บทที่ 1 เหล่าผู้ต้องสาป
ความเงียบสงบสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเด็กชายที่วันนี้ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านทั้งที่วันอื่น ๆ เขาจะได้ออกไปช่วยคุณตาทำงาน ซึ่งทุกครั้งที่ออกไปเขาก็จะวิ่งเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เป็นความสุขเล็ก ๆ ของเขาในแต่ละวัน แต่ในวันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตาของเขาจึงบอกให้อยู่บ้านกับคุณยายซึ่งทำอาชีพรับซ่อมแซมเสื้อผ้าและห้ามออกไปเล่นซนที่ไหนโดยเด็ดขาด
คุณยายของเขาแม้จะเป็นคนใจดีแต่ก็พูดไม่ค่อยเก่ง ทำให้เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนคุย ได้แต่นั่งมองกองผ้าบนพื้นสลับกับภาพนอกหน้าต่างที่มีแต่ต้นไม้ ไม่รู้ว่าทำไมตากับยายของเขาจึงย้ายมาอยู่ชายป่าแบบนี้ ทั้งที่ได้ยินว่าสมัยก่อนก็อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ ตลาดนั่นเอง
“เบื่อหรือจ๊ะ” ยายของเขาเงยหน้าจากงานขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้าอยากออกไปเล่นข้างนอก ทำไมวันนี้ถึงไปไม่ได้ล่ะครับ?” เด็กชายเดินเข้ามานั่งแหมะข้างยายของตนแล้วประท้วงสิทธิที่ตนควรจะได้
“เรื่องนั้น....เพราะเดี๋ยวจะมีคนสำคัญมาน่ะสิจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอฉายแววแปลกประหลาดที่ผสมความหวั่นเกรงเอาไว้หลายส่วน “จะว่าไป หลานก็อยู่กับเรานานแล้วสินะ ห้าปีมาแล้วนับจากที่หลานมาอยู่ที่นี่ อีกหน่อยยายกับตาต้องเหงามากแน่ ๆ” แล้วจู่ ๆ เธอก็พูดออกมาเป็นประโยคยาวจนผิดปกติทั้งที่นาน ๆ ครั้งจะได้ยิน ซ้ำรูปประโยคยังแปลกหูแม้แต่สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ
“แต่ข้าไม่ได้จะไปไหนนี่” เด็กชายจ้องมองยายของตนเองด้วยดวงตาใสซื่อ
ฝ่ามือที่เริ่มมีร่องรอยของวัยยกขึ้นลูบหัวเด็กชายช้า ๆ อย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร
“แล้ว...คนสำคัญคนนั้น ข้าต้องเจอด้วยหรือครับ?” เพราะความสงสัยเขาจึงถามต่อ คนสำคัญคนนั้นเป็นใครกันนะ? ตาจึงต้องให้เขาเฝ้าบ้านกับยาย ปกติแล้วบ้านนี้ก็แทบไม่มีแขกมาเยี่ยมอยู่แล้ว นอกเสียจากชาวบ้านที่เอาเสื้อผ้ามาให้ยายช่วยซ่อมแซมให้ บ้างก็เอาของกินของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากเป็นสินน้ำใจ แม้แต่เพื่อน ๆ ของเขาในหมู่บ้านก็ยังไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง
“ต้องเจอสิจ๊ะ....เขามาเพื่อพบหลานนี่นา”
“พบข้า?” เขากะพริบตาปริบ ๆ แต่แล้วก็เหมือนมีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในความทรงจำ “วันนี้วันเกิดข้านี่นา! เพื่อน ๆ จะมาเที่ยวที่นี่ใช่ไหมครับ? จะมากับคุณตาสินะผมถึงออกไปด้วยไม่ได้” เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ งานวันเกิดปีนี้เขาจะมีคนฉลองด้วยมากมายเป็นแน่
ฝ่ายยาย เมื่อเห็นหลานดีใจถึงเพียงนั้นจึงไม่กล้าทักท้วงให้เสียความรู้สึก เธอก้มหน้าลง ค่อย ๆ เย็บปักเส้นด้ายลงบนผืนผ้าอย่างข้า ๆ เสมือนใจลอยไปคิดเรื่องอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับการงานตรงหน้า
ใจของเธอนึกย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว....
วันนั้นอากาศแห้งแล้งเพราะเป็นกลางฤดูร้อน แสงแดดแผดจ้าอยู่เหนือศีรษะแม้จะบ่ายคล้อยจนใกล้เย็นย่ำ สามีของเธอออกไปทำงานตามปกติ เขาลงทุนเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้ากับเพื่อนเพราะเกรงว่าอายุมากขึ้นจะทำงานตัดไม้ล่าสัตว์ต่อไปไม่ไหวและลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็หายตัวไปนานแล้ว ส่วนเธอเองก็อาศัยอาชีพซ่อมแซมเสื้อผ้าช่วยจุนเจือครอบครัวและเป็นการฆ่าเวลานอกเหนือจากภาระงานบ้านที่ไม่ได้มากมายนักในบ้านหลังเล็ก ๆ
กระนั้นด้วยอากาศอันแห้งแล้งชวนให้หายใจลำบาก เธอจึงรู้สึกอึกอัดจนต้องเดินออกไปรับลมอันน้อยนิดที่หน้าบ้าน
เธอนั่งเพลินจนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ในสมองก็คิดเรื่องจิปาถะไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเธอรู้ตัวอีกครั้งก็ปรากฏร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งในผ้าคลุมมิดชิดมายืนอยู่ตรงหน้า บรรยากาศของเขาดูลึกลับและสูงส่งแม้ว่าเธอจะเห็นเพียงแค่ครึ่งหน้าล่างเพราะด้านบนถูกปกปิดเอาไว้ก็ตาม
“อีกนานหรือไม่กว่าสามีของเจ้าจะกลับมา”
น้ำเสียงของชายคนนั้นทุ้มนุ่มแต่กังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจ คงจะเป็นผู้สูงศักดิ์วัยหนุ่มจากที่ไหนสักแห่ง เธอซึ่งไม่เคยพบเจอบุคคลระดับสูงมาก่อนจึงออกอาการเงอะงะ
“คิดว่า...อีกไม่นานจะกลับ...เจ้าค่ะ...” เธอตอบออกไปโดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะลงเสียงอย่างไรจึงจะเหมาะสม
“เช่นนั้นข้าจะรอ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินไปที่ประตู “เปิดให้ข้าเข้าไปสิ”
“...ค่ะ ค่ะ” เพราะจู่ ๆ ก็ถูกสั่งเธอจึงไม่ทันได้คิดอะไรและเดินไปเปิดประตูให้ชายหนุ่มแปลกหน้าทันที แต่เมื่อตั้งสติดี ๆ แล้ว การมาออกคำสั่งแบบนี้ช่างเสียมารยาทจริง ๆ กระนั้นคงเพราะความเป็นคนชั้นสูงกระมังจึงติดนิสัยเอาแต่ใจและเจ้ากี้เจ้าการ
ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้าไปในบ้านราวกับตนเองเป็นเจ้าของ และนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่พูดอะไรอีก เธอยกน้ำมาเสิร์ฟ เจ้าตัวก็จิบเพียงเล็กน้อย
จนกระทั่งสามีของเธอกลับมาถึงบ้าน
“นั่นใครกัน?” เขาถามทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าในบ้านของตนเอง ซ้ำยังไม่ยอมเลิกผ้าคลุมออกแม้จะอยู่ในที่ร่มและตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว
“อ้าว ไม่รู้จักหรือ? ก็เขามาถามหาเจ้าอยู่ตั้งแต่เย็น”
“จะไปรู้จักได้ยังไงกัน แล้วนี่หน้าตาก็ไม่เห็นเลยหรือ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด หากอีกฝ่ายเป็นโจรเข้ามาพวกเขาสองคนจะทำยังไง
“แต่ว่า...ตั้งแต่มาที่นี่เขาก็นั่งอยู่แต่ตรงนั้น ไม่ขยับไปไหนเลย” เธอหันมองชายหนุ่มในผ้าคลุมอย่างหวาดระแวง หรือว่าจะรอพวกเขาสองคนพร้อมหน้าจะได้จัดการพร้อมกัน?
ระหว่างที่พวกเขาปรึกษากันหน้าบ้านว่าจะเอาอย่างไรดีนั้น เจ้าของร่างสูงโปร่งในผ้าคลุมมิดชิดก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกมา เธอรีบถอยไปด้านหลังโดยสามีของเธอถลันขึ้นมาตั้งท่าป้องกันตัวเต็มที่ แต่แล้ว...ชายหนุ่มคนนั้นกลับเดินผ่านพวกเขาออกไปข้างนอกชานราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาที่กำลังทำท่าทางแปลก ๆ อยู่เลย กระนั้นคำพูดของฝ่ายนั้นก็ทำให้รู้ว่าพวกตนยังมีตัวตนอยู่ไม่ได้เลือนหายไปไหน
“ตามมาสิ”
ตามไป?
แค่มีคนแปลกหน้ามาที่บ้านโดยไม่รู้จักกันก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ยังจะให้ตามไปไหนก็ไม่รู้อีกหรือ?
ในขณะที่พวกเขากำลังลังเล อีกฝ่ายก็ไม่เดินไปก่อน กลับยืนนิ่งสงบเฝ้ารออย่างใจเย็น ความนิ่งเงียบราวกับกลายเป็นรูปปั้นนั้นเสมือนกำลังกดดันให้พวกเขาทำตามคำสั่งโดยไม่อาจละเลยเพิกเฉยได้
“เอาอย่างนี้ ข้าจะไปเอาขวานมาเจ้าก็เอามีดทำครัวซ่อนไว้ใต้ผ้ากันเปื้อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ลงมือเลย” ฝ่ายสามีว่าจบก็เดินอ้อมไปหลังบ้านซึ่งมีขวานผ่าฟืนเก็บไว้อยู่ แม้ไม่ได้ใช้มาสักพักหนึ่งแล้วก็ยังคมพอจะป้องกันตัวได้ ส่วนภรรยาก็เข้าครัวไปหยิบมีดสำหรับแล่ปลามาซุกไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่เป็นประจำ เมื่อพร้อมจึงออกมารวมกันที่หน้าบ้าน ชายคนนั้นที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวไปไหนก็เริ่มออกเดินราวกับรู้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะไปด้วยแล้วแม้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยก็ตาม
พวกเขาถูกพาเดินไปทางชายป่า และเพราะเป็นเวลาค่ำแล้วคนอื่น ๆ จึงเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกมาเดินท่อม ๆ ข้างนอก พวกเขาจึงไม่ถูกมองด้วยสายตาสงสัยว่ากำลังติดตามใครไปที่ใด
เมื่อถึงชายป่า ก็ปรากฏบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากบ้านที่พวกเขาอยู่กันมากนัก
ชายหนุ่มในผ้าคลุมเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกไม่กล้าตามเข้าไปเพราะอาจเป็นกับดักก็ได้
แต่แล้วก็กลับมีเสียงแว่วของเด็กทารกดังออกมาจากข้างใน
หรือว่าจะมีการลักพาตัวเด็ก!
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดในตอนนั้น ฝ่ายสามีผลุนผลันเข้าไปข้างในพร้อมขวานในมือ ส่วนเธอเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหยิบมีดออกมาแล้ววิ่งตามเข้าไปในบ้าน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่น่าแปลก เพราะชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเด็กที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่เลย กลับเพียงแค่อุ้มไว้ในวงแขนและยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขาที่ตามเข้ามาเท่านั้น และก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร เด็กคนนั้นก็ถูกส่งมาตรงหน้า
“จงดูแลเด็กคนนี้ให้ดี”
หมายความว่ายังไงกัน?
เธอยื่นมือไปรับเด็กคนนั้นอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ
คน ๆ นี้เอาเด็กมาให้พวกเขาเลี้ยงอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมจึงต้องทำตัวลึกลับพามาถึงที่นี่ด้วย?
“แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เสีย”
“อะไรนะ?” สามีของเธอร้องขึ้น “จะบ้าหรือเปล่า ที่นี่เดินทางไปทำงานก็ไกล ข้าไม่ได้มีกินถึงขนาดนั่ง ๆ นอน ๆ ก็เลี้ยงคนในบ้านได้หรอกนะ”
“นั่นสิ...อยู่ห่างจากชุมชนแบบนี้คงทำงานลำบาก” เธอเองก็เห็นด้วย
“ข้าไม่ต้องการให้เขาใกล้ชิดกับมนุษย์มากเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงดูแลไม่ได้หรอก เอาเด็กคืนไปเถอะ” สามีของเธอรีบปฏิเสธแล้วพยักพเยิดให้ส่งเด็กคืนไป ทว่าฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมรับคืน และเดินออกไปทางประตูเสียเฉย ๆ
“พวกเจ้าเหมาะสมกับงานนี้ที่สุด หากตกลงก็จงย้ายสิ่งที่จำเป็นมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ แล้วพวกเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“แล้วถ้าพวกเราปฏิเสธ?”
ชายในผ้าคลุมที่กำลังจะเดินออกไปชะงักเท้าของตนเองไว้หลังประโยคนั้นก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาและเลิกผ้าคลุมศีรษะขึ้น
ทันใดที่พวกเขาเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกับพื้น
โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดกันอีก ชายคนนั้นก็เดินออกไปจากบ้านและหายลับเข้าแนวป่าไป
พวกเขามองหน้ากันด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอมา
“พ...พวกเราจะทำยังไงดี....” เธอเอ่ยถามสามีด้วยเสียงสั่นเทา
“เราคงจะต้อง....ทำตามที่เขาต้องการ”
ไม่มีทางเลือก...
“ถ้าเราขัดขืนผู้ต้องสาปล่ะก็...อาจจะถูกฆ่าก็ได้ ไม่น่าเลย ทำไมต้องมาเจอแบบนี้นะ” ทั้งที่พวกเขาอยู่อย่างสงบไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักครั้ง แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องมาเจอเรื่องอัปมงคลกับชีวิตแบบนี้ “เดี๋ยวสิ แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกัน?”
ตามที่พวกเขารู้จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ผู้ต้องสาปไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้ ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสาปได้อย่างไรกัน?
ด้วยความกังขา เขาจึงเข้าไปตรวจดูเด็กชายอย่างละเอียดและพบว่าร่างกายเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปจึงค่อยโล่งอก
ในที่สุดพวกเขาจึงตกลงใจทำตามความต้องการของผู้ต้องสาปคนนั้น โดยย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ห่างไกลจากชุมชน แม้ว่าจะเดินทางไกลขึ้นแต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายนัก เพียงแต่การงานของเธอหลายครั้งต้องฝากสามีนำไปส่งให้ในตลาดและนำงานใหม่กลับมาให้ในตอนค่ำ กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคนในหมู่บ้านบางส่วนก็นำมาให้ด้วยตัวเองเพราะเห็นว่าไม่ได้ไกลจากตัวชุมชนมากนักและยังเป็นทางผ่านเข้าไปเก็บของในป่าด้วย
ส่วนรางวัลที่ฝ่ายผู้ต้องสาปสัญญาไว้นั้นก็ไม่อาจพูดได้อย่างเป็นรูปธรรมนัก เพราะเมื่อพวกเขามาถึงบ้านก็ยังคงเป็นบ้านไม้ที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม พวกเขาที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปร้านของฝ่ายสามีก็มีลูกค้าจากต่างเมืองเดินทางมาใช้บริการมากมาย บางครั้งยังมีโอกาสได้ตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกชนชั้นสูงในเมืองสวมใส่ทำให้กิจการเป็นไปด้วยดีอย่างน่าใจหาย
จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ผ่านมาได้ 5 ปีแล้วที่รายรับรายจ่ายของบ้านอยู่ในสภาพคล่องไม่เคยขาดแคลน งานที่ร้านตัดเย็บแม้จะมากแต่ก็เพราะขยับขยายตัวได้จึงมีลูกมือเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำกับเพื่อนเพียงสองคน ส่วนเด็กชายคนนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงไม่มีโรคภัย เป็นเด็กดีร่าเริงและเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เสียดายก็แต่...เพราะถูกกำชับไว้ว่าไม่อยากให้ใกล้ชิดกับมนุษย์จนเกินไป พวกเขาจึงไม่เคยอนุญาตให้พาเพื่อน ๆ มาเที่ยวเล่นที่บ้านแม้สักครั้งทั้งที่มีบริเวณให้เด็กวิ่งเล่นอยู่มากมาย
ตลอด 5 ปีมานี้ พวกเขาก็ผูกพันกับเด็กชายอย่างลึกซึ้งราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ไม่เคยคิดถึงวันที่จะต้องพรากจากกันมาก่อนเลย
ทว่าเมื่อ 3 วันก่อน กลับมาจดหมายฉบับหนึ่งมาถึงที่บ้าน
จดหมายฉบับนั้นมีใจความว่าอีกฝ่ายต้องการจะมารับตัวเด็กชายในวันนี้
พวกเขาต่างก็ใจหายกับสิ่งที่ได้รับรู้ เด็กน้อยที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากำลังจะถูกพลัดพรากไปจากอกใครเล่าจะทนทำใจนิ่งเฉยได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะไปทักท้วง
หญิงสูงวัยทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานและปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไปอย่างช้า ๆ โดยมีหลานตัวน้อยนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่รู้เรื่องราว
วันนี้อากาศอบอ้าวเหมือนในวันที่ได้พบกัน แต่เธอกลับไม่อยากออกไปนั่งตากลมแม้แต่น้อย
แต่แล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พาให้เธอสะดุ้งจนเข็มหลุดมือ
“ข้าเปิดเอง!” เด็กชายร้องเสียงใสแล้ววิ่งไปที่ประตูไม้ซึ่งเสียงเคาะเงียบไปแล้ว เมื่อเขาเปิดมันออกก็พบชายคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีเข้มที่ปิดลงมาจนเกือบไม่เห็นใบหน้า
“ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เขากล่าวกับเด็กชายแล้วหันหลังเดินนำออกมา
“เดี๋ยวสิคะ!” ผู้เป็นยายรีบวิ่งออกไปจับตัวหลานชายเอาไว้ “เด็กคนนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ อย่าเพิ่งพาเขาไปเลย รอให้โตอีกหน่อยไม่ได้หรือ?” เธออ้อนวอนพลางบีบไหล่เด็กชายแน่น เมื่ออยู่ด้วยกันความผูกพันก็เกิดขึ้น และมันยิ่งผูกมัดพวกเขาเมื่อเวลาผ่านไป เธอไม่อาจทำใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลานชายฟังได้ คิดว่าเมื่อถึงเวลาก็อยากจะให้เด็กชายจดจำไว้ว่าตนเองคือยายแท้ ๆ
“จะไปไหนกัน? ข้าไม่ได้จะไปจากยายเสียหน่อย” เด็กชายโผเข้ากอดยายของตนอย่างซื่อ ๆ แต่ดูเหมือนการกระทำเหล่านั้นกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มผู้มาเยือน แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นและเฝ้ามองสองยายหลานที่ปลอบโยนกันและกัน
หัวใจที่เย็นชาของเขาไม่อาจเข้าใจความผูกพันเช่นนั้นได้...
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
เสียงของชายสูงวัยแทรกเข้ามาระหว่างความเงียบ
“ยังไงก็ไม่ใช่หลานเรามาแต่ต้น” เขาเพิ่งกลับมาจากการทำงานและเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“พูดอย่างนั้นได้ยังไงกัน! หลานอยู่กับเรามาตั้งหลายปี อยู่ดี ๆ ก็จะเอาตัวไปอย่างนี้น่ะหรือ!?” เป็นยายประท้วงพร้อมกอดหลานชายแน่น
“เข้ามาข้างในหน่อย” ผู้เป็นสามีดึงมือภรรยาเข้าไปด้านในโดยปล่อยหลานชายไว้ข้างนอก กระนั้นชายผู้ซึ่งที่ถูกเรียกว่าผู้ต้องสาปก็ไม่ได้ดึงตัวเด็กชายไปแต่อย่างใด เขายืนเงียบ ๆ และรอเวลาในขณะที่เด็กชายก็มองสำรวจอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่าน...เป็นคนสำคัญที่ว่าหรือ? ทำไมถึงต้องพาข้าไปด้วย?”
“.....” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แค่เพียงเหลือบนัยน์ตามองเด็กชายที่ช่างสงสัยแต่ก็ระวังตัวแจจนน่าขัน กระนั้นเขาก็ขำไม่ออกเพราะสำหรับเขาแล้ว บุคลิกเช่นนี้ค่อนข้างจะน่ารำคาญ
แต่อย่างไรก็เป็นลูกของเธอคนนั้น....
เขาถึงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้....
“ข้าไม่ไปกับท่านหรอกนะ ข้าจะอยู่กับตากับยายที่นี่” เด็กชายขมวดคิ้วแล้วกอดอก แสดงเจตจำนงว่าจะไม่ยอมไปไหนตามใจอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด
“คิดว่าเจ้ามีสิทธิเลือกหรือ วาลเซอิค” น้ำเสียงทุ้มเย็นเยียบบ่งบอกว่าเจ้าตัวอารมณ์ไม่ดีนัก
“ทำไม...รู้ชื่อข้าด้วย?” เด็กชายเบิกตาแล้วถอยหลัง รู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก หากเขาต้องไปกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ ....ไม่ เขาไม่อยากไป เขาคิดเช่นนั้นแล้วหันหลังจะเข้าบ้าน แต่กลับชนเข้ากับตาที่เดินสวนออกมาพอดี ส่วนยายไม่ได้ออกมาด้วย
ชายสูงวัยจูงมือเด็กชายให้เดินออกมาข้างนอกโดยไม่พูดอะไรก่อนจะบังคับให้ยืนตรงหน้าผู้ต้องสาปที่มารับตัว เด็กชายได้แต่สงสัยว่าทำไมวันนี้ตาของเขาเย็นชาถึงเพียงนี้ ทั้งที่ปกติแม้จะดุบ้างแต่ก็ใจดีกับเขาเป็นส่วนใหญ่
“พวกเราไม่ใช่ครอบครัวจริง ๆ ของหลาน....” ผู้เป็นตาพูดออกมาอย่างยากเย็น “คน ๆ นี้ต่างหากที่เป็นคนพาหลานมาให้ หลานเคยถามถึงพ่อกับแม่ไม่ใช่หรือ? เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“แต่ข้าไม่อยากเจอแล้ว....” เด็กชายอ้อนวอน
“ในเมื่อเขามารับตัวหลานก็ต้องไป” ชายสูงวัยปล่อยมือแล้วเดินถอยหลัง
“ไม่เอานะ ตาอย่าทิ้งข้า ข้าทำอะไรไม่ดีหรือ?” แม้ว่าเด็กน้อยจะอ้อนวอนและวิ่งเข้าไปจับชายเสื้ออย่างสิ้นไร้หนทาง ก็กลับถูกสะบัดชายเสื้อออกอย่างไม่ใยดี
“รีบไปซะ” เขากล่าวเช่นนั้นก่อนจะรีบเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองอีก
เด็กน้อยกำชายเสื้อตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เมื่อวานนี้ทั้งสองคนก็ยังรักเขา แต่วันนี้กลับทำเหมือนไม่ต้องการเขาอีกแล้วและต้องการให้ไปกับคนอื่น
“ไปกันได้แล้ว” ชายหนุ่มหันหลังเดินนำไปทางป่า
เด็กชายที่ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใดจึงรีบวิ่งตามไปแม้จะรู้สึกกลัว สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว การถูกไล่ครั้งหนึ่งก็เหมือนการที่ไม่อาจกลับไปหาคน ๆ นั้นได้อีก เมื่อมีที่พึ่งพิงอยู่ใกล้ ๆ จึงจำต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้
------------------>
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว ภายในบ้านกลับยังมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาจากโต๊ะซึ่งปกติจะใช้ทำงานปะชุนเสื้อผ้า ผู้เป็นสามีเดินเข้าไปโอบบ่าภรรยาของตนแล้วนั่งลงข้าง ๆ และฟังเสียงพึมพำระคนสะอื้น
“ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ต้องสาปนะ เด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นอาหาร...”
“ไม่หรอก...เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้ชายคนนั้นเดินกลางแสงแดดได้”
“หมายความว่ายังไงกัน?”
“...เขาเป็นผู้ต้องสาปที่ได้รับถ้อยคำจากมนุษย์ เขาจะเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้แต่ไม่อาจดื่มกินเลือดของมนุษย์ได้”
“ถ้าอย่างนั้น....เขาจะต้องการเด็กคนนั้นไปทำไมกัน?”
“เรื่องนั้น...เราไม่มีทางรู้ได้หรอก....คิดเสียว่าพวกเรามีโอกาสได้เลี้ยงดูเขาเพียงแค่นี้ เรากลับบ้านเก่าพวกเรากันเถอะนะ พออยู่ท่ามกลางผู้คน เดี๋ยวก็คงลืมเรื่องพวกนี้ไปได้เอง...”
หญิงสูงวัยทำได้เพียงตอบรับความต้องการของสามี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่อาจจะลืมเลือนได้ง่าย ๆ เลย...
------------------------>