวัง
หญิงสาวส่ายศีรษะ มองเด็กหนุ่มที่คิดว่าจะเป็นลูกค้าชั่วข้ามคืน แต่ที่ไหนได้กลับมาติดพันกับเธอราวกับกลายเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่ตัวเธอเองก็มีน้องอยู่หลายคนจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่มีเด็กผู้ชายตัวโต ๆ มาคอยอ้อนเพิ่มอีก นอกจากนี้...คงเพราะวาลเซอิคมีบางส่วนคล้ายกับคนที่เธอเคยรู้จักในสมัยเด็กกระมัง แต่เธอเองก็จำคน ๆ นั้นไม่ค่อยได้แล้ว
“เจ้าจะพูดคุยทำความรู้จักกับพวกมันไปก่อนก็ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เอลยาแซวก่อนเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้วาลเซอิคนั่งจ้องตากับลูกสุนัขที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า
“นี่ เจ้าน่ะ”
วาลเซอิคสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงดังขึ้นจากเบื้องหลัง เขาหันไปมองและเจอชายหนุ่มที่เหมือนอายุและรูปร่างไล่เลี่ยกับตนเองยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นน้องชายของเอลยาแน่นอน เธอเคยเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ ว่ามีน้องชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเขานิดหน่อยแต่นิสัยเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่องอยู่คนหนึ่ง พอดูจากลักษณะแล้วก็เห็นจะเป็นอย่างที่เอลยาว่า เพราะใบหน้าที่เหมือนไม่พอใจทุกอย่างรอบตัวนั้นบ่งบอกอุปนิสัยได้เป็นอย่างดี
“มายุ่งอะไรในบ้านคนอื่นเขา หา?” อีกฝ่ายถามพลางขมวดคิ้วทำให้หน้าดูขึงขังกว่าเดิม “เจ้าคงเป็นวา....อะไรนั่นที่เอลยาพูดถึงสินะ? คิดว่าสนิทกับพี่ข้าแล้วจะเดินเข้าบ้านตามใจชอบได้หรือยังไง?”
วาลเซอิคนึกอยากเถียงออกไปทันทีแต่ก็ตัดสินใจว่าเงียบไว้จะดีกว่า เด็กหนุ่มลุกขึ้น ปัดฝุ่นจากกางเกงแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
“ข้าชื่อวาลเซอิค เจ้าคงเป็น อัลเรส น้องของเอลยาแน่ ๆ”
“พี่ข้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้เจ้าฟังด้วย? ให้ตายสิ ไม่ระวังตัวเอาซะเลย” เจ้าของชื่ออัลเรสบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็บอกระดับความหวงและห่วงที่เจ้าตัวมีต่อพี่สาวได้หลายส่วน วาลเซอิคได้แต่ขำอยู่ในใจเพราะไม่ผิดจากที่เอลยาเคยพูดเอาไว้เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวแค่พูดเกินจริงไปเท่านั้น
“ข้าแค่เข้ามาเอาลูกสุนัขพวกนี้ เดี๋ยวก็จะไปแล้ว” เขาว่าพลางหันกลับไปหิ้วกรงขึ้นมาถือ
“รีบ ๆ กลับไปเลย เดี๋ยวเอลยาจะต้องไปทำงานแล้ว” อัลเรสออกปากไล่อย่างไม่สนใจมารยาท แต่วาลเซอิคก็ยังได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบอิบกับตัวเองต่อว่า “เมื่อไหร่จะเลิกทำงานประเภทนั้นนะ”
ตอนที่วาลเซอิคเดินเข้ามาถึงกลางบ้าน เอลยาก็เดินออกมาจากห้องพอดี ตอนนี้เครื่องแต่งกายของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นชุดที่ค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนังและเน้นสัดส่วนมากขึ้นให้เข้ากับลักษณะงาน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ลืมผ้าคลุมไหล่สำหรับปกปิดบางส่วนของร่างกายที่พ้นร่มผ้าออกมา เมื่อเอลยาเดินเข้ามาใกล้ น้ำหอมมีราคาก็โชยเข้าจมูก
“พอข้าไปแล้วเจ้าก็พาแอนน์กับอเลนเข้านอนด้วยล่ะ” เธอกล่าวกับอัลเรสซึ่งตอนนี้เหมือนกลายเป็นผู้ดูแลบ้านกลาย ๆ หลังจากพ่อกับแม่พากันจากไปด้วยโรคติดต่อเมื่อหลายปีก่อน
“ไม่ต้องบอกข้าก็รู้อยู่แล้วน่า” อัลเรสมุ่นคิ้ว “เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ระยะนี้ยิ่งมีแต่เรื่องแปลก ๆ อยู่”
“เรื่องแปลก ๆ ?” วาลเซอิคอดไม่ได้ที่จะสอดปากขึ้นมา
ในตอนแรกอัลเรสก็ดูจะไม่พอใจที่วาลเซอิคอยู่ ๆ ก็ทำตัวมีตัวตนในบ้านนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายควรจะรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย
“เจ้ามา ๆ ไป ๆ ไม่รู้ก็ไม่แปลก แต่ช่วงหลัง ๆ นี่น่ะมีข่าวว่ามีคนถูกสัตว์ป่าขย้ำเอาบ่อยขึ้น แถมแต่ละศพก็ไม่ได้น่าดูซะด้วย ไม่รู้ว่ามีเสือหรือหมาป่าหลุดมาจากไหน” อัลเรสว่าแล้วหันไปมองพี่สาวตัวเองอีกครั้ง “เจ้าอย่าไปไหนมาไหนในที่ปลอดคนก็แล้วกัน แต่....ในที่คนเยอะก็ไม่ดี” ชายหนุ่มดูจะสับสนไม่รู้ว่าควรให้พี่สาวตนเองอยู่ในจุดไหน เพราะที่ไม่มีคนก็อันตราย ที่ที่มีคนมากก็อันตรายจากคนอยู่ดี