KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: KO-JAP : ฉันเกาหลี นายญี่ปุ่น รักวุ่น ๆ ของเราสองคน [ตอนที่ 34 บทส่งท้าย 100%] [14.03.2013]  (อ่าน 31208 ครั้ง)

kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : การกระทำ สำคัญ กว่าคำพูด
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมรู้แล้วว่าเวลาของผมที่ไทยมันใกล้จะหมดลงในไม่ช้านี่ เพราะยังไงไอ้รุ่นพี่ซางมินนั่นก็ต้องเอาเรื่องไปบอกทางคณบดีของศึกษาศาสตร์ เออ ก็ลุงผมนั่นแหละ ทางนั้นด้วยความที่หมั่นไส้ผมเป็นทุนเดิม ยังไงก็ต้องถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น เรื่องนี้เดากันไม่ยาก แล้วอีกอย่าง ทุนแลกเปลี่ยนอะไรนั่นน่ะ โกหกทั้งนั้น เพียงแค่ส่งผมมาดัดนิสัยแค่นั้นแหละ

ผมจะบอกให้ว่า ตอนนี้ผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยล่ะ อยู่ที่ญี่ปุ่นผมถูกไล่ออก เนื่องจากไปมีเรื่องชกต่อยกับเด็กที่มันชอบเกาหลี ก็ใครสั่งใครสอนให้มันเอาเจร็อคมาเทียบกับเกาหลีล่ะ พูดมาได้ว่าบัตรคอนเสิร์ตเกาหลีไม่กี่นาทีก็ขายหมด เจร็อคดองไว้เป็นชาติก็ไม่มีใครมาซื้อ ผมก็เลยต่อยมันเอาซะพูดไม่ได้ไปหลายวัน

ดีแล้ว สมน้ำหน้า!!! แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนของมหาวิทยาลัยมาที่บ้าน และบอกว่าผมถูกไล่ออก จะว่าไล่ออกมันก็ไม่เชิงเท่าไร แค่พักการเรียน แต่ผมทะลึ่งบอกว่าจะออกเองแหละ สุดท้ายก็ได้ออกสมใจ

แม่นี่ถึงกับกุมขมับแล้วกวาดบรรดาแผ่น CD, DVD เจร็อคทั้งหลายให้มันตกจากชั้น บางกล่องก็แตก บางกล่องก็หัก แม่ชี้หน้าด่าผมว่าวัน ๆ ไม่ทำอะไร สร้างแต่ปัญหา แถมยังบอกว่าเพราะเจร็อคแน่ ๆ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

หึ!!! คำก็เจร็อคผิด สองคำก็เจร็อคผิด ใช่สิ เพราะพวกเราทำตามที่ตัวเองอยากจะทำ เพราะพวกเรารักในความอิสระจนบางคนคิดว่ามันเกินเลย แล้วก็เกิดการต่อต้านเหมือนแม่ผมเป็นต้น

แล้วผมก็ถูกส่งมาที่ไทย โดยการสร้างข้อมูลเท็จทั้งหมด แม่ผมโทรไปหาแม่ของไอ้ไบเซป ขอร้องให้ผมไปพักกับมันเผื่ออะไรในตัวผมมันจะดีขึ้นบ้าง ตอนแรกผมก็คัดค้าน เพราะอีกคนมันเกาหลีฝังหัว และผมก็เกลียดเกาหลียิ่งอะไรดี ถ้าให้ผมไปอยู่กับมัน มีหวังว่าแค่สองอาทิตย์ผมก็หอบกระเป๋าหนีแล้ว แต่ผมจะไปขัดอะไรแม่ได้ล่ะ?

ผมถูกส่งตัวมาไทยอย่างเร็วที่สุด ไอ้ไบเซปก็มารับผมที่สนามบิน ครั้งแรกที่ผมเห็นมันนี่ถึงกับต้องส่ายหน้าแล้วอยากจะวิ่งขึ้นเครื่องบินกลับญี่ปุ่นทันที แต่บางที ผมก็กลับมาคิด การที่ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ อย่างเกาหลีในแบบเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มันก็น่าจะมีอะไรสนุกขึ้นมาบ้าง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจอยู่ต่อ ซึ่งผมคิดว่า บางทีผมก็ตัดสินใจผิด เพราะระยะเวลาทำให้ผมได้ซึมซับอะไรที่เป็นตัวมัน ทำให้ผมได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง

ทั้ง ๆ ที่พยายามต่อต้านเกาหลีมาก ๆ แต่พอมาอยู่กับไอ้นี่ ผมกลับมองเกาหลีเป็นเรื่องตลก และหาทางที่จะแกล้ง จนสุดท้าย ผมก็ชอบมัน

นั่นแหละ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของผม

ตอนนี้ผมนั่งรอไอ้ไบเซปอยู่ในห้องนอนมัน มันลากผมขึ้นมาพร้อมทั้งบอกว่า คืนนี้ให้นอนที่นี่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเป็นปกติมันคงจะไล่กลับห้อง แถมด่าเสีย ๆ หาย ๆ แต่วันนี้มันเงียบ

ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อม ๆ กับโฮสของผมโผล่หน้าเข้ามา มือของมันถือกระปุกยาเข้ามาด้วย

“หน้ากูมีแผลเหรอ” ผมถามมัน พยายามทำตัวให้ปกติ เพราะบรรยากาศตอนนี้มันชวนอึดอัด

“มันช้ำน่ะ” อีกฝ่ายตอบพลางทิ้งตัวนั่งตรงหน้าผม

“แค่ช้ำ เลือดไม่ได้ออกซักหน่อย” ผมปัดมือมันออกเมื่ออีกฝ่ายจิ้มสำลีตรงที่มันช้ำ

“อย่าดื่อนักได้ไหม” มันบ่นกระปอดกระแปด พลางเอาสำลีชุบยาจิ้มลงอย่างแรง

“โอ๊ย!!!” ผมร้องออกมาพลางยกมือขึ้นปัด แต่อีกฝ่ายคว้ามือของผมไว้ แล้วกดมันลงกับหน้าตัก

“ทีต่อยละไม่เคยร้อง” มันเริ่มสั่งสอนครับ “ทีตอนนี้ละร้องดีนัก”

“....”

“กูเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากท่านคณบดี” มันพูดพลางจับหน้าผมหันซ้ายหันขวา

“แล้วไง”

“อีกฝ่ายข่าวเร็วมาก” น่าน นี่มึงกำลังจะบอกกูว่ากูถูกส่งตัวกลับใช่มะ เหอะ! ดังคาด “ท่านคณบดีบอกว่ารับมึงไว้ที่คณะไม่ได้แล้ว มึงทำคณะเสียชื่อเสียง ทางคณะจะทำเรื่องส่งมึงกลับญี่ปุ่น”

“กูคิดไว้แล้วแหละ”

“กูไม่เชื่อ” อีกฝ่ายพูดขึ้น ปิดฝากล่องกระปุกยา แล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะคอม ไบเซปกลับมานั่งประจัญหน้ากับผมอีกครั้ง “ถ้ามึงคิดจริง มึงคงไม่ทำแบบนั้น”

ไอ้ห่านิ =.=” กูเพิ่งคิดเมื่อไม่กี่นาทีนี่เองเว้ย!!! ผมจ้องมันอย่างขุ่นเขือง แต่ก็ไม่พูดอะไร

“เฮ้อ~~” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา ก้มหน้ามองตักตัวเอง แล้วช้อนสายตาขึ้นมองผม

“ลำบากมากสินะมึง” ผมพูดกึ่งประชด

“กูน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มึงเนี่ยดิ” มันพูดแล้วมันก็เงียบ พลางเอามือขยี้ผม “กูละปวดหัวกับมึงจริง ๆ เล้ยยยย~~ จะอะไรกันนักกันหนา จะรีดคำพูดจากกูไปไหนเนี่ย” พูดจบ มันก็คลานมานั่งพิงเตียงข้าง ๆ ผม หัวของมันเอนลงมาซบไหล่ผมไว้ เฮ้ย!!! บรรยากาศแบบนี้ชักแปลก ๆ

“มึงเคยได้ยินว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูดไหม” ผมพยักหน้าหงึก ๆ แล้วฟังมันพูดต่อ “แต่มึงก็ไม่เคยเอาใจใส่ มึงต้องการเพียงแค่คำพูด มึงไม่ได้มองการกระทำเลย”

“มึงต้องการจะสื่ออะไรวะเนี่ย” และเป็นผมที่งงเอง อีกฝ่ายยกมือผลักหัวผม แล้วตีไหล =.=” อะไรของมึงอีไบ อารมณ์ไหนอีก ซักพักมันก็เอาหัวมันออกจากไหล่ผม แล้วเปลี่ยนมาประคองหน้าผมแทน และนั่นทำให้ผมยิ่งงงหนัก

สายตาของเราทั้งสองประสานกัน หน้าของไอ้ไบเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ และผมคิดว่าตัวเองก็คงไม่ต่าง มันหลบสายตาผม แต่แล้วก็กลับมาสานสายตาใหม่

“มึงมองไม่เห็นเลยหรือไง การกระทำทุกอย่างของกู มันไม่เคยอยู่ในสายตามึงเลยเหรอ” แล้วจู่ ๆ ตามันก็ฉ่ำครับ เอ่อ...กูขอโทษนะไบเซป แต่ชีวิตกูมันมีเพียงแค่ดราม่ากับสะใจ กูไม่รู้ว่าบรรยากาศแบบนั้นมันคืออะไร หรือถ้ามึงบอกกูว่านี่คือโรแมนติค กูก็คงจะนั่งเอ๋อแดกอยู่ดี กูคงจะงงว่าโรแมนติคบรรยากาศมันเป็นแบบนี้เหรอ

“หลายเรื่องที่มึงทำกูวุ่นวาย กูด่ามึงก็จริง แต่สุดท้ายกูก็ยอมมึง มึงสังเกตไหม” รอบนี้ผมพยักหน้า “แล้วเพราะอะไรล่ะ?”

กูจะรู้ไหมล่ะ T____T กูก็คิดแค่ว่ามึงเบื่อที่จะต่อปากต่อคำกับกู ก็เลยยอมแมร่งซะเลย เรื่องมันจะได้จบ แต่สุดท้าย ผมก็ส่ายหน้าครับ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองโง่แปลก ๆ =.=”

“มึงรู้ไหมว่าเวลาที่มึงด่ากู กูไม่เคยเจ็บเท่ากับตอนที่มึงพูดว่ากูเห็นรุ่นพี่ดีกว่ามึง” รอบนี้เป็นผมที่หลบสายตามันครับ กูไม่ได้ตั้งใจพูดนะ แต่ตอนนั้นอารมณ์กูมันขึ้น >////< “กูไม่ได้เห็นใครดีกว่ามึง ฟีนิกซ์ กูเห็นมึงดีที่สุดแล้ว”

มันพูดซะจนผมสำนึกในความผิดของตัวเอง ผมก้มหน้าหงุดเพราะความอาย บวกกับกำลังระลึกชาติว่าทำอะไรไม่ดีกับมันไว้บ้าง แล้วทุกอย่างก็ประดังประเดเข้ามาจนตัวผมสั่น นอกจากจะพยายามบีบให้มันพูดคำว่าหึงอย่างไร้เหตุผลแล้ว ผมยังทำให้มันต้องมายุ่งยาก เพราะลุงโทรมาบอกว่าจะส่งผมกลับประเทศ อีกฝ่ายคงจะหนักใจน่าดู เพราะผมยังไม่ได้บอกความจริงกับมันว่า ไอ้ทุนที่มึงเซ็นไปน่ะ จัดฉากทั้งนั้น (แต่ไอ้ที่ทะเลาะกันผ่านภาษาญี่ปุ่น นั่นของจริง)

มือของไบเซปที่ประคองใบหน้าของผมจับให้ผมเงยหน้าขึ้น ดวงตาของมันรื่นไปด้วยน้ำตา ทำเอาหัวใจของผมเจ็บแปรบ ปากบอกว่าชอบ ไม่สิ ตอนนี้เรียกว่ารักดีกว่า ปากบอกว่ารักแต่ผมกลับทำให้มันร้องไห้ น้ำตาของมันไหลต่อหน้าต่อตาผม นี่กี่รอบแล้วนะ ผมนี่มันใช้ไม่ได้เลยแฮะ

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้มัน นี่คงจะเจ็บกับการกระทำของกูมากเลยสินะ จะบอกว่าขอโทษ กูก็พูดบ่อยจนบางทีมันอาจจะไม่มีผลอะไรแล้วก็ได้

พลันก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง มือของไอ้ไบเซปรั้งใบหน้าของผมให้เคลื่อนเข้าไปใกล้ ในขณะที่อีกฝ่ายก็เคลื่อนเข้ามาเหมือนกัน ผมขืนไว้นิดนึง แต่สุดท้ายก็คิดว่า นี่แหละ...การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ไบเซปมันไม่พูด แต่มันทำทุกอย่างให้ผมเห็น แล้วก็เป็นผมที่โง่ ตาบอดไม่เห็นสิ่งที่มันทำ

ริมฝีปากของเราสัมผัสกันในที่สุด

รอบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รอบนี้ไม่ใช่เพราะไม่เต็มใจ ผมสัมผัสได้ถึงความรัก ความรักที่ผมโหยหามานาน และผมก็เจอมันแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะเกาหลีมากแค่ไหน แต่ถ้ารักจริง แล้วมันจะทำไมล่ะ

มือของผมแทรกเข้าไปยังเรือนผมนุ่มของอีกฝ่าย ไบเซปเปิดปากราวกับจะเชิญชวนให้ผมเข้าไปสำรวจ และผมก็เข้าไปจริง ๆ อีกฝ่ายเริ่มแสดงออกถึงความไม่คุ้นเคย ผมคิดว่ามันน่ารักจนอยากจะแกล้ง ก็เลยดีฟให้มันซักหน่อย อีกฝ่ายส่งเสียงครางเพราะหายใจไม่ออก

นั่นยิ่งทำให้ผมคลั่ง...

มือของผมเริ่มไม่อยู่นิ่ง มันเลื่อนต่ำลงไปที่ลำคอ ลากผ่านเสื้อของไอ้ไบ และสุดท้าย มันก็เลื้อยเข้าไปสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายผ่านทางชายเสื้อ......

Mingky

  • บุคคลทั่วไป

kaino

  • บุคคลทั่วไป
NC!!! 100% for Bedroom

   มือของผมสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายผ่านทางชายเสื้อ แต่คนตัวเล็กกลับจับมือของผมไว้แน่นราวกับมีสัญญาณเตือนภัย ผมผละริมฝีปากจากมันแล้วยิ้มให้

   “โห~~ ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมอีกเหรอ?” ผมถามพลางยักคิ้ว อีกฝ่ายทำหน้าตาบอกไม่ถูก

   “ค..ครั้งแรกนะ...” มันพูดปากสั่น ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ดึงมือออกจากชายเสื้อแล้วแตะที่ริมฝีปากมัน

   “เดี๋ยวผมคุมเกมเองครับ” ผมปิดปากมันอีกรอบ แล้วรอบนี้ไม่คิดจะปล่อยให้มันมาจับมือผมด้วย แขนเล็กของมันทั้งสองข้างถูกผมรวบไว้ข้างหลัง อีกฝ่ายออกอาการตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่นานหรอก หึหึ ร่างกายของคนเรามันปรับกันได้

        ผมอุ้มมันขึ้นไปบนเตียง หากจะทำกันที่ขอบเตียงมันก็กระไรอยู่ บทเพลงรักเริ่มบรรเลงไปเรื่อย ๆ ผมซุกหน้าเข้ากับซอกคออีกฝ่าย และไม่ลืมที่จะฝังเขี้ยวลงไปให้เกิดรอยรักขึ้นมา ผิวสีขาวของมันตัดกับรอยสีชมพูชวนให้น่าหลงไหล กระดุมเสื้อของมันถูกถอดออกจากรังกระดุม แล้วเหวี่ยงลงพื้น ผมลากริมฝีปากผ่านไหปาร้า กัดเบา ๆ ที่หัวไหล่ แต่อีกฝ่ายก็เล่นครางเสียงหน้ารัก ผมเงยหน้ายิ้มให้มัน พลางลูบโครงหน้าเรียว

   “อย่าเพิ่งครางสิ นี่แค่อุ่นเครื่องเองนะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ตีแขนผมเต็มแรง ผมมองอาการเขินของมันอย่างขำ ๆ ก่อนที่จะก้มหน้าลงไปจัดการกับยอดอกสีชมพูหน้ารัก ผมทั้งเม้ม ทั้งกัดด้วยความหมั่นเขี้ยว ปล่อยให้รอมาตั้งนาน(เกือบจะทั้งเรื่องเลยเหอะ) ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขอเต็มที่เลยแล้วกัน

   มือของอีกฝ่ายขยุ่มเรือนผมของผมเต็มแรงราวกับจะปลดปล่อย ริมฝีปากมันคอยแต่จะส่งเสียงน่ารักยามที่ผมเม้มกัดไปตามผิวหนังนุ่ม ๆ ของมัน ตอนนี้มือของผมลากผ่านหน้าท้องแบนราบแล้วไปหยุดอยู่ที่ขอบกางเกง แล้วผมก็ไม่ทำอะไรต่อ อีกฝ่ายปรือตามองผม

   “อะไรของนายเนี่ย” เสียงใสเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

   “อ้าว นึกว่าจะห้ามเสียอีก” ผมแหย่ แล้วเป็นอันต้องโดนสายตาหวานค้อนให้ ก่อนที่มันจะใช้มือเล็ก ๆ ผลักผมออก

   “พอเลย ถ้าแบบเนี่ย ไม่ทำแล้ว!!!” อ้าว ไอ้เชี้ย!!! ไม่พูดเปล่าครับ หลังจากที่มันผลักผมออก ก็ตั้งท่าจะลุกหนีซะงั้น แล้วมีหรือที่ผมจะยอม เล่นมาขนาดนี้แล้ว =.=” มือของผมคว้าเอามืออีกฝ่ายแล้วผลักมันลงเตียงเหมือนเดิม เจ้าตัวเล็กยิ้มทะเล้น แหมะ ไว้ใจไม่ได้เลยนะเนี่ย

   “งอนเป็นด้วย”

   “อย่ามัวแต่พูดมากเหอะ” แล้วมันก็เป็นฝ่ายผลักผมลงกับเตียง แล้วให้ตัวเองขึ้นคล่อม งานนี้ทำเอาผมงงอยู่หลายวินาทีเหมือนกัน

   “ถ้าไม่อยากทำเดี๋ยวทำเองก็ได้” พูดจบริมฝีปากของมันก็ประกบเข้าที่ริมฝีปากผม รอบนี้ผมไม่ต้องเข้าไปควานหาความหวานของอีกฝ่ายให้ยากลำบาก เพราะไอ้ไบเล่นเปิดปากรอเลยครับ พวกเราสองคนแลกลิ้นกันอยู่นาน ก่อนที่มันจะผละออก แล้วส่งยิ้มน่ารัก

   “คุมเกมต่อสิ” มันสั่งครับ เสียงยั่วซะด้วย เพราะงั้น ไม่ขัดคำสั่งและนะ ผมจับมันพลิกลงข้างล่างอีกรอบ แล้วดึงกางเกงออกอย่างรวดเร็ว ส่วนกางเกงชั้นใน ลำบากมาก ฉีกแมร่งเลย (เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ก็ได้) มือของผมกอบกุมส่วนที่อ่อนไหวของไอ้ไบไว้ แล้วรูดขึ้นลงช้า ๆ อีกฝ่ายหน้าเริ่มแดงแต่มันยังกัดริมฝีปากครับ

   เหอะ! พอถึงเวลาครางมึงก็ครางสิโว้ยยยยยยยย

   ด้วยความไม่ยอม ผมรูดให้มันเร็วขึ้น อีกฝ่ายทำหน้าอึดอัดก่อนที่จะปล่อยเสียงครางออกมา ผมยิ้มอย่างดีใจ และไม่วายอยากจะแกล้งต่อ รอบนี้ไม่มือแล้วครับ มือน่ะ เด็กน้อยไป ผมก้มลงไปจูบส่วนอ่อนไหวของร่างข้างใต้เบา ๆ แค่แตะ ๆ เท่านั้นนะ

   “อ...อ่าาาาา ....” แมร่งครางซะขนลุก >/////////////<

   ไม่ปล่อยให้รอครับ ในเมื่อครางออกมาแล้ว ต่อไปก็ต้องเอาให้มันสุด ๆ ผมจัดการอมส่วนนั้นของมัน พร้อมทั้งกัดนิด ๆ อีกฝ่ายดิ้นพร่านแล้วผลักหัวผมออก น้ำตามันคลอเบ้าหน่อย ๆ ผมหลุดหัวเราะออกมา แล้วเปลื่ยนกลับมาเป็นมือเหมือนเดิม ส่วนไอ้ไบกระชากคอเสื้อผมเข้าไปหาแล้วประกบจูบผมอย่างแรง มือของมันถอดเสื้อของผมออก แล้วลากวนอยู่ที่แผงอก ทำเอาผมแทบจะเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือที่รูดขึ้นรูดลงนั้นเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายกระตุกครั้งนึง แล้วน้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมาเลอะมือของผม

   ผมเปลี่ยนจุดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มือก็เลอะแล้ว ละเลงหน่อยก็ดี นิ้วแรกของผมค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปยังร่างกายของอีกฝ่าย

   “ฮึก...เดี๋ยวสิ...” เสียงมันร้องออกมาเบา ๆ แต่ผมก็ไม่หยุดตามที่มันบอกหรอก นิ้วที่สองเริ่มตามเข้าไปติด ๆ อีกฝ่ายเริ่มบิดตัว จนกระทั้งนิ้วที่สาม น้ำตาเม็ดเล็ก ๆ ก็ไหลออกมาครับ ผมก้มลงจูบซับน้ำตาให้มัน

   “เจ็บไม่มากหรอก” ผมกระซิบบอก มือของผมหมุนวนอยู่ในร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อหาจุดกระสัน แล้วผมก็พบครับ อีกฝ่ายสะดุ้งเบา ๆ ถึงจะเบาแค่ไหน แต่ผมที่ผ่านอะไรมาเยอะ ก็พอจะมองออก และผมก็กดจุดตรงนั้นย้ำ ๆ แรง ๆ เน้น ๆ ไอ้ไบกรีดร้องออกมา ผมไม่ปล่อยให้มันร้องนาน อีกทั้งอยากจะแกล้งด้วยแหละ ก็เลยปิดปากมันซะ ส่วนมือก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่สร้างความกระสันให้อีกฝ่าย

   ไหล่ของผมถูกมันทุบอย่างแรง เสียงที่อยากจะเปร่งออกมากลับไม่มี น้ำตาของมันเริ่มไหลออกมาเป็นทาง ผมเลยผละริมฝีปากออกเพราะเกรงว่าไอ้ตัวเล็กมันจะตายเสียก่อน

   “จ...เจ็บ...มัน...” มันพูดออกมาแทบจะไม่รู้เรื่อง เหงื่อผุดพรายขึ้นตามใบหน้าและร่างกาย ผมมองมันยิ้ม ๆ “ม..ไม่ไหว..ไม่ไหวแล้ว” ไอ้ไบเซปหลับตาลง ฟันสวยกัดเข้าที่ริมฝีปากอย่างเชิญชวน ผมจัดการกับกางเกงของตัวเอง

   มือของผมจับสะโพกของไอ้ไบไว้ พลางค่อย ๆ ดันแก่นกายของผมเข้าไป

   “โอ๊ยยย...เจ็บ...” ไอ้ตัวเล็กร้องลั่นกว่าเดิมครับรอบนี้ อาจจะด้วยที่ว่าเป็นครั้งแรก บวกกับความใหญ่ของผมด้วยมั้ง ผมจับใบหน้าของมันให้มาสานสายตา แล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปอีกจนมิด ไบเซปหลับตาแน่น เสียงครางดังออกมาเบา ๆ น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ผมใช้นิ้วโป้งเช็ดออก แล้วจูบมันที่ริมฝีปากล่าง ทั้งดูดทั้งดุนเพื่อให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บปวดจากเบื้องล่าง ก่อนที่ผมจะเริ่มขยับ

   “ฟี..ฟี เดี๋ยว..หยุดก่...หยุดก่อน...” จะมาบอกหยุดตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะมึง ผมคิดขำ ๆ มือผมสานเข้าที่มือของไอ้ไบแล้วยกขึ้นเหนือหัว อีกฝ่ายหลับตาแน่นเมื่อผมเริ่มจังหวะเร็วขึ้น

   “ม..มันเจ็บ... อ่าาาา...” แรก ๆ บอกว่าเจ็บ พอกัดเข้าที่ยอดอก เสือกครางซะงั้น อ่าาาา นี่สิ ผมล่ะติดใจมันตรงนี้แหละ ตอนนี้ผมกำลังหยอกล้อกับยอดอกของไอ้ไบที่ชูชันเพราะความเสียว ลิ้นผมกระวัดสลับกลับไปกลับมาทั้งสองข้าง อีกฝ่ายทั้งร้องว่าเจ็บ ทั้งครางจนผมปรับอารมณ์ตามมันไม่ทัน จังหวะของผมเริ่มเร่งเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของอีกฝ่ายคลอนไหวไปกับจังหวะนั่น

   ผมมองดูสีผิวของไอ้ไบที่ตอนนี้ออกสีชมพูอย่างเห็นได้ชัดเพราะอารมณ์ที่พุ่งสูง ใบหน้าของมันชื้นเหงื่อ ดวงตาที่หลับแน่นแล้วมีน้ำตาไหลออกมาช่างยั่วยวนยิ่งนัก แล้วไหนจะแก้มสีชมพู หรือแม้กระทั่งริมฝีปากที่เผยออกอย่างเชิญชวน อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคค นี่มันยาเสพติดชัด ๆ 0.0!!!!!

   มือของผมจับสะโพกของคนตัวเล็กเพื่อความถนัด ผมรั้งมันเข้ามาใกล้เมื่อตัวเองใกล้จะถึงจุดสุดยอด ส่วนอีกฝ่ายมันปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาอีกรอบเรียบร้อยแล้ว ผมกระแทกแรง ๆ เข้าไปอีกสองสามครั้ง แล้วผมก็ปล่อยภายในตัวมัน

   “ฮึก...” เสียงไอ้ไบกระตุกเมื่อรับรู้ถึงน้ำรักของผมที่ฉีดพ่นอยู่ในร่างกาย ผมค่อย ๆ ถอนแก่นกายออกมา ก้มลงจูบริมฝีปากสีชมพูนั่น พลางเช็ดเหงื่อให้มัน ไอ้ไบปรือตามองผม

   “เหนื่อย...” มันพูดออกมาเพียงแค่นั้นแล้วเงียบ ผมแตะมือที่ริมฝีปากมัน

   “อย่าเพิ่งเหนื่อยสิ นี่แค่รอบแรกเองนะ”

   “มันเหนื่อยจริง ๆ นะ” มันพูดพลางเสมองไปทางอื่น ผมจับคางมันแล้วหันกลับมามองผม

   “ไปต่อที่ห้องน้ำ” ผมพูดยิ้ม ๆ แล้วลุกขึ้นช้อนตัวอีกฝ่าย

   “ห๋า???.. ด...เดี๋ยว....เดี๋ยวสิ..นี่มันเหนื่อยนะ...เหนื่อยแล้วนะ...!!!” ไอ้ไบดิ้นอยู่ในห้องกอดของผม แต่ก็นั่นแหละ จะสู้อะไรผมได้เล่า เท้าของผมเตะเข้าที่ประตูห้องน้ำภายในห้องนอนของมัน ประตูเปิดออกอย่างแรง ผมจับให้อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหากระจกที่อ่างล้างหน้า

   “น..นายจะทำอะไรน่ะ” ไอ้ไบเซปหันควับกลับมาถาม

   “ฉันอยากให้นายได้เห็นหน้าตัวเองน่ะ แล้วนายจะรู้ว่านายทำชั้นคลั่งมากขนาดไหน” สรรพนามเริ่มเปลี่ยนไปตามอารมณ์ เจ้าตัวเล็กอ้าปากค้างราวกับไม่เข้าใจคำพูดเมื่อครู่ ผมปิดปากอีกฝ่าย แล้วส่งลิ้นเข้าไปสำรวจ มือของผมเริ่มทำหน้าที่หยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวของไอ้ไบ

   “อ่าาา...ฟีนิกซ์.....ฟี....เดี๋ยว...อ๊าาาา~~!!!!” ขาเล็กสั่นราวกับจะทรงตัวไม่อยู่ หน้าของไอ้ไบเซปเริดขึ้นด้านบน แก่นกายของผมจ่ออยู่ที่ช่องทางรักของมัน

   ...หึหึ หึหึ ไม่จบง่าย ๆ หรอก...


Mingky

  • บุคคลทั่วไป

dog

  • บุคคลทั่วไป
โอย โดนกินทั้งตัว
หนูฟีจ๋า ป้าแย่แล้ว เลือดหมดตัวเล้ยยยยย

kaino

  • บุคคลทั่วไป
KO-JAP : NC!!! for Bathroom
   โหมด : ไบเซป

   ผมว่าผมกำลังจะตายล่ะ

   โฮ๊คคคคคคคคคคคคคคคคค ถ้ารู้ว่ายอมแล้วจะเป็นแบบนี้ จะเลิกทำตั้งแต่มันหยุดแล้ว จะไม่ยั่วมันต่อแล้วด้วย จบจากเตียงมันก็อุ้มผมมาที่ห้องน้ำ ทั้ง ๆ ที่ที่เตียงผมก็เหนื่อยจนจะสลบอยู่แล้ว หมอนี่ชอบแกล้งผมอ่ะ ปล่อยทีเผลอไม่ได้เลย ใจร้ายชะมัด

   ตอนนี้ผมกำลังหอบจนตัวโยน พยายามไล่งับอากาศให้ได้มากที่สุด ด้านหน้าผมเป็นกระจกที่คอยสะท้อนใบหน้าของผม เล่นเอาไม่อยากจะมอง เพราะมันทั้งออกเป็นสีชมพู ทั้งเหงื่อ ทั้งทุกอย่าง เอาง่าย ๆ คือไม่อยากจะเห็นหน้าตัวเองในสภาพที่ถูกปลุกอารมณ์เช่นนี้ แต่กระนั้น อีฟีมันก็บังคับให้ผมมองเข้าไปในกระจก ส่วนหน้ามันซุกเข้าที่ซอกคอผมแล้วกัดแมร่งโคตรแรง เล่นเอาผมต้องร้องออกมา เพราะทั้งเสียว ทั้งเจ็บ ไอ้นี่มันซาดิสหรือไงนะ กัดผมจนเป็นรอยทั้งตัวอยู่แล้ว ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าใส่ชุดนักศึกษาแล้วจะปิดรอยพวกนี้ได้ยังไง

   เห็นทีคงต้องพึ่งรองพื้น หรืออะไรซักอย่าง T______T แต่ถึงกระนั้นเถอะครับ ตอนนี้มันก็กำลังปลุกอารมณ์ผมอีกรอบ มือผมเกาะขอบอ่างล้างหน้าไว้แน่น เพราะถ้าปล่อยนี่มันทรุดลงกับพื้นแน่นอน ขาผมสั่นเพราะความเสียว บวกทั้งความเหนื่อยล้า แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายมันไม่รับรู้อะไรเลย มือมันรูดขึ้นลงที่ส่วนอ่อนไหวของผม ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยขนาดนี้ มันก็สามารถทำให้จุดนั้นของผมกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง

   อ..ไอ้นี่มันน่ากลัวชิบหาย 0.0!!!!!!

   “อะ...อ๊าาา...ฟี....เดี๋ยวสิ...!!!~~” ผมครางออกมาราวกับคนละเมอ ปากของผมอ้าออก ในขณะที่ส่วนล่างมันพ่นของเหลวออกมาอีกแล้ว ฮือออออออออออออออออออ ถูกปลุกมันทั้งตัวแบบนี้สติแตกกันพอดี

   “หน้านายสวยมากเลย ^^” มึงไม่ต้องมาย้ำเป็นรอบที่ล้านแปดให้กูเขินหรอกไอ้บ้า!!!! ผมหันหน้ากลับไปหามันเพื่อที่จะบอกให้มันหยุด เพราะตอนนี้ผมจะตายแล้วครับ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากบอก ริมฝีปากผมก็ถูกประกบปิดอย่างแรงราวกับมันมีญาณวิเศษรับรู้ได้ว่าผมจะทำอะไร มือของมันปล่อยส่วนอ่อนไหวของผมแล้วหันมาหยอกล้อกับยอดอกแทน นั่นยิ่งทำให้ผมสั่นไปทั้งตัว

   ช่องทางด้านหลังตอนนี้รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มันจ่ออยู่ที่ทางเข้า ผมพยายามผลักหน้ามันออก แต่พอผลักได้มันก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ร้องนาน นิ้วมือของมันก็ล้วงเข้ามาภายในโพรงปากของผม เรียกได้ว่างานนี้รับบทหนักมาก นิ้วมือนี่มันจะช่ำชองไปไหนนะ ลิ้นเล็กของผมตามไม่ทันกันเลยทีเดียว ในขณะที่สติกำลังจดจ่ออยู่กับนิ้วที่มันหมุนวนอยู่ในโพรงปาก จู่ ๆ ความเจ็บปวดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาจากช่องทางด้านล่าง

   ผมหลับตาปี๋ น้ำตาไหลออกมาเป็นทางอีกรอบ นิ้วมือของไอ้ฟียังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แต่รุ้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะรอบนี้รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิม เสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้องน้ำ จนผมเกรงว่าคนข้างบ้านจะได้ยิน

   เสียงหอบหายใจของฟีนิกซ์ปะปนกับเสียงกรีดร้องของผมที่ทำได้เพียงแค่อู้อี้อยู่ในคอ น้ำตาของผมยังไหลเป็นทาง ก็ไหนตอนแรกบอกว่าเจ็บไม่มากไง นี่มันเจ็บจวนจะขาดใจอยู่แล้ว

   นิ้วมือของไอ้ฟีนิกซ์ถูกดึงออกจากปากของผมในสุด เวลานี้ผมครางได้เต็มที่ และรู้สึกว่ามันจะช่วยได้ ถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม สะโพกของผมถูกรั้งไม่ให้หนีไปไหน มือผมยังคงเกาะอ่างล้างหน้า ปากผมอ้าออกไล่งับอากาศ ดวงตาของผมปรืออย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์หรือความเหนื่อยกันแน่ แต่ตอนนี้เงาที่สะท้อนออกมาในกระจก ทำเอาผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตัวผมเอง

   ตอนนี้ผมถูกจับพลิกตัวให้หันหน้าไปเผชิญหน้ากับไอ้คนเอาแต่ใจ รายนั้นรอยยิ้มยกที่มุมปาก ผมหมั่นไส้ก็เลยทุบไปที่ไหล่มันทีนึง อีกฝ่ายแสร้งทำหน้าเจ็บ แล้วหันมาขยับต่อ และเป็นผมที่ต้องกลับมาครางเหมือนเดิม

   ...ฮือออออ T___T ถ้ากูรุกมึงเมื่อไร กูจะเอาให้แสบกว่านี้เป็นร้อยเท่าเลย อีฟี อีบ้า!!!... ผมก่นด่ามันในใจ ในขณะที่อีกฝ่ายงับเข้าที่ยอดอก

   “อ๊าาาาา!!!!” ไม่ต้องบอกก็รุ้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมไม่รู้นะ แต่ผมรู้สึกว่าจุดอ่อนของผมมันอยู่ตรงนี้ ตรงยอดอกนี่แหละ ทุกทีที่โดนสัมผัส หรือโดนกัดเป็นต้องสั่นไปทั้งร่าง แล้วมันก็ต้องส่งเสียงครางออกมาเพื่อระบายอารมณ์ และผมรู้ดีว่าฟีนิกซ์มันก็รู้จุดนี้ มิน่า แกล้งกูซะเหลือเกิน Y___Y

   ยอดอกผมยังถูกละเลงต่อไป พร้อมทั้งช่องทางด้านหลังที่ถูกระรานไม่หยุด แถมมันยังกระแทกไปถูกจุดนั้นของผมซ้ำ ๆ ราวกับอยากแกล้ง เสียงครางของผมทั้งหนักทั้งถี่ จนสติผมแทบจะหลุดลอย โลกเบื้องหน้ามันพร่ามัวไปหมด มือของผมโอบรอบลำคออีกฝ่ายเพื่อหาที่ยึดเกาะ ผมซุกหน้าเข้าหาเรือนผมสีน้ำตาลของไอ้ฟี กลิ่นแซมพูกระทบเข้าจมูกผมเต็ม ๆ และมันก็ทำให้ผมนึกบ้าอะไรไม่รู้ กัดเข้าที่หัวไหล่มัน ไอ้ฟีหยุดการกระทำทั้งหมด แล้วหันมาจับหน้าผมที่ตอนนี้คาดว่าหน้าตาคงเหมือนกับคนเมาเข้าไปทุกที

   “เดี๋ยวนี้กัดเป็นแล้วเหรอ” มันถามหน้าตายียวน ในขณะที่ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะอารมณ์มันค้าง!!!!!! =[]=!!!!!!! มึงอย่าเพิ่งมาพูด มึงมาช่วยกูก่อน!!! ไอ้บ้า!!!!

   “ฟี...ฟี~~” ผมเรียกมันเสียงหลง มือของผมเลื่อนลงไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวของตัวเอง แล้วรูดขึ้นรูดลง ไอ้ฟีมองผมอย่างขำ ๆ “ช..ช่วย...ช่วยด..ด้วย....” ผมพูดเสียงแหบแห้ง ที่ขนาดผมฟังเองยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเสียงของผม ไอ้ฟีนิกซ์หัวเราะซะลั่นห้องน้ำ ในขณะที่น้ำตาผมไหลพราก

   “อยากคุมเกมไหมละ” มันถามพลางจูบลงที่ริมฝีปากบวมเจ่อของผม ผมส่ายหน้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อ

   “ช..ช่วย..ช่วย...”

   “เออ ๆๆๆ รู้แล้วว ๆๆๆๆ ฮ่า ๆๆๆ โอ๊ยๆๆๆ กูขำ” ไอ้เวร!!!!! กูกำลังจะลงแดงตายเสือกมาหัวเราะใส่กู อย่าให้กูได้เอาคืนบ้างนะ ฮือ ๆๆๆๆ นอกจากจะทำให้กูเหนื่อยแล้วยังมาทำให้กูอาย ฮือออออออออออออออ เดี๋ยวจะเอาคืน เดี๋ยวจะทำให้หึง เดี๋ยวจะไปจี๋จ๋ากับรุ่นพี่ให้มึงหึงเป็นฟืนเป็นไฟเลยคอยดูสิ T_____________T

   ผมด่ามันอย่างเคียดแค้นอยู่ในใจ มือของผมก็ยังคงรูดขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จนไอ้ฟีมันตีมือผมออก แล้วดึงให้ไปโอบรอบคอมัน ผมซบใบหน้าเข้ากับไหล่แกร่งของอีกฝ่าย ตอนนี้ดวงตาของผมหลับไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ผมก็รู้หมดแหละว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมบ้าง

   แก่นกายของไอ้ฟีนิกซ์เริ่มขยับ และผมก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่มันแล่นขึ้นมาอีกรอบ มือของมันกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมแล้วทำหน้าที่แทน เสียงกระแทกยังคงดังเข้าสู่โสตประสาท จนตอนนี้ผมภาวนาให้มันจบเร็ว ๆ เพราะถ้าขืนยังทำต่อไปอีกไม่เกินห้านาที ผมขาดใจตายแน่ ๆ

   “อะ...อ้าาาาา~~” แล้วผมก็ปลดปล่อยในที่สุด แขนของผมโอบรอบคอไอ้ฟีนิกซ์ ใบหน้าของผมซบลงไปไหล่ของมัน หัวสมองผมขาวโพลนไปหมด ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เริ่มที่เตียงแล้วตอนนี้อยู่ที่ห้องน้ำ ผมปล่อยออกมากี่รอบ แต่รู้สึกว่าจะหลายรอบแล้วล่ะ ฟีนิกซ์กระแทกไม่กี่ครั้งผมก็รู้สึกถึงของเหลวที่มันอยู่ในร่างกาย และไหลออกมาตามขาของผม แก่นกายของฟีนิกซ์ถูกถอดออก ผมทรุดลงทันที แต่ดีที่รั้งคอมันไว้ได้ อีกฝ่ายพยุงผมให้ไปพิงผนังห้องน้ำ

   ความเย็นจากผนังสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง ทำให้ผมขนลุก ริมฝีปากของผมถูกครอบครอง อีกฝ่ายทั้งดูดทั้งเม้มจนเกิดเสียง แล้วริมฝีปากมันก็จรดลงที่หน้าผากของผม

   “เหนื่อยแล้ว” ผมพูดเบา ๆ มือลูบที่แผ่นอกของไอ้คนหื่นกาม ฟีนิกซ์รั้งมือผมขึ้นไปสานไว้เหนือหัวแล้วกดเข้ากับผนังห้องน้ำ

   “มันเพิ่งจะสองรอบเองนะ” มันยิ้มส่งมาให้ เล่นเอาผมหมั่นไส้จนต้องยกขาขึ้นเตะ แต่ก็นั่นแหละ เบื้องล่างของผมมันระบมอยู่แล้วจะเตะได้ไงเล่า งานนี้ก็เลยถูกมันสะกัด เข่าของมันแทรกเข้าหว่างขาผมจนรู้สึกเสียวถ้าเกิดมันแทรกขึ้นมาสูงกว่านี้ “จะเตะแบบนี้แสดงว่ายังมีแรงเหลืออยู่”

   ผมมองรอยยิ้มมันแล้วส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้ว”

   “ไม่เอา เพิ่งสองรอบเอง” ไอ้...ไอ้...ไอ้ควายยยยยยยยยยยยย!!!!!

   “สองรอบที่ไหน ชั้นหลายรอบแล้วนะ”

   “แต่ฟีเพิ่งจะสองรอบเองนะ” =.=” รอบนี้นึกบ้าอะไรเรียกชื่อแทนตัวเนี่ย

   “นั่นมันนายนิ”

   “ไม่เอา ยึดตามฟีแล้วกัน ตอนนี้สองรอบ เอ~~ อยากได้ซักสามสี่รอบ” แล้วมันก็ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมต้องทุบไหล่มันไปทีนึง

   “ไอ้บ้า ไม่เอาแล้ว”

   “ไม่ยอมหรอก” พูดจบมันก็อุ้มผมพาดบ่า ผมนี่ทั้งเตะทั้งทุบหลังมัน แต่ไม่ยักมีอะไรเกิดขึ้น ผมกรีดร้องสุดเสียง เพราะรู้แน่ ๆ ว่าคืนนี้มันไม่จบง่าย ๆ T___T จะเอากูให้ตายเลยไหมไอ้ฟี ฮือออออออออออออออออ

   น้ำที่อ่างอาบน้ำถูกเปิด ไอ้ฟีนิกซ์วางผมลงแล้วมันก็ตามลงมา รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า

   “อาบน้ำดีกว่าเนอะ ^,........,^”

   ผมมองรอยยิ้มมัน พลางเบียดตัวเข้ากับมุมอ่างให้ได้มากที่สุด ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวราวกับสัญญาณเตือนภัยว่า สถานที่ต่อไปมันอยู่ตรงนี้แน่ ๆ

dog

  • บุคคลทั่วไป
โห
ถ้าจะอัดอั้นตันใจมากนะเนี่ย
จัดซะหนักเลย ถนอมๆเค้าหน่อยเซ่ ตาฟินิกส์

mister

  • บุคคลทั่วไป

kaino

  • บุคคลทั่วไป
KO-JAP : NC!!! for Kitchen
   โหมด : ฟีนิกซ์

   โอ๊สสสสส!!!!! เอาล่ะ ตอนนี้ผมเล่นสนุกกับเจ้าตัวเล็กมาสองรอบแล้ว ขณะนี้ผมและไอ้ไบเซปกำลังพักยกนั่งแช่อยู่ในอ่างอยู่ครับ ใช่แล้วล่ะ ผมใช้คำว่าพักยก เพราะงั้น แสดงว่ามันยังไม่จบครับ (^,.....,^) กะว่าจะเล่นกับมันซักสามสี่รอบ โทษฐานที่ทำให้ผมรอนาน แล้วก็ทำให้ผมหึงด้วย แต่มองหน้าเหนื่อย ๆ ตาปรือ ๆ ของมันแล้วก็รู้สึกสงสารอยู่นิด ๆ อันที่จริงจะว่าผมเซ็กส์จัดก็ได้นะ แต่ว่า จัดแค่กับไม่กี่คนหรอก และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้ไบเซปรวมอยู่ด้วย ฮ่า ๆ

   ร่างกายของมันทำผมคลั่งราวกับกำลังลิ้มรสอาหารราคาแพงในภัตคารสุดหรู หรือไม่ก็ราวกับร่างกายของมันเป็นสารเสพติด ที่เมื่อเสพเข้าไปแล้วหากจะเลิก มันก็ยาก... ผมนั่งมองอีกฝ่ายที่พยายามทำตัวลีบ เบียดตัวเข้ากับขอบอ่างอาบน้ำอีกฝั่ง ผมขำกับการกระทำของมันจนต้องกวักน้ำใส่อีกฝ่าย เจ้าตัวเล็กส่งเสียงไม่พอใจพร้อมทั้งทำปากพองลม

   ...น่ารักชะมัด...

   “เล่นอะไรของนายน่ะ” โดนไปสองรอบยังปากจัดเหมือนเดิมครับ =.=”

   “เล่นน้ำ” ผมตอบยิ้ม ๆ

   “กวนตีน” ปากหมาจริงไอ้นิ

   หลังจากนั้นมันก็เงียบไป ไม่พูดอะไรอีก ผมเอียงคอมองใบหน้าด้านข้างของมันที่จู่ ๆ ก็เริ่มแดงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ไอ้ตัวเล็กนั่งกอดเข่าอยู่ในอ่าง ในขณะที่ผมนั่งทำตัวตามสบายเต็มที่ และสายตามันก็เล็งมาที่แก่นกายของผมเสียด้วยสิ หุหุหุหุ แอบหื่นนิหว่า (=w=)

   “หน้าแดงอีกแล้ว” ผมแซว

   “อ...อะไร”

   “นายหน้าแดงน่ะ” ผมย้ำอีกพลางหัวเราะหึหึ อีกฝ่ายรีบวาดมือเปะปะกลางอากาศ พลางพูดแก้ตัวไปต่าง ๆ นานา ผมยังคงยิ้มพลางมองการกระทำของมัน จนคนซึนเดเระหุบปาก ผมถึงพูดขึ้น

   “หายเหนื่อยยัง” ไอ้คนซึนเดเระทำหน้าปรับอารมณ์ตามไม่ทัน เพราะผมเปลี่ยนเรื่อง มันเอามือมากอดเข่าเหมือนเดิม

   “อื้อ แช่น้ำหน่อย ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น” เมื่อมันพูดจบรอยยิ้มก็ประดับผมใบหน้าของผม ผมรีบลุกขึ้นจากอ่าง ไอ้บ้านั่นกรี๊ดลั่นพลางยกมือขึ้นปิดตา

   “เฮ้ย ไอ้บ้า!!! จะลุกก็บอกก่อนสิเว้ย” มันพูด มือยกขึ้นปิดตาแน่น ผมกระชากมือมันขึ้นมาคล้องคอแล้วจัดการอุ้มขึ้นจากอ่าง เห็นของกูหมดแล้วยังจะอายอีก

   “โอเค หายเหนื่อยแล้ว งั้นไปต่อ”

   อีกฝ่ายตาเบิกโพลง แล้วดิ้นในอ้อมกอดผม

   “เฮ้ย!! นายจะบ้าเหรอ??!!! ชั้นบอกว่ารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าหายเหนื่อยนะเฟร้ย!!!” ไอ้ไบเซปเริ่มที่จะโมเมเอาตัวรอด ผมฮัมเพลงของท่านศาสดาเพื่อกลบเสียงโวยวายของคนในอ้อมกอดอย่างสบายอารมณ์ อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ แม้แต่แรงดิ้นนั้นเริ่มที่จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะความเหนื่อยอ่อน ผมเปลี่ยนท่าอุ้มเป็นจับมันพาดบ่าแล้วเดินลงมาจากชั้นบนทั้ง ๆ ที่เปลือยอยู่อย่างนั้น

   อ่าาาา ถ้าถามว่าอายไหม ผมคงพูดได้เต็มปากว่าไม่อาย เพราะทั้งบ้านมีอยู่แค่สองคน อะคุๆๆๆๆ (หัวเราะเลว)

   “น..นาย...นายจะพาชั้นไปไหนน่ะ” ไอ้ไบส่งเสียงมาทั้ง ๆ ที่หัวห้อยลงด้านล่าง

   “ห้องครัว” ผมตอบห้วน ๆ

   “เฮ้ย!! ไปทำอะไรที่ห้องครัว” เสียงมันเริ่มรนลานมากยิ่งขึ้น ผมหัวเราะในลำคอ

   “ไปต่อกิจกรรมของเราไง”

   “ไอ้บ้า!!! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ไอ้คนซาดิส ปล่อยลงเลย ชั้นเหนื่อยแล้ว ชั้นง่วงนอนนะ”

   “ก็บอกแล้วไงว่ายึดตามฟี ฟีเพิ่งจะสองรอบ แล้วอีกอย่าง ที่บอกว่าซาดิสเนี่ย แรงไปหน่อยไหม เดี๋ยวก็ซาดิสจริง ๆ หรอก” ผมพูดชวนให้อีกฝ่ายคิดไปในทางที่ไม่ดี เสียงร้องห้ามยังคงดังมาจากริมฝีปากเล็ก แต่ใครสนล่ะ ผมวางไอ้ไบลงที่โต๊ะกินข้าวตัวยาวกลางห้องครัว ไอ้ตัวเล็กทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ สภาพมันตอนนี้กำลังนั่งถ่างขาและผมก็มองมันเต็ม ๆ อีกฝ่ายรีบหุบอย่างรวดเร็ว

   “มองอะไร” ไอ้ไบตะวาด ทั้ง ๆ ที่หน้าแดงเป็นผลตำลึง ผมหัวเราะหึหึ แล้วหันไปค้นของในเค้าเตอร์ติดผนัง ที่จำได้ลาง ๆ ว่าบนนี้มันมีเหล้าอยู่นินา

   “นั่งยั่วจังเลยนะไอ้ตัวเล็ก” ผมพูดพลางหยิบขวดไวท์องุ่นแดงออกมาจากเค้าเตอร์ ถึงมันจะไม่ใช่เหล้า แต่ก็ถือว่าเมาได้เหมือนกัน อีกฝ่ายมองผมที่กำลังเปิดขวด

   “นายจะทำอะไรน่ะ” สายตาของมันเพ่งไปที่ขวดไวท์พร้อมทั้งกลืนน้ำลาย ผมยิ้มให้อีกฝ่ายที่คิดว่าถ้าผู้หญิงทั้งโลกเห็น เป็นต้องละลายแน่ ๆ

   “เอ๊า!!” ผมแสร้งทำท่าแปลกใจ “ก็เรียกฟีว่าซาดิสไม่ใช่เหรอ? ก็เลยจะซาดิสให้ดูไง” แล้วผมก็กระดกไวท์เข้าปากไปหนึ่งอึก ความหวานแปลก ๆ ของไวท์องุ่นสัมผัสเข้าที่ลิ้น ผมส่งเสียงอ้าออกมาเบา ๆ พลางสืบเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย ไอ้ไบเริ่มกระเทิบตัวหนีอยู่บนโต๊ะ

   “เฮ้ย!! อย่าเข้ามานะ” สิ่งของที่อยู่ใกล้มือถูปามาที่ผมเรื่อย ๆ โดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่ไงผมก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะตอนนี้สายตาของผมจดจ้องอยู่ที่ร่างบางบนโต๊ะที่กำลังหาทางหนีเอาตัวรอด ดูแล้วก็นึกขำในความกลัวของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ผมถือไพ่เหนือกว่า หรือว่า...อันที่จริงแล้ว ผมก็ซาดิสเหมือนที่มันว่าจริง ๆ (=.=;)

   เฮ้ย ไม่ใช่ดิ ผมไม่ได้ซาดิสนะ แค่อยากแกล้งมันเฉย ๆ ก็ใครบอกให้มันว่าผมซาดิสล่ะ งานนี้เลยสนองความว๊อน (want) ของมัน ไม่สิ ขนาดนี้เรียกว่าความนี๊ด (need) ดีกว่า >.<

   ผมกระดกไวท์เข้าไปอีกอึก ตอนนี้สมองเริ่มแล่นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ สีหน้าของไอ้ไบบ่งบอกถึงความกลัว แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง 0.0!!!

   บอกแล้ว ว่าไอ้นี่น่ะ ยาเสพติดดี ๆ นี่เอง ไวท์องุ่นแดงถูกส่งเข้าปากผมเป็นรอบที่สาม แต่รอบนี้ผมไม่กลืนมันลงไปครับ เท้าของผมสืบเข้าไปหาอีกฝ่ายบนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากผมประกบเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย มือสะกิดเข้าที่ยอดอกเพื่อบังคับให้อีกคนเปิดปาก ไวท์องุ่นแดงถูกส่งเข้าไปยังปากของเป้าหมาย ลิ้นของผมกวาดไปทั่วโพรงปากของไอ้ไบเซป เพื่อบังคับให้มันกลืนไวท์ลงไป อาจจะมีไวท์บางส่วนที่เลอะออกมาที่มุมปาก แต่นั่นไม่ถือว่าเสียหาย เพราะผมยังมีอีกเป็นขวด ฮ่า ๆๆๆๆๆ

   ไอ้ไบเซปยกมือขึ้นเช็ดปาก แล้วคลานหนีลงจากโต๊ะ ผมรั้งเอวของมันไว้แล้วลากเข้ามาแนบอก แผ่นหลังของมันถูไถไปกับแผ่นอกของผม ยิ่งดิ้น แรงเสียงสียิ่งเยอะ และอารมณ์ผมยิ่งพุ่งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ แต่เท่านี้ยังไม่พอครับ แค่นี้ยังสนุกไม่พอหรอก หึหึหึ ไวท์ยังคงถูกส่งเข้าปากของคนตัวเล็กไปเรื่อย ๆ จนถึงอึกที่ห้า (เยอะพอตัวครับ) ใบหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มขึ้นสีแดงเพราะความเมา ตัวของไอ้ไบเซปเริ่มอ่อนและมันเริ่มที่จะทำอะไรโดยไม่รู้เรื่อง

   การมอมเหล้าเป็นอย่างนึงที่ผมชอบทำเวลาที่จะมีอะไรกับพวกผู้หญิง เพราะลีลาที่แท้จริงมันชอบออกมาตอนเมานี่แหละครับ ฮ่า ๆๆๆ (ถึงตอนนี้ผมคงรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมซาดิสแน่ ๆ 555555)

   “ฟี~~นิกซ์~~” มันเรียกชื่อผมเสียงยานคาง ผมวางขวดไวท์ลงที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้มือ ในขณะที่อีกฝ่ายหันตัวเข้ามาเผชิญหน้ากับผม มือของมันลากวนอยู่ที่ริมฝีปากและแผ่นอกจนทำให้ผมขนลุก บ๊ะ!!! ถ้ารู้ว่ามอมเหล้าแล้วมันจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ มอมมันตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง ผมนี่ก็โง่อยู่ตั้งนาน ฮ่า ๆๆๆๆ

   ริมฝีปากของผมถูกริมฝีปากของไอ้ไบเซปประกบ และเป็นมันที่ลุกล้ำเข้ามายังโพรงปาก ตอนนี้ผมปล่อยให้มันคุมเกม มือเล็ก ๆ ของไอ้ไบกอบกุมแก่นกายของผม แล้วทำหน้าที่รูดขึ้นลง ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อริมฝีปากบางลากผ่านลำคอ มันลากวนอยู่ที่แผ่นอก มือของมันข้างที่ว่างยกขึ้นมารั้งรอบคอของผมไว้ แล้วริมฝีปากมันก็วกกลับมาที่ริมฝีปากของผมอีกรอบ ราวกับติดใจ

   เสียงหอบหายใจของมันพ่นออกมาแรงพร้อม ๆ กับกลิ่นไวท์ที่ติดมาด้วย ผมส่งยิ้มให้มัน พลางลูบศีรษะราวกับเจอเด็กน้อยน่าตาน่ารัก อีกฝ่ายก้มลงไปอมแก่นกายของผมที่มันเริ่มจะแข็งตัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดาน นี่แหละที่เรียกว่าสุขสมล่ะ เมาแล้วเอาใจเก่งแฮะ แบบนี้ต้องเอาให้เมามากกว่าเดิม (^.^)

   คิดได้ดังนั้น ผมก็ถอยตัวออกห่าง จนเจ้านั่นของผมหลุดจากปากมัน ไอ้ตัวเล็กทำท่าเหมือนจะคว้าไว้ แต่ก็พลาด ผมส่งขวดไวท์กลับไปให้ ไอ้ไบเซปเลียริมฝีปากอย่างเชิญชวน

   “เอาดิ ช่วยได้นะ” ผมยิ้มให้มันราวกับผู้ใหญ่ใจดี อีกฝ่ายครางเบา ๆ คว้าเอาขวดไวท์จากมือผม แล้วกระดกอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเพราะมันจะยั่วผมกันแน่ เพราะตอนนี้ไวท์ที่มันกระดกเข้าไป น่าจะสองในสามส่วนไหลเลอะออกมาจากริมฝีปากสวย มันไหลลงมาตามลำคอจนมาถึงแผงอกของมัน แล้วไหลย้อยไปกองที่ส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย นิ้วมือของมันลากวนอยู่ที่ร่างกายของตัวเอง ราวกับจะล่อให้ผมเข้าไปหา และดูท่าสิ่งที่มันทำจะได้ผลเสียด้วยสิ

   ผมเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างหื่นกระหาย (ยอมรับว่าตอนนี้เอาไม่อยู่แล้ว) จากนั้นก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วรวบร่างบางของมันเข้ามากอด ไวท์ที่เลอะอยู่ที่ร่างบอบบางละเลงไปบนตัวผมด้วย ผมดึงขวดไวท์ออกจากริมฝีปากสวย แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ ดวงตาที่มันมองผมนั้นหวานฉ่ำเพราะความเมา ผมออกแรงดึงอีก และไอ้ไบก็ยอมปล่อยอย่างว่าง่าย ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายทำให้ผมสติแตกด้วยการเลียไปมาที่ริมฝีปากตัวเอง มือของผมวางขวดไวท์ไว้ที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้เหมือนเดิม แล้วหันกลับมาสนใจร่างกายตรงหน้าต่อ

   “อ๊าาา~~~” เสียงครางของมันดังขึ้นเมื่อผมก้มลงไปทำความสะอาดร่างกายนั้นด้วยการเลียคราบไวท์ออกจากตัว เริ่มที่ริมฝีปากสีชมพูน่ารัก ลากผ่านลำคอระหงที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยรักสีชมพู แผงอกที่ชวนให้ผมหลงไหล แล้วไหนจะยอดอกทั้งสองข้างนั่นที่ผมไม่ลืมที่จะสะกิดเบา ๆ ให้เจ้าของขนลุกเล่น

   ผมผลักไอ้ไบให้นอนลงกับโต๊ะแล้วเริ่มละเลงไวท์ที่มันเลอะอยู่ตามตัว ริมฝีปากของผมลากผ่านหน้าท้องแบนเรียบ ถึงผมจะรู้ว่าตอนนี้ทุกส่วนของมันต่างก็เต็มไปด้วยร่องรอยที่ผมทำทิ้งไว้ แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังทำเพิ่ม และย้ำจุดเดิมเพื่อให้มันเด่นขึ้นมาอีก ใบหน้าของผมซุกลงเข้าที่ส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย และจูบลงไปเบา ๆ

   “อึก...อะ...” ไอ้ไบเริ่มที่จะส่งเสียงร้อง แต่ดูเหมือนมันพยายามจะห้ามเสียงตัวเอง เพราะเมื่อผมเงยหน้ามองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังกัดนิ้วอยู่ ผมดึงมือมันออก

   “จะกลั้นไว้ทำไมล่ะเนี่ย” ผมถามยิ้ม ๆ

   “ไบเซ..ไบเซปไม่...ส่ง...ส่งเสีย..เสียงหรอกกกกกก~~” มันพูดแล้วหัวเราะ

   “เอ๊ะ! คิดจะยั่วเหรอ” ผมถามกลับ มันยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก

   “ไม่โส่งงงง...เสียงหรอกกกก~~...ยัง..ยังมี..ซาติ อยู่วววน๊าาาา~~” เนี่ยนะมีสติของมึง ไอ้บ้า!!! ผมขมวดคิ้วให้ไอ้ตัวเล็กที่ตอนนี้คิดว่าไวท์ที่มันกินเข้าไปคงเริ่มออกฤทธิ์

   “ไม่ส่งเสียงจริงดิ” ผมยิ้มแล้วถาม

   “อื้อออออ~~~อ่าาาา~~” =.=” เอาไงของมึงไอ้หอย มึงอื้อ แล้วมึงจะอ่าาาาา ทำไมเนี่ย???

   “โอเค งั้นคอยดูก็แล้วกัน”

   “อื้ออออ~~คอยยยย ดูวววว น๊าาาา~~” ล้อเลียนคำพูดกูอีก ผมคิดว่าตอนนี้มันไม่ไหวแล้วล่ะ

   “เดี๋ยวจะทำให้ร้องให้ได้เลย”

   “อู๊วววว น่ากลัววววว~~จาง~~” เฮ้ย!!! ไอ้เชี้ย!! อย่ามาท้าทาย

   “ของจริงกำลังจะมาแล้วนะ” ผมพูดเผื่อมันจะกลัวบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตาหยี แล้วหัวเราะคิกคัก ในขณะที่หน้ามันเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมือมันก็เริ่มที่จะจับส่วนอ่อนไหวของตัวเองรูดขึ้นลง

   “อ่ะะะ อ้าา~ ฮึก!! มาเล้ยยยยย ม่ายกลัวววว~~” สัส!! ท้าทายอย่างนี้ จัดไปครับพี่น้อง ผมก้มลงจูบริมฝีปากมันส่งท้าย ก่อนที่จะเริ่มอะไรที่มันเรียกว่าซาดิสของจริง ว๊อนมากเดียวจัดห๊ายยยย!!!~~

   ผมจับมือไอ้ไบที่กำลังช่วยตัวเองออก แล้วลากมันให้ลงมาจากโต๊ะ จากนั้นก็จัดท่าให้อีกฝ่ายนอนราบลงไปกับพื้นโต๊ะในสภาพคว่ำหน้า เสียงหัวเราะคิดคักด้วยความเมาของมันยังกวนประสาทผมไม่หาย นิ้วของผมส่งเข้าไปยังช่องทางด้านหลังทีเดียวถึงสามนิ้ว เสียงหัวเราะคิกคักหายไป กลายเป็นเสียงอึก ๆ อัก ๆ ราวกับคนกลั้นเสียงไว้ แล้วผมก็พบว่ามันกำลังกัดนิ้วตัวเองอยู่ แต่ช่องทางของมันนี่เรียกได้ว่ารัดนิ้วของผมไว้เต็มที่

   งานนี้ผมไม่ยอมครับ เมาแล้วท้าทายแบบนี้แหละผมชอบ เดี๋ยวจะจัดให้แบบขอสิบให้ร้อยเลย นิ้วของผมเริ่มเร่งความเร็วเพื่อที่จะเรียกเสียงครางจากอีกฝ่ายให้ได้ พยายามกดเข้าไปที่จุดกระสัน รู้สึกว่าผมจะเป็นบ้ากับเสียงของไอ้ไบเซปมาก แต่ผมก็อยากจะฟังมันครางจริง ๆ นะ แบบว่าผมชอบอ่าาาา TwT แต่จนแล้วจนรอด กดมันตรงนั้นตรงนี้ มันก็มีเพียงเสียงอึก ๆ อัก ๆ จนผมล้มเลิกความตั้งใจ แล้วดึงนิ้วออก

   ดูท่ารอบนี้จะไม่หมูแล้วแฮะ ผมง่วนคิดอยู่กับวิธีการในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ พลางส่ายก้นไปมาจนน่าหมั่นไส้ ผมก็เลยตีป๊าบเข้าไปทีนึง คราวนี้มันหันหน้าหวานเยิ้มของมันมายิ้มแฉ่งให้ผมราวกับจะเยาะเย้ย

   “ม่ายยยยร้องงงง ม่ายยยยยยครางงงงง~~ อิอิ” กวนตรีนกูอีกและมึง =.=” แล้วสายตาของผมก็กระแทกเข้ากับขวดไวท์ที่มันตั้งอยู่บนเก้าอี้

   ราวกับศาสดากำลังตรัสอะไรบางอย่างกับผม...

   ผมมองขวดไวท์ สลับกับใบหน้ายิ้มแฉ่งยียวนกวนตีนของไอ้ไบเซป

   ราวกับได้ยินเสียงกระซิบถึงเคล็ดลับจากท่านศาสดา...

   แล้วรอยยิ้ม(เลว)ของผมก็ผุดขึ้นบนใบหน้าราวกับผู้ชนะ

   หึหึ หึหึ งานนี้ถ้ามึงไม่ร้อง กูยอมเป็นฝ่ายรับตลอดชีวิต หึหึ หึหึ


มีต่อฮะ
เดี๋ยวมาต่อ

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






kaino

  • บุคคลทั่วไป
   เสียงหัวเราะเลว ๆ ของผมดังขึ้นในหัว ในขณะที่มือคว้าเอาขวดไวท์ขึ้นมา ผมเหล่มองขวดไวท์สลับกับไอ้ไบที่ตอนนี้นอนราบคว่ำหน้าเกาะขอบโต๊ะไว้ ราวกับจะรอคอยเวลาที่ผมจะกระหน่ำมันให้เต็มที่ ซึ่งผมก็ไม่ปล่อยให้มันรอนานครับ

   แต่อย่าคิดว่าผมจะกระหน่ำมันโดยใช้ส่วนนั้นนะ ผิดถนัดเลย รอยยิ้มเลวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม พร้อม ๆ กับไวท์แดงองุ่นที่ถูกเทลงมาที่มือ ผมละเลงน้ำไวท์แดงให้ชุ่มมือแล้วลูบไปที่คอขวดไวท์เพื่อใช้หล่อลื่น ดูท่าอีกฝ่ายมันจะยังไม่รู้เรื่อง และผมก็ไม่รู้ว่าผมซาดิสอะไรด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมลองอะไรแปลก ๆ แบบนี้ แอบหวั่นอยู่เหมือนกันครับ >.<

   ผมก้มลงจูบแผ่นหลังของไอ้ไบ อีกฝ่ายเริดหน้าขึ้นแต่ก็ยังไม่ส่งเสียงนอกเสียจากเสียงหัวเราะ ผมกัดเข้าที่ใบหู เจ้าตัวเล็กยู่คอหนีอย่างน่ารัก ผมหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่จ่อขวดใกล้กับช่องทางด้านหลัง

   “ไบเซป” ผมเรียกมัน อีกฝ่ายหันหน้ามาแล้วผมก็รีบประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็ว มือข้างที่ว่างกดศีรษะมันไว้เพื่อไม่ให้มันสะบัดหลุดได้ ในขณะที่มือข้างที่ถือขวดไวท์ค่อย ๆ ดันปากขวดเข้าไปยังช่องทางด้านหลัง เสียงร้องอู้อี้ดังออกมาจากลำคอของอีกฝ่าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะผมยังปิดปากมันไว้อยู่

   มือเล็กสะบัดเปะปะไปทั่วจนผมต้องผละริมฝีปาก ปล่อยศีรษะของมันให้เป็นอิสระ แล้วหันมารวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไขว้ไว้ข้างหลัง จากนั้นก็เอนตัวทับอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ดิ้นหนักเมื่อปากขวดถูกยัดเข้าไปจนมิด

   “โอ๊ยยยยยย!!!~~” เสียงร้องของมันหลุดออกมาจนได้ ขาเล็กสั่นอย่างเห็นได้ชัด ผมค่อย ๆ ขยับขวดไวท์ที่ส่วนคอขวดนั้นเข้าไปยังร่างกายของคนด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ยิ่งขยับมากเท่าไร เสียงร้องยิ่งดัง และขาไอ้ไบยิ่งสั่นมากเท่านั้น มือของผมเลื่อนลงไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย จับมันรูดขึ้นลงช้า ๆ ให้สอดประสานงานกับมือที่ทำหน้าที่ช่องทางด้านหลัง ริมฝีปากของผมพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังเล็ก และไม่ลืมที่จะทำร่องรอยทิ้งไว้

   ใบหน้าของไบเซปเงยขึ้นด้านบน ริมฝีปากเปิดอ้า ส่งเสียงครางน่ารัก ผมหัวเราะหึหึในความสะใจที่สามารถเรียกเสียงออกมาได้ ร่างกายของไอ้ไบเซปสั่นสะท้านจากการปลุกเร้าอารมณ์ทุกช่องทาง

   “ฮึก!! จาไป~~....” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ดวงตาสวยปิดแน่น น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง นั่นยิ่งช่วยขับให้ไอ้นี่ดูสวยกว่ายามปกติ จนผมอดไม่ได้ที่ก้มลงไปจูบเบา ๆ ที่เปลือกตานั่น

   “จะ...จาปายยยย~~...” เสียงไอ้ไบเซปยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับอารมณ์ของมัน ตอนนี้มือของผมทำหน้าที่อย่างดีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จนกระทั่งผมเห็นแก่สมควร จึงค่อย ๆ ดึงขวดไวท์ออกแล้วหยุดการกระทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายค้าง อันนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่อยากแกล้ง ฮร๊าาาาาาาาา ผมขยับนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว มือกอบกุมแก่นกายของตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อม ส่วนไอ้ไบเซปปล่อยมือที่เกาะกับขอบโต๊ะแล้วทรุดลงกองกับพื้น เหงื่อผุดอยู่ทั่วร่างกาย ใบหน้าของมันเหยเกด้วยความทรมาน

   “ฟีนิกซ์~~ ช่วย~~~” เสียงหอบเรียกให้ผมเกิดอารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองไอ้ไบเซปที่ดิ้นอย่างทรมาน มือของมันเริ่มที่จะขยับช่วยตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่าแค่นั้นไม่พอหรอก

   “ช่วยอะไรล่ะ” ผมพูดพลางมองดูอีกฝ่ายคลานเข้ามาหา

   “ช่วย...ช่วยด้วย...” เสียงหอบยังคงพูดติดขัด มือของมันแตะถูกที่เท้าผมพลางใช้เป็นหลักดันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ผมใช้มือเชยคางมันขึ้น อีกฝ่ายปรือตามอง

   “งานนี้นายต้องคุมเกมแล้วล่ะ” ผมพูดกับมันยิ้ม ๆ ดวงตาที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่มีหยาดน้ำตาไหลออกมา

   “ฟีนิก..ซ์...ต้อง..ช่วย.....~~” เสียงของมันยังขาดห่วง ใบหน้าหวานนั่นขึ้นสีแดงชัดเพราะความเมา ในขณะที่มือยังคงช่วยตัวเองอย่างไร้หนทาง ผมไม่ตอบอะไร แถมยังนั่งอยู่เฉย ๆ จนอีกฝ่ายตีมือผมออกแล้วไอ้ไบเซปก็ซุกหน้าลงกับหว่างขาของผม

   โพรงปากเล็กดูดเม้มส่วนปลายแก่นกายที่กำลังชูชันเพราะอารมณ์ ผมนั่งมองอีกฝ่ายปรนเปรอร่างกายของผมอย่างยิ้ม ๆ ตอนแรกกะว่าจะไม่ทำแบบนี้ แต่พอมันด่าว่าซาดิสแล้วก็อดแกล้งไม่ได้ อาการค้างนี่คงทรมานน่าดู ผมสังเกตร่างกายของอีกฝ่ายที่สั่นไปทั้งตัว แถมยังขึ้นสีอีกตางหาก ยิ่งมองยิ่งหลงไหล แล้วยิ่งมาทำแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งอยากจะขย่ำมันอีกรอบ แต่ก็ต้องบอกตัวเองให้รอ

   แก่นกายของผมถูกโพรงปากของอีกฝ่ายอมจนมิด ไอ้ตัวเล็กทำแบบนี้อยู่หลายนาที น้ำตาของมันไหลพรากเพราะความต้องการที่ไม่ได้สนอง ผมจับศีรษะของอีกฝ่ายเพื่อให้มันหยุด ก่อนที่จะดึงมันให้ลุกขึ้นแล้วนั่งคล่อมหันหน้าเข้าหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

   มือบางของคนตัวเล็กโอบรอบคอผม ปากของมันอ้าออก ส่งเสียงน่ารัก ผมค่อย ๆ จับร่างกายอีกฝ่ายนั่งทับแก่นกายที่กำลังชูชัน ไอ้ไบเซปร้องออกมาเบา ๆ เมื่อร่างกายของมันกลืนกินส่วนนั้นของผมเรียบร้อย

   “ขยับสิ” ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย และไม่ต้องให้บอกเป็นครั้งที่สอง สะโพกเล็กเริ่มขยับขึ้นลงช้า ๆ พร้อมกับเสียงครางที่ผมไม่รู้ว่าเกิดจากความเจ็บปวดหรือเกิดจากอารมณ์กันแน่

   จังหวะขยับที่ตอนแรกช้า ๆ บัดนี้มันถูกเร่งให้เร็วขึ้น เสียงหอบเริ่มหนักขึ้น และมือที่โอบรอบคอกลายเป็นจิกเข้าที่แผ่นหลังของผมจนรู้สึกเจ็บ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรมัน กลับหันไปสนใจยอดอกของอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า ผมใช้ลิ้นเลียไปที่ยอดอก มือกุมส่วนอ่อนไหวของมันแล้วขยับแรง ๆ ไอ้ไบเซปร้องเสียงหลง เพราะถูกรุกรานจากทุกช่องทาง เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นมากกว่าเดิมเพราะแรงที่มากขึ้นเมื่อจะถึงจุดสุดยอด แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่ยอมให้มันจบง่าย ๆ

   ในจังหวะที่เจ้าตัวเล็กร้องว่าจะถึงแล้ว ผมก็จัดการปิดช่องทางการพ่นน้ำรักของมัน สีหน้าของไบเซปบ่งบอกได้อย่างดีถึงความทรมาน

   “ฟีนิกซ์...ได้โปรด....” เสียงหวานเอ่ยอ้อนวอน ผมหัวเราะหึหึ แล้วกัดเข้าที่ติ่งหูของอีกฝ่าย

   “ไปพร้อมกันสิ”

   “ได้~~โปรด~~ปล่อย~~” ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มที่จะละเมอแล้วครับ แก่นกายของผมที่ค้างอยู่ในตัวมันรู้สึกปวดหนึบพอกัน เพราะมันหยุดขยับ ทำให้อารมณ์ผมค้างไม่น้อย

   “ขยับเดี๋ยวนี้ไบเซป ไม่งั้นนายไม่ได้ปล่อยแน่” ผมกรอกคำขู่ลงที่หูเล็ก ร่างบางเริ่มขยับขึ้นลงอีกครั้งราวกับคนละเมอ และเสียงครางหวานใสน่ารักก็เริ่มบรรเลงเช่นกัน

   ผมรับรู้ถึงอารมณ์ตอนนี้ที่มันถาโถมเข้ามาและพร้อมที่จะทำให้ผมปลดปล่อย ผมมองร่างบางที่นั่งกระแทกขึ้นลงอยู่บนตัก โครงหน้าเรียวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ดวงตาที่ปิดแน่น  และน้ำตาที่ไหลออกมา ดู ๆ ไปแล้วราวกับปฏิมากรรมชิ้นโบแดงสำหรับผม เพราะกับผู้หญิง ผมไม่เคยให้ความสำคัญมากขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยก็ได้

   ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ปลดปล่อยน้ำรักเข้าที่ร่างกายของอีกฝ่าย มือของผมผละออกจากส่วนอ่อนไหวของไอ้ไบเซปและมันก็พ่นน้ำรักออกมาเลอะมือผมแทบจะทันที ร่างบางอ่อนยวบราวกับตุ๊กตายางถูกปล่อยลม มันเอนตัวเข้ามาซบกับบ่าของผม เสียงหอบดังอยู่ข้าง ๆ หู ผมยกมือลูบเส้นผมมันเบา ๆ แล้วจูบเข้าที่แก้ม

   “เก่งมาตัวเล็ก เก่งมาก” เกิดเสียงรับรู้อู้อี้ดังเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะปล่อยลมหายใจที่สม่ำเสมอออกมา และนั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าตัวเล็กของผมดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

   ผมฉีกยิ้มให้กับตัวเอง

   ...สามรอบสำหรับเซ็กครั้งแรก... ถือว่าไม่เลว...

   ผมช้อนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไว้แนบอก ก่อนที่จะเดินขึ้นบันได แล้วเข้าห้อง ร่างบางถูกผมวางอย่างเบามือไว้บนเตียง ผมล้มตัวลงนอนข้าง ๆ มัน พลางยกผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อีกฝ่าย แล้วกอดไว้แน่น คืนนี้ผมมีความสุข แต่ยังไงผมก็ต้องรีบนอน เพราะเช้าวันพรุ่งนี้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไบเซปต้องอาระวาดบ้านแตกแน่ ๆ หรือบางทีอาจจะไม่ อ่าาาา ผมไม่แน่ใจเลยแฮะ (>.<~~)

dog

  • บุคคลทั่วไป
อู๊ยยยยยยยยยยยยย
แกล้งกันขนาดนี้ขอให้หนูไบอาระวาดให้บ้านฟังไปเล้ย

kaino

  • บุคคลทั่วไป
KO-JAP : พายุ วันอาทิตย์
โหมด : ไบเซป

ผมผงกหัวหนัก ๆ ขึ้นจากหมอน ดวงตาของผมยังปรับแสงได้ไม่เต็มที่ ผมกระพริบตาถี่ ๆ ลำคอรู้สึกแห้งผากอย่างเห็นได้ชัด จะว่าไปแล้วก็หิวน้ำอยู่นะ ผมขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดก็แล่นจากช่องทางเบื้องล่างเข้าสู่สมอง ผมทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด และก็ตัดสินใจที่จะนอนลงเหมือนเดิม อย่างน้อย ถ้าอยู่นิ่ง ๆ มันก็ไม่เจ็บล่ะนะ

ลมหายใจของใครบางคนกระทบเข้าที่แก้มด้านข้างของผม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ผมหันหน้าไปมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่าย จมูกนี่โด่งเป็นสันสวยมาก ใบหน้ามันก็เรียวราวกับผ่านมีดหมอก็ไม่ปาน เอ๊ะ! หรือมันจะผ่านมาจริง ๆ =[]=” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูนั่น ที่ผมสัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบสองชั่วโมง โดยสรุปแล้วหน้าตามันออกจะเหมือนกับเด็กปีสองที่สุดแสนจะไร้เดียงสา แต่ซอรี่เถอะครับ ไอ้นี่น่ะจอมวายร้ายเลย

หัวสมองของผมแล่นย้อนความทรงจำอันแสนสาหัสเมื่อคืน จำได้ว่าบนเตียง ต่อในห้องน้ำ แล้วจบที่ห้องครัว (หรือเปล่า?) เพราะผมจำได้ว่าผมสลบไปตอนที่อยู่ในห้องครัว และก่อนที่ผมจะสลบแมร่งมอมเหล้าผมอีกตางหาก เกิดมาเคยแดกแอลกอฮอล์เยอะขนาดนั้นซะที่ไหน!!!

หลังจากที่เหล้า จะว่าเหล้ามันก็ไม่เชิงครับ รสชาติมันแปลก ๆ เออ แอกอฮอล์อะไรก็ช่างนั่นแหละ ถูกส่งเข้าปากผมเป็นครั้งที่...น่าจะครั้งที่สี่ อาการเมาผมก็เริ่มออก พอเมาแล้วแถมยังถูกปลุกอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้ผมสติแตกเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง แต่มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเข้ามาในตัวผม มันเย็น ๆ แปลก ๆ แล้วมันก็คับแน่นมาก ๆ อาจจะไม่เท่าน้องชายไอ้ฟีนิกซ์ แต่มันก็แน่นล่ะ จากที่ว่าจะไม่ร้อง กลายเป็นว่าผมร้องลั่น จากนั้นไอ้ที่นอนอยู่ข้างผม หรือจะเรียกให้ถูกก็คือผัวผมนี่แหละ >/////////////////< มันก็ทำให้ผมค้าง ช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมาน ผมทำอะไรมากไม่ได้ เพราะด้วยความเมาและมันเป็นครั้งแรก ความสามารถเดียวที่ผมทำได้คือช่วยตัวเอง แต่รู้สึกว่ามันไม่ช่วยห่าอะไรเลยครับ =.+” ถ้าจำไม่ผิด จำได้ว่าตัวเองคลานไปหาไอ้ฟีนิกซ์ชนิดเรียกได้ว่าแทบเท้า แล้วก็ทำทุกอย่างที่มันสั่ง หรือมันไม่ได้สั่งหว่า ผมลืม >.< แต่เอาที่มันชัด ๆ ในหัวสมองเลยก็คือ

...ผมเป็นฝ่ายคุมเกม!!!!! =[]=!!!!!...

รู้สึกอับอายแปลก ๆ ราวกับตัวเองเป็นคนที่อยาก แต่อันที่จริงมันก็อยากจริง ๆ นั่นแหละ และพอใกล้จะปล่อยออกมา มือของไอ้ฟีนิกซ์ก็เสือกมาปิดกั้นทางออก นี่ถ้าตอนนั้นมีสติกราบมันได้ผมคงกราบมันไปแล้ว คิดดูสิครับ จะปล่อยอยู่แล้วแต่ดันปล่อยไม่ได้อ่ะ ส่วนอ่อนไหวของผมปวดหนึบ พยายามอ้อนวอนมัน แต่แมร่งดันมาสั่งให้ผมขยับ ไม่งั้นไม่ปล่อย แล้วใครมันจะกล้าขัดคำสั่งล่ะ งานนี้ก็เลยต้องขยับตามที่มันสั่ง จนกระทั่งมันเสร็จนั่นแหละครับ มันถึงยอมปล่อยผม

ผมเอนตัวซบไหล่มันทันทีราวกับตุ๊กตาถูกปล่อยลม จากนั้นไม่นานผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีก คาดว่าหลับอานะ

“จะจ้องอีกนานไหม?” ผมสะดุ้งเฮือก ตื่นจากพะวัง หวังจะยันกายออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่าจะไม่ทันแล้วล่ะ เพราะร่างแกร่งนั่นกระชับอ้อมกอดแน่น และมันก็ตามมาด้วยริมฝีปากนุ่ม ๆ ของมันที่ทาบทับริมฝีปากของผม

“Morning kiss” ไอ้หน้าหล่อพูดขึ้นเมื่อมันผละออก ผมยังคงนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก หากแต่ใบหน้าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

“เช้านี้เป็นยังไงบ้างครับ?” =.+” อีกฝ่ายถามผมยิ้ม ๆ นี่มึงเมาอะไรหรือเปล่านิ

“เจ็บ” ผมตอบกลับไปแค่นั้น อีกฝ่ายระบายยิ้มบนใบหน้า แล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกรั้นของผม

“เจ็บตรงไหน ให้ฟีเป่าให้ไหม” คำพูดเหมือนดูดี แต่หน้าตามึงนี่มันไม่ให้เว้ย!!! ผมผลักหน้ามันออกเพราะรู้ความหมายแอบแฝงของมันภายใต้รอยยิ้มเทพบุตร

“ม...ไม่ต้อง” ง่ะ ทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธแล้วทำไมมันต้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั่วตัวด้วยวะ >/////////< แต่แล้วความจริงก็บังเกิด เมื่อผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันหยุบหยับ ๆ ไปทั่วตัว

เพี๊ยะ!!! ผมตีมือหนวดปลาหมึกของไอ้ฟีนิกซ์ที่กำลังลวนลามร่างกายของผมอย่างแรง พลางจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“หื่นแต่เช้าเลยนะ” ผมพูดแล้วทำแก้มพองลม ไอ้ฟินิกซ์ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแล้วเอานิ้วจิ้มเข้าที่ข้างแก้มของผมเพื่อที่จะไล่ลมออก

“ก็นายน่ารักนิ”

“พอเลย!!” ผมผลักหน้ามันที่ยื่นเข้ามาใกล้ แล้วขยับตัว “โอ๊ย!!!!”

“ไหวไหม” อีฟีนิกซ์รีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มหลุดลงมากองอยู่ที่ตัก เผยให้เห็นสัดส่วนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดของอีกฝ่าย พลันผมก็หน้าขึ้นสี โฮ๊ค!!!! กูล่ะอยากจะคลั่ง ทั้ง ๆ ที่กูเห็นมันอยู่ทุกวัน แล้วทำไมวันนี้กูเสือกเกิดอารมณ์กับหุ่นมึงวะ กรี๊ดดดดดด~~!!! หรือว่าอารมณ์หนูค้างตั้งแต่เมื่อคืน TwT

ผมจ้องหุ่นมันตาเป็นมัน และถ้าจำไม่ผิดยังคิดว่าตัวเองแอบเลียริมฝีปาก เหอะ ๆ เสียงหัวเราะของฟีนิกซ์ดังขึ้นเรียกให้ผมกลับมามีสติ แล้วทำหน้าเชิดนิด ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบเอาผ้าห่มตรงที่นอนปิ๊กนิกจากนั้นก็ค่อย ๆ จับมันพันไปทั่วร่างบอบบางของผม ถึงจะเจ็บช่วงล่างหน่อย ๆ แต่ถ้าค่อย ๆ ทำความเจ็บปวดก็จะน้อยลง

“ไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมไล่ไอ้ฟีนิกซ์ ทำท่าเหมือนแม่สอนลูก อีกฝ่ายยู่หน้าแล้วล้มกลิ้งลงที่เตียง =.=” ที่นอนกูนะมึง

“ไม่เอา วันนี้มันวันอาทิตย์นะ” เถียงเป็นเด็กเป็นเล็ก ไอ้นิ

“แต่นายก็ต้องหัดตื่นแต่เช้านะ”

“งั้นอาบน้ำด้วยกันไหมล่ะ” (=[]=!!!!) เรียกได้ว่าหน้าชาวูบ เถียงไม่ออกทันที ไอ้คนหื่นเด้งตัวลุกจากที่นอนอีกครั้งแล้วฉีกยิ้มหวานที่มันเคลือบไปด้วยยาพิษ ผมคว้าของใกล้มือแล้วโยนกลับไปที่เตียง

“ไม่ต้องแล้ว ไอ้บ้า ไอ้คนหื่น” พูดจบกระเดินกระแทกเท้าช้า ๆ ไปที่ห้องน้ำ ผมปิดประตูเสียงดังเพื่อระบาย ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะมันเขิน (>///////<)







โหมด : ฟีนิกซ์
ผมนั่งมองอีกคนที่เรียกได้ว่าคลานเข้าห้องน้ำ เพราะกว่ามันจะก้าวแต่ละก้าวนี่โคตรจะช้า จนผมยังแอบคิดว่าหอยทากจะเร็วกว่าหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้อะไรกับมันหรอก เพราะคนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ก็ฝีมือผมเองแหละ ฮ่า ๆๆๆๆๆ สามรอบ วู๊ววววววววว~~~~!!! ไม่มีอะไรวิเศษเท่านี้ได้อีกแล้ว (>.<) คิดแล้วขำ แมร่ง ใครวะพูดอย่างดิบดีว่าอนาคตต้องมีครอบครัว ต้องมีทายาท แล้วไงวะไอ้ฟาย สุดท้ายมึงก็ครางอยู่ใต้ร่างกูอยู่ดี แถมตอนในห้องครัว มึงก็ยังขยับเองอีกตางหาก!!! กร๊าก ๆๆๆๆๆๆ (หัวเราะเลว)

ผมขยับตัวลุกเก็บเสื้อผ้าที่มันเรี่ยราดอยู่บนพื้น คว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันรอบเอว แล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่ห้องนอนของตัวเอง ในขณะที่มือแตะลูกบิดประตูเสียงโทรศัพท์ไอโฟนของผมก็ดังขึ้น ผมเดินกลับไปคว้ามือถือที่อยู่บนหัวเตียง ชื่อบุคคลที่โทรเข้าโชว์เด่นหราอยู่หน้าจอ และผมก็รับรู้ได้ทันทีว่า ช่วงเวลาที่จะถูกส่งตัวกลับใกล้เข้ามาทุกที






ตอนนี้ผมนั่งอยู่ห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งไอ้ไบเซปที่วิ่งตาเหลือกลงมาต้อนรับคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ หลังจากที่ผมได้รับโทรศัพท์ และตะโกนบอกมันเข้าไปในห้องน้ำ

“เอ่อ...ท่านคณบดีมาหาผมในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ?” ไอ้ไบเซปถามอย่างมีมารยาท ในขณะที่ผมนั้นนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า ท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์ยกน้ำเย็นที่ไอ้ไบเซปนำมาเสิร์ฟ หากแต่ถือค้างไว้ แล้ววางมันลงบนที่รองแก้ว

“นั่งก่อนสิ” ลุงของผมผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง จนผมต้องขมวดคิ้วว่าตกลงนี่มันบ้านใครวะ

“อืมมมมม” เสียงของท่านคณบดีดังขึ้น ไอ้ไบเซปกัดริมฝีปากรอฟังเหตุธุระในวันนี้ แต่ไม่ต้องบอก ผมก็คิดว่ามันรู้นะ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของผมกับไอ้ซางมินอะไรนั่นหรอก “ดังที่เธอรู้ เธอคือผู้รับผิดชอบดูแลเจ้านี่” ลุงชี้นิ้วมาที่ผม ซึ่งผมก็ยังกระดิกเท้าอยู่

“อ่าาา ใช่ครับ” ไอ้ไบเซปตอบปากสั่น คือมันยังไม่รู้ว่าผมกับคณบดีคณะศึกษาศาสตร์เป็นญาติกัน (ทั้ง ๆ ที่จะจบเรื่องแล้วนะมึง =.=”)

“เธอคงจะรู้เรื่องที่นักศึกษาแลกเปลี่ยนในการดูแลของเธอไปก่อเหตุวิวาทที่ผับ” เสียงของลุงกดให้ต่ำลง ดวงตามองสลับไปมาระหว่างนักศึกษาแลกเปลี่ยนและโฮส ไอ้ไบเซปพยักหน้าไม่พูดอะไร พลางถูมือที่วางอยู่บนตัก

“เรื่องนั้นผมทราบครับ และก็จัดการแล้วครับ”

ท่านคณบดีขมวดคิ้ว “เธอจัดการยังไง”

“ผมรีบลากตัวเขากลับมาครับ”

“แต่ชั้นได้ข่าวว่าคู่กรณีถูกต่อยซะหน้ายับ” นี่คงหมายถึงไอ้ซางมินสินะ โถ~~ จะไปห่วงมันทำไมครับ ปากหมาแบบนั้นน่ะ หลังจากที่ลุงพูดจบ สายตาทั้งสองคู่ก็ตวัดมองผมด้วยความหมายที่ต่างกัน สายตาของลุงฉายแววถึงความสะใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกคน ไอ้นั่นทำหน้าเศร้า =.=” เฮ้ย!! มึง อย่ามาดราม่าอะไรตอนนี้ กูรู้ว่ากูผิด และกูก็รู้ว่ากูทำอะไร ไม่ต้องมามองให้กูเอ่ยคำว่าขอโทษ หรือขอร้องให้กูสำนึก ไม่มีวันเหอะ!!!!

“เอ่อ...เรื่องนั้นผมยังไม่ทราบครับ” ไอ้ไบเซปตอบอ้อมแอ่ม เอาแต่ก้มหน้ามองหน้าตักตัวเอง และมันทำให้ผมอยากจะกระชากแขนมัน เหวี่ยงเข้าห้องนอน ล็อคประตู ส่วนผมเป็นฝ่ายที่เคลียธุระนี่เอง แต่ผมก็ไม่ทำ ผมยังไงนั่งฟังการสนทนาเสแสร้งนี่ต่อไป

“เธอไม่ทราบ?” ลุงผมพูดขึ้นเสียงสูงราวกับแปลกใจ อีกฝ่ายยังก้มหน้า “ชั้นไม่รู้ว่าเรื่องที่จะพูดต่อจากนี้มันจะทำให้เธอรู้สึกผิดในฐานะโฮสหรือเปล่า แต่ชั้นบอกตามตรงว่า ที่ชั้นมาหาเธอในวันหยุดแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราจะ ‘มองข้าม’ ไม่ได้” ลุงจงใจเน้นเสียงหนัก ไอ้ไบยังคงเงียบต่อเพราะถูกต้อน ส่วนผมกำหมัด จิกนิ้วลงที่หน้าขา นี่ถ้าอัดได้คงอัดไปนานแล้วนะ

“ครับ ผมรู้”

“และเธอคงจะรู้ดีว่าคณะศึกษาศาสตร์เราบ่มเพาะนักศึกษาให้เป็นครูที่ดีของสังคม”

“ครับ ผมรู้”

“นักศึกษาที่ก่อปัญหา ก็เท่ากับขาดคุณสมบัติความเป็นครู”

“ครับ ผมรู้”

“แถมเขายังมาในนามนักศึกษาแลกเปลี่ยน”

“ผมรู้ครับ”

“เธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่ชั้นจะพูดต่อจากนี้นะ” ลุงของผมเว้นระยะ ไอ้ไบเซปเงยหน้าขึ้นมาในรอบหกล้านปี

“ผมคิดว่าผมรู้ครับว่าท่านจะพูดอะไรต่อ” ดูเหมือนว่าน้ำตามันเริ่มจะเอ่อที่เบ้าตา ผมนั่งมองอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้คงต้องเย็นชาแล้วสินะ อีกฝ่ายเศร้า แล้วจะมาเศร้าตอบ เรื่องมันจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ คงต้องถึงเวลาใจร้ายแล้วล่ะ

“ลุงจะพูดอะไรก็รีบพูดเถอะ จะมาบิ้วอารมณ์มันทำไม” ผมพูดแทรกขึ้นกลางคลันเป็นภาษาญี่ปุ่น ลุงตวัดสายตามองผมอย่างโกรธแค้น “จะมองผมแบบนั้นทำไมล่ะครับ ในเมื่อคนทั้งคณะมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าเราเป็นญาติกัน ชื่อเสียงของลุงและคณะมันเสียหายไม่เยอะหรอกครับ” ผมตอบกลับไปอย่างโกรธ ๆ

“ชั้นคิดผิดที่รับแกเข้าคณะไอ้ฟีนิกซ์”

“มันผิดตั้งแต่ผมเกิดมาแล้ว”

“หุบปากซะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” จบคำพูดของลุง ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนรับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือด ถ้าไม่ได้มีบุญคุณกับผม ผมจะไม่ง้อเลย

“ลุงไม่เคยเข้าใจผมหรอก”

“แกก็ไม่เคยเข้าใจคำว่าหน้าตาหรอก”

การปะทะคารมด้วยภาษาญี่ปุ่นจบลงแค่นั้นเมื่อผมไม่พูดต่อ ไอ้ไบเซปมองผมและลุงที่จ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์เบนสายตาไปคุยธุระของท่านต่อ ส่วนตัวผมดิ่งขึ้นไปชั้นบนห้องของไอ้ไบเซปเพื่อที่จะเก็บของ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ ๆ







โหมด : ไบเซป
เรื่องมันชักจะดราม่าขึ้นมาเรื่อย ๆ มาวันแรกขำ ๆ แต่เสือกไม่ขำเมื่อมีเรื่องเกมเข้ามา เรื่องรุ่นพี่ เรื่องชกต่อย โลกนี่มันพลิกด้านได้ทุกเมื่อจริง ๆ ผมนั่งมองตามไอ้ฟีนิกซ์ที่กระแทกเท้าขึ้นห้องอย่างรวดเร็วหลังจากคุยกันอย่างรุนแรงกับท่านคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ด้วยภาษาญี่ปุ่น ผมยังคงขมวดคิ้ว เพราะสองคนนี้กระแทกเสียงใส่กันราวกับมีสงครามต่อกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ผมยังคงนิ่งเงียบ เมื่อท่านคณบดีถอนหายใจออกมา แล้วกลับมาจ้องผมต่อ ผมรู้สึกอึดอัดเมื่อคนมีหน้ามีตาจ้องผมแบบนี้

“ชั้นเสียใจที่จะต้องบอกว่าเราต้องส่งตัวเขากลับญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด”

ผมกะไว้แล้ว “ครับ” ผมพูดเบา ๆ พยักหน้ารับรู้

“เธออาจจะเสียใจในฐานะโฮส แต่ชั้นอยากให้เธอเข้าใจชั้นในฐานะคณบดีของคณะศึกษาศาสตร์เช่นกัน”

ผมพยักหน้าอีก “ผมเข้าใจครับ”

“ชั้นเสียใจจริง ๆ แต่ชั้นจะต้องมองถึงอนาคตและชื่อเสียงของคณะ”

“ไม่เป็นไรครับ” น้ำตาผมมันเอ่อขึ้นมาที่เบ้าตา ท่านคณบดีเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงสั่น “ขอโทษที่ร้องไห้นะครับ แต่อยู่ด้วยกันมาก็เกือบ ๆ จะสามเดือนแล้ว ก็ย่อมผูกพันธ์กันตามประสาโฮสและนักศึกษาแลกเปลี่ยน ผมขอโทษที่ไม่สามารถรับผิดชอบเขาได้ แถมยังปล่อยให้เขาไปก่อเรื่อง” ผมพูดระบายความในใจ ท่านคณบดีนิ่งฟังผม “ผมขอโทษกับชื่อเสียงคณะของท่าน”

“ไม่เป็นไร”

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำมูก แล้วมองไปยังท่านคณบดี สายตาที่อ่อนล้ามองมาที่ผม ท่านผายมือเป็นเชิงอนุญาต “เขาจะต้องกลับประเทศเมื่อไหร่เหรอครับ”

ท่านคณบดีนิ่งไปครู่ ก่อนที่จะควักกระเป๋าเอกสารขึ้นมา เปิดดูอะไรบางอย่างในกระเป๋า สายตาของท่านคณบดีจ้องมาที่ผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและหายใจลำบาก

“เฮ้อ~~ ลำบากหน่อยนะ” ท่านผมพลางปิดกระเป๋า ผมนิ่งรอฟัง “แต่เขาจะต้องขึ้นเครื่องคืนนี้”

คำตอบของท่านคณบดีช่างทำร้ายผมราวกับสายฟ้าฟาด

____

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ฟีจะไปแล้วกลับมาหาไบใช่มั้ย ทิ้งกันไปไม่แลกันคงเป็นไปไม่ได้หรอก
สงสารกว่าจะรักกันแล้วต้องจากกันอีก ขอให้อยู่ด้วยกันเร็วๆ อ่านแล้วสงสารทั้งคู่
เข้าใจว่าฟีไม่อยากต่อให้เรื่องยาวแต่ควรพูดกับไบก่อนดีมั้ย จะจากกันแล้วนะ tt'

# มาต่อไวไวนะค้าาาาาา น่ารักดีถึงจะดูงงๆหน่อยก็เถอะ อึนทั้งคู่

dog

  • บุคคลทั่วไป
เอ๊ะ
มันผิดไปหน่อยนะเนี่ย
ไหงต้มมาม่าให้กินซะงั้นอ่าคะ
รีบๆมาต่อน๊า อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ

kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : สุดท้ายแล้ว
โหมด : ฟีนิกซ์

ผมเก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าอย่างลวก ๆ บางอันคิดว่าจะทิ้งไว้ที่นี่ซะด้วยซ้ำ หัวสมองกำลังวางแผนหาช่องโหว่จนความคิดตีกันยุ่ง ถ้าลุงบุกมาถึงที่นี่และคิดจะส่งตัวผมกลับ งั้นก็หมายความว่าแม่เห็นด้วยกับการนี้งั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ไล่ผมให้มาอยู่ไทยแท้ ๆ ไหงจะรับตัวผมกลับล่ะ? ผมว่างานนี้ลุงเล่นผมแรงมาก ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะได้อยู่เต็มหนึ่งปีการศึกษา กลับกลายเป็นว่าแค่หนึ่งเทอมยังอยู่ไม่ถึง

บางที ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับชีวิตการเป็นนักศึกษา

หรือผมควรจะไปเรียนรู้การบริหารธุรกิจต่อจากแม่?

แต่ผมไม่อยากที่จะทำอะไรแบบนั้นนินา ผมไม่ชอบแวดวงสังคมแบบนั้น แต่ก็ยังจะยัดเยียด... เพราะมีทรัพย์สินที่ต้องรักษามาก มันถึงได้ยุ่งยากแบบนี้

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเอือม ๆ มือยัด ๆ เสื้อผ้าชุดดำที่เมื่อวันแรกไอ้ไบเซปชอบเรียกมันว่าเสื้อผ้างานเผาศพเข้ากระเป๋า เสียงเปิดประตูดังเข้ามาทำให้ผมหันกลับไปมองตามต้นเสียง พบไอ้ไบเซปยืนพิงกรอบประตูอยู่ ดวงตามันแดงก่ำเพราะร้องไห้ ท่าทางมันอิดโรยน่าดู

“นายรู้หรือยังว่าจะขึ้นเครื่องเมื่อไร” มันถาม ผมส่ายหน้าส่งเสียอู้อี้ว่าไม่รู้ พลางวิ่งวุ่นเก็บของ “ถ้ายังไม่รู้ทำไมต้องรีบเก็บล่ะ?” อีกฝ่ายถามอีก ผมชะงัก

“แค่ชั้นรู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้วน่ะ” ผมตอบแบบขอไปที

“งั้นเหรอ?” แล้วมันก็ไม่พูดอะไรต่อจากนั้นอีก มือของมันยกขึ้นมาปาดน้ำตา นั่นทำให้ผมหยุดเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วเดินไปลากมันเข้ามากอด อีกฝ่ายไม่ขัดขืน “ท่านคณบดีบอกชั้นว่านายจะต้องขึ้นเครื่องคืนนี้” เสียงไอ้ไบเซปสั่นอย่างเห็นได้ชัด มือของมันขยุ่มเสื้อของผม ในขณะที่ผมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น คางเกยอยู่ที่ไหล่ของมัน

“เร็วมาก” ผมพูดออกมาเบา ๆ ดวงตาเริ่มร้อน เพราะผมเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเร็วขนาดนี้

“ท่านบอกว่ามันเรื่องใหญ่มาก”

“อืม” ผมส่งเสียงรับรู้พลางลูบหัวของอีกฝ่าย

“นายทำไปทำไมอ่ะฟีนิกซ์ นายไม่คิดเหรอว่าผลมันจะเป็นแบบนี้” ไอ้ตัวเล็กในอ้อมกอดผมสั่นหนักขึ้น ผมไม่ตอบมัน เพราะให้ตอบยังไง มันก็เหมือนกับแก้ตัว อันที่จริงผมก็คิดอยู่ว่าอย่างน้อยก็แค่น่าจะพักการเรียน หรือไม่ก็ตัดคะแนนความประพฤติ หรืออะไรก็ตามที่มันไม่หนักเท่ากับส่งกลับประเทศ แต่นี่เล่นเอาผมงงมากเมื่อจู่ ๆ ลุงก็โผล่หน้ามา เล่นมาบอกด้วยตัวเองนี่คงจะเป็นแผนขั้นเด็ดขาดที่จะรักษาหน้าตาตัวเองและคณะ

ผมคิดว่าผมพลาดนะงานนี้...

ไอ้ไบเซปผละตัวออกจากอ้อมกอดผม มันสูดน้ำมูกฟุดฟิด พลางกลั้นสะอื้น ก่อนที่จะใช้หลังมือไหล่ไปตามโครงหน้าของผม

“เก็บของเถอะ ท่านคณบดีบอกว่าจะเป็นคนไปส่งนายที่สนามบินด้วยตัวท่านเอง”

และผมก็รู้ได้ทันทีว่า ลุงกัดไม่ปล่อย... ผมจับข้อมือของอีกฝ่ายที่มันละอยู่ข้างแก้ม พวกเราจ้องหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไร จนในที่สุดไอ้ไบเซปเป็นฝ่ายหลบสายตา มันพูดงึมงำในลำคอว่าจะส่งไปชั้นล่าง เพราะลุงของผมยังคงนั่งรออยู่ที่นั่น ผมมองมันที่เดินช้า ๆ ออกจากห้อง แล้วผมก็หลับตา

...นายทำไปทำไมอ่ะฟีนิกซ์... เสียงของไอ้ไบเซปที่ถามผมดังขึ้นในหัว

...ศาสดาชั้นเคยพูดไว้ว่า ต่อให้คนฟังจะไม่เข้าใจในความหมายของเพลงที่ศาสดาแต่ง นั่นมันก็เรื่องของคนฟัง ขอเพียงแค่ศาสดาเข้าใจคนเดียวก็พอ นั่นแหละไบเซป ต่อให้นายไม่เข้าใจในสิ่งที่ชั้นทำ มันก็เรื่องของนาย ขอแค่ให้ชั้นได้เข้าใจคนเดียวก็พอ...




ณ. ตอนนี้ผมสอดตัวเข้ามายังที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับในรถประจำตำแหน่งคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ผมไม่บอกลาอีกฝ่ายให้เสียเวลา และไอ้ไบเซปก็ไม่ยืนคุยนานด้วย ผมมองลุงตบไหล่ไอ้ไบเซปสองสามครั้งผ่านทางกระจกหน้ารถ ลุงทำหน้าเศร้า ตีบทแตก ในขณะที่หันหลังให้กับประตูบ้าน รอยยิ้มก็ผุดฉายขึ้นมายังใบหน้าเหี่ยวย่นของลุง ผมกำหมัดแน่นอยู่ที่หน้าตัก และลุงก็สอดตัวเข้ามา

รถสตาร์ทเครื่องอย่างรวดเร็วราวกับว่ากลัวถ้าช้าผมจะกระโดดลงจากรถ ไอ้ไบเซปไม่ยืนส่งที่หน้าบ้าน มันปิดประตูลงและรถก็เคลื่อนตัวออก หัวใจของผมบีบแน่นมันทำให้ผมเจ็บ ในขณะที่มือของลุงเอื้อมไปเปิดเพลงเครื่องเสียงในรถ

“สำนึกหรือยัง?” เสียงของลุงถามขึ้นมาท่ามกลางเพลงยุค 70

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนิ” ผมตอบทั้ง ๆ ที่มองออกนอกกระจกรถ

“นี่แกยังคิดว่าแกไม่ผิดอีกเหรอ?”

“ต่อให้ผมทำถูกยังไง ลุงก็มองว่าผิดอยู่ดี”

“แกจะมองชั้นในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไงวะ”

รอบนี้ผมเบนสายตาไปมองลุง ก่อนที่จะเบนออกนอกกระจกอีกครั้ง

“ลุงไม่เคยทำอะไรให้ผมมองในแง่ดีหรอก”

เกิดความเงียบขึ้นในรถ มันชวนให้ผมอึดอัด จนต้องยกหูฟังขึ้นมาเพื่อที่จะฟังเพลง แต่หูฟังของผมก็ถูกกระชากไปโดยคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดีที่มันหลุดไปแค่หูฟัง ตัว iPhone ยังคงอยู่กับผม

“เพราะเพลงพวกนั้นแหละ ทำให้แกนิสัยเป็นแบบนี้” ผมไม่ตอบอะไร เอาหัวพิงกระจกรถ

“แม่ว่าไงเรื่องที่จะส่งผมกลับ”

“แม่แกปรี๊ดแตก”

ผมถอนหายใจออกมา “แล้วแม่เต็มใจรับผมกลับไหมล่ะ”

“ไม่” ลุงตอบกลับมาสั้น ๆ ผมนิ่งเงียบไปซักพัก

“แล้วลุงจะส่งผมกลับทำไม ในเมื่อแม่ไม่ต้องการ”

“แล้วแกคิดว่าชั้นต้องการหรือไงวะ!!!!” ลุงตะหวาดขึ้นเสียงจนผมยังตกใจ ใบหน้าของลุงขึ้นสีแดงด้วยความโกรธ “แกคิดว่าชั้นต้องการแกหรือไง แกน่ะมันตัวปัญหา แกไปมีเรื่องกับเด็กคณะมนุษย์ แล้วไหนประวัติแกยังมีเรียนไม่จบ แถมยังถูกไล่ออก!!!”

เสียงด่าทอของลุงแทรกเข้ามาในหูของผม มันทะลุเข้าสมองเล่นเอาผมมึนแทบจะเป็นลม แต่ถึงอย่างนั้น คำว่าไม่ต้องการอย่างน้อยมันก็จุดประเด็นความคิดอย่างหนึ่งให้ผม หึ! ในเมื่อไม่ต้องการ...ได้!!! ผมจะทำให้ลุงรู้เองว่า คนอย่างผม มันก็มีดีเหมือนกัน

ผมกดมือถือเข้าแอปพริเคชั่น iMessage ทักไปหาไอ้เด็กทวิตเตอร์นั่น และก็รู้สึกว่าสวรรค์จะเข้าข้างผม เพราะไอ้เด็กนั่นตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว นิ้วของผมละเลงอยู่ที่หน้าจอมือถือไอโฟนในขณะที่เสียงบ่นของลุงเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อผมไม่สนใจ

หน้าจอตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยคำพูดโต้ตอบระหว่างผมและไอ้ทวิต

ผมบอกมันถึงสิ่งที่ผมต้องการ อีกฝ่ายถึงกับส่งข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็รีบตอบกลับไปว่า มันเป็นไปได้ ถ้านายช่วยชั้น แต่ไอ้เด็กนั่นมันก็ยังเรื่องมากบอกว่ามันจะต้องมีการสัมภาษณ์ แล้วไงวะ สัส!! ไอ้เรื่องการสัมภาษณ์มันลำบากมากนักหรือไง ถ้ากูเก่งซะอย่าง ประวัติกูมันก็มีดีอยู่นะ ถ้าตัดเรื่องที่กูชกต่อยกับไอ้เด็กคลั่งเกาหลีที่ญี่ปุ่นออกน่ะ ภาษาญี่ปุ่นกูก็สอบผ่าน N2 แล้วยังมีอะไรที่กูยังไม่ผ่านอีกวะ??!!

...ตกลงนายจะช่วย หรือไม่ช่วย... ผมพิมพ์กลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะขี้เกียจจะเถียงกับมัน แต่ไอ้ทวิตมันก็เล่นผมแสบมาก เพราะมันทิ้งให้ผมรอจนตอนนี้ผมมาถึงสนามบินเรียบร้อยแล้ว มันก็ยังไม่ตอบกลับ จิตใจของผมเริ่มกระวนกระวายในขณะที่ลุงกระแทกประตูฝั่งที่ผมนั่งแล้วลากคอผมลงมาอย่างแรง

“แกจะเล่นอีกนานไหมวะ ไอ้เครื่องเนี่ย” ลุงพูดพลางชี้มาที่เครื่องไอโฟน ผมไม่สนใจ เดินไปเปิดประตูหลังแล้วคว้าเอากระเป๋าเดินทางของตัวเอง ลากเข้าไปในสนามบิน หวังที่จะหนี แต่ลุงก็ยังอุตส่าห์วิ่งตามมา พลางยัดตั๋วเครื่องบินที่มันระบุจุดหมายปลายทาง เวลาที่เครื่องจะออก รอบเที่ยวบิน ระบุที่นั่ง โถ~~~!!!! นี่มันเรียกว่าเตรียมพร้อมชัด ๆ

“ลุงกลับเถอะ ผมขึ้นเครื่องเองได้” ผมพูดพลางลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อน แต่ลุงก็ยังตามมา

“เหอะ! ชั้นจะนั่งเฝ้าจนกว่าเครื่องแกจะขึ้นนั่นแหละ”

“ลุงจะตามอะไรผมนักหนา”

“ชั้นกลัวว่าแกจะไปไม่ถึงญี่ปุ่น!!!” คำพูดนั่นเล่นเอาคิ้วผมกระตุก มือกดออกจากแอป iMessage อย่างรวดเร็วพลางยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง เพราะผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว ไอ้ทวิตยังคงไม่ตอบกลับข้อความของผม เฮ้อ~ นี่จะเรียกได้ว่าจบแล้วดีไหมนะ ทำไมวะ คนยิ่งต้องการความช่วยเหลือ เสือกมาทิ้งกันแบบนี้ คอยดูเถอะไอ้ทวิต ถ้ากูได้กลับไปเมื่อไร กูเอามึงตายแน่

ผมก่นด่ามันในใจพลางก้าวออกจากบันไดเลื่อนเมื่อมาถึงชั้นสำหรับผู้โดยสารขาออก ลุงนี่ตามติดผมราวกับตังเม ผมนั่งรอประกาศเรียกเข้าเกท ตอนนี้ใบหน้าของลุงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มราวกับผู้ชนะ ผมควักมือถือออกมาจากกระเป๋าอีกครั้งโดยหวังว่าจะมีข้อความจากไอ้ทวิต แต่กลับไม่มีอะไร ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าพึ่งไอ้ทวิตไม่ได้ คงต้องโทรคุยกะแม่ให้รู้เรื่อง

นิ้วของผมกดหาเบอร์โทรของแม่และกดปุ่มโทรออก เท้าของผมเดินห่างออกมาจากลุง ทั้ง ๆ ที่กระเป๋าก็ทิ้งไว้ตรงนั้น ผมบอกลุงว่าจะเข้าห้องน้ำ ลุงมองดูนาฬิกาพลางตะโกนบอกว่าอีกสิบห้านาที







ตอนนี้ผมอยู่ภายในห้องน้ำของสนามบิน มือถือถูกยกแนบหู ผมต้องโทรถึงสามรอบกว่าแม่จะรับสาย

“ว่า” เสียงของแม่เฉียบขาดจนผมขนลุก

“แม่รู้หรือยังว่าลุงส่งผมกลับ”

“รู้แล้ว”

“แล้วแม่ก็รับผมกลับเนี่ยนะ”

“แม่ก็เกรงใจลุงแกนิ ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายหน้ายับ”

“เกินไปครับ”

“หน้าตาลุงกับชื่อเสียงคณะคงพัง”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ ลุงน่ะใส่ไฟ”

“แต่ไงแกก็ต้องกลับล่ะ เพราะมันเรื่องใหญ่”

“แม่ครับ...” ผมพูดเสียงเบา มือกำแน่น

“อะไร”

“ถ้าผมจะขอโอกาสล่ะ”

“โอกาสอะไร”

“ให้ผมได้เรียนที่นี่”

“ที่ไหน” =.=” โถ แม่ครับ ผมเครียดอยู่นะครับ

“ที่ที่แม่ส่งผมมานี่แหละ”

“แกยังจะมีหน้าไปเรียนอยู่อีกเหรอ”

“มีคนอื่นที่ก่อเรื่องเยอะกว่าผมอีกนะครับ”

“ไม่ล่ะ แกมาอยู่กับแม่เรียนรู้ธุรกิจนี่แหละ ดีแล้ว”

“แต่แม่ครับ”

“จะเอาอะไรอีกฟีนิกซ์” คราวนี้แม่เรียกชื่อผม และนั่นทำให้ผมต้องเงียบ “หยุดดื้อได้แล้ว อยู่ในโลกความเป็นจริงได้แล้ว”

“ผมก็อยู่ในโลกของความเป็นจริงอยู่แล้วนิ”

“ความเป็นจริงของแกคือเอาหูฟังยัดหูแล้วฟังเพลงเนื้อหามืด ๆ บั่นทอนจิตใจใช่ไหม” นี่กะว่าศาสดากันเลยเหรอ ผมเจ็บเหมือนกันนะครับ

“แม่ไม่เคยเข้าใจผม” ผมพูดอย่างน้อยใจ อีกฝ่ายเงียบ

“แกพูดแบบนี้ประจำ” เสียงของแม่เบาลง

“ผมขอละครับ ผมขอครั้งสุดท้าย” เสียงของผมสั่นราวกับจะร้องไห้ โทรศัพท์ที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงเงียบเสียง หัวใจของผมเต้นตึกตัก ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับแม่ ผมไม่เคยขออะไรจริงจังแบบนี้ เสียงถอนหายใจของแม่ดังขึ้น ผมรู้สึกใจชื้นเพราะคิดว่าแม่คงจะยอม แต่สิ่งที่ตอบกลับมาราวกับน้ำเย็นที่ราดลงบนผิวหนัง

“กลับญี่ปุ่นเถอะลูก ที่นี่เหมาะกับลูกที่สุดแล้ว”






ผมเดินเข้าเกทขึ้นเครื่องราวกับผีดิบไร้วิญญาณ สิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายถูกตัดขาดราวกับไยแมงมุมที่แบกรับน้ำหนักมากจนเกินไป แล้วพังลงมาทั้งไย

ไอ้ทวิตก็ทิ้งผม แถมแม่ยังบอกให้กลับ ที่ทางออกลุงก็ยืนเฝ้า เรียกได้ว่าแผนทุกอย่างที่ผมคิดไว้พังลงไม่เป็นท่า ตอนนี้ที่ผมทำได้คงมีเพียงเดินขึ้นเครื่อง แล้วบินไปญี่ปุ่น

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ที่นั่งติดหน้าต่าง ประกาศจากกัปตันบอกว่าเครื่องกำลังจะขึ้น มือของผมยังคงจับไอโฟนหมุนกลับไปกลับมา หวังว่าจะได้รับข้อความจากไอ้ทวิต แต่ผมก็คงจะหวังมากเกินไป จะรับข้อความจากมันได้ไงล่ะ ในเมื่อปิดเครื่องแบบนี้

ผมยิ้มให้กับเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกเครื่องบิน หึ! มั่นใจมาก ๆ แล้วเป็นไงล่ะ เละไม่เป็นท่า แถมตอนนี้หูฟังก็ยังถูกยึดอีกตางหาก ผมถอนหายใจช้า ๆ ราวกับจะบอกตัวเองว่าทำใจแล้วบินไปญี่ปุ่นเถอะ เครื่องเริ่มเชิดหัวขึ้น ผมยังคงนั่งมองพื้นเบื้องล่างที่มันเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อง ๆ ตกลงนี่ผมกำลังบินอยู่ใช่ไหม... คงจะบินจริง ๆ สินะ สรุปแล้ว ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินไทยแล้วใช่มะ? อีกประมาณแปดชั่วโมงก็จะถึงญี่ปุ่น จากนั้นก็ตลอนตามแม่ ออกเปิดตัวงานสังคมต่าง ๆ นานาแล้วใส่หน้ากากอย่างนั้นเหรอ?

สมองของผมคิดในแง่ร้าย...

ผมล้วงเอากระเป๋าเงินขึ้นมา หยิบเอาบัตรต่าง ๆ นานาออกมาจากกระเป๋า บัตรเครดิตรูดได้ทุกที่ถูกหมุนอยู่ในมือ ตอนนี้จักรกลในสมองของผมกำลังแล่น

เครดิต...รูดได้ทุกที่...

เสียงประกาศว่าสามารถเปิดมือถือได้ดังขึ้น มือของผมกดปุ่มเปิดอย่างรวดเร็ว ข้อความจากไอ้ทวิตยังคงไม่ถูกส่งเข้ามา แต่ผมไม่ได้สนใจหรอก ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งจะนึกได้

หึ! แล้วชั้นจะทำตัวเป็นตำนาน ศึกษาศาสตร์ให้ดู...

 

kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : ก่อน ก่อกำเนิด ตำนาน
โหมด : ไบเซป

ชีวิตผมขาดสีสัน ทุกวี่ทุกวันผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะคิดว่าจะมีอีกคนอยู่ แต่ก็มีเพียงผมและไอ้ทวิตอยู่ภายในห้อง หรือบางครั้ง ถ้าผมตื่นช้ากว่าไอ้ทวิต ก็กลายเป็นว่ามีผมคนเดียวอยู่ในห้อง ทั้ง ๆ ที่พยายามลืม ผมย้ายขึ้นมานอนบนเตียงเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าฟีนิกซ์ยังคงอยู่ที่นี่ และหลายครั้งที่ผมเผลอหยิบเอาที่นอนปิ๊กนิกมาปูบนพื้น

นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่านะ

นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา หกโมงเช้า ผมบิดขี้เกียจพลางลุกไปเข้าห้องน้ำทำกิจวัตประจำวัน ตอนนี้ก็เข้าสู่เทอมที่สอง เวลาผ่านมาเกือบสี่เดือน เอ๊ะ! หรือห้าเดือนกันนะนับตั้งแต่ฟีนิกซ์ถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่น มีข่าวหลากหลายหลุดออกมาจากแหล่งข่าวทั้งเชื่อถือได้และไม่ได้ บางกระแสบอกว่าไอ้ฟีนิกซ์ถูกใส่ร้าย บางกระแสบอกว่าเพราะหนีเกมป๊อกกี้ที่ตัวเองจะต้องลงแข่ง บางกระแสบอกว่า เพราะรับไม่ได้ที่ต้องไปจูบกับไอ้ทวิต หรือแม้แต่กระแสที่มันสุดแสนจะน่าขำก็คือ นี่เป็นกลลวง

ผมไม่รู้ว่าไอ้พวกนี้มันคิดกันได้ยังไง แต่ผมก็นั่งฟังขำ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อกระแสไหนดี เกมป๊อกกี้เป็นอันว่าคู่ตัวแทนของภาคกลางถูกยกเลิก หลายคนบ่นว่าเสียดาย แต่กลับกัน ไอ้ทวิตนี่ยิ้มหน้าระรื่น

ผมจะเล่าให้ฟังว่า คืนวันที่ฟีนิกซ์ถูกลากตัวกลับ ทันทีที่รถของท่านคณบดีเคลื่อนตัวออกไปและผมปิดประตูหน้าบ้าน จนสิ้นฐานะโฮสของนักศึกษาแลกเปลี่ยน ผมเดินขึ้นชั้นบน รื้อผ้าปูเตียงออกมาทิ้งลงที่ตระกร้าผ้ารอซัก เพราะมันมีคราบอันไม่พึงประสงค์เลอะไปหมด จากนั้นก็โทรไปร้องห่มร้องไห้กับไอ้ทวิตราวกับคนบ้า

เราสองคนคุยโทรศัพท์อยู่นานเกือบสามสิบนาที ผมก็ยังไม่หยุดร้องไห้ จนอีกฝ่ายต้องรีบบึ่งรถมาบ้านผมอย่างรวดเร็ว โดยมันให้ข้ออ้างว่ากลัวผมฆ่าตัวตาย (ดูมันคิด) แต่พอมันมาบ้านผม ก็ใช่อยู่ว่ามันมาอยู่เป็นเพื่อน มันเปิดเพลงของบอยแบนด์เกาหลี เกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอตอย่าง Girls Gen หรือแม้กระทั่งวงที่ผมภูมิใจที่สุดอย่าง 2PM ที่มีคนไทยอย่างนิชคุณอยู่ในวง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจเรียกความสดใสร่าเริงของผมกลับมาได้

เอาจริง ๆ คือผมตายซากเรียบร้อยแล้ว

ผมกำลังตายซากกับไอ้หนุ่มเจร็อค =[]=!!!!

ช่วงเวลาที่กำลังหดหู่จนถึงขีดสุด เสียงของหนุ่ม ๆ 2PM ที่กำลังร้องเพลงดังออกมาจากลำโพงข้างจอทีวี มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แถมยังต้องมาเจอไอ้ทวิตนั่งกดมือถือไอโฟนต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ให้รำคาญลูกกะตา สุดท้ายผมก็ระบายความเครียดด้วยการคว้าเอามือถือไอ้ทวิตขึ้นมาแล้วเหวี่ยงติดฝา หน้าตาอีกฝ่ายนี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันทำปากพะงาบ ๆ แล้ววิ่งไปดูสภาพมือถือของมันอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกที มือถือของมันก็เปิดไม่ติด เอาเป็นว่ามันพังไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่า มันจะยิ้มทำห่าอะไร

“ยิ้มอะไรของมึง” ผมถามมันแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา กดปิดเพลง 2PM

“ขำ” มันตอบสั้น ๆ พลางบิดขี้เกียจ ผมคร้านจะต่อปากต่อคำก็เลยไล่มันกลับ แต่ไอ้นั่นก็หน้าด้านไม่กลับครับ มันบอกว่าจะอยู่นอนเป็นเพื่อนผม

“มือถือมึงเป็นไงบ้าง” ผมถามมันเมื่อเข้ามาถึงห้องนอน และมันกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว

“พังแล้ว”

“มึงไม่โกรธเหรอ”

“ไม่ล่ะ ทวิตเข้าใจว่าไบเซปกำลังโกรธ” =.=” อะไรของมึงไอ้คุณหนู มือถือมึงทั้งเครื่องนะเว้ย ต่อให้มึงจะรวยล้นฟ้า แต่โกรธกูหน่อยก็ดี

“ข้อมูลข้างในจะไม่หายเหรอ”

“ไม่หรอก ทวิตมีไอคราว เอาไว้เก็บข้อมูล ข้อมูลมันอยู่บนอากาศ ต่อให้เครื่องพัง เดี๋ยวโหลดกลับมาก็ได้ ท่านศาสดาคิดค้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ Apple’s user โดยเฉพาะเชียวนะ” เอ่อ โอเค กูเข้าใจแล้ว แต่ทำไมมึงต้องกล่าวถึงคำว่า ศาสดา ให้กูได้ยินด้วยวะ แมร่ง ยิ่งเคือง ๆ อยู่ด้วย

“นอนเหอะ”

“ราตรีสวัสดิ์”

“ทวิต”

“หือ?”

“ทำไมมึงร่าเริงได้ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเศร้า”

“เรื่องมันยังไม่จบ ทำไมต้องเศร้าด้วยล่ะ”

“หมายความว่าไงวะ”

“หมายความตามนั้นแหละ”

“กวนตีน”

“อ่าาาาาา ใจร้ายจัง”

“ทวิต”

“ห๋า?”

“เป็นมึงนี่ดีจังเลยเนอะ”

“หือ?” มึงเลิกส่งเสียงแบบนี้ได้มะ กูขอร้อง

“กูนี่เป็นโฮสที่ไม่ดีเลยเนอะ”

“ไม่ใช่หรอก”

“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ”

“ใช่ ๆ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ” =.=” ตกลงมึงจะเข้าข้างกู ให้กำลังใจกู หรือจะด่ากู เอาให้แน่ซิ

“ทวิต”

“What?” เออ ไอ้เด็กอินเตอร์

“มึงว่าไอ้ฟีนิกซ์จะได้กลับไทยไหมวะ”

“ได้สิ”

“หือ?” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายส่งเสียงไม่เข้าใจ

“ฟีนิกซ์ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้ายข้ามชาตินิ แค่ถูกส่งตัวกลับเพราะประพฤติไม่เหมาะสมในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนเฉย ๆ ยังไงก็เข้าประเทศได้อยู่แล้ว”

“อืมมม นั่นสินะ”

“ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ”

“ทวิต”

“อะไรเหรอ?” เปลี่ยนไปเรื่อยอ่ะมึง

“ขอบคุณมากนะ”

“ช่างมันเหอะ”

“ขอโทษที่ต่อว่ามึงหลาย ๆ อย่าง”

“เข้าใจน่าว่าหึง” ผมรีบหันควับไปมองมันที่นอนตะแคงหันหน้ามาหาผม งานนี้ผมผลักหัวมันเต็มแรง

“พูดอะไรของมึง”

“ฮ่า ๆๆๆ”

“นอนได้แล้ว!!!”

“คร้าบบบบบบบบบ~~~!!!”

และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ไอ้ฟีนิกซ์ถูกพาตัวออกไปแล้ว นับจากนั้นผมก็ตายซากอยู่ราว ๆ เดือนกว่า ๆ และไอ้ทวิตก็แทบจะย้ายบ้านมาอยู่บ้านผม เพราะมันมาค้างเป็นเพื่อน การบ่งการบ้านมันก็เอามาทำที่บ้านผม ตอนอยู่คณะ พักเที่ยงก็อุตส่าห์เดินข้ามถนนมากินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนทุกวัน หรือแม้แต่ตอนที่มันเลิกเรียนก่อน ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจมานั่งรอเพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมกัน

อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว ก็มีมันนี่แหละที่อยู่เป็นเพื่อน

อาการตายซากของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ บทเพลงเกาหลีเริ่มทำให้ชีวิตผมกลับมามีสีสัน ยิ่งมีวงเด็กใหม่ผุดขึ้นมาทั้งชายและหญิงยิ่งทำให้หัวใจของผมกระชุ่มกระชวยและเริ่มที่จะลืมเรื่องของไอ้ฟีนิกซ์ได้บ้าง ช่วงที่สอบปลายภาคของภาคเรียนที่หนึ่งผมทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากจิตใจที่ยังไม่คงที่ แต่ผมก็คิดว่าทำได้เยอะอยู่

ช่วงปิดเทอมสั้น ๆ ก็ออกไปเที่ยวพักตากอากาศกับไอ้ทวิต เอาง่าย ๆ เรียกได้ว่าผมลืมไอ้ฟีนิกซ์เกือบจะทั้งหมดแล้วครับ มีบางช่วงที่คิดถึงบ้าง แต่ก็ไม่นาน ผมไม่สนใจว่าทำไมอีกฝ่ายมันถึงไม่ส่งข่าวกลับมาเลย เพราะคิดว่ามันคงจะสำนึกที่ทำตัวเป็นปัญหา ซึ่งแบบนั้นมันก็ถือว่าโอเคนะ ถ้าเหตุการณ์นี้จะช่วยเปลี่ยนนิสัยบ้า ๆ บอ ๆ แปลก ๆ ของมันได้บ้าง

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้ากระจก มองดูการแต่งตัวของตัวเองว่าเข้าที่หรือยัง เสียงเจี้ยวจ้าวแต่เช้าของไอ้ทวิตเรียกให้ผมลงไปกินข้าว เอ่อ ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ามันทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านที่ดีระหว่างที่พักอยู่บ้านผมครับ อาหารที่มันทำนี่รสเลิศทั้งนั้น จนผมแอบสงสัยว่า ผู้ชายบอบบางอย่างมันทำอาหารเป็นด้วยเหรอ

ผมเดินลงมาชั้นล่างแล้วนั่งลงยังที่นั่งประจำบนโต๊ะกินข้าว แต่ผมก็ชะงักทุกครั้งที่มายังสถานที่นี่ ก็จะอะไรอีกเล่าาา!!! ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยนะ ภาพที่่ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกวางบนโต๊ะ แล้วไหนจะภาพเหล้าที่ถูกส่งเข้าปากอีก 0.0!!!! เรียกได้ว่ากินข้าวไม่อร่อยล่ะครับ

“ทวิตมีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่อยากจะถามมานานแล้ว” เสียงของไอ้ทวิตส่งมาจากอีกฟาก มันทำหน้าตาแอ๊บแบ้ว แล้วยิ้ม

“อะไร”

“ทุกครั้งที่ลงมากินข้าว ไบเซปชอบหน้าแดง”

ห่า!! รู้อีกว่ากูหน้าแดง =.=” ผมมองค้อนมันครั้งหนึ่งแล้วไม่ตอบคำถาม ก็ใครมันจะกล้าบอกละว่ากูเคยมีอะไรกับไอ้หัวหนามที่นี่!!! อ๊าคคคคคคคคค รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

ผมรีบยัดข้าวเข้าปากในขณะที่เสียงหัวเราะฮิฮิของไอ้ทวิตดังออกมาให้ได้ยิน

“รีบกินข้าวเว้ย วันนี้เปิดเทอมวันแรก” ผมทำเสียงดุ อีกฝ่ายตอบรับขำ ๆ แล้วเร่งกินข้าวตามที่ผมบอก

“ของมึงมีเรียนเลยหรือเปล่า” ผมถามไอ้ทวิต

“ไม่น่ะ ปฐมนิเทศเฉย ๆ” อีกฝ่ายตอบพลางยัดข้าวเข้าปาก

“เออ ของกูก็เหมือนกัน น่าจะเสร็จก่อนเที่ยง”

“อืมมมม ของทวิตมันแล้วแต่สาขาวิชาแฮะ ตอบไม่ได้ด้วยสิ”

“เออ ถ้าเสร็จแล้ว หรือยังไงก็โทรบอกกูด้วยล่ะ”

“ครับผม!!!”






ขณะนี้เวลาเกือบจะแปดโมงเช้า ผมขับรถมาจอดที่คณะศึกษาศาสตร์เพื่อที่จะส่งไอ้ทวิต หลังจากที่เพื่อนยามทุกข์(?) เดินลงจากรถไปแล้ว ผมก็ขับรถเข้าคณะ วันเปิดเรียนของภาคเรียนที่สอง เด็กคณะมนุษย์ก็ยังคงมาน้อยนิด แถมไอ้พวกที่มาก็แต่งตัวได้ถูกระเบียบมว๊ากกกกกกกกกก (ประชด) ก็เข้าใจอยู่นะว่าเรียนมนุษย์ไม่ใช่ศึกษาศาสตร์ที่จะต้องแต่งตัวให้ถูกระเบียบ แต่ว่า วันนี้มันวันปฐมนิเทศนะเว้ยเฮ้ย!!!!

ผมบ่นอยู่คนเดียวเป็นผู้เฒ่าหัวล้าน เดินวนหาห้องปฐมนิเทศของภาควิชาภาษาเกาหลี เมื่อเจอก็ก้าวเข้าไปในห้อง แล้วนั่งแหมะยังที่นั่งหลังสุดของห้อง เพื่อนก็เริ่มเดินเข้ามาก็ทักทายผมตามมารยาท เพราะหลังจากที่เด็กในความดูแลของผมไปต่อยกับรุ่นพี่ คนที่สาขาก็เริ่มที่จะมองว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ

ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเป็นตัวผมที่ผิดจริง ๆ

ผมนั่งรอจนกระทั่งเวลาประมาณแปดโมงสิบนาที อาจารย์ก็เข้ามาในห้อง และเริ่มแจกเอกสาร

“เอ่อ...มาครบทุกคนหรือยัง” อาจารย์คนเกาหลีเอ่ยขึ้น สำเนียงภาษาไทยแบบแปร่ง ๆ

“ครบครับ” เสียงเพื่อนในห้องพูด

“งั้นอาจารย์จะเริ่มอธิบ....” พูดยังไม่จบ ประตูห้องด้านหน้าก็เปิดผ่างออกอย่างไม่มีสัญญาณเตือนก่อน อาจารย์ที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ออกอาการผงะอย่างเห็นได้ชัด เพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่แถวหน้าบางคนถึงกับลงไปหมอบกับพื้น ราวกับหลบกับระเบิดก็ไม่ปาน คนทั้งห้องที่ตกใจก็มีส่งเสียงบ้าง โดยเฉพาะพวกผู้หญิง หลายคนทำปากขมุบขมิบบ่นถึงการเสียมารยาทตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอม ส่วนตัวผมนั้น

...ตาถลน
____


ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้
2PM [Korea] - http://bit.ly/HqB7a2

ออฟไลน์ zylph_z

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^

dog

  • บุคคลทั่วไป
ใครน้ออออออออออออออออ
ใครเปิดประตูเข้ามาเนี่ย หนู่ฟี่ทีเห๊อะ
จะได้อ่านฉากหวานๆกันซ๊ากที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : (ว่าที่) ตำนานฟื้นคืนชีพ
โหมด : ไบเซป

“ฮะ ฮะ ห้ามบอกนะว่านายตะโกนซะลั่นห้องแล้วปล่อยหมัดน่ะ” ไอ้ทวิตหัวเราะจนเม็ดข้าวกระเด็นออกจากปากแล้วมาเกาะอยู่ที่แขนผม มือของผมปัดออกไปอย่างรังเกียจ พลางมองไปรอบ ๆ ที่ตอนนี้ผม ไอ้ทวิต และไอ้บ้าหลงประเทศกำลังนั่งอยู่ที่โรงอาหารของคณะมนุษยศาสตร์ เพื่อนผมหลายคนที่เดินผ่านนี่ต้องรีบหลบสายตา พร้อมทั้งชี้มือชี้ไม้มาทางพวกผมสามคน

ฮืออออออออออออออออออ กูละอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“เฮ้ย~~ ทวิตเตอร์ ไอ้ไบมันพูดแบบนั้นจริง ๆ นะเว้ย!!!” มึงจะขายกูอีกนานไม๊? ห๊า!!! แค่มึงโผล่เข้ามาเกินเวลาแล้วทำให้กูกับคนทั้งห้อง อีกทั้งอาจารย์ตกใจมันก็หนักหนาแล้วนะเว้ย!!! แล้วตกใจไม่พอ มึงยังทำให้กูขายหน้า!!! ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย!!!~~ (แค้น)

“โอ๊ยยยย!! ฮาปวดท้อง” กูขอให้มึงฮาปวดขี้ด้วยอีทวิต

“โถ่เอ๊ย!! ไอ้ไบ มึงพูดจริง ๆ แล้วมึงจะอายทำไมว๊าาาา” มือพร้อมเล็บดำ ๆ ของไอ้หัวหนามโอบรอบคอผม ผมรีบปัดออกอย่างรวดเร็ว

“ตอนนั้นกูตกใจ”

“แต่กูว่ามันมาจากจิตใต้สำนึก” =.=” ก...กู...กูเปล่านะเว้ย!!!!

“เฮ้!! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าเอาแบบละเอียดให้ฟังอีกหน่อยได้มะ” เสียงใสของไอ้ทวิตเอ่ยขึ้น อีเด็กเจร็อคหัวหนามที่มันอยู่ข้าง ๆ ผมพยักหน้า แล้วเริ่มเล่า ตัวผมเล็กลีบลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะของไอ้ทวิตที่มันดังขึ้น และเม็ดข้าวที่กระเด็นออกจากปาก

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ... หลังจากที่ประตูห้องเปิดผ่างออก และคนทั้งห้องก็ตกใจกันเป็นที่เรียบร้อย ไอ้คนที่มาช้ามันก็โผล่เข้ามาในห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ ดูแล้วโคตรจะมีมารยาท แต่มันจะขัด ๆ หน่อยก็ทรงผมกับเรื่องการแต่งตัวของมันนี่แหละ

ไอ้หัวหนาม ๆ นั่นมันอะไรกัน!!! แล้วหูมึงอีกตางหาก ไปเจาะเพิ่มตั้งแต่ตอนไหนวะ!!!! เสื้อผ้าของมึงอีก ชุดนักศึกษาน่ะ ยัดเสื้อเข้าในกางเกงเว้ยเฮ้ย ไม่ใช่เอากางเกงเข้าในเสื้อ =.=” โอ๊ยยยยยยยยยยยย!!!! กูละเพลีย ผมนั่งทำหน้าเอ๋อในขณะที่อาจารย์ภาควิชาก้มลงดูกระดาษในมือ แล้วพูดขึ้น

“เธอคือนักศึกษาที่ยื่นขอเรียนรายวิชานี้ใช่ไหม” อาจารย์ถาม ไอ้บ้านั่นพยักหน้าตอบ อาจารย์พยักพเยิดให้มันหาที่นั่ง ไอ้เด็กนั่นมันโค้งศีรษะให้ แล้วเดินแหวกฝ่าฝูงชนจากหน้าห้องมาหลังห้อง สุดท้ายแล้ว มันก็มานั่งแหมะลงข้าง ๆ ผม

ตัวผมนี่สั่นยังกะเจ้าเข้า

“ไง” เสียงมันทัก ผมเหล่ตามองครับ

“นายชื่อ....”

“เฮ้ย!!!! กูหายไปเพียงไม่กี่เดือน มึงลืมกูแล้วเหรอ” อีกฝ่ายทำตาโตราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด อย่าว่าแต่มึงไม่เชื่อกูเลย กูก็ยังแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ม...มึง..มึงจริง ๆ เหรอ!!!!” ผมขึ้นเสียง เพราะตอนนี้อารมณ์มันหลุดเรียบร้อยแล้ว

“หรือมึงอยากรื้อฟื้นความทรงจำไหมล่ะ” แล้วสายตามันก็โลมเลียผมเต็มที่ ผมผลักหน้ามันแล้วหันไปสนใจอาจารย์ที่กำลังจ้องพวกผมสองคน

“อาจารย์เข้าใจว่าจะต้องทำความรู้จักกันเพื่อนใหม่ แต่ไม่ใช่ในตอนที่อาจารย์กำลังอธิบายอยู่นะ” เสียงหัวเราะหึหึดังขึ้นทั่วห้อง พร้อมทั้งสายตาพิฆาต

“ขอโทษครับ” ผมพูดออกมาเบา ๆ ไอ้บ้าข้างผมหัวเราะหึหึ

“แล้วมึงกลับมาได้ไงเนี่ย ไหนว่าถูกส่งกลับไปแล้ว” ผมกระซิบถามมัน อีกฝ่ายหมุนปากกาในมือ แล้วหันมายิ้ม

“มึงน่ะ ถูกหลอกแล้ว”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วขึ้น

“มึงอยากรู้จริงดิ?” ถามหน้าตากวนตีนครับ =.=

“ถ้ามึงไม่อยากบอก กูก็ไม่ว๊อน” ผมหันกลับไปสนใจอาจารย์ที่กำลังอธิบายรายวิชา

“แม่ดัดนิสัยกูน่ะ” ไอ้ฟีนิกซ์กระซิบข้างหูผม นั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว แล้วหันไปกระซิบกับมันต่อ

“ยังไงวะ”

“มึงอยากฟังรวดเดียวจบไหมล่ะ?” ผมย่นคิ้ว รวดเดียวจบอะไรของมึงวะ แต่ผมก็เงียบเพื่อเป็นคำตอบให้มันว่าฟังก็ได้ แล้วมันก็กวักมือให้ผมเอียงหูเข้าไปใกล้ แต่สุดท้ายก็ไม่วายถูกหอมแก้มฟรี =.=” ไอ้เลววววววววววว!!!

“ไอ้บ้า นี่มันที่สาธารณะนะเว้ยยยย คนเยอะ” ผมตีแขนมันพลางทำเสียงดุ อีกฝ่ายหัวเราะเสียงขึ้นจมูก เพื่อนผมบางคนเริ่มหันหน้ามามอง เชรี่ยนี่ ถ้ามาแล้วจะสร้างปัญหาให้กู อย่ามาเลย (ผมพูดเล่นน่ะ >/////<)

“คืองี้” มันเริ่มเล่าอีกรอบ “กูเรียนไม่จบมหาลัยวะ ถูกไล่ออกเพราะไปต่อยกับติ่งเกาเหลาที่ญี่ปุ่น”

“ห๊า!!!!!” ผมส่งเสียงดัง พลันอาจารย์ก็หันมามองผม

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ป...เปล่าครับ” ผมกล่าวขอโทษแล้วนั่งต่อ สายตาตวัดมองไอ้ฟีนิกซ์

“อะไรของมึงวะเนี่ย”

“มึงจะฟังกูต่อมะ?”

“เออ ๆๆๆ พูดมา” ใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ ไหน ๆ ก็เล่าแล้ว งั้นก็ขอฟังให้จบเลยแล้วกัน

“แล้วกูก็ถูกไล่ออก แม่อยากดัดนิสัยกู ก็เลยส่งมาไทย แล้วคณะศึกษาศาสตร์น่ะ ลุงกูใหญ่เว้ย” มันพูดทิ้งไว้แค่นั้น และเป็นผมที่ต้องกระตุ้นให้มันพูดต่อ “ลุงกูเป็นคณบดีน่ะ”

=[]=!!!!! ก...กู...กูว่าแล้ว กูว่าแล้วว่าทำไมมึงแมร่งโคตรจะไม่มีมารยาทต่อหน้าท่านคณบดีเลย ที่แท้มันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

“แล้ว...แล้วเรื่อง...” มือปากผมเริ่มสั่น เพราะผมเริ่มประติดประต่อเรื่องได้

“เรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนใช่มะ?” ผมพยักหน้า อีกฝ่ายปล่อยหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน จนเพื่อนผมต้องสะกิดมัน แต่เธอคนนั้นก็เป็นอันว่าต้องละลายหายไปในอากาศเมื่อเจอ รอยยิ้มพิฆาตของอีฟี “เรื่องโกหกทั้งเพ”

สิ้นคำพูดของมัน เป็นอันว่าตัวของผมชาวาบ เรื่องต่าง ๆ นานาเริ่มที่จะต่อกันราวกับจิ๊กซอที่รู้ตำแหน่ง งั้นที่มึงเข้าคณะศึกษาศาสตร์นี่ก็เพราะว่าลุงมึงใหญ่ที่นั่นใช่มะ? แล้วเรื่องไอ้ตั๋วเครื่องบินคืนนั้นมันยังไงกันแน่วะ...

“มึงไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง อีแค่ต่อยกันถึงกับส่งกลับประเทศ อันที่จริงไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่อยากโยนปัญหาชิ้นใหญ่ของศึกษาศาสตร์ทิ้งน่ะ” มันเอามือสานกันไว้ที่ท้ายทอย “แต่ตอนนี้ กูก็กลับมาเป็นเด็กศึกษาศาสตร์อยู่ดี”

“มึงก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่อาดิ” ผมถามมัน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับสมองกำลังขาดออกซิเจน

“เสียใจวะ” มันพูดยิ้ม ๆ “กูบอกแล้วไงว่าลุงกูใหญ่ กูจะไปเรียนทำไมปีหนึ่ง ปัญญาอ่อน” แล้วมันก็หัวเราะหึหึ

“แล้ว...แล้วมึงมาเรียนเกาหลีได้ไงวะ!!!” เสียงของผมเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

“วิชาเลือกของกูน่ะ”

“นี่มันเกาหลีตัวที่ 4 นะเฟร้ย มึงต้องผ่านตัวที่ 1, 2, 3 ก่อน ถึงจะเรียนได้”

“เหอะ! ก็บอกแล้วไงว่าลุงกูใหญ่” =.=” สัสนี่ บัดนี้กูบังเกิดแล้วว่าเส้นใหญ่มันเป็นยังไง โถ~~

“แล้วมึงจะเรียนรู้เรื่องเหรอ”

“มึงคิดว่าช่วงที่กูหายไป กูไม่ไปเตรียมตัวหรือไง”

“ไหนว่ามึงไม่ชอบเกาหลี”

“กูก็ไม่ได้ชอบเกาหลี แค่กูชอบคนที่เรียนเกาหลี” พลันหน้าผมก็ขึ้นสีทันที ไอ้บ้า!!! มึงจะมาบอกว่าชอบอะไรตอนเน่~~ กูเขินนะเว้ย!!!! >//////////////////////< ผมเลยตีแขนมันไปทีนึงแก้เขิน

“เอ่อ...จบยัง” ผมถามมัน อีกฝ่ายเหล่ตามอง

“มึงอยากให้จบยังล่ะ” สัส!! กูถามนี่เพื่อจะได้สรุปเว้ย

“สมมติว่าจบนะ งั้นกูขอสรุปเพื่อความเข้าใจของกู”

“เชิญ”

ผมสูดหายใจ พลางพูดออกมาเบา ๆ ในขณะที่อาจารย์อธิบายรายวิชาใกล้จะจบแล้ว

“สรุปคือ มึงถูกแม่ดัดนิสัยโดยการส่งมาที่ศึกษาศาสตร์ อ้างว่ามาแลกเปลี่ยน ทั้ง ๆ ที่พูดจริง ๆ คือมึงมาเล่นก็ได้ ใช่ไหม?” อีกฝ่ายพยักหน้า

“แล้วกูก็เสือกไม่รู้ แล้วแม่มึงก็ไม่บอกกู สรุปง่าย ๆ คือกูโง่เป็นควายโดนหลอก” มันพยักหน้าอีก =.= เจ็บนะนิ

“จากนั้นไอ้เรื่องต่าง ๆ นานาที่มันเกิดขึ้นคือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มึงแลกเปลี่ยน” ยังพยักหน้า “ต่อให้มึงไปปาดคอคนตาย ยังง๊าย ยังไงมึงก็ไม่ถูกส่งกลับประเทศ”

“ใช่!!!”

“แต่ที่มึงถูกส่งกลับเพราะลุงมึงหาช่องทางสลัดมึงทิ้งอยู่แล้ว”

“เยส”

“แล้วไอ้ตั๋วนั่นล่ะ”

“ลุงก็จองให้กูไง ประมาณว่ารีบถีบกูออกจากคณะน่ะ”

“แล้วเรื่องคืนนั้นล่ะ”

“คืนไหนวะ”

“คืนนั้นน่ะ”

“แล้วคืนไหน”

โถ!!! ไอ้ควายยยยยยยยยยยย มึงจะให้กูพูดชัด ๆ ไหมว่าคืนที่มึงฟัดกูน่ะ T_____T

“มึงอย่ามาแอ๊บไม่รู้ จำไม่ได้” ผมพูดเบา ๆ สั่น ๆ เพราะตอนนี้อารมณ์มันเริ่มกรุ่น ๆ

“เออ ๆๆๆ คืนที่กูเอามึง (^o^)” =[]=!!!! พูดพลางยิ้มจนตาหยี แล้วมึงจะพูดออกมาทำไม ไอ้บ้า เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก

“เออ คืนนั้นแหละ ตกลงมันยังไง”

“กูฟันมึงฟรีอ่ะ”

O^O!!!! ห...ห๊า!!!!!

“กูฟันมึงฟรีไง นี่มึงคงเข้าใจว่าเป็นคืนส่งท้ายอะไรแบบนั้นใช่มะ คือถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาดัดนิสัยกู ก็เท่ากับว่ามันเป็นเซ็กสั่งลาที่สุดแสนจะร้อนแรงแผดเผา เพราะฟัดกันไปสามรอบ” สามรอบบ้านเตี่ยมึงสิ กูนี่หลายรอบมากอ่ะ T^T

มันพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่นิ้วมือของผมเริ่มกำเข้าหากัน จนตอนนี้มันกลายร่างเป็นกำปั้นเตรียมที่จะยกขึ้นมาต่อยอยู่แล้ว “แต่บังเอิ๊นนนน บังเอิญว่าเรื่องมันเสือกกลับตาลปัต และกูก็ไม่ได้มีพันธะสัญญานักศึกษาแลกเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น สรุปแล้วก็คือ กูฟันมึงฟรี”

“อ...ไอ้...” ฟันผมกระทบกันดังกึก ๆ อย่างน่ากลัว หมัดของผมถูกยกขึ้นมาอยู่ระดับหน้าอก อีกฝ่ายจ้องผมแล้วเอนตัวหลบหมัดของผมไปอย่างหวุดหวิด

ภาพเหตุการณ์ต่อมาโคตรที่จะสโลโมชั่น เสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาพูดว่า ‘วันนี้พอแค่นี้แหละ’ พร้อม ๆ กับหมัดของผมที่มันพุ่งไปกระแทกใบหน้าด้านข้างของนักศึกษาร่วมคลาสอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไอ้เชี่ยฟีนิกซ์ เพราะเมื่อมันเอนตัวหลบ ผมก็ไม่สามารถที่จะยั้งมือไว้ได้ทัน และมันก็พลั๊วเข้าที่ใบหน้าของเพื่อนอย่างจัง

ใบหน้าของเพื่อนหันไปตามแรงหมัด เกิดเสียงอ๊ากขึ้นมา และเพื่อนก็ล้มลง ผมรีบตั้งสติแล้วหันกลับไปหาอีกคนที่มันก่อเรื่อง ปากของผมตะโกนอะไรบางอย่างออกไปที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังอึ้ง

“อีฟี!!!! มึงหลอกฟันกู!!!!!!”

ทั้งห้องหันพรึบมามองเมื่อประโยคสุดแสนจะหน้าอับอายขายหน้าถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากของผม ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ที่ก้มเก็บเอกสารต่าง ๆ นานา ใบหน้าของไอ้ฟีนิกซ์เผยรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด จนผมอยากจะซัดเข้าไปที่ใบหน้านั่นซักหมัด แต่ผมก็ทำไม่ได้ เพราะสายตาเกือบห้าสิบคู่พุ่งมามองผมเป็นตาเดียวกัน

เกิดเหตุชุลมุนไม่ถึงห้านาที เพื่อนทั้งคลาสก็รีบเข้ามาฉุดเพื่อนคนที่โดนต่อยให้ลุกขึ้น หลายคนเดินเข้ามาหาผมเพื่อที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมยังคงยืนนิ่งเพราะสติตอนนี้ไม่อยู่กับตัวแล้ว ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งขายหน้าจนอยากจะมุดแทรกไปอาศัยอยู่ใต้ดิน

ในช่วงที่กำลังมึนงงกับการกระทำของตัวเอง ผมก็ถูกไอ้ฟีนิกซ์ลากออกมาจากห้อง ก่อนที่จะถูกรุมกระทืบดับอนาท ผมมองไปที่ใบหน้าเพื่อนของแต่ละคน ทุกคนเย็นชา แม้บางใบหน้าจะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่า ชีวิตสงบสุขในช่วงหลายเดือนที่ปราศจากไอ้ฟีนิกซ์กำลังจะจางหายไป

ต่อไปคงยุ่งวุ่นวายสินะ

ประตูห้องปิดลง และผมก็ถูกลากมาที่โรงอาหาร

เรื่องมันก็จบด้วยประการฉะนี้แล







“กร๊าก!!!!” เสียงหัวเราะของไอ้ทวิตดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจคนรอบข้าง ในขณะที่เสียงของไอ้ฟีนิกซ์ก็ดังขึ้นไม่แพ้กัน ผมถอนหายใจออกมาอย่างเอือม ๆ

“ขำอะไรกันวะเนี่ย” หน้าของผมขึ้นสีแดงจัดเพราะความอาย (ไม่ได้เขินนะ)

“ขำคนขี้หึง” เสียงพูดกลั๊วหัวเราะของไอ้ทวิตผสมผสานกับเสียงหัวเราะตามแบบฉบับเจร็อคของไอ้ฟีนิกซ์

“เฮ้อ~~” ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ

“เออ นา มันผ่านมาแล้ว” ไอ้ทวิตเอื้อมตัวมาแตะบ่าผมอย่างให้กำลังใจ “ตอนนี้ก็รู้กันทั้งคลาสแล้วมั้ง” ไม่วายกัดต่อ ผมก็เลยจัดการตบหัวไปมันดอกนึง

“อย่ามาย้ำได้ไหมวะ”

“ความจริงเป็นสิไม่ตาย” เสียงของไอ้ฟีนิกซ์ลอดเข้ามาในหู เออ กูรู้ว่าไม่ตาย แต่ความจริงจะทำให้กูอายนี่ดิ

“แล้วตอนนี้มึงพักที่ไหนนิ” ผมถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง อีสองตัวนั้นมองหน้ากัน แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก ผมยกมือขึ้นกุมขมับ ชีวิตมหาลัยของกูอีกสองปีจะเป็นยังไงวะ

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมทวิตเตอร์จัง” =[]=!!! ทวิตเตอร์จังอะไรของมึงนิ

“จ๋า จ๊ะ เรียบร้อย” แล้วมึงอีกอีทวิต พวกมึงสองตัวจะพูดจาหวานแหววกันไปไหนวะ เกรงใจกูที่นั่งอยู่ตรงนี้บ้างเหอะ

“คุยเรื่องอะไรกันนิ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“โอ๊ะ!!! กลับบ้านไปเดียวก็รู้” รอยยิ้มเลว ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอ้ฟี ทำเอาผมรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งผมกลับมาบ้านพร้อมทั้งไอ้ทวิตและไอ้ฟีนิกซ์นี่แหละ ความจริงอันโหดร้ายก็บังเกิดขึ้น

“ม...มึง...มึง” ผมพูดเสียงติดขัด เมื่อภาพตรงหน้าห้องนอนผมมันเป็นอีกโลกที่ผมไม่เคยสัมผัส อีพวกสองตัวที่มันตามขึ้นมามองหน้ากันพลางส่งเสียงหัวเราะชวนให้น่าหมั่นไส้

ผมรู้สึกหน้าชาราวกับถูกหยามศักดิ์ศรีเด็กเกาหลี เพราะตอนนี้ผนังห้องที่มันเคยมีเพียงแค่คอลเล็กชั่น Mr.Simple ของ SJ แปะติดฝาผนัง กลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าพวกเสริมเข้ามา

...ป้ายโปสเตอร์เจร็อคแปะรอบคอลเล็กชั่น Mr.Simple ราวกับจะประกาศศักดาว่า พวกเมริงถูกกูล้อมไว้หมดแล้ว!!!!! บนโต๊ะคอมก็มีกระจกวางอยู่บนโต๊ะ แล้วมีบรรดาภาพอัดโฟโต้ของไอ้พวกศิลปินเจร็อคจัดเรียงอย่างสวยงามภายใต้กระจกนั่น

ผมวิ่งวุ่นรอบห้องราวกับหนูติดจั่น เพราะห้องที่ผมเคยอยู่บัดนี้มันกลายสภาพเรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำ ที่เล่นเอาผมสะดุดตาสุด ๆ ก็คือไอ้กล่องสีดำ ๆ ที่มันมีขนาดพอดีมือ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคืออะไร คิ้วของผมกระตุกอย่างแรง ในขณะที่ไอ้ฟีนิกซ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำ พอดีกับที่ผมถือไอ้ของสิ่งนั้นไว้

“เฮ้ย!! สอยมาจากคอนศาสดาเลยนะนั่นอ่ะ” มันพูดพลางยิ้มผมตาหยี และผมก็ปาไอ้สิ่งนั้นลงพื้น

“มึงจะเอามาทำไมเนี่ย” ผมกระทืบเท้าออกมาจากห้องน้ำ สภาพห้องตอนนี้เรียกได้ว่าแปดสิบกว่าเปอร์เซ็นเป็นเจร็อคทั้งหมด โอ๊ยยยยย!!!! ชีวิตชั้น!!!!!

“กันท้องไงมึง” คำพูดมันกระแทกเข้าหู พร้อม ๆ กับไอ้ทวิตที่หัวเราะพรืดออกมาแล้ววิ่งออกจากห้องปิดประตูล็อคอย่างรวดเร็ว ผมรับรู้ถึงลางร้าย พลางวิ่งไปกระชากประตูเปิดออก แต่ปรากฏว่ามันล็อคจากด้านนอก!!!

0.0!!!! ซวยแล้วกู!!!

ร่างของผมถูกรวบจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงลงไปที่เตียง อีกฝ่ายขึ้นคล่อมผมอย่างรวดเร็ว บัดนี้ผมตรัสรู้แล้วว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

“ไม่ได้เจอตั้งนาน โคตรจะคิดถึงเลย”

“เฮ้ย!! ไม่เอานะเว้ย” ผมพยายามผลักใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังจะจู่โจมริมฝีปากของผมออก

“เออนา สนองกูหน่อยเหอะ กูไม่ได้ทำกับมึงมาหลายเดือนแล้ว” มันพูดพลางถลกเสื้อของผมขึ้น แล้วก็ถอดออกอย่างง่ายดาย

“ไม่เอาเว้ยยยยย!!!! อย่ามาสนองกู กูไม่ได้ต้องก๊านนนนน!!!!!” ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่ออีกฝ่ายหยอกล้อกับจุดอ่อนของผม (มันมีอยู่ไม่กี่จุดหรอก เข้าใจว่าอ่าน NC กันมาแล้ว คงเดาได้ไม่ยาก หรือถ้ายังเดาไม่ออก แนะนำให้ไปอ่านใหม่อีกรอบครับ)

ฮืออออออออออออออ น้ำตาของผมแทบจะไหลพรากให้กับชีวิตของตัวเอง อุตส่าห์ทำใจได้แล้วแท้ ๆ อุตส่าห์กลับมาสนุกกับศิลปินโดยปราศจากเจร็อคแล้วแท้ ๆ แล้วมึงจะกลับมาทำไมวะ สาดดดดดดดดดดด!!!!

กางเกงของผมถูกดึงออก

“เฮ้ย!!! อย่านะ” เสียงร้องห้ามของผมดูเหมือนจะไม่เป็นผลครับ

ฮืออออออออออออออ ตกลงกูต้องเสียเอกราชให้มึงอีกแล้วใช่มะ??? ทำไมกูต้องมาอะไรกับอีพวกเจร็อคด้วยวะ อ๊าคคคคคคคคค ใครก็ได้ ใครก็ได้ ช่วยเอาเจร็อคออกไปจากชีวิตของผมที๊!!!!!!!!!!!!





...





...

สรุปว่าผมก็ไม่รอด ส่วนไอ้ทวิต รู้ตัวอีกทีคือมันกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว (ทิ้งกู!!!)

และชีวิตอันสงบสุขของผมก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้

ต่อจากนี้ก็คงต้องเป็นศึกหนักสินะ สินะ สินะ

โฮ๊คคคคคคค กี่ปีที่กูต้องอยู่กับมึงเนี่ย!!!! แล้วกี่ปีกว่ามึงจะเรียนจบ!!!!!


                  ไว้อาลัยแด่ผมด้วยครับ 
ไบเซป...
                           เด็กเกาหลี ที่บูชาศิลปินสุดขั้วหัวใจ
                                            T_____T ฮืออออออออออออออออออออออ

____

สำหรับตอนหน้า จะเป็นเรื่องการเดินทางก่อนกลับมาของ (ว่าที่) ตำนาน

บทส่งท้าย : เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์

kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 1
โหมด : ฟีนิกซ์

โอ๊สสสสสส!!! สายันสวัสด์ครับท่านผู้อ่าน ไม่ได้เจอกันกี่เดือนนะ วู้วววว หลายเดือนจนไม่อยากจำเลยล่ะ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นผมก็ยุ่งเอาการเหมือนกันกับการทำตัวให้เป็นตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์...อันดับแรก ผมจะขอเล่าก่อนเลยว่า ผมนั่งเครื่องบินจากไทยไปญี่ปุ่นครับ ลงเครื่องที่นาริตะ แต่ผมไม่ได้มุ่งตรงกับบ้านทันที ด้านหน้ามีบรรดาคนขับรถที่แม่ส่งมาให้มารับผม แต่ผมบอกปฏิเสธพวกเขา พร้อมทั้งรีบดิ่งหนีออกมาจากนาริตะผ่านทางชินกันเซ็นอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็เข้าไปที่ตู้ ATM แล้วกดเงินออกมาเท่ากับจำนวนเงินจำกัดของบัตรเครดิตที่กดได้เยอะที่สุดต่อวัน ซึ่งมันก็เยอะพอที่จะทำให้ผมได้ทำอะไรตามแผนที่วางไว้ เคยดูเถอะ คราวนี้ศึกษาศาสตร์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้กับผม ไอ้ตัวประหลาดคนนี้จะกลับไปเป็นตำนานให้ดู

แต่ก่อนอื่น ผมจัดการโทรหาเพื่อนที่อยู่โตเกียว แล้วลากกระเป๋าไปนอนค้างบ้านมัน ระหว่างที่พักอาศัยอยู่กับเพื่อน พวกเราก็มีตระเวนออกทัวร์ดูคอนเสิร์ตตามสถานที่ต่าง ๆ เรียกได้ว่ามีคอนศิลปินเจร็อคที่ไหน พบผมกับเพื่อนได้ที่นั่น แต่มีครั้งหนึ่งที่ศิลปินฝั่งเกาหลีจู่ ๆ ก็ตั้งชื่อวงว่า VIVID เล่นเอาผมกับเพื่อนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะมัวแต่เกรียนด่าเกาหลีกัน มันจะบ้าหรือไงตั้งชื่อวงเหมือนกัน แถมยังมาเขียนเหมือนกันอีก!!! ประสาทวะพวกนี้

เพื่อนผมจัดการทวิตหา Koki มือกลองวง ViViD แห่งญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว บอกว่าที่เกาหลีมีวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ตั้งชื่อและเขียนเหมือนวงของ Koki เปี๊ยบ!!!!!

แล้วไงต่อ? ผมกับเพื่อนกะว่าโคคิจะตอบกลับประมาณว่า เหรอ?!!!ๆๆๆ อะไรประมาณนั้น แต่โคคิกลับตอบมาว่า

...รู้แล้ว แล้วอีกอย่าง วงนั้นก็เป็นวงผู้หญิง ถึงจะชื่อเหมือนกัน แต่แนวเพลงต่างกัน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก...

เล่นเอาผมกับเพื่อนนี่แทบจะหน้าหงาย แล้วที่กูอุตส่าห์เกรียนใส่พวกเกาหลีทั้งคืนนี่เพื่อ????

หลังจากนั้นก็มารู้อีกทีว่าโคคิก็ชอบเกาหลี =.=”

นี่จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่กูจะเลิกศรัทธาในเพลงของ ViViD 555555

หลังจากที่ทั้งทัวร์ ทั้งเกรียนกันเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะมาคิดหาทางแก้เผ็ดคณบดี คณะศึกษาศาสตร์กันจริง ๆ จัง ๆ ซักที ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดทุกอย่างให้เพื่อนคนญี่ปุ่นฟัง เพราะผมคิดว่าบุคคลที่สามจะมีมุมมองที่กว้างกว่าบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะบุคคลที่สามหรือบุคคลนอก เขาจะมองทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ลำเอียง และมันก็บังเกิดผลครับ

เพื่อนคนญี่ปุ่นของผมเริ่มร่างความคิดออกมาเป็นมายแม๊พปิ้ง เออ สมควรแล้วที่มึงเรียนกฏหมาย =.=” คิดโยงไยเป็นแมงมุมชักไยไปได้ อันดับแรก มันบอกผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่ายมาก (กูก็คิดเหมือนมึงแหละ แต่กูแค่ปรึกษามึงเฉย ๆ)

มันบอกผมว่า ให้ไปสมัครสาขาวิชาที่อยากจะเรียน หรือที่เปิดรับในภาคเรียนที่สอง มันบอกว่าถ้าเป็นหลักสูตรอินเตอร์น่าจะเดินเรื่องได้ง่ายกว่า และผมก็คิดเหมือนมันครับ จากนั้นมันก็แนะนำผมว่าให้แต่งตัวดี ๆ ดูมีภูมิฐานไปสอบสัมภาษณ์ เพราะมันให้เหตุผลว่ามันไม่ห่วงเรื่องสอบข้อเขียน เออ กูก็ไม่ห่วงเหมือนกัน แล้วขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้สำคัญมาก และผมต้องทำแอคติ้งให้ผ่าน.... ถ้าเจอหน้าคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ และอีกฝ่ายทำท่าจะโยนผมออกจากคณะ ก็ให้หยิบยกเรื่องที่คณบดีปลอมแปลงเอกสารนักเรียนแลกเปลี่ยนของผมขึ้นมาขู่

ซึ่งพอมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งของเพื่อนและของผมก็ฉายแววแห่งชัยชนะ!!! อ่า!!! ใช่แล้ว!!!! เพราะลุงปลอมแปลงเอกสาร เนื่องจากแม่ขอร้อง ทำให้งานนี้ลุงมีความผิดเต็ม ๆ ถึงขั้นอาจจะโดนสอบวินัยถ้าความแตก!!! ทั้งผมและเพื่อนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ (ผมไม่รู้ว่าที่เพื่อนมันดีใจเพราะผมจะออกจากบ้านมันหรือเป่าอานะ) แต่ผมก็กล่าวขอบคุณมันแมร่งทุกภาษาเท่าที่ผมจะพูดได้ แต่ผมก็ยังคงอาศัยอยู่บ้านมันจนถึงช่วงที่คณะศึกษาศาสตร์ภาคอินเตอร์ประกาศรับนักศึกษาในเทอมที่สอง

ผมส่งข้อมูลการสมัคร และเพื่อนช่วยทำเรื่องพอร์ทโฟลีโอให้ผม เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมและถูกวางแผนมาเพื่อการนี้ เมื่อเช็คดูอีกที สาขาวิชาการสอนภาษาญี่ปุ่น ภาคอินเตอร์ที่ผมจะเข้าไม่มีสอบข้อเขียนซะงั้น มีเพียงแค่สัมภาษณ์ ทั้งผมและเพื่อนแปะมือ Hi5 กันเพราะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าติดแน่ ๆ เนื่องจากมี N2 เป็นบัตรเครดิต คอยรูดปื๊ด รูดปื๊ด ให้ทางสะดวกอยู่แล้ว

ช่วงระหว่างที่รอฟังผลอยู่นั้น ผมก็ลั่ลล๊า ลั่ลล๊ากับเพื่อนนักกฏหมาย กอดคอกันเฮดแบงในคอนเสิร์ตอย่างไม่อายฟ้าอายดินว่าภายในอนาคต กูคนนี้กำลังจะกลายเป็นครูไปสอนเด็กนักเรียนที่เป็นอนาคตของชาติ และเพื่อนกู ก็จะไปเป็นนักกฏหมาย ทำน่านับถืออยู่ในชั้นศาล =.=”

แต่สำหรับผม...ก็ใครจะสนเล่า เรียนศึกษาศาสตร์ จบออกมาไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเป็นครูนิหว่า เรียนเอาวุฒิเฉย ๆ แล้วไปทำอาชีพอื่น ไว้เวลาหมดปัญญาจริง ๆ ค่อยไปเป็นครู (ความคิดเลวเหมือนกันนะนิ)

และแล้ววันแห่งการพิพากษา (ประกาศผลนั่นแหละ) ก็มาถึง ทั้งผมและเพื่อนก็ไม่ต้องไปลุ้นอะไรให้มากความ เพราะมีรายชื่อผมในบุคคลที่ถูกเรียกสัมภาษณ์ เรื่องนี้เป็นไปตามคาด ผมจัดการจองตั๋วเที่ยวบินชึ้นประหยัดกลับไทยในทันที เสื้อผ้าอะไรก็หอบหิ้วไปเรียบร้อย ชนิดเตรียมตัวอยู่ยาวห้าปีกันเลยทีเดียว ตอนที่ไปที่นาริตะ เพื่อนก็มาส่ง แถมยังยัดเงินใส่มือผมอีกแสนเยน ราวกับผมเป็นเด็กยากไร้ซะอย่างนั้น แต่ผมก็รับไว้ เพราะตอนนั้นผมยากไร้จริง ๆ 555555

เครื่องบินลงจอดที่สุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย และผมก็เห็นไอ้ทวิตโบกมือหยอย ๆ เมื่อผมก้าวออกมาสู่ทางเดินยาวที่จะมีบรรดาญาติ ๆ มาเกาะขอบราวเหล็กเพื่อที่จะรอญาติตัวเองที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ผมรีบเดินเข้าไปหาไอ้ทวิต ก่อนที่จะใส่เป็นชุด

“วันนั้น iMes หา ทำไมไม่ตอบ”

“อ๋อ ไอ้ไบเซปปามือถือทวิตน่ะ” มันตอบยิ้ม ๆ

“ปามือถือ?” ผมถามมันงง ๆ

“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายตอบพลางเดินนำหน้า “ไบเซปโมโหที่เห็นทวิตเอาแต่เล่นมือถือน่ะ ก็เลยปาทิ้งเลย”

“อ้อ” ผมครางออกมาในขณะที่เดินตาม ลงชั้นล่างเพื่อที่จะไปที่แอร์พอร์ตลิ้ง บรรยากาศในวันแรกย้อนกลับมาในความทรงจำของผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดันเป็นทวิตเตอร์ไปซะได้นิ =.=” “แล้วตอนนี้ไบเซปเป็นไงบ้าง”

“โอ๊ยยย กลับมาบ้าเกาหลีได้เหมือนเดิม” ไอ้ทวิตตอบยิ้ม ๆ พลางส่งเหรียญรถไฟให้ผม “ก็มีเศร้าบ้าง แต่ดูเหมือนจะทำใจได้แล้ว”

“แล้วนายแอบมาแบบนี้ ไอ้ไบไม่สงสัยเหรอ”

“ไม่หรอก” ทวิตส่ายหน้า “เพราะทวิตบอกไบเซปว่ากลับบ้านไปจัดของน่ะ”

“อ้อ” ผมครางอีก พลางพูดในสิ่งที่ตกลงกันไว้ “สรุปแล้ว ฟีพักที่บ้านของทวิตได้ใช่ไหม”

“อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเดินเข้ารถไฟ ผมเดินตาม “ทวิตอยู่กับไบเซปมาหลายเดือนแล้ว ห้องก็เลยว่าง แล้วทวิตก็บอกที่บ้านไว้แล้วด้วย เพราะงั้น ไม่มีปัญหา”

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ใบหน้าหวานของไอ้ทวิตส่ายไปมา นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่ารัก >////< (ต่อให้มึงจะตอแหลเรื่องเจร็อคก็เหอะ)

เมื่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งพาผมและไอ้เด็กทวิตเตอร์มาถึงจุดหมาย มันก็พาผมเดินต่อไปอีกนิด ก่อนที่จะเจอรถสีดำสนิทจอดรออยู่ มีคนเดินมาเปิดประตูให้ กระเป๋าของผมถูกเก็บไว้ที่กระโปรงรถด้านหลัง ผมสอดตัวเข้าไปภายในรถ และพนักงานขับรถก็เข้าประจำที่

ตลอดระยะเวลาการเดินทางไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก เมื่อถึงบ้านของทวิต ไอ้เด็กนั่นก็แนะนำผมให้กับที่บ้านรู้จัก เป็นการแนะนำตัวตามมารยาท ซึ่งผมต้องสวมบทบาทให้ดูดีที่สุด จากนั้นก็เอาของไปเก็บ และเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ในวันต่อมา ส่วนทวิตต้องรีบกลับไปที่บ้านของไอ้ไบเซป

ช่วงเวลาสัมภาษณ์นักศึกษาใหม่นั้นเป็นช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่หนึ่ง ทำให้ผมไม่ต้องระวังตัวอะไรมาก เช้าวันนั้นผมแต่งตัวให้ดูดีที่สุดในชีวิต ทรงผมจากที่เคยหนาม ๆ นี่หวีเรียบราวกับเป็นเจ้าบ่าวงานแต่ง ไอ้ทวิตที่ทำหน้าที่พาผมไปสัมภาษณ์ถึงกับอึ้งไปหลายวิ ก่อนที่จะหลุดปากแซวผมว่า เป็นแฟนกับมันเถอะ =.=”

พอไปถึงคณะศึกษาศาสตร์ที่ผมกำลังจะทำตัวให้เป็นตำนาน ปรากฏว่าวันนี้คนน้อยมาก คงเป็นเพราะเปิดรับเฉพาะบางสาขาเท่านั้นมั้ง ไอ้ทวิตส่งผมไว้แค่นั้นก่อนที่จะรีบบอกทางกลับบ้านมันให้กับผม เพราะมันอ้างว่ามีนัดเที่ยวตลอนกับไอ้ไบ และผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ช่วงเวลาที่ผมสัมภาษณ์นั้นไม่มีอะไรมาก ตอนแรกอาจารย์ที่สัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์เป็นภาษาไทย แต่ผมโชว์ภูมิครับ ไม่พูดไทยเลย ถามไรมา ตอบญี่ปุ่นแมร่งทั้งหมด จนสุดท้ายพวกเราก็คุยญี่ปุ่นกันมันส์หยดติ๋ง ชนิดที่ว่า ก่อนที่ผมจะออกจากห้องสัมภาษณ์อาจารย์ตะโกนตามไล่หลังมาว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะศึกษาศาสตร์

ผมฉีกยิ้ม...

ติดแน่ ๆ กู

____

Next : KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 2

____
09-04-2012 : 09:27 AM.

ศิลปินที่เกี่ยวข้องในตอนนี้

ViViD [Korea] - http://bit.ly/Hu712r
ViViD [Japan] - http://www.pscompany.co.jp/vivid/


dog

  • บุคคลทั่วไป
ตอนฟี่อยู่กะไม่อยู่นี่ รู้สึกหนูไบจะทุกข์ไม่ต่างกันเลยนะเนี่ย
แต่อยู่ด้วยกันยังไงก็ดีกว่าแยกกันละนะ อิอิ

kaino

  • บุคคลทั่วไป
 KO-JAP : บทส่งท้าย เรื่องเล่าของ (ว่าที่) ตำนาน ณ ศึกษาศาสตร์ # 2

พอออกมาจากห้องสัมภาษณ์ด้วยจิตใจอันร่าเริงว่ายังไงก็ต้องติดแน่ ๆ แล้วผมก็ดันมาเจ๊อะเข้ากับท่านคณบดีแห่งคณะศึกษาศาสตร์ในขณะที่ท่านจะเข้าลิฟต์พอดี เท้าของกระผมก้าวอย่างไวพลางเดินไปสะกิดท่าน

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทาย ในขณะที่อีกคนจ้องตาแทบจะถลน พลางลากผมเข้าไปในลิฟต์พร้อมทั้งผู้ติดตามผู้หญิงอีกหนึ่งคน ลิฟต์โดยสารภายในคณะส่งเสียงกึกกักตามอายุการใช้งานของมัน เสียงสัญญาณบอกถึงจุดหมายดึงขึ้นเมื่อมาถึงชั้นห้องทำงานของท่านคณบดี คณะศึกษาศาสตร์

ลุงของผมคุยธุระกับผู้หญิงที่ผมคิดว่าเป็นเลขาโดยใช้เวลาไม่นาน ลุงก็เดินมาหาผมที่ยืนรออยู่หน้าลิฟต์ ก่อนที่ผมจะถูกลากเข้าห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

“แกมานี่ได้ไงวะ” ใบหน้าของลุงเริ่มขึ้นสี ในขณะที่เสียงนั้นกดให้ต่ำลง ผมยังคงฉีกยิ้ม เพราะรู้ดีว่ากำลังถือไพ่เหนือกว่า

“I’m legend (ฉันคือตำนาน)” ผมพูดออกมายิ้ม ๆ

“เอาดี ๆ ชั้นส่งแกกลับไปแล้ว”

“แต่ผมก็มีปัญญามานี่นินา”

ลุงของผมขมวดคิ้ว “แกใส่ชุดนักศึกษาของที่นี่”

“อ่าาาา นี่ผมคงยังไม่ได้บอกลุงสินะว่าผมเพิ่งจะไปสัมภาษณ์มาเมื่อตะกี้นี้เองครับ” คราวนี้ลุงเงียบไปซักพัก ผมยังคงมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้า

“แกเข้าสาขาอะไร”

“จะไล่ผมออกเหรอ?”

“ชั้นถามว่าแกเข้าสาขาอะไร!!!” ทั้งขึ้นเสียงทั้งทุบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง แสดงอาการที่เรียกว่าเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ผมส่งเสียงหัวเราะหึหึ ประสานมือกันไว้บนโต๊ะแล้วยกขึ้น ก่อนที่จะเอาคางวางอยู่บนมือที่เท้ากับโต๊ะ

“เก็บอารมณ์หน่อยสิครับ” ผมพูดเสียงเบา หากแต่คิดว่าลุงได้ยินชัด “ไม่เหมาะกับเป็นคณบดีเลยแฮะ”

อีกฝ่ายทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้ประจำตำแหน่ง พลางยกมือขึ้นนวดขมับ

“ผมเข้าสาขาการสอนภาษาญี่ปุ่น ภาคอินเตอร์” ผมพูดออกไปช้า ๆ ลุงทำท่าจะอ้าปาก แต่ผมยกนิ้วห้าม “ถ้าลุงจะไล่ผมออก ขอโทษนะครับ กรุณามองตัวเองก่อนว่าทำอะไรไว้บ้างช่วงที่ผมมาที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อน” ผมพูดช้า ๆ เนิบ ๆ ดวงตาของลุงกรอกไปมาในเบ้า

“แกจะแบล็กเมชั้นเหรอ” ปากของลุงเริ่มสั่น และผมก็พอใจในสิ่งนั้น

“ถ้าลุงเป็นคณบดีที่ดี มันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ หึหึ”

“แกทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก”

ผมยกคิ้ว “จริงเหรอครับ?”

“แกทำอะไรชั้นไม่ได้จริง ๆ ฟีนิกซ์” น้ำเสียงของลุงสั่น แต่กริยาท่าทางเรียกความมั่นใจให้ตัวเองจนผมหลุดขำออกมา หึ! คนที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดมันเป็นเช่นนี้นี่เอง

“แล้วลุงคิดว่าเอกสารปลอมที่ทำให้ผมนั่นมันไม่ผิดเหรอครับ อาจจะถึงขั้นสอบวินัย แล้วมหาลัยนี้ชื่อเสียงดังจะตายไป หน้าตามันต้องมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ แล้วถ้าเป็นถึงคณบดี แต่กลับไม่ซื่อสัตย์ คิดเหรอว่าคนที่อยู่สูงกว่าลุงจะปล่อยลุงไว้ให้เป็นตราบาปของมหาลัยน่ะ”

ผมพูดทิ้งท้าย แล้วนั่งพิงพนักกอดอกมองดูปฏิกิริยาของผู้เป็นลุง สายตานั่นวอกแวกอยากเห็นได้ชัด ราวกับกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ แต่เชื่อเถอะ ลุงคิดอะไรไม่ออกหรอก ก็ในเมื่อตัวเองผิดซะขนาดนั้น แล้วจะหาข้อแก้ตัวให้ถูก งั้นนี้มันคงจะยาก แถมมีผมที่รับรู้เรื่องทั้งหมดอีก เรียกได้ว่าทางรอดเกือบจะเท่ากับศูนย์

ผมยังคงนั่งยิ้ม ในขณะที่ลุงทุบมือลงที่โต๊ะเสียงดังโดยที่ไม่กลัวว่าข้างนอกจะได้ยิน คำพูดที่ลุงพ่นออกมาก็ทำให้ผมยิ้มมากกว่าเดิม

“แกอยากได้อะไร”

เท่านั้นแหละ

ทุกอย่างก็จบ





หลังจากการเจรจาธุรกิจกันสั้น ๆ ในวันนั้น ผลประกาศรายชื่อผู้ผ่านสัมภาษณ์เข้าศึกษาในเทอมที่สองก็โชว์หราให้ดาวโหลดอยู่บนเว็บ แต่ผมไม่จำเป็นต้องไปเช็ครายชื่อตัวเองหรอก เพราะลุงโทรมาบอกอย่างรวดเร็วว่าดำเนินการทุกอย่างตามที่ผมต้องการให้เรียบร้อยแล้ว มีแค่ไม่กี่อย่างที่ผมขอจากลุงในฐานะคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ อย่างแรกคือ ทำให้ผมได้เรียนในชั้นปีที่สอง เทอมสอง เอาง่าย ๆ คือเรียนได้เท่ากับเพื่อนนั่นเอง ข้อต่อมา ให้ผมได้เรียนเกาหลีตัวที่สี่ ที่มันมีเงื่อนไขว่าจะต้องผ่านเกาหลี 1, 2 และ 3 มาก่อน ซึ่งลุงนั่นแสดงท่าทางลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

โดยลุงให้เหตุผลว่า ถ้าเรียนถึงเกาหลี 4 ก็แสดงว่าต้องพูดได้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม เพราะสิ้นคำพูดของลุง ผมก็รัวเกาหลีใส่ชนิดที่ผมเองก็ยังงงว่า ระยะเวลาสั้น ๆ ผมทำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ สรุปแล้ว ไอ้สองข้อที่ขอไปได้ผลครับ แถมดำเนินการอะไรเรียบร้อยทุกอย่าง

มาถึงข้อสุดท้าย ผมบอกแก่ลุงสั้น ๆ ว่า อย่ายุ่งกับผม แค่นั้น แล้วผมก็จะเหยียบเรื่องเอกสารเท็จลงดิน พอมาถึงข้อนี้ สายตาของลุงที่มองผมนั้นแทบจะเผาผมให้เป็นขี้เถ้าได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที แต่สุดท้ายลุงก็ยอมตกปากรับคำ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ความทุกข์ใจต่าง ๆ ถูกยกออก มันทำให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น ผมรีบโทรศัพท์หาแม่ที่ญี่ปุ่น หลังจากที่ไม่ยอมติดต่อเป็นเวลานาน เพราะไม่อยากให้คำพูดของแม่ที่จะคอยกล่อมผมมาเป็นเครื่องรบกวนจิตใจระหว่างที่ดำเนินแผนการ

ทันทีที่มีคนรับสาย และแม่ก็สวดผมซะเละ ซึ่งผมก็ยอมถือสายทนฟัง เพราะรู้ดีว่าตัวเองผิด แต่พอบอกว่าจะตั้งใจเรียน แรก ๆ แม่ก็ทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ตะล่อมนิดหน่อยน้ำเสียงของแม่ก็อ่อนลง คำพูดสุดท้ายก่อนที่จะวางสาย แม่พูดในสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิดว่าแม่จะพูด และผมก็จับในน้ำเสียงได้ว่าแม่กำลังเขิน

...ตั้งใจเรียนนะลูก...







พอมาถึงวันเปิดเรียน กระผมก็ทำตัวตามปกติเพื่อที่จะเป็นตำนาน เช้านี้ผมออกจากบ้านของไอ้ทวิตด้วยสภาพที่เรียกว่าเจร็อคเต็มที่จนคนที่บ้านไอ้เด็กทวิตมองกันตาถลน บางทีอาจจะคิดว่าผมดีแตก แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงผมก็จะไม่ได้อยู่บ้านนี้อีกแล้วนี่นา

ผมกล่าวขอบคุณพ่อและแม่ของไอ้ทวิตสำหรับที่พัก ซึ่งทางนั้นก็จัดรถไปส่งที่มหาลัยให้เป็นอย่างดี ผมซาบซึ้งในน้ำใจ และสัญญากับตัวเองว่าบุญคุณนี้จะไม่ลืม

เมื่อผมสอดตัวเข้ารถ และล้อเริ่มหมุนนั้น ผมก็โทรศัพท์หาไอ้ทวิตเพื่อที่จะเช็คความเรียบร้อย แต่มันก็เข้าอีหรอบเดิม คือมันไม่รับสาย สุดท้ายผมก็ต้องส่ง iMessage หามัน และกว่ามันจะตอบก็เล่นเอาผมรอจนแทบจะบ้า

“รบกวนช่วยไปตามเส้นทางที่ผมบอกก่อนได้ไหมครับ พอดีต้องเอาของไปเก็บ” ผมพูดกับคนขับรถ และพี่แกก็ยอมทำตามผม โดยการขับรถมาที่บ้านของไอ้ไบเซปก่อน

รถจอดลงที่หน้าประตูบ้าน ผมก้าวลงแล้วมองดูนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เก็บของคงจะแป๊ปเดียวไม่นาน แล้วก็ไปมหาลัยก็ใช้เวลาราว ๆ สามสิบนาที น่าจะทันปฐมนิเทศของภาควิชาเกาหลี ผมมองบ้านที่ผมจากไปเมื่อหลายเดือนก่อน พลันความรู้สึกยินดีก็ปรี่ขึ้นมาในอก ผมยิ้มให้กับตัวบ้าน พร้อมทั้งเดินไปเปิดประตูเพื่อที่จะให้คนขับรถยกกระเป๋าเข้าไปเก็บ (คงจำกันได้ใช่ไหมครับว่าผมมีกุญแจ)

สภาพภายในบ้านทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ผมไม่ยอมเสียเวลาเพื่อที่จะสำรวจอะไรทั้งนั้น เท้าของผมรีบเดินนำคนขับรถที่ยกกระเป๋าขึ้นมาบนชั้นสอง กุญแจที่ผมมีสอดเข้าเพื่อปลดล็อคประตูห้องไอ้ไบเซป ผมบุ้ยหน้าบอกให้คนขับรถเอากระเป๋าเข้าไปเก็บไว้ในนั้น ซึ่งพี่แกก็ทำตามโดยที่ไม่พูดอะไร

“เอ่อ ขอเวลาจัดห้องซักแปปได้ไหมครับ” ผมพูดเป็นเชิงขออนุญาตพลางรื้อของที่เตรียมมาออกจากกระเป๋า

“ไม่ทราบว่ากระผมพอจะช่วยได้ไหมครับ เผื่อจะช่วยประหยัดเวลามากขึ้น” พี่คนขับรถถามผมอย่างสุภาพ ซึ่งผมก็รีบพยักหน้าตอบก่อนที่จะโยนพวกแผ่นโปสเตอร์ให้พี่แก

“ติดรอบไอ้คอลเล็กชั่น คัลเลอร์ฟูลนั่นเลยครับ” ผมบอกพลางเบนหน้าไปที่คอลเล็กชั่น Mr.Simple ของ SJ ที่ไอ้ไบเซปติดอยู่ที่ฝาผนัง พี่คนขับพยักหน้าอย่่างเข้าใจ ยื่นมือมารับเทปกาว และกรรไกรไปจากผม ส่วนผมก็หันไปตกแต่งห้องด้วยภาพอัดโฟโต้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมขนมาเตรียมเปลี่ยนห้องนี้โดยเฉพาะ

หึหึ หึหึ แล้วเจร็อคจะบังเกิด หึหึ หึหึ

และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ครับ นั่นก็คือ ถุงยาง ลิมิเต็ด อิดิชั่นของท่านศาสดา ที่กว่าจะสอยมาได้ต้องยืนรอต่อคิวเกือบสามชั่วโมง แล้วไหนจะต้องลุ้นอีกว่ามันจะเหลือถึงผมไหม แต่สุดท้ายผมก็สอยมาได้ TwT

ผมจงใจวางสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นของท่านศาสดาไว้ที่ห้องน้ำ หน้าอ่างล้างหน้า เพราะผมจำได้ดีว่า อ่างตรงนี้มันมีประวัติ 555555 แถมประวัติเสียวซะด้วยสิ >//////<

หลังจากที่ตกแต่งห้องกันอย่างลวก ๆ แต่ก็ออกมาเป็นที่หน้าพอใจแล้ว ผมก็พลิกข้อมือดูนาฬิกา

“ยี่สิบนาทีนี่ทันไหมครับ” ผมถามพลางเร่งให้พี่คนขับออกจากห้อง อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด

“น่าจะทันนะครับ”

“เลทหน่อยก็คงไม่เป็นไร งั้นเอาสุดฝีมือพี่เลยครับ”

หลังจากนั้นผมและพี่คนขับก็เคลื่อนตัวออกจากบ้าน ล็อคประตูบ้าน แล้วกระโดดขึ้นรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นการนั่งรถที่มีคนขับฝีมือการขับหวาดเสียวที่สุดแล้วครับ ขนาดใจกลางกรุงพี่แกยังขับปาดซ้ายปาดขวา บีบแตรบ้างเป็นบางโอกาส จนผมยังแอบคิดว่า ถ้ามีลูกกระสุนลอยมานี่คงไม่น่าแปลกใจเท่าไร

และสุดท้ายผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยโดยใช้เวลายี่สิบนาทีเป๊ะ ผมรีบกระโดดลงรถ ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่ากว่าจะหาคณะมนุษยศาสตร์เจอมันต้องสายแน่ ๆ แล้วไหนจะวิ่งหาห้องอีก ระหว่างทางเหล่านักศึกษาทั้งเก่าและใหม่เป็นอันต้องหมุนสามร้อยหกสิบองศาเมื่อผมวิ่งผ่าน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามองอะไรครับ

ทั้งหัวหนาม ทั้งแต่งตัวผิดระเบียบโคตรพ่อโคตรแม่ ยังไงก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว

ผมวิ่งถามทางชาวบ้านชาวช่องมาเรื่อย ๆ ว่าคณะมนุษยศาสตร์อยู่ที่ไหน จนในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าตึกสีขาวที่มันสูงหลายชั้น ผมหอบจนตัวโยน นี่กูวิ่งสี่คูณร้อยเมตรหรือไงวะ มีเซ็กกับไอ้ไบเซปกูยังไม่หอบขนาดนี้เลยนะ!!!!! แต่แล้วอะไรบางอย่างมันก็กระแทกหัวผมอย่างจัง อันที่จริง คณะนี้มันก็อยู่ตรงข้ามกันกับศึกษาศาสตร์ แล้วกูจะวิ่งวนหารอบมหาลัยทำเตี่ยอะไรวะ =.=”

ผมบ่นให้กับความโง่งี่เง่าของตัวเอง พลางวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร แล้วเริ่มปฏิบัติการถามหาห้อง จนสุดท้ายก็เจอรุ่นพี่สาขาเกาหลีที่ใจดีอุตส่าห์เดินนำทางมาจนถึงหน้าห้อง ผมรีบกล่าวขอบคุณแล้วเปิดประตูพรวดเข้าไป

เป็นอันว่างานนี้ผมทำให้คนทั้งห้องตกใจไม่เว้นแม้แต่อาจารย์

ภาพที่บางคนมุดใต้โต๊ะ แถวด้านหลังกรี๊ด อาจารย์ผงะนี่ถูกบันทึกเข้าสู่สมองของผมทั้งหมด ซึ่งผมก็แอบลอบขำในกิริยาท่าทางของแต่ละคน (กูได้เรื่องเม้าท์มนุษย์เกาหลีและ)

ดูเหมือนว่าอาจารย์จะตั้งสติได้ก่อนใครอื่น เพราะอาจารย์รีบก้มดูกระดาษแล้วทักผมทันที

“เธอคือนักเรียนที่ยื่นขอเรียนรายวิชานี้ใช่ไหม” สำเนียงไทยแปร่ง ๆ ดังขึ้น ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นอาจารย์ก็พยักเพยิดให้ผมหาที่นั่ง ผมโค้งให้อาจารย์ ก่อนที่จะเดินแหวกฝ่ากลางห้อง ทุกคนเหลียวหลังหันมามองผม ไม่เว้นแม้แต่สายตาของใครบางคนที่ผมไม่ได้เจอกันมาเกือบหลายเดือน

จากนั้นก็เป็นการทักทายกันตามปกติ และผมก็เล่าความจริงของเรื่องทั้งหมดให้ไอ้ไบเซปฟัง แรก ๆ ก็ดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอผมเล่าจบนี่หมัดพุ่งเลยครับ โชคดีที่ผมหลบทัน ไม่งั้นมีดั้งหัก แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ ผมนี่ดิ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ทำให้เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นภายในห้อง นักศึกษาทั้งคลาสรีบกรูกันเข้ามาเพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้น (งานนี้สามารถเรียกได้ว่า เกาหลีมุง!!!!) และผมก็ลากไอ้ไบเซปออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะโดนรุมกระทืบ

จากนั้นก็มาพบกันกับไอ้ทวิตเตอร์ที่โรงอาหารมนุษยศาสตร์ ไม่วายนั่งเผาไอ้ไบเซปให้ไอ้ทวิตฟัง ทั้งผมและทวิตหัวเราะกันเอิกอากตามประสาพวกรู้ใจ (ต่อให้มึงตอแหลก็ตาม) และก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ นั่นก็คือช่วงเวลากลับบ้านครับ ทั้งผม ไบเซป และไอ้เด็กทวิตมีความเห็นดีเห็นงามว่าจะไปนั่งคุยกันทั้งบ้านของไบเซปก่อน และเมื่อมันเข้าบ้าน วิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

ทันทีที่มันเปิดประตูห้อง ไอ้ไบเซปก็ชะงักค้างทันที ผมและทวิตหัวเราะคิกคัก ก่อนที่อีกคนมันจะก้าวขาสั่น ๆ ของมันเข้าไปในห้อง มันจ้องมองคอลเล็กชั่นคัลเลอฟูล ที่ตอนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าโปสเตอร์เจร็อค มันเดินเข้าไปห้องน้ำ แล้วโวยวายเมื่อเห็นกล่องถุงยางอนามัยรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น

พอถึงตอนนี้ผมก็ส่งสัญญาณให้ไอ้ทวิตออกไปนอกห้องแล้วล็อคประตูจากด้านนอก เพราะผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างกับเพื่อนมัน และไอ้นั่นมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ

...มาไว ไปไว ล็อคไว ได้ดั่งใจ นี่สิ ทวิต!!!...

ดูเหมือนว่าไอ้ไบเซปมันจะรู้ทัน เพราะมันก็วิ่งไปที่ประตูแล้วกระชากประตูเปิด แต่มันไม่เปิดครับ สรุปว่างานนี้ไอ้ทวิตมันทำสำเร็จ และไอ้ไบเซปมันเสร็จผมแน่...

และมันก็เสร็จผมจริง ๆ TwT

หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาผ่านไป ผมก็กลับไปเรียน กลับไปป่วนคณะตามปกติ จนมีเรื่องเล่าขานยังตำนานของผมที่ผมก่อไว้กับคณะศึกษาศาสตร์แถมยังไปก่อไว้ที่คณะมนุษยศาสตร์อีกตางหาก!!!

สุดท้าย...ผมหวังว่ามันจะถูกเล่าต่อ ๆ กันไปถึงอะไรที่มันอยู่นอกกรอบ มันหลุดโลก และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การกระทำต่าง ๆ ของผม ที่ผมทำไปกับคณะนั้น มันจะช่วยจุดประเด็นอะไรซักอย่างในความคิดของผู้ใหญ่ที่มองชีวิตเพียงแค่ครูที่อยู่ในกรอบ

เพราะผมรู้ หากมีกรอบ เราก็ไม่พัฒนา...

และถ้าหากไร้กรอบ เราก็พัฒนาเกินไป จนอาจจะรั้งไว้ไม่อยู่

เพราะงั้น...นอกกรอบบ้าง ยามต้องการอะไรที่สร้างสรรค์ และในกรอบบ้าง ยามที่รู้ว่ามันมาก จนเกินไป...

ออฟไลน์ Riko

  • {น า ย พ ร า น จ อ ม หื่ น}
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
    • tumblr
อ่ารวดเดียวเลยค่ะ สุดยอดมากก สนุกมากค่ะ
ขอชื่นชมฉาก NC นะคะ บรรยายใช้ภาษาสละสลวยมากเลยค่ะ
ลื่นไหลและมองเห็นภาพทันที
แอร๊ยยยยยยยยยยยย
อยากรู้ว่าฟีจะทำผมหัวหนามอีกนานมั้ย ฮ่าๆๆ
ทำผมเทรนญี่ปุ่นหัวปกติก็ได้น๊าา มันมีหลายทรงนะฟี กร๊ากกกก
ในเรื่องจริงๆแล้วไม่ชอบทวิตอ่ะ ฮ่าๆๆ
แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าทวิตทำถูกแล้วล่ะ ล็อคห้อง กรี๊ดดดด  :z1:

ขอบคุณมากนะคะที่นำเสนอเรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี
เราเป็นคนนึงที่รักญี่ปุ่นมาก ถึงขั้นไม่ชอบเกาหลีเลย
แต่พอเราได้รับรู้อะไรมามาก ก็เข้าใจในความแตกต่างและเริ่มยอมรับ
กลายเป็นว่าไม่ได้เกลียดเกาหลีแล้ว เริ่มยอมรับ
และเราก็จะยังรักญี่ปุ่นต่อไปเรื่อย มากขึ้น มากขึ้น
เรื่องราวสนุกมากค่ะ ขอบคุณจริงๆค่ะ :-[


+1 ทุกอันเลย อิอิ

ออฟไลน์ Vavaviz

  • oONaMMOo
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-4
อ่านไปขำไป

น่ารักทั้งคู่เลย 55555

ออฟไลน์ aoaer

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ฮ่าๆๆๆ ขำ ฮา ดราม่า ครบ แต่ดราม่าไม่เยอะนิแหละที่ชอบมากกกกก    :mew1: :mew1: :mew1:


และก็  สุดท้ายเนี่ย เห็นด้วยก่ะฟีนะคะนี่ว่า ครูถ้าแค่อยู่ในกรอบก็ไม่มีการพัฒนา

บอกตรงๆ เราก็เรียนครูนะ แถมชอบแหกกฎบ่อยๆด้วย ฮ่าๆๆๆๆ เพราะว่าเราเคยเป็นเด็กนักเรียนเรารู้ว่าชอบไม่ชอบตรงไหน

พอรู้ เราก็เลยแหกมันตรงนั้นเลย คิคิ  :mew3: :mew3:

viz

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วอยากกรี้ดดังๆล้านรอบค่ะ 5555
สนุกมากกกกก เพลิน >_<
ไบเซป ฮาได้ใจ
ฟีก็บ้าได้ใจ
ชอบๆๆๆๆ  o18

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เรื่องโคคิเฟบเกาหลีหนิเรื่องจริงเหรออออออ????   :a5:

ออฟไลน์ oop

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องนี้สนุก!!!! ได้สัมผัส j-rock ซึ่งไม่เคยคิดฟังและไม่รู้จักเลย
จนอยากไปหาฟัง 555555 พอดีมาทาง k-pop
 
ตอนแรกนึกว่าk-popจะรุกเห็นขึ้นหัวเรื่อง แต่ที่ไหนได้ คิคิ
**แอบเชียร์ให้ทวิตมีคู่ไม่เฟซบุค ทัมเบลอ ก็เหวยป๋อ
ปล.ชื่อไบเซปเห็นแล้วเบ่งกล้ามมองต้นแขนตัวเอง เป็นชื่อที่เจิดนะคะ -3-

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด