- STEP 27 -
ผมเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ถึงความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของพี่เอฟ แต่...
ผมก็ยังพลาดครับ!!คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด คนอย่างผมก็เลยต้องตกเป็นเหยื่อของพี่เอฟ ด้วยความรักน้องโดยแท้ ถึงได้ไม่ฉุกใจคิดอะไรเลย จนเท้าแตะแผ่นดินอเมริกาแล้วนั่นแหล่ะ ความจริงถึงกระแทกหน้าเข้าโครมใหญ่จนแทบจะหงายหลัง
คนที่ควรจะนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล กลับนั่งกดเกมส์ยิกเล่นกับคู่แฝดอยู่บนโซฟา ตอนที่ผมเปิดประตูอพาร์ทเมนต์
“โอ้โห...อาร์เพิ่งรู้นะว่าแอลรักและเป็นห่วงอาร์ม๊ากมาก ถึงขนาดยอมลงทุนบินกลับมาบ้าน แค่เพราะอาร์ถูกจักรยานเด็กเล่นชนจนเป็นแผลถลอก”
เจ้าแฝดตัวแสบของผมกำลังนั่งกดเกมส์ยิก เพราะเจ้าตัวแค่โดนจักรยานเด็กเล่นชนเอา และเป็นแผลถลอกที่หน้าแข้ง จัดการทำแผลเรียบร้อย ตอนที่ผมกลับมาก็ตกสะเก็ดเรียบร้อยอีกต่างหาก มโนภาพที่น้องชายโดนรถชนถูกหามส่งโรงพยาบาล มีผ้าพันแผลพันรอบตัวหายวับราวกับสั่งได้
ผมตวัดตามองพี่เอฟอย่างหงุดหงิดและขุ่นเคือง ตัวการกำลังนั่งอ่านหนังสือแล้วก็หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี ผมเสียรู้พี่เอฟจนยอมเดินตามขึ้นเครื่องบินมาถึงบ้านจนได้ ผมพลาด...พลาดอย่างแรงเลยครับ
“ถ้าอาร์ไม่เป็นอะไรแล้ว แอลจะกลับแล้วนะ”
“แอลจะกลับยังไง?” พี่เอฟเลิกคิ้วถามผม แล้วยังทำหน้าตายียวนอีก
บอกผมที...ว่าผู้ชายตรงหน้าคือผู้บริหารที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ที่คุมลูกน้องนับพัน
“ก็ตั๋วขามาที่พี่เอฟซื้อให้แอลไง...” เอ๊ะ! เหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ผมรีบวิ่งเข้าห้องตัวเอง รื้อหาบอร์ดดิ้ง พาสที่ยังเก็บอยู่ในกระเป๋าออกมา พอหาเจอก็ไล่สายตาดูด้วยความรวดเร็ว แล้วก็แทบหมดแรง
...พี่เอฟซื้อตั๋วเที่ยวเดียวให้ผม ไม่ใช่ตั๋วไป-กลับ!!...หมายความว่า...ถ้าจะกลับ ผมจะต้องควักตังค์ตัวเองออกเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน แต่เหมือนบางคนเขาจะรู้ทันครับ บอกแล้วว่าเขาน่ะ...ร้ายกาจที่สุด
“พี่สั่งอายัดบัตรเครดิตทุกใบของแอลแล้วนะ แถมในตัวแอลก็ยังมีเงินติดตัวอยู่ไม่ถึงสามร้อยเหรียญ แล้วน้องชายพี่จะกลับเมืองไทยยังไงล่ะเนี่ย” คนพูดยืนกอดอกพิงประตูห้องผมอยู่
“พี่เอฟแกล้งแอล!!” ผมโวยลั่นทันที
“บอกแล้วไงว่า พี่จะพาแอลกลับมาอเมริกาให้ดู อีกอย่างนะ...พาสปอร์ตแอลอยู่กับพี่ด้วย” พูดเสร็จ ก็โบกพาสปอร์ตผมไปมาเป็นการยั่วโมโห
ส่วนสาเหตุที่ทำไมผมไม่เจรจากับคุณป๋าและคุณแม่น่ะเหรอครับ ก็เพราะว่า...คุณป๋าและคุณแม่ไปฮันนีมูนรอบที่ร้อยที่ยุโรป แต่เห็นเอสบอกว่า พี่เอฟเป็นคนออกเงินให้คุณป๋า ผมว่าคงเป็นแผนของพี่เอฟอีกตามเคย ที่ส่งคุณป๋ากับคุณแม่ไปเที่ยวยุโรป
เรื่องสำคัญ...ผมยังไม่ได้โทรศัพท์บอกพี่เภาเลย โทรศัพท์ผมก็ใช้ที่นี่ไม่ได้ เพราะรีบจนไม่ทันได้เปิดโรมมิ่ง ส่วนโทรศัพท์ที่นี่ก็ถูกสั่งบล็อกโทรออกนอกประเทศไมได้อีก ชีวิตผมละม้ายคล้ายนักโทษดีไหมล่ะครับ
.
.
นิวยอร์คเป็นเพียงเมืองเดียวที่ถูกเรียกว่า...
‘มหานครนิวยอร์ค’ ถูกแบ่งออกเป็นห้าโบโรหรือเขตด้วยกัน ศูนย์กลางของธุรกิจอยู่ที่แมนฮัตตัน และครอบครัวผมก็มีอพาร์ทเมนต์อยู่ที่แมนฮัตตัน ส่วนบ้านของครอบครัวเราอยู่ที่นิวเจอร์ซีย์ ตรงข้ามกับแมนฮัตตันแค่แม่น้ำฮัดสันกั้นเองครับ
อพาร์ทเมนต์ของครอบครัวเรา อยู่ย่านอัพเพอร์อีสต์ไซต์ของเกาะแมนฮัตตัน เป็นย่านที่พักอาศัยราคาแพงหูฉีกของเกาะแมนฮัตตัน ที่พักอาศัยบนเกาะแมนฮัตตันจะเป็นอพาร์ทเมนต์ เพราะราคาที่ดินต่อตารางเมตรที่แพงกว่ารถ แค่เป็นเจ้าของอพาร์ทเมนต์ก็ถือว่ารวยมากแล้ว เพราะค่าเช่าต่อเดือนสำหรับห้องธรรมดา ยังราคาราวสองพันเหรียญ
มหาเศรษฐีหลายคนนิยมปลูกบ้านอยู่ที่ฝั่งนิวเจอร์ซีย์ เพื่อความสงบและความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางเข้านิวยอร์ค เช่นเดียวกับครอบครัวเราที่มีบ้านอยู่ที่เมืองโฮโบเค่น มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ โฮโบเค่นเป็นเมืองแสนเงียบสงบ ที่อยู่ห่างจากนิวยอร์คแค่เพียงยี่สิบนาที ถือว่าสะดวกมากสำหรับครอบครัวเรา
ผมอยู่ที่นี่จนถึงอายุสิบเอ็ด ก่อนจะถูกส่งไปอยู่กับคุณยายที่เมืองไทย แต่ทุกปิดเทอม ผมก็จะต้องกลับมาอยู่ที่นี่อยู่ดี เมืองที่ผมคุ้นเคยชนิดว่าหลับตายังเดินถูก
ผมเงยหน้าดูปฏิทิน ยิ่งใกล้เปิดเทอมผมก็ยิ่งกระวนกระวาย แถมยังติดต่อใครไม่ได้อีก คนอื่นคงกำลังเป็นห่วงผมอยู่...โดยเฉพาะพี่เภา ผมถอนหายใจยาว จนเอสที่กำลังลูบหัวผมอยู่ถึงกับชะงัก
“ไม่สบายใจเหรอแอล” แฝดพี่ก้มหน้าลงมาถามผม เพราะผมนอนหนุนตักเอสอยู่ ส่วนอาร์กับพี่เอฟกำลังวางแผนหาเรื่องเที่ยวกันอยู่
“เอส...แอลอยากกลับเมืองไทย แอลต้องกลับไปเรียนนะ”
เอสทำหน้าลำบากใจทันที แน่สิ...ถ้ายกเว้นคุณแม่กับคุณป๋าแล้ว พี่เอฟใหญ่สุดนี่นา ใครจะกล้าขัดใจพี่เอฟล่ะ
“เอสว่าแอลรอคุณแม่กับคุณป๋ากลับมาก่อนดีไหม”
“เมื่อไหร่ล่ะ?”
นั่นไง...เอสก็ตอบผมไม่ได้เหมือนกัน คุณป๋ากับคุณแม่ผมก็ต้องการความเป็นส่วนตัวในการฮันนีมูนรอบที่ร้อย ถึงได้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ตัดขาดจากคนรู้จักและครอบครัว ชนิดที่ว่าว่าโลกนี้มีเพียงเราสองคน ปล่อยลูกชายสี่คนอยู่กันตามลำพัง
...ทีคุณป๋ายังอยู่กับแฟน คุณแอลก็อยากอยู่กับแฟนเหมือนกันนะครับ...“แอล...เราสี่คนพี่น้องไม่ได้เที่ยวด้วยกันมานานแล้วนะ” พี่เอฟกับอาร์เดินหน้าระรื่นเข้ามาหาผม ท่าทางคงวางแผนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่...ผมกำลังงอน ผมอยากกลับบ้าน ผมไม่เที่ยว!!
“แล้วไง...” ผมแกล้งเมิน พี่เอฟหน้าเสียไปเล็กน้อยที่ถูกผมเมิน
เห็นนะ...ว่าเอสแอบกลั้นหัวเราะอยู่ เดี๋ยวเถอะ ไม่ช่วยก็อย่าซ้ำเติมกันครับ
“ไปไนแองการ่าดีไหมแอล แล้วเราก็ข้ามชายแดนเข้าแคนาดา ไปนอนเล่นที่คาสิโนฝั่งแคนาดา”
“ไม่”“หรือว่าแอลอยากไปถ่ายรูปที่วอชิงตัน ดีซี ไปดูพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนี่ยนด้วย ไปดีซีกันไหม”
“ไม่”“ถ้างั้นพวกเราสี่คนบินไปเซอร์ไพรส์คุณปู่คุณย่าที่ซานฟรานฯดีไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว”
“ไม่”“อ้าว! แล้วแอลจะไปไหน นู่นก็ไม่ไป นี่ก็ไม่ไป” คราวนี้อาร์เป็นคนถามผม ถ้าถามมา ผมก็จะตอบให้
“จะไปเมืองไทย พาไปไหมล่ะ”
“ไม่!!” ไม่ต้องบอกใช่ไหมครับ ว่าใครเป็นคนตอบ
“ไม่พาไปเมืองไทยก็ไม่ไป แล้วก็ไม่ต้องชวนไปไหนทั้งนั้น แอลไม่ไปเที่ยวไหน แอลจะรอคุณแม่กลับมา” ผมพูดเสร็จก็หันหน้าหนีทันที เคืองหมดทุกคนเลยครับ
พี่เอฟกับอาร์หน้าเหวอไปเลย ส่วนเอสหัวเราะเบาๆ ผมยังมีเอสเป็นพวกเดียวกันอยู่ใช่ไหมครับ ก่อนบางคนเขาจะหย่อนระเบิดลูกโต
“ยังไงพี่ก็ไม่ปล่อยแอลกลับไปหาหมอนั่นหรอก”
“หมอไหนพี่เอฟ?” อาร์ถามด้วยความสงสัย
“ก็แฟนแอลยังไงล่ะ” พี่เอฟตอบไม่เต็มเสียงนัก แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาจากพวกแฝดเกินคาด
“หา!!! แอลมีแฟนแล้วเหรอ”
แค่รู้ว่ามีแฟนยังตะโกนเสียงดังลั่น ถ้าเกิดรู้ว่าแฟนผมขยับมาเป็นสามีแล้วเรียบแล้ว มีหวัง...คงสลบกันพอดี แล้วพี่เอฟก็จัดอีกดอกจนสองแฝดถึงกับใบ้กิน
“แล้วแฟนของแอลก็เป็นผู้ชายด้วย”
.
.
“แฟนแอลเป็นผู้ชาย...” เอสพึมพำ
“แอลมีแฟนเป็นผู้ชาย” อาร์งึมงำ
เอาเข้าไปครับ เจ้าคู่แฝดของผมช็อคค้างเรียบร้อย กะอีแค่(?)พี่ชายมีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ยนะ แต่ประโยคต่อมานี่สิ ผมแทบหน้าคะมำ...
“ดีเหมือนกันนะเอส คุณป๋ากับคุณแม่จะได้ไม่ต้องเตรียมสินสอดให้แอลไปขอลูกสาวชาวบ้าน”
“อาร์...แล้วอย่างแอลนี่เป็นฝ่ายรุกหรือเป็นฝ่ายรับล่ะ”
“อย่างแอลเนี่ยนะจะไปรุกใครได้ สงสัยคุณป๋ากับคุณแม่คงต้องเตรียมเรียกค่าสินสอดแทน”
“แบบนี้เราก็จะมีพี่เขยกันใช่ไหม? ดีจัง ขนาดมีพี่ชายก็ยังมีพี่เขยได้”
เจ้าแฝดมันจะเถียงกันหน้าตาจริงจังไปไหมเนี่ย พี่ชายมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่ใช่วาระระดับชาติที่ต้องเอาเข้าที่ประชุมสภาคองเกรสนะครับ อย่าเวอร์ครับเจ้าแฝด
“แอลอยากกลับไปหาแฟนล่ะสิ ไม่อยากอยู่กับเอสแล้วเหรอ” จึ้ก!
“เห็นแฟนสำคัญกว่าน้องไม่ดีเลยนะแอล ใช่สิ! อาร์ก็เป็นแค่น้องนี่นา” จึ้กจึ้ก!!
“พอมีแฟน แอลที่น่ารักของพี่ก็หายไป ไม่อ้อนพี่ แล้วยังมาดื้อกับพี่อีก” จึ้กจึ้กจึ้ก!!!
“โอ๊ย...อย่าเพิ่งมาดราม่ากันได้ไหม ไม่ขำนะ ดูปฏิทินกันซะก่อน ว่าแอลจะเปิดเทอมอยู่แล้ว ตกลงจะให้แอลกลับไปเรียนต่อไหมพี่เอฟ”
“ไม่!!” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยนะพี่ชายผม คิดบ้างก็ยังดีนะ
“ไม่ก็ไม่ แอลไม่ง้อ คอยดูเถอะ คุณแม่กลับมาเมื่อไหร่นะ... แอลจะฟ้องว่าพี่เอฟกับอาร์หลอกแอล”
“หลอกเรื่องอะไร” ยังมีทำหน้าซื่อ
“หลอกว่าอาร์โดนรถชน”
“อ้าว อาร์ก็โดนรถชนจริงๆนี่นา พี่หลอกแอลยังไง”
“แต่พี่เอฟไม่ได้บอกว่า รถที่ชนอาร์มันเป็นจักรยาน”
“ก็แอลไม่ได้ถามพี่”
โอเคครับ...เถียงไปก็ไม่ชนะ สรุปผมโง่เองที่ไม่ยอมถามให้ดี มัวแต่หน้ามืดตามัว จำไว้เป็นบทเรียนเลยครับ แต่บทเรียนที่ผมได้จากพี่ชายนี่ อย่าให้สาธยายเลยครับ เล่าสิบวันยังไม่หมด
ที่ทำได้ตอนนี้คือ...รอคุณแม่ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดประจำบ้านกลับมา อย่างน้อย...ผมก็เป็นลูกรักมากกว่าพี่เอฟละกัน เหอะ...ถ้ากลับเมืองไทยไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกชื่อผมเลย
.
.
เนื่องจากเอสกับอาร์ยังอยู่ในช่วงเปิดเทอมอยู่ ที่อพาร์ทเมนต์เลยมีแค่ผมอยู่กับพี่เอฟ นอกจากบางทีนิคจะแวะมาคุยเรื่องงานตามที่พี่เอฟสั่ง วันนี้พอไม่มีใครอยู่ พี่เอฟเลยลากผมไปที่ควีนส์ แถบที่เป็นย่านคนไทย เพื่อซื้อของสดและอุปกรณ์สำหรับทำอาหาร ปกติถ้าผม เอส และอาร์ไปไหนมาไหนกันเอง มักจะอาศัยซับเวย์ แต่ถ้าไปกับพี่เอฟต้องให้นิคขับรถให้ครับ ไม่ใช่ว่าพี่เอฟเรื่องเยอะ แต่เพราะคนรู้จักพี่เอฟเยอะเกินไปต่างหาก
พอผมเห็นร้านขายของของคนไทย มีบริการโทรกลับเมืองไทย ผมก็ตาวาวเลยครับ พอถามค่าบริการเสร็จ ผมก็ตกลงทันที กดหมายเลขที่จำแม่นพอๆกับเบอร์ของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคย แทนที่จะเป็นเสียงพี่เภา
“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”
ผมกดซ้ำอีกรอบ ผลก็คือเหมือนเดิม กิ๊กพี่เภายังไม่ยอมให้ผมคุยกับพี่เภาอยู่ดี สุดท้ายเลยต้องมองหาทางอื่น ก่อนจะกดอีกเบอร์ที่จำแม่นพอกัน...
((ฮัลโหล...ครับ?)) ปลายสายเหมือนไม่แน่ใจ ผมดูนาฬิกา ที่เมืองไทยเพิ่งสี่ทุ่มเอง หวังว่าคงโทรไปไม่ผิดเวลา
“เชี่ยเวย์...กูเอง”
((ไอ้เหี้ย!! มึงหายหัวไปอยู่ที่ไหนมาวะไอ้น้องแอล)) ดูมันทักเพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน แทบจะโยนสัตว์เลื้อยคลานใส่หน้าผมเลยทีเดียว
“ห่า...กูอยู่อเมริกา พี่เอฟแม่งบอกกูว่าอาร์รถชน กูเลยกลับมา ที่ไหนได้ แม่งโดนรถจักรยานชน แล้วนี่กูก็เลยกลับไม่ได้”
((พี่เอฟมึงนี่ตลอดเลยหว่ะ ร้ายฉิบ แล้วทำไมมึงกลับไม่ได้หว่ะ มึงโดนกักขังหน่วงเหนี่ยวเหรอไง)) มันยังมีอารมณ์มากวนตีนข้ามทวีปอีก
“เปล่า กูไม่มีค่าตั๋วเครื่องบิน บัตรกูโดนระงับหมด แล้วพาสปอร์ตกูก็อยู่กับพี่เอฟด้วย”
((อ้าว...แล้วมึงจะทำยังไงเนี่ย จะเปิดเทอมอยู่แล้วนะมึง)) นั่นแหล่ะคือประเด็นที่ผมกลัว
“เออ! มึงก็พยายามเช็คชื่อให้กูไปก่อนละกัน อันไหนที่ไม่ได้ เดี๋ยวกูจะให้คุณป๋าเขียนจดหมายลา ว่าแต่...พี่เภาเป็นยังไงบ้างวะมึง กูติดต่อพี่เภาไม่ได้เลย”
((รู้สึกว่าพี่เภาจะตามพี่เพิร์ลไปทำธุระที่ต่างประเทศหว่ะมึง แต่กูก็ไม่แน่ใจนะ เพราะกูไม่ได้เจอเลย แหะๆๆ พอดีกูมาอยู่ที่ร้านบ้านไอ้จีนทุกวันเลย))
“แม่ง!! มึงนี่นะ มีเมียแล้วลืมเพื่อน”
((กูไม่ได้ลืมเว้ย แต่กูเห็นว่าพี่กูคอยดูแลมึงอยู่แล้ว จนเห็นเงียบหายไปทั้งคู่ กูถึงเพิ่งรู้ว่าไม่อยู่กันหมด))
“ไม่รอให้เปิดเทอมแล้วค่อยรู้ว่ากูไม่อยู่เลยล่ะ”
((เอาน่า...กูขอโทษ ว่าแต่อย่าลืมของฝากนะ ถ้ามึงกลับมาได้))
“ไอ้เชี่ย!!”
ผมคุยกับไอ้เวย์อยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป ไม่ได้เรื่องอะไรจากมันอยู่ดี นอกจากที่มันบอกว่าพี่เภาไปทำธุระที่ต่างประเทศกับพี่เพิร์ล ธุระอะไร ประเทศไหน ทำไมต้องเป็นตอนนี้ แล้วผมจะติดต่อพี่เภายังไง
ไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย ผมเคยชินกับการมีพี่เภาอยู่ข้างตัวแล้วใช่ไหมครับ...
แม้ตอนนี้จะอยู่ในสถานที่ที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี แต่บางทีก็เหงา...แค่เพราะไม่มีคนรู้ใจอยู่ข้างกาย
ที่ที่เรารู้จัก แต่ไม่มีคนรู้ใจ แล้วจะมีความหมายอะไรล่ะครับผมอยากได้ยินเสียงพี่เภา...แค่เสียงก็ยังดี
อยากบอกว่าผมคิดถึงมากแค่ไหน และคิดถึงผมเหมือนกันหรือเปล่า อยู่ห่างกันคนละซีกโลก ที่นี่สว่าง ที่นั่นมืด แต่ฟ้าที่ผมกับพี่เภามองอยู่ ก็ยังเป็นฟ้าผืนเดียวกันใช่ไหม
.
.
แต่ละคนก็มีวิธีระบายความเครียดแตกต่างกันไป เวลาผมเครียด ผมมักจะต้องหาทางระบายออก แต่บางทีมันก็ออกมามากเกินไป จนคนรอบข้างตกใจ อย่างเช่นตอนนี้ ที่เอสเดินเข้ามาหาผมแล้วอ้าปากค้าง...
“แอล...เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แต่ไม่ยอมหยุดขยับมือ จนเอสต้องเป็นฝ่ายจับมือผมไว้แน่น
“พอแล้วแอล ไม่เอาแล้ว”
“เอสจะขัดใจแอลเหรอ”
“เอสไม่ได้อยากจะขัดใจแอลนะ แต่มันเยอะเกินไปแล้วนะแอล เรากินข้าวกันแค่สี่คน แอลทำเยอะขนาดนี้ จะกินกันหมดเหรอ” เอสพูดแล้วก็กวาดตามองอาหารที่ผมทำ
ผมมองอาหารที่ตัวเองทำแล้วก็ผงะเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเพลิน จนทำออกมาเยอะแยะขนาดนี้ ผมเลยหันมายิ้มแหยให้เอส ก่อนจะบอกเสียงอ่อย
“เดี๋ยวแอลทำแกงจืดอย่างสุดท้ายแล้วก็พอแล้วล่ะ เอสไปนั่งรอเลยก็ได้”
ผมไล่แฝดพี่ออกไป แล้วก็ถอยมายืนมองอาหารที่วางเรียงราย มาเกือบครบทุกชนิด จานผัด จานทอด แกงจืด ยำ วางเรียงรายละลานตาราวกับจะมีงานเลี้ยงรับรองแขกที่บ้าน
“เฮ้อ...ท่าจะอาการหนักแล้วแฮะ”
สงสัยเพราะช่วงตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ผมทำอาหารให้พี่เภากินอยู่ทุกวัน พอลงมือทำอาหารอีกที มันเลยคอยแต่จะคิดว่าพี่เภาชอบกินอะไร พี่เภาอยากกินอะไร ป่านนี้พี่เภาจะกินอะไร... พอออกมาอีกที...ผมทำแต่ของโปรดของพี่เภาทั้งนั้นเลยครับ
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองจดจำและซึมซับเรื่องพี่เภาเอาไว้มากขนาดนี้ มันไม่ใช่ความเคยชิน แต่ผมจำขึ้นใจ หน้าตาและท่าทางมีความสุข ทุกครั้งที่พี่เภากินอาหารที่ผมทำ ต่อให้มันจะเยอะแค่ไหน พี่เภาก็จะกินจนหมด เพราะพี่เภาบอกว่า...
‘พี่หวงอาหารที่แอลทำ ไม่อยากแบ่งให้ใคร’
มันอาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ผมก็ดีใจมาก ความสุขของคนทำอาหาร คือการที่คนกินอาหารที่เราทำอย่างมีความสุข เหมือนกับที่ความสุขของผม คือเห็นคนที่ผมรักมีความสุข
ตอนนี้พี่เภาจะคิดถึงอาหารฝีมือผม เหมือนที่ผมกำลังคิดถึงคนที่กินอาหารที่ผมทำ ด้วยหน้าตาที่มีความสุขหรือเปล่า?... เราต่างก็คิดถึงกันและกันใช่ไหม?
.
.
เช้านี้ผมตื่นสาย เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตานอนหลับก็ล่วงเข้าวันใหม่ เพราะกระวนกระวายที่ยังติดต่อพี่เภาไม่ได้ พอตื่นมาเลยเจอเจ้าแฝดที่อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย และกำลังทอดไข่ดาวอยู่หน้าเตา พอถามหาพี่เอฟ ก็ได้ความว่าไปธุระ เพราะนิคมารับไปแต่เช้า
“แอล...อยากไปไหนหรือเปล่า ออกไปเดินเล่นไหม”
ครอบครัวผมเป็นพวกติดสัมผัส หลังกินข้าวเช้าเรียบร้อย เอสกับอาร์เข้ามาคลอเคลียผม เพราะกลัวว่าผมจะฟุ้งซ่านเอาซะก่อน แล้วผลสุดท้าย จะไประบายอารมณ์กับการทำอาหาร จนวัตถุดิบที่ตุนเอาไว้แทบเกลี้ยงตู้เย็น ร้อนถึงเอสกับอาร์ต้องคอยดึงผมออกห่างจากห้องครัว
“ความจริงก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่ถ้าเอสกับอาร์อยากไปไหน เดี๋ยวไปเป็นเพื่อนก็ได้”
จะมามัวนั่งอุดอู้อยู่ในบ้านทำไมล่ะครับ ในเมื่อยังไงผมก็ต้องรอคุณแม่และคุณป๋ากลับมาก่อนอยู่ดี งั้นก็สู้ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า อากาศตอนช่วงเดือนตุลาคมก็กำลังเย็นสบาย เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เตรียมจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอันโหดร้าย
เรานั่งคิดถึงสถานที่ที่จะออกไปกัน พออยู่ด้วยกันสามคนพี่น้อง สถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมก็คงไม่พ้น...ย่านช็อปปิ้ง เพราะพวกสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง พวกผมก็เที่ยวกันจนปรุแล้ว ยกเว้นแต่เวลามีแขกมา ถึงได้มีโอกาสพาแขกไปเที่ยวชม แต่วันนี้ถ้าจะให้ไปช็อปปิ้ง ผมก็ไม่มีอารมณ์หรอก
“อากาศเย็น ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพาร์คละกัน” ผมตัดสินใจในที่สุด
เซ็นทรัลพาร์ค เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่กลางเมือง อารมณ์คล้ายสวนลุมบ้านเรา ที่เป็นสวนสาธารณะกลางเมือง แต่เซ็นทรัลพาร์คนี่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่ามากครับ ภายในมีทั้งพิพิธภัณธ์ สวนสัตว์ สวนหย่อมมากมาย นกพิราบและกระรอกก็พบเห็นได้โดยทั่วไป
เรานอนเล่นกันบนผืนหญ้าสีเขียว มองท้องฟ้าที่สว่างสดใส เห็นเงาตึกอยู่รอบด้าน สมกับฉายาของนิวยอร์ค ที่ถูกเรียกว่า...ป่าคอนกรีต เพราะเป็นเมืองที่มีตึกสูงระฟ้าผุดราวดอกเห็ด
ผมนอนอยู่ตรงกลาง มีสองแฝดขนาบข้าง เราฮัมเพลงEmpire State of Mindกัน เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ พอจบเพลง ก็ไม่รู้อารมณ์ไหนเหมือนกัน ผมถึงได้ร้อง If I Ain’t Got Youออกมา
Some people want it all…บางคนต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง
But I don't want nothing at all…แต่ฉันกลับไม่ต้องการอะไรเลย
If it ain't you baby…นอกจากเธอคนดี
If I ain't got you baby…ถ้าเพียงฉันไม่มีเธอ ที่รัก
Some people want diamond rings…บางคนต้องการแหวนเพชรนิลจินดา
Some just want everything…บางคนปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่าง
But everything means nothing…แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
If I ain't got you…ถ้าฉันไม่มีเธอ ที่รักหันมามองอีกที เจ้าคู่แฝดโดนผมร้องเพลงกล่อมจนหลับซะแล้ว ผมลูบหัวน้องด้วยความรัก ก่อนขยับตัวลุกขึ้น บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ โดยระวังไม่ไปปลุกเจ้าคู่แฝดที่หลับปุ๋ย คิดว่าจะไปเดินเล่นสูดอากาศเข้าปอดเสียหน่อย เดี๋ยวค่อยกลับมาหาเจ้าแฝด แต่ถึงหากันไม่เจอ พวกเราก็กลับบ้านกันเองได้สบายอยู่แล้ว เพราะเซ็นทรัลพาร์คไมได้ไกลจากอพาร์ทเมนต์เราเลย
เดินเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดอยู่ตรงม้านั่งริมสระน้ำ บิลด์อารมณ์ตัวเอง จนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นพระเอกมิวสิควิดีโอเพลงเศร้า แล้วก็ต้องหัวเราะตัวเองออกมา นี่ผมชักจะเป็นเอามากแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ฮัมเพลงโปรดของผมออกมาเบาๆอีกที
If I ain't got you with me baby...หากไม่มีเธออยู่เคียงข้างฉันแล้ว
Nothing in this whole wide world don't mean a thing…โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ก็ปราศจากความหมาย
If I ain't got you with me baby…แค่เพียงไม่มีเธออยู่ข้างกาย นั่งปล่อยอารมณ์อยู่นาน จินตนาการว่าตัวเองกำลังนั่งเปลี่ยวรอพระเอกมารับ แต่รอแล้วรอเล่าพระเอกก็ยังไม่มา สงสัยต้องหาทางกลับเอง ตรงที่ผมนั่งอยู่ก็ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน บรรยากาศเงียบสงบและเป็นใจ เหมาะสำหรับมานั่งเวิ่นเว้อมาก
พอก้มลงดูนาฬิกาอีกที ก็คิดว่าควรกลับไปหาคู่แฝดได้แล้ว ผมขยับตัวลุกขึ้นจากม้านั่ง แต่เพราะว่านั่งนานเกินไป ขาถึงได้ชาจนทรงตัวไม่อยู่ คิดว่าต้องหงายหลังก้นกระแทกอยู่แล้วเชียว แต่ก็เปล่า...
เพราะมีวงแขนแข็งแรงที่ยื่นมาคว้าตัวผมไว้ทันพอดิบพอดี !!- END STEP 27 -
๐ จะมีคนคิดว่าคนเขียนเกรียนไหมเนี่ย ทิ้งท้ายแต่ละตอน มีแต่คนรู้ทันด้วยว่าพี่เอฟจะหลอก น้องแอลก็เสียรู้ตามคาด
๐ เสียใจแทนพี่เอฟ ตอนยังไม่ออกมีแต่คนเรียกร้องให้ออกมา พอออกมาแล้วโดนเคืองซะงั้น T_T
๐ ขออภัยคนที่รอกินมาม่านะคะ ไม่ถนัดปรุงมาม่าเลยค่ะ มีแค่พอให้ลุ้นเล็กน้อย ซูฮกคนที่เขียนนิยายบีบอารมณ์มากเลย
๐ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ รักคนอ่าน ขอบคุณที่ชอบกันนะคะ มาบ่อย เบื่อกันหรือยังคะ? 