บทที่ 11
หลังจากพักฟื้นที่บ้านไม่นาน ศรารัตน์ก็มาทำงานที่บริษัทได้ตามปกติ วันนี้หญิงสาวตั้งใจว่าหลังเลิกงานแล้วจะชวนคุณหมอนภัทรไปดินเนอร์เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มได้คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวคิดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหาเบอร์ของนภัทรแล้วโทรออก
ศรารัตน์นั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานระหว่างรอปลายสายรับโทรศัพท์ แต่เสียงสัญญาณก็ดังนานโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับจนกระทั่งมีเสียงให้ฝากข้อความในที่สุด หญิงสาวตัดสายทิ้ง คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมนภัทรถึงไม่รับสายของเธอ บางทีคุณหมออาจจะติดงานยุ่ง ศรารัตน์คิดในแง่ดี ในใจก็อยากลองโทรไปอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าหากนภัทรกำลังยุ่งอยู่จริงๆ เธอโทรไปก็จะกลายเป็นไปกวนเขาเสียเปล่า สู้รอให้ฝ่ายนั้นติดต่อกลับมาหาเธอดีกว่า
เวลาตลอดทั้งบ่ายนั้น ศรารัตน์ทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเพราะสายตาคู่งามก็มักจะตวัดมองไปยังโทรศัพท์มือถือข้างๆตัวอยู่เรื่อย จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเสียที จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาคอยกระวนกระวายใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรด้วย ทำไมเธอถึงต้องอยากพูดคุยกับคนๆนั้นตลอดเวลา แค่เพียงได้ยินเสียงเขา เธอก็ดีใจมากแล้ว และที่สำคัญทำไมเธอถึงรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองเริ่มจะผิดปกติเมื่อได้สบตาหรือใกล้ชิดกับนภัทร หญิงสาวสงสัยเพียงไม่นาน เธอก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย ดูท่าเธอคงจะหลงรักคุณหมอรูปหล่อเข้าแล้วแน่ๆ
ศรารัตน์ยิ้มกับคำตอบของตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าถือเดินออกจากห้องทำงานของตนไปทันที คลาดกับวิศรุตที่เดินถือแฟ้มเอกสารเพื่อมาปรึกษาเรื่องงานกับหญิงสาวเพียงนิดเดียว
“ท่านประธานคะ คือว่าคุณศราเธอเพิ่งออกไปเมื่อซักครู่นี้เองค่ะ” เลขาหน้าห้องของศรารัตน์เอ่ยบอกในตอนที่วิศรุตกำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูห้องทำงานของผู้ช่วยรองประธานกรรมการซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของศรารัตน์
“ไปไหน แล้วได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไหร่?”
“ไม่ทราบค่ะท่าน คุณศราไม่ได้สั่งอะไรไว้”
“ออกไปพบลูกค้าหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ วันนี้ตารางงานคุณศราไม่มีนัดอะไรเลย ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเธอไปไหนเช่นกัน”
“แล้วทำไมไม่ถามล่ะ? มีอย่างที่ไหนที่เลขาไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหน แล้วกำลังทำอะไรอยู่” วิศรุตถามด้วยน้ำเสียง หงุดหงิดในขณะที่เลขาสาวก้มหน้าอย่างกลัวเกรงในอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิศรุต
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก อันที่จริงจะตำหนิเลขาสาวตรงหน้าอย่างเดียวก็ไม่ถูกเพราะรู้ว่าศรารัตน์นิสัยเหมือนกับเขาตรงที่เวลานึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจนึก ไม่จำเป็นต้องมาคอยรายงานเลขาตลอดเวลาเหมือนอย่างกับตัวเองเป็นนักโทษที่ต้องมีผู้คุมความประพฤติตลอดเวลา
“เอาเถอะๆ ถ้ายัยศรากลับมาบอกว่าให้ขึ้นไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย ฉันมีเรื่องงานที่จะปรึกษาด่วน” เลขาสาวรับคำเสียงอ่อยในขณะที่วิศรุตนึกสงสัยว่าศรารัตน์ออกไปไหนในเวลางานแบบนี้
เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีรถยุโรปราคาแพงมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเขา ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนคิดว่าคงเป็นรถของเพื่อนแม่เขาคนใดคนหนึ่งที่ชอบแวะเวียนไปมาหาสู่กับบ้านของเขาบ่อยๆ
เมื่อมาถึงห้องรับแขก ภาพศรารัตน์ที่คุยยิ้มแย้มกับคุณพ่อคุณแม่เขาอย่างเป็นกันเองทำให้นภัทรรู้ว่าเขาเดาผิด เจ้าของรถคันนั้นคงเจาะจงมาหาเขาโดยตรงนั่นเอง
“อ้าว เจ้ากานต์กลับมาพอดีเลย” คุณนรินทร์ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน
ศรารัตน์หันไปส่งยิ้มกว้างให้นภัทร ชายหนุ่มคงนึกแปลกใจที่เธอมาหาเขาถึงที่นี่ได้ แถมยังมาโดยไม่บอกก่อนเสียด้วย
“หนูศราเค้ามารอลูกนานแล้ว แถมยังซื้อของฝากแล้วก็ผลไม้มาให้ตั้งเยอะแยะ บอกว่าเป็นการขอบคุณแทนน้ำใจที่ลูกดูแลเธอเป็นอย่างดี” รัญญาเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องอาหารเย็นในครัวแล้วเชิญหญิงสาวที่มาเป็นแขกของบ้านให้ทานอาหารเย็นด้วยกันซึ่งศรารัตน์ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อขอตัวไปอ่านหนังสือต่อด้านบนแล้วกัน ตามสบายเลยนะหนู” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ ก่อนที่คุณนรินทร์จะขึ้นบันไดไปด้านบนชั้นสองโดยปล่อยให้ลูกชายของตนและศรารัตน์ได้มีโอกาสคุยธุระกันตามลำพัง
นภัทรพาศรารัตน์มาคุยกันในสวนเล็กๆบริเวณบ้าน หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างสนใจเพราะในสวนบริเวณบ้านนั้นมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเอาไว้เต็มไปหมดและแทบทุกต้นจะถูกดูแลและบำรุงรักษาเป็นอย่างดี บ่งบอกได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าของบ้านคงจะ
ชื่นชอบการปลูกดอกไม้เป็นแน่
“คุณแม่ท่านชอบปลูกดอกไม้น่ะครับ” คำพูดของนภัทรยืนยันสิ่งที่หญิงสาวคิด
“บ้านของหมอน่าอยู่ดีนะคะ ดูแล้วอบอุ่นจังเลย” ศรารัตน์อดนึกอิจฉานภัทรหน่อยๆไม่ได้ที่บ้านของชายหนุ่มถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนอย่างบ้านทัดเทวา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนบ้านนี้มันทำให้เธอสัมผัสได้ถึงคำว่าบ้านที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสจากบ้านของตัวเองมาก่อนเลย “คุณพ่อของหมอก็เป็นแพทย์เหมือนกันเหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถาม เมื่อกี้เธอได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณนรินทร์จึงได้รู้ว่าคุณพ่อของนภัทรเองก็เป็นหมอเช่นกัน มิน่าล่ะนภัทรถึงได้เชื้อความเก่งมาจากพ่อนี่เอง
นภัทรรับคำ “ท่านเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจน่ะครับ ว่าแต่คุณศรายังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาผมถึงที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย?” นภัทรเปลี่ยนประเด็นมาเอ่ยถามเรื่องที่ยังคาใจอยู่
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอมากไปหน่อย ถึงขนาดบุกมาหาถึงที่บ้านเลย”น้ำเสียงอ้อนของศรารัตน์ทำให้นภัทรตัดใจเคืองเธอไม่ลง ทั้งที่เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบให้ใครมาล้ำเรื่องส่วนตัวเท่าใดนัก
“จริงๆฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ แค่อยากจะมาเจอหน้าหมอเท่านั้นเอง”
คราวนี้นภัทรถึงกับอึ้งไปกับคำพูดตรงๆของศรารัตน์ ดวงตาสีถ่านสบตาสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วก็นึกถึงใครบางคนที่มีดวงตาแบบเดียวกัน แต่ของคนๆนั้นเป็นดวงตาหวานโศก
“หมอไม่พอใจที่ฉันมาที่นี่เหรอคะ?” ศรารัตน์เอ่ยถามตรงๆ เพราะไม่แน่ใจกับสายตาของนภัทรที่มองมา ไม่รู้ว่านภัทรจะโกรธเธอหรือเปล่าที่จู่ๆก็มาโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้
นภัทรปฎิเสธคำถามนั้นก่อนจะเชิญให้ผู้เป็นแขกนั่งลงที่ชุดโต๊ะสนามที่ทำจากอัลลอยด์สีขาว ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำหวานจากเด็กรับใช้ที่เอามาเสริ์ฟให้ตนและศรารัตน์
“แล้วคุณศรามาบ้านผมถูกได้ยังไงครับเนี่ย?”
“ก็ถามเอาจากโรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ ต้องหลอกล่อตั้งนานกว่าจะยอมบอก”
ชายหนุ่มหัวเราะแล้วส่งเสียงอื้อหื้อพร้อมถามว่าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ ศรารัตน์อมยิ้มไม่ตอบคำถามนั้น วันนี้เธอต้องโทรไปหลอกถามและออดอ้อนต้นอ้อ พยาบาลที่เคยดูแลเธอตอนประสบอุบัติเหตุเสียตั้งนานสองนานกว่าพยาบาลสาวจะยอมไปค้นที่อยู่ของหมอนภัทรจากแฟ้มทะเบียนมาให้ พร้อมกับกำชับเอาไว้ว่าอย่าบอกหมอนภัทรเด็ดขาดว่าได้ที่อยู่มาจากเธอ
“ตั้งแต่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย พอดีวันนี้ฉันว่างก็เลยแวะมาหากะว่าจะมาเซอร์ไพร์ที่บ้านนี่แหล่ะค่ะ” เซอร์ไพร์จริงๆด้วย นภัทรคิด
“พอดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เลยครับ เพราะติดเรื่องสัมมนาต่างๆของทางโรงพยาบาล ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อไป” นภัทรบอกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้โทรหาศรารัตน์นัก ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะออกจากโรงพยาบาล เธอเคยให้เบอร์มือถือส่วนตัวกับเขาไว้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์ให้เธอคิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน เพราะชายหนุ่มคงกระดากใจไม่น้อยหากว่าผู้หญิงที่เพื่อนสนิทตัวเองชอบจะกลับกลายมาชอบเขาเสียเอง
ศรารัตน์หลุบตาต่ำซ่อนสีหน้าเขินอายของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามนภัทรตรงๆอย่างไม่คิดอ้อม ค้อมให้เสียเวลา “ขอถามตรงๆนะคะ” ศรารัตน์เว้นไปนิดหนึ่งก่อนต่อให้จบประโยค “หมอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่คะ?” มือที่ถือแก้วน้ำหวานสีสวยชะงักนิ่งไปกับคำถามนั้น ก่อนคนถูกถามจะแสร้งย้อนถามกลับ
“แล้วคุณศราคิดยังไงกับผมเหรอครับ?” คุณหมอหนุ่มยกแก้วน้ำหวานขึ้นจิบก่อนจะแทบสำลักออกมาเมื่อได้ยิน คำตอบจากปากของศรารัตน์
“ก็คิดว่าหมอเป็นคนที่อยู่ใกล้ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่เข้าใจฉันในหลายๆเรื่องที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ เป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเวลาที่ฉันต้องการใครซักคน ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตกหลุมรักคุณหมอนภัทร อิสรีย์เข้าไปเต็มๆแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มหวาน ดวงหน้าหวานเป็นสีระเรื่อเมื่อยามเอ่ยความในใจออกมาให้คนตรงหน้าที่เธอเพิ่งบอกว่าตกหลุมรักได้ฟัง
“คุณศราครับ คือว่า...เอ่อ...”
“เรามาคบกันไหมคะคุณหมอ?” ศรารัตน์พูดรัวประโยคนี้ออกมา แต่นภัทรที่ได้ยินกลับตัวแข็งทื่อ ในใจก็ชื่นชมกับความใจกล้าของเธอที่เขาไม่ค่อยได้เจอจากผู้หญิงคนไหน ส่วนหนึ่งที่เขาเอ็นดูศรารัตน์ก็คือบุคลิคตรงๆไม่อ้อมค้อมแบบนี่เนี่ยแหล่ะ หญิงสาวเป็นคนใจคิดยังไงปากก็พูดไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ไม่ได้เป็นคนเก็บงำความรู้สึกเก่งแบบพี่ชายของเธอเลยซักนิด
เมื่อเห็นว่านภัทรมีสีหน้าหนักใจราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ศรารัตน์ก็ถามขึ้น “หรือว่าหมอมีคนรักอยู่แล้วคะ?”
“เปล่าหรอกครับ ผมยังไม่มีใคร เพียงแต่ว่า...”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีโอกาสใช่ไหมคะ?”
“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้กันเลยดีกว่านะครับ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันดีเลยเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าถ้าคุณศราได้รู้จักผมจริงๆ คุณอาจจะไม่อยากคบกับผมก็ได้”
“แหม คุณหมอเนี่ยพูดเหมือนพี่ชายฉันเด๊ะเลยค่ะ อย่างกับโคลนนิ่งคำพูดกันมาอย่างนั้นแหล่ะ” ศรารัตน์หัวเราะออกมาเลยทำให้บรรยากาศที่ดูทึมๆเมื่อครู่กลายเป็นสดใสขึ้นในความคิดของนภัทร
“บอกตรงๆนะครับ ตอนนี้ผมเองยังไม่พร้อมจะคบกับใครเลย จะเรียกว่าปิดตัวเองก็ได้” นภัทรหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ช่วงนี้ขนาดเวลาดูแลตัวเองเขายังไม่ค่อยจะมีเลย วันๆเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานที่โรงพยาบาลเกือบทั้งวัน จะให้เอาเวลาที่ไหนไปดูแลคนอื่นนอกจากคนไข้ได้ล่ะ
“ฉันไม่ได้จะเร่งรัดอะไรคุณหมอหรอกค่ะ เราสองคนอาจจะต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จริงๆอย่างที่คุณหมอบอกนั่นแหล่ะ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไรเหรอครับ?”
“แต่ว่าถ้าคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใครเมื่อไหร่ อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรกนะคะ” นภัทรยิ้มให้แทนคำตอบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ในเมื่อเขารู้ใจตัวเองดีว่าคิดกับศรารัตน์เป็นแค่น้องสาวเท่านั้น เอาไว้เขาจะค่อยๆบอกเรื่องนี้กับเธออีกทีหนึ่งเพราะถึงบอกไปตอนนี้หญิงสาวคงดึงดันและไม่ยอมฟังแน่ ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากหลอกให้ความหวังเธอแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่สำคัญคือเขาไม่อยากจะทำผิดต่อเพื่อนสนิทที่เขารักมากที่สุดอย่างพงศธร
ศรารัตน์มองรอยยิ้มนั้นอย่างสุขใจ หญิงสาวไม่ได้คาดหวังให้นภัทรตอบตกลงคบกับเธอในทันที แค่เขารับฟังความรู้สึกของเธอเท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว ยิ่งรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่มีใคร เธอก็ค่อยปลอบใจตัวเองว่าคนตรงหน้ายังไม่มีเจ้าของเสียหน่อย สักวันเธอจะต้องพิชิตหัวใจของนภัทรได้แน่ๆ ขอเพียงแต่เวลาและโอกาสเท่านั้น
“เราเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ ฉันชักอยากจะชิมอาหารฝีมือของคุณแม่เสียแล้ว” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบแล้วชวนนภัทรเข้าไปในบ้านเมื่อเด็กรับใช้เดินมาแจ้งว่าคุณผู้หญิงให้มาตามเพราะว่าอาหารเย็นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
นภัทรรับคำก่อนจะเดินนำหญิงสาวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง ถ้าวิศรุตรู้ว่าน้องสาวตัวเองมาบอกรักเขาถึงที่บ้านแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะทำหน้ายังไงนะ คงจะชักสีหน้าและแววตาวาวโรจน์ใส่เขาเหมือนอย่างเคยแน่ๆเพราะวิศรุตทำท่าหวงน้องสาวอย่างกับอะไรดี ท่าทางของวิศรุตที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดทำเอานภัทรอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับตัวเองคนเดียว
“ไปไหนมา ทำไมกลับเอาป่านนี้?” เสียงวิศรุตที่เอ่ยทักทำให้ศรารัตน์ที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านต้องหันไปตอบคำถามอย่างเสียไม่ได้
“แวะไปที่บ้านคุณหมอนภัทรมา แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย” น้ำเสียงหญิงสาวเรียบเรื่อยแต่หางตาคน
ฟังกลับกระตุกเมื่อได้ยินชื่อชายหนุ่มอีกคนที่น้องสาวเขาพูดถึง
“ไปบ้านหมอนภัทรเนี่ยนะ ไปทำไมกัน?” ปลายเสียงวิศรุตห้วนเจือแววไม่พอใจ ซึ่งศรารัตน์ก็เดาได้อยู่แล้วว่าพี่ชายต้องออกอาการไม่พอใจแน่ถ้าเธอบอกออกไปแบบนี้ ก็เพราะวิศรุตกันท่าเธอกับนภัทรอย่างกับอะไรดี
“แล้วทำไมฉันจะไปไม่ได้ล่ะ? ฉันกับหมอนภัทรสนิทกัน จะไปเยี่ยมทักทายที่บ้านก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
ศรารัตน์ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยแสดงถึงอาการไม่พอใจที่หมู่นี้วิศรุตชอบมายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเธอเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนเธอจะคบหากับใครก็ไม่เห็นว่าวิศรุตจะเข้ามายุ่งด้วยเลยสักครั้ง
“แต่มันไม่เหมาะสม เธอเป็นสาวเป็นแส้จะไปวิ่งไล่ตามผู้ชายถึงที่บ้านเค้าได้ยังไงกัน” วิศรุตหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองได้ก่อนตั้งท่าจะไล่บี้ศรารัตน์ต่อแต่คู่สนทนากลับพูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ถามจริงๆเถอะ นายเคยมีเรื่องอะไรกับหมอนภัทรมาก่อนหรือเปล่า? ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเค้าเอามากๆเลยนะ ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้นายเสียหน่อย”
วิศรุตค้านในใจเสียงแข็ง ใครว่านภัทรไม่เคยทำอะไรให้เขาล่ะ ฝ่ายนั้นแหล่ะที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาต้องเสียใจและรู้จักกับคำว่าอกหักเป็นครั้งแรกของชีวิต ผู้ชายที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงแปดปีแล้วก็ตาม
“ถ้านายหาเหตุผลดีๆมาให้ฉันไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะมาเถียงเรื่องนี้กันอีก เพราะขนาดฉันยังไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายเลย นายเองก็ไม่ควรจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันเหมือนกัน” ศรารัตน์เน้นเสียงที่คำว่าเรื่องส่วนตัวก่อนจะสาวเท้าตั้งใจจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตน
“เดี๋ยวก่อน” วิศรุตรั้งไว้อีกครั้งซึ่งศรารัตน์คิดว่าพี่ชายคงจะต้องพูดเรื่องนภัทรอีกแน่ เธอจึงตั้งใจจะตัดบท
“บอกแล้วไงว่า...”
“ฉันเพิ่งเอาเอกสารเรื่องโครงการบ้านจัดสรรที่เรากำลังจะเปิดเฟสใหม่ไปไว้ที่ห้องนอนของเธอเมื่อกี้ ช่วยศึกษารายละเอียดด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานเราจะเริ่มประชุมเพื่อประเมินโครงการนี้กันแล้ว” ศรารัตน์ไหวไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงว่าเธอรู้แล้วก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบนโดยมีวิศรุตมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“ท่านประธานคะ มีแขกต้องการเรียนสายด้วยค่ะ เค้าบอกว่าชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสมัยเรียนของท่านประธาน” อิงอรรายงานผ่านอินเตอร์โฟน ทำให้วิศรุตที่กำลังนึกเบื่อกับการพิจารณาเอกสารกองโตละสายตาจากงานตรงหน้าทันที
“โอนสายเข้ามาได้เลยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขา สักพักไม่ถึงอึดใจเขาก็ได้รับสายของพงศธรที่ถูกโอนเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวในห้องทำงานของท่านประธานแห่งทัดเทวา
“ว่ายังไงไอ้พงษ์ ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหาฉันได้เนี่ย?” วิศรุตกรอกเสียงลงไป ในใจก็นึกเดาเอาว่าที่พงศธรโทรมาหาเขาที่บริษัทแบบนี้คงต้องเป็นเพราะฝ่ายนั้นตัดสินใจได้แล้วแน่ๆว่าจะเลือกร่วมงานกับที่ไหน และคำตอบของพงศธรก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ
“ฉันโทรมาเพราะเรื่องที่นายเคยเสนองานที่ทัดเทวาให้ฉันนั่นแหล่ะ”
“ตกลงนายว่ายังไงล่ะ นี่ฉันรอลุ้นคำตอบอยู่นะ” วิศรุตพูดเย้าอีกฝ่ายก่อนที่พงศธรจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ฉันตกลงที่จะร่วมงานกับทัดเทวา จากนี้ต่อไปนายก็จะกลายเป็นเจ้านายของฉันแล้วนะ” วิศรุตหัวเราะประโยคสุดท้ายของพงศธร แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายตามหน้าที่แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะถือตัวกับเพื่อนเลย “เออ แล้วฉันต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย” พงศธรวกกลับมาที่เรื่องงานอีกครั้ง ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะได้จัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน
“เดี๋ยวนายเอาพวกเอกสารเกี่ยวกับการสมัครงานมากรอกแบบฟอร์มการสมัครที่ฝ่ายบุคคลได้เลย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปทำเรื่องให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่นายพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ล่ะ?”
“ฉันพร้อมเสมอนั่นแหล่ะ แล้วแต่เจ้านายจะบัญชาเลยครับผม” ท้ายประโยคแอบล้อเลียนคู่สนทนาอีกครั้ง
วิศรุตยิ้มแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วให้พงศธรเข้ามาเริ่มงานได้เลย เพราะว่าพอดีช่วงนี้ตนกำลังจะทำโปรเจคบ้านจัดสรรโครงการใหม่อยู่พอดี จึงอยากให้พงศธรเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ด้วย
พงศธรรับคำ จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป วิศรุตลอบถอนหายใจเฮือกเมื่อต้องกลับมามุ่งทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ถ้าได้คนเก่งๆอย่างพงศธรเข้ามาช่วยดูโครงการนี้อีกแรง รับรองว่าโครงการนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาแน่ๆ และที่สำคัญพวกบอร์ดผู้บริหารจะได้เลิกมองเขาว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเสียทีโดยเฉพาะคุณ มงคลที่จ้องจับผิดเขาตลอดและคุณอาวันชัยกับภาคินที่เขารู้สึกได้ลึกๆว่าทั้งคู่กำลังหาโอกาสจ้องจะขึ้นมากุมอำนาจเป็นประธานกรรมการบริษัททัดเทวาแทนเขา มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
จบบทที่ 11