เศษสองส่วนสี่
ของพนัน.... [นะกับผม]
.....
"คงอย่างลื้อมังพวกธาตุฟายยยยยยยยย ...อาน้า ดื้อด้าง บ้าบอ มุทะลุ พวกสุดโต่ง เพื่องที่คบก็ดีๆทั้งนั้ง ...ลื้อเลือกได้ดี ....วังไหนจาพากังไปฉิบหัยก็ บอกม่าล่วงหน้าด้วยน้า ม่าจาได้ทำจายยยยยย "
ยังไม่ทันก้าวขาออกจากบ้าน ประโยคเสียดแทงก็ทักมาก่อนเลย ผมชินแล้วกับประโยคจงใจใช้คำผิดแบบกำกวมของอาม่า หยิกๆกัดๆ แสบไม่ใช่เล่น แต่ก็นั่นล่ะ ไม่เคยสะทกสะท้าน ...ตื่นเต้นเร้าใจ รึก็เปล่า มันก็แค่คำที่กรอกเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“อาน้า....ก่องม่าตาย ลื้อช่วยหาอะไรดีๆ มาใกล้ๆตัวลื้อทีได้มาย? ม่าจะได้ตายตาหลับ”
เหมือนปลิวตามลมมากับประโยคสุดท้าย ผมหันไปมองเจ้าของประโยคด้วยหางตา ...คนอย่างม่านะจะตายง่ายๆ...
....... หนังเหนียวจะตาย........
.................................
.....
“ดิว รอนี่นะ เดี๋ยวมา ”
ผมบอกคนที่งัวเงีย ครึ่งหลับครึ่งตื่น ให้รอในรถ เพิ่งไปรับดิวมันมาจากบ้านที่ต่างจังหวัด ผมบอกมันว่าเป็นทางผ่าน ใช่..ผ่านจากเส้นทางปกติของผมไปเกือบ 80 ก.ม. ไม่รู้ทำไม แค่อยากเจอมันเฉยๆมั้ง ไหนๆก็กลับหอเดียวกันอยู่แล้ว
....ขึ้นมาบนห้องได้ผมถึงได้รู้สึกตัว ....นี้กูมีน้ำใจเอื้ออารีย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? 80 ก.ม. จากกรุงเทพฯ แถมขับเข้าสวนมะพร้าวมืดๆ .....เพื่อคนแค่คนเดียว ....พ่อพระแล้วกู!!?? สะบัดหัวสลัดเรื่องรกสมองออกไป สวมเสื้อตัวใหม่ก่อนจะวิ่งลงไปที่รถ ผมใจหายวาบที่มองผ่านกระจกรถเข้าไปแล้วไม่เห็น ดิว ในหัวคิดแต่เรื่องร้ายอย่างเดียวเลย มันสลบไปรึเปล่า ?!! อาจติดอยู่ในรถก็ได้ ! ผมเผลอปิดกระจกแล้วแอร์ดับรึเปล่า?! เกือบจะทุบกระจกรถ .....
..
.
ถ้าม่าไม่มาสะกิดเสียก่อน....
.
.
..
“....ลืม ‘ของสำคัง’ ไว้ในรถหรืออาน้า? ม่าเก็บไว้ให้ลื้อแล้ว....”
ไม่ให้ทันตั้งตัวจริงๆกับม่ากิมคนนี้ ...ผมกลั้นหัวเราะมองมือเล็กๆของม่าที่กุมมือดิวไว้หลวมๆ แล้วหันมามองมือผมที่เตรียมเงื้อกำปั้นจะชกกระจกรถตัวเอง ยิ่งกว่าม้าที่คลอดผมออกมา...ม่ากิม เดาใจผมได้ทุกอย่าง จับผมได้ทุกทางจริงๆ ….
.................................
.....
ตั้งแต่วันนั้น ....ม่าก็รบให้พาดิวมาที่บ้านบ่อยๆ ทุกครั้งที่ดิวมา ไม่มีสักครั้งที่ม่าจะว่าผมต่อหน้าดิว มีแต่หลิ่วตามองแล้วหาเรื่องชมผมกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เล็กๆน้อยๆจนบ้างเรื่องนั้นผมไม่เคยคิดเลยว่าม่าเองก็มองผมอยู่ ...มันก็ดีกว่าฟังประโยคประชดประชันไม่ใช่หรือไง?
…
.
.................................
.....
“อาน้า...ลื้อยังไม่กลับหอหรอ?.....อั้วคิกถึงอาลู่.....”
“ม่าก็อย่าไปคิดถึงมันบ่อยสิ...มันเองก็มีงานของมันเหมือนกัน ”
“ก็ลื้อเป็งเพื่องอาลู่....ลื้อก็พาอาลู่มาหาอั้วสิ.... ”
“ม่า!! ไอ้ดิวมันไม่ได้มีผมเป็นเพื่อนแค่คนเดียวนะ !!! ผมจะได้ไปผูกขาดชีวิตมันได้ !!! ”
จิตผมตก หลุดตวาดออกไปเสียงลั่นเหมือนโดนม่ายั่วโมโห ...ใช่ ผมไม่ได้เป็นเพื่อนของดิวแค่คนเดียว ดิวมันมีเพื่อนเป็นร้อยมั้ง แมวหมากาไก่ห่าเหวอะไรบ้างก็ไม่รู้....ยิ่งตอนนี้ไอ้หมาชื่อก้องก็เหมือนจะยึดดิวมันไว้แค่คนเดียว ...รถยนต์กับมอ’ไซค์ ใครจะคิดว่าดิวมันเลือกซ้อนมอ’ไซค์
“....”
“จายเย็งๆ อาน้า...เพื่อนกัง...ยังไงก็ตัดกังไม่ขาด .....อาน้า...ลื้อบอกอาลู่อีสิ ว่าม่าอยากเจอ....ถ้าไม่รู้ว่าจาพูกยังไง ลื้อยื่นโทรศัพท์ให้อีก็ได้ ม่าจาพูกกับอีเอง....เพื่อนดีๆ หายากนาอาน้า เพื่องที่เป็นเหมืองน้ำเย็งๆ คอยดับฟายอย่างลื้อได้...มันหายากยิ่งกว่ายากอีกนา”
“....ม่า.....ผมอยากได้รถมอ,ไซค์”
“เนื้อหุ้มเหล็กชักๆ…....เอาอาลู่มาแลกสิ......ถ้าลื้อเอาอาลู่มาได้.... อั้วเซ็นเช็คให้....”
.....
..
.................................
.....
***
"อาน้า...ลื้อยังไม่ต้องจ๋อ ไปยกขนมเปี๊ยะมาให้ อาลู่ก่อง ถามอาคำหล้าว่าอยู่ไหนน้า... "
....ประโยคนั้นมันก็แค่นั้น......ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจาก ให้ถามคำหล้าเด็กรับใช้ในบ้านว่า ‘ของที่ผมยากได้อยู่ไหน? ‘ ยากเอาการกับการดึงดิวออกมาจากไอ้ก้อง ช่วงนี้มันสองคนติดกันยิ่งกว่าแฝดสยาม ผมไม่ได้อิจฉาอะไร จะอิจฉาทำไมก็แค่เพื่อนกัน
....
..ไม่ได้อิจฉาสักหน่อยที่ดิวมันชอบซ้อนท้ายรถไอ้ก้อง....
...ไม่ได้ อิจฉาสักหน่อยที่มันสองคนนอนเตียงเดียวกัน….
..ไม่ได้ อิจฉาอะไรสักหน่อย.....
..
.
.
.
“กูถอยรถใหม่......ลงสนามแข่งกับกูไหมไอ้ก้อง?”
..
.
.
..ผมไม่ได้อิจฉาหรืออยากเอาชนะอะไรมันจริงๆนะ...