(ต่อ)
“............” ผมได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายตาปริบๆ ดูเหมือนเหมือนสมองจะยังไม่พร้อมทำงานหนักตอนนี้
“...........” ขณะที่มิคุนิซึ่งถอยออกไปกำลังอ้าปากพะงาบๆ คล้ายพยายามจะพูด แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกจากปาก สองมือไขว่คว้าความว่างเปล่าข้างหน้าเหมือนคนเสียสติ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะพลัดไปปัดกะละมังที่ใช้แช่ข้าวสารข้าวเหนียวก่อนหน้านี้ร่วงกระทบพื้นกระเบื้อง เสียงดังที่เกิดขึ้นช่วยเรียกสติของเราทั้งคู่กลับเข้าร่าง
“อ๊ะ ข้าวเหนียว” ผมกลับหลังหันไปดูหม้อนึ่งเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าถึงเวลาอันสมควรที่ข้าวเหนียวจะสุกแล้ว ในใจก็คิดสงสัยว่าเมื่อกี๊มันอะไรกันน่ะ?
“เดี๋ยวผมเก็บกวาดที่ทำเลอะให้” ส่วนมิคุนิลนลานเก็บกะละมังขึ้น แล้วเดินไปหาไม้กวาดกับที่ตักผงมาจัดการกับเศษงาที่กระจายเต็มพื้นครัว
“............” เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดขึ้น
ผมยกถาดข้าวเหนียวนึ่งออกมาวางข้างนอก หันไปหยิบงาดำคั่วมาใหม่ เทใส่เครื่องปั่น ปิดฝาแล้วกดปุ่มทำงาน ครู่เดียวก็ได้งาดำคั่วป่นมาผสมกับน้ำหัวกะทิที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงเอาส่วนผสมที่ว่าเทลงบนหน้าข้าวเหนียวนึ่ง เอาทั้งหมดไปนึ่งต่ออีกประมาณยี่สิบนาที กะว่าแป้งสุกก็น่าจะใช้ได้ ระหว่างนั้นมิคุนิก็เก็บกวาดเศษซากงาดำจนสะอาดเอี่ยม
“...........” แล้วความเงียบที่น่าอึดอัดก็กลับมาจู่โจมเราอีกครั้ง
ผมอยากรู้ว่าเขาทำไปทำไม? ..ถามเลยดีไหมนะ?
“เอ่อ...” ขณะที่คิดว่าน่าจะเปิดปากถามให้หายคาใจกันไปเลยดีกว่า มิคุก็ส่งเสียงอึกอักขึ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายก็มีเรื่องที่อยากจะพูด ผมจึงหุบปาก เงียบรอฟัง
ก๊อก ก๊อก.. แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูด เสียงเคาะประตูครัวก็ดังขัดขึ้นก่อน ใครบางคนยืนกอดอกพิงประตูอยู่ตรงนั้น ใครบางคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสามวันแล้ว
“คุณซอล!!”
“ว่าไง” อีกฝ่ายทักทายพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ผมรีบวิ่งเข้าไปหาทันที “คุณมาได้ยังไง? ใครไปรับ? ที่จริงต้องกลับมาถึงพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่แฟร้งก์ไม่มาด้วยกันเหรอ?”
“โห เป็นชุดเลย” คุณซอลหัวเราะลงคอเบาๆ ก่อนเอื้อมมือมารั้งเอวผมเข้าไปหา “แฟร้งก์ขอกลับไปพักผ่อนที่อพาร์ตเม้นท์แล้ว เรานั่งแท็กซี่กันมาจากสนามบิน แวะส่งผมก่อนแล้วค่อยไปส่งแฟร้งก์ ที่กลับมาเร็วก็เพราะผมเลื่อนไฟท์ งานเสร็จเร็วขี้เกียจอยู่ต่อ ..แล้วก็คิดถึงใครบางคนแถวนี้ด้วย”
..เขาบอกว่ากลับมาเพราะคิดถึงผมงั้นเหรอ..
“อ๊ะ อือ..” ตอบจบครบทุกคำถามก็ตามด้วยจูบหวานๆ ที่ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธทันที ตอนแรกผมตั้งใจจะดันอีกฝ่ายออกเพราะตอนนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน ยังมีมิคุนิยืนอยู่อีกคน แต่รสจูบของอีกฝ่ายกลับล่อลวงให้ผมลืมเรื่องนั้นไปซะเฉยๆ หรือไม่ก็อาจเป็นตัวผมเองที่โหยหารสจูบนั่นจนอยากจะทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลังชั่วคราว
“อืมม..” มานึกได้อีกทีก็ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว ..ตายล่ะ
“นี่คุณ! หยุดก่อน มิคุนิก็อยู่ด้วยนะ” ผมดันอกอีกฝ่ายออก เอ็ดเบาๆ แล้วบุ้ยใบ้ไปข้างหลัง
คุณซอลมองข้ามไหล่ผมไป คลายวงแขนที่รัดเอวผมอยู่ แต่ยังไม่ยอมปล่อยออกเสียทีเดียว เพียงแค่โอบไว้หลวมๆ
“อ้าว มิคุ โทษทีไม่ทันสังเกตเห็น” คุณซอลยิ้มแย้มทักทายอีกฝ่าย
“มานานแล้วเหรอ?”“ครับ..” คนถูกทักตอบรับ หน้าขาวๆ ดูเหมือนจะซีดลงกว่าเดิม..หรือเปล่านะ?
หมอนั่นเหลือบมองหน้าผม แต่ผมเสตาไปอีกทาง แอบไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเล็ก ก็ที่โชว์ไปเมื่อกี๊มันไม่ใช่ช็อตเล็กๆ เลยนะ เห็นมึนแบบนี้แต่ผมก็ยังพอมียางอายเหลืออยู่บ้างล่ะน่า คงมีแต่คนที่ยังโอบเอวผมอยู่นี่แหล่ะที่ท่าจะยางแห้งเหือดไปนานโขแล้ว ..แต่การกระทำของผมยิ่งทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดหนักกว่าเก่า คราวนี้เห็นชัดเลย
“แล้วนี่กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ? แต่งตัวกันน่ารักเชียว” คุณซอลมองผ้ากันเปื้อนของมิคุนิ แล้วก็ก้มมองผ้ากันเปื้อนของผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เขาใช้นิ้วเกี่ยวดึงตรงส่วนหน้าอก ก่อนชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ ไม่รู้หวังจะเห็นอะไร เพราะถึงยังไงผมก็ใส่เสื้อยืดอยู่
“ขนมไทยน่ะ เรียกว่า ‘ข้าวเหนียวหน้านวล’ คุณเคยกินหรือเปล่า?” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น อยากนำเสนอผลงานของตัวเองเต็มที่ ถ้าเขาชอบก็คงดี แต่ถ้ากินเยอะคงไม่ดีต่อน้ำหนักตัวของเขาแน่ๆ เพราะถึงมันจะเป็นอาหารว่างมื้อเบา แต่ปริมาณแคลอรี่ไม่เบาเลยล่ะ
“ไม่น่านะ ..ชื่อไม่คุ้นหูเลย” คุณซอลเอียงคอ ทำท่าคิดหนัก
ผมว่าวันนี้เขาดูแอ็คติ้งเยอะกว่าปกติหรือเปล่า? เหมือนทุกทีจะดูนิ่งๆ กว่านี้นะ? ว่าไหม? ..หรือไม่? หรือผมจะคิดมากไปเองอีกแล้ว?? โอยยย ทำไมวันนี้อะไรๆ มันถึงดูน่าสับสนไปหมดแบบนี้ล่ะ?
“งั้นเดียวลองชิม” ผมชวน
“อืม งั้นเอาขึ้นไปให้ข้างบนแล้วกัน ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน นั่งเครื่องนานรู้สึกเพลียๆ” คุณซอลจับหัวผมโคลงไปมาเบาๆ ก่อนหันไปพูดกับมิคุนิ
“ตามสบายนะ มิคุ ผมขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อน”“ครับ..” หมอนั่นยังคงรับคำด้วยคำเดิม แต่สีหน้าดูแย่กว่าเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ ..ไม่สบายหรือเปล่า?
“ผมรออยู่ข้างบนนะ” คุณซอลทิ้งท้ายพร้อมฉกหอมแก้มผมอีกที ก่อนเดินอารมณ์ดีออกจากห้องครัวไป
“เอ้อ..” ผมลูบแก้มตัวเอง หันมามองอีกคนที่ยังเหลืออยู่แบบเก้อๆ คืออายก็อายนะ แต่อาการของหมอนั่นก็ดูน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เลยต้องขยับเข้าไปถามดูใกล้ๆ
“คุณ..เป็นอะไรหรือเปล่า?” “ไม่!” เสียงที่โพล่งออกมาฟังดูแข็งจนแทบกลายเป็นตวาด ทำเอาผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิของอีกฝ่ายถึงกลับสะดุ้งหดมือกลับด้วยความตกใจ
“เอ้อ.. โทษที” เจ้าตัวโบกมือเป็นเชิงขอโทษขอโพยเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอเสียงดังใส่ผม
“ผมแค่..ผม..รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ..งั้น..วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะ”“เอ๋? แล้วขนมล่ะ?” ผมถามคนที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนออก
“อีกไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้วน่ะ”“ผม..ไม่ไหวน่ะ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน ตอนนี้ผมอยากกลับไปทานยาแล้วนอนพักมากกว่า ขอตัวนะ” พูดจบก็หุนหันออกจากห้องครัวไปเลย ผมต้องรีบวิ่งตามไปส่งหน้าประตูบ้าน รู้สึกเป็นห่วงกับท่าทางนั้นอย่างบอกไม่ถูก
“ผมว่าคุณไปหาหมอก่อนกลับที่พักดีกว่าไหม? เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนก็ได้” ผมเสนอระหว่างยืนรอแท็กซี่มารับมิคุนิอยู่หน้ารั้วบ้าน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเองได้” แท็กซี่มาพอดี มิคุก้าวขึ้นไป ก่อนปิดประตูหมอนั่นบอกทิ้งท้ายว่า
“ขอบคุณมากนะ”“อยู่คนเดียวก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” ผมกำชับส่งท้ายก่อนรถจะเลื่อนตัวออกไป เห็นคนข้างในหันมามองผมขณะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ครู่เดียวรถก็เลี้ยวลับสายตา
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้ว่ามิคุนิทำแบบนั้นกับผมทำไม? ...มาจูบผมทำไมกันนะ?
“เอาไว้ถามคราวหน้าแล้วกัน” ผมพูดกับตัวเองแล้วหันหลังกลับเข้าบ้าน
ตอนแรกว่าจะขึ้นไปดูคุณซอลก่อน เผื่อว่าเขามีอะไรจะให้ผมช่วย แต่พอดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ามันได้ที่ขนมน่าจะสุกแล้ว เลยตัดใจแวะเข้าห้องครัวก่อน เปิดฝาหม้อนึ่งได้กลิ่นหอมหวานๆ ก็โชยมาแตะจมูกทันที ข้าวเหนียวหน้านวลสูตรของยายกลายเป็นข้าวเหนียวหน้าดำ(ที่จริงออกเทาๆ น่ะ)ด้วยอานุภาพแห่งงาดำคั่วป่น ..แต่ก็ดูน่ากลิ่นไปอีกแบบแฮะ สีเหมือนโอริโอ้นมปั่นเลย
ผมยกถาดขนมไปใส่ตู้เย็นเพื่อให้มันเย็นเร็วขึ้น จากนั้นก็หันไปเก็บกวาดครัว ล้างภาชนะที่ทำเลอะเทอะทั้งหมดจนเรียบร้อย ไปเปิดตู้เย็นอีกทีข้าวเหนียวหน้านวลของผมก็หายร้อนแล้ว ผมตัดแบ่งออกมาสองชิ้น จัดใส่จานสองจาน วางคู่กับช้ำชาร้อนๆ อีกสองถ้วย(เพราะถาดที่ใช้นึ่งมันกลม พอตัดแบ่งออกเป็นชิ้นมันเลยได้เป็นรูปสามเหลี่ยม แถมด้านข้างยังเห็นการแบ่งเป็นสองชั้นระหว่างข้าวเหนียวผสมหางกะทิกับแป้งผสมหัวกะทิด้วยล่ะ ถือว่าผลงานครั้งนี้หน้าตาสวยงามใช่ได้เลยนะเนี่ย)
ผมยกทั้งหมดใส่ถาด ถือเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ตอนแรกผมเข้าไปดูที่ห้องของคุณซอลก่อน แต่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ในนั้น เลยถือถาดกลับออกมาแล้วเดินไปดูตรงระเบียงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวบ้าน
“อยู่นี่เอง” ผมพูดเบาๆ เมื่อเห็นคนที่ตามหานั่งอยู่บนราวระเบียง ทอดสายตามองสวนดอกไม้ที่ด้านล่าง มือหนึ่งคีบบุหรี่ ส่วนอีกมือถือโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พอผมเดินไปถึงโต๊ะเหล็กดัดลายวิจิตรสีขาวล้วน วางถาดขนมน้ำชาลง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณซอลเลิกคุยโทรศัพท์พอดี
เขาหันมามองผมด้วยแววตาสงบนิ่ง เดาอารมณ์ไม่ได้ สีหน้ายิ้มแย้มตอนอยู่ข้างล่างหายไป ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ
“ขะ..ขนมเสร็จแล้ว ผมเอามาให้คุณชิม” เริ่มต้นติดขัด ลงท้ายปลายแผ่ว ไม่คิดว่าความนิ่งของเขาจะทำให้ผมกดดันได้ขนาดนี้
“ไว้ทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ผมอยากพักผ่อน” ในที่สุดเขาก็ยอมพูด แต่คำพูดของเขายิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
“แต่เมื่อกี๊คุณบอกให้ผมยกขึ้นมา” ผมรีบท้วงตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านหน้าไป
“แต่ตอนนี้ผมอยากให้นายเอากลับลงไป” เขาเหลือบมองมานิดนึง ขยี้ดับบุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินผ่านไปโดยไม่คิดจะหยุดสนใจกัน
“คุณโกรธอะไรผมเหรอ?” ผมเดินตามเขามามือเปล่า เรื่องขนมน่ะเอาไว้ก่อน ตอนนี้อยากคุยกับเขาให้รู้เรื่องมากกว่า ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนท่าทีเป็นเย็นชาแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูไม่มีเค้าลางเลยแท้ๆ
“นายไปทำอะไรให้ผมโกรธล่ะ?” เขาถามกลับโดยไม่ได้หันมา และไม่ได้หยุดเดิน
“ไม่นี่” ผมนึกความผิดของตัวเองไม่ออกเลยจริงๆ
“งั้นก็ไม่มี” เขาตอบมาเหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญ
“ไม่มีได้ไง?” แต่มันสำคัญแน่ล่ะสำหรับผม
“ทำไม?” พอถึงหน้าประตูห้องตัวเอง เขาถึงยอมหันมามองผมสักที
“ก็เมื่อกี๊คุณยังบอกว่าคิดถึงผม แต่ตอนนี้คุณกลับทำเย็นชาใส่ผม ผมอยากรู้ว่ามันเพราะอะไร? ผมตามอารมณ์คุณไม่ทัน” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย ..ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเพราะอะไร? ทำไมแค่นายคนเดียวถึงทำให้ผมอารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้ ..นายรู้หรือเปล่า?” ตาคู่สีน้ำเงินอมเทาจ้องลึกเข้ามาในตาของผมราวกับหวังว่าจะเจอคำตอบของคำถามอยู่ข้างในนี้
“ผมถามคุณก่อนนะ” แต่ผมกลับมองไม่เห็นอะไรในดวงตาคู่นั้น ..ไม่มีสักอย่าง
“ถ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะ” เขาละสายตาจากผม จับลูกบิดประตู ทำท่าจะผละเข้าไป
“คุณซอล!” แต่ผมเยื้อแขนเขาไว้ก่อน ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ขึ้นเสียงใส่เขาแบบนั้น ..ผมแทบจะไม่เคยขึ้นเสียงใส่ใครมาก่อน
คลื่นอารมณ์ของผมเกิดขึ้นง่าย แต่ก็มักจะสลายหายไปได้ง่ายยิ่งกว่า เพราะงี้จากสายตาคนอื่นผมถึงได้ดูเป็นคนเฉื่อยๆ ไม่ยึดติดกับอะไรมากนัก แต่คราวนี้มันต่างออกไป คลื่นความกระวนกระวายยังไม่ยอมจางหาย แถมยังเหมือนมีคลื่นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุด และพร้อมจะประทุออกมาได้ทุกเมื่อ เพียงเพื่อตอบสนองต่อท่าทีของคนคนนี้เท่านั้น ..เขามีอิทธิพลต่อผมมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไม่สิ.. บางทีถ้าตั้งใจนึกก็อาจจะนึกออกก็ได้ ...แต่นี่ไม่ใช่เวลา
“อะไรอีก?” ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตาของเขาคล้ายกำลังรำคาญผมเต็มทน นั่งยิ่งกระตุ้นคลื่นอารมณ์ของผมให้เกินระดับปกติมากขึ้นไปอีก
“ผมยังไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ชอบค้างคาใจ ทำไมเราไม่พูดกันให้รู้เรื่อง? คุณโกรธอะไรผม? ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ? สาเหตุมันคืออะไร? คุณซอล ถ้าคุณไม่พูดแล้วผมจะรู้ไหม? แล้วผมจะแก้ไขมันได้ยังไง? ผมไม่ดีตรงไหนคุณก็พูดมาตรงๆ สิ! พูดมาเลย!”
“ยู..” คุณซอลดูเหมือนจะตกใจ ..กับอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเสียงของผม หรือหน้าตาของผม ..แต่ผมไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนั้น
“อย่าทำแบบนี้.. ผมบื้อคุณก็รู้”
“ยู..” เขาขยับเข้ามาใกล้ ขณะที่ผมรู้สึกกว่าอากาศที่จะใช้หายใจกำลังลดลงไปเรื่อยๆ
“ผมเดาความคิดคุณไม่ออกหรอก ..บอกผมมาตรงๆ เถอะ”
“ยู.. อย่าร้อง”
เอ๊ะ.. ผมร้องเหรอ? ร้องตั้งแต่เมื่อไหร่? ผมยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง และพบว่ามีน้ำใสๆ เปียกติดปลายนิ้วมา ..ผมกำลังร้องจริงๆ ด้วย ..ร้องเพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ? ..อะไรกัน?
“ผมขอโทษ..” มือคุณซอลจับที่ไหล่ผม ปากคุณซอลจูบซับน้ำตาให้ผม และเสียงของคุณซอลก็ฟังอ่อนโยนไม่เย็นชาเหมือนเมื่อครู่แล้ว “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายรู้สึกกดดันขนาดนี้ ผมแค่อยากจะทำให้หัวตัวเองเย็นลงหน่อยเท่านั้น ผมไม่ต้องการให้สถานการณ์มันเลวร้ายเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม มิคุเป็นคนดี เป็นรุ่นน้องที่น่ารักของผมเสมอ เพียงแต่หมอนั่นอาจจะยังไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่..”
เอ๊ะ.. เขากำลังพูดถึงมิคุนิ?
“ส่วนนายก็เป็นคนที่ผมรัก รักมากจนผมเองยังรู้สึกตกใจ ผมไม่อยากให้พวกเราผิดใจกันเพราะเรื่องแบบนั้น..”
เขาบอกว่ารักผม.. เขากำลังบอกรักผมอยู่เหรอ? แต่เราจะผิดใจกันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องนี้เกี่ยวกับมิคุนิไหม?
“คุณกำลังพูดถึงอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นถามเขาตรงๆ
คุณซอลดูจะอึ้งไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แบบไม่กลัวปอดทรุด “นายเนี่ยน้า..”
“...........” ผมเอียงคอมองอีกฝ่าย ยังไงก็ไม่เข้าใจ ตกลงมันเรื่องอะไรกันเนี่ย? แล้วผมร้องไห้ทำไมวะ? ...โอ๊ยยย ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องเข้าใจยากทั้งนั้นเลย ตอนถูกมิคุนิจูบก็...
เดี๋ยวนะ! ถูกจูบงั้นเหรอ?
หรือว่า...
“เมื่อกี๊ผมถูกมิคุนิจูบ..” ผมโล่งออกไปไวเท่าที่ใจคิด คุณซอลนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยิน “คุณเห็นใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ” เขาตอบแบบไม่สบอารมณ์นัก
“คุณมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว? แล้วทำไมถึงเงียบอยู่ได้ตั้งนาน?”
“ขืนผมพรวดพราดเข้าไปตอนนั้น ไม่ใครก็ใครคงได้เจ็บตัวกันบ้างล่ะ? แล้วเรื่องมันก็คงจะลุกลามบานปลาย”
“คุณจะชกมิคุนิเหรอ?”
“ไม่คิดว่าผมจะชกนายบ้างล่ะ?” เขาใช้นิ้วชี้จิ้มเหม่งผมจนหน้าหงาย
“คุณจะทำร้ายผมงั้นเหรอ? ..อ้อ ใช่สิ คุณชอบทำร้ายผมอยู่แล้วนี่” เขามันพวกซาดิสม์นี่นะ ผมลืมไปได้ยังไง
“อะไรกัน งอนงั้นเหรอ?” เขายิ้มพรายออกมา รั้งเอวของผมไปกอดเอาไว้ “วันนี้อีหนูของป๋าอ่อนไหวง่ายจัง เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็งอน”
“เปล่าสักหน่อย..” ถึงปากจะพูดงั้น แต่ใจกลับรู้สึกเห็นด้วยกับเขา วันนี้ผมอ่อนไหวจริงๆ อ่อนไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหมดก็เพราะเขานั่นแหล่ะ เขาบอกว่ารักผมมากจนตัวเองยังตกใจ บางทีผมก็อาจจะมีสภาพไม่แตกต่างกัน
“ปากแข็งแบบนี้ต้องง้างด้วยลิ้นซะแล้ว” คุณซอลหัวเราะร่วนลงคอ เขาเปิดประตูห้องแล้วดึงผมเข้าไป ผลักผมติดประตูพร้อมทั้งปิดประตูก่อนจะเริ่มทำอย่างที่เจ้าตัวบอก ..ง้างปากผมด้วยลิ้นเชี่ยวๆ ของเขา
“อืมม.. อื้อ เดี๋ยวก่อน นี่เราไม่โกรธกันแล้วเหรอ?” ตอนใกล้จะหมดลมผมดันอกเขาออก แล้วถือโอกาสถามทั้งที่ยังหอบอยู่
“ใครโกรธใคร?” เขาขมวดคิ้ว
“คุณโกรธผม” พอเห็นเขาอ้าปาก ผมก็รับพูดดัก “อย่ามาปฏิเสธ เมื่อกี๊คุณโกรธผม”
“ไม่ได้จะปฏิเสธ แต่จะบอกว่านายเข้าใจผิด”
“ผิดยังไง?”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผม
หึง” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ แถมยังเน้นพยางค์สุดท้ายหนักๆ ด้วย
“หึง?” ที่จริงเขาไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกหึงผมหรอกเหรอ.. งั้นเองหรอกเหรอ
“เฮ้อ.. ผมจะเอายาอะไรให้นายกินดีนะ เผื่อสมองจะทำงานเร็วขึ้นบ้าง สักนิดก็ยังดี” คุณซอลหลับตาลงใช้นิ้วนวดขมับตัวเองพลางบ่นไปเรื่อย ผมว่าบางทีคนที่ต้องการยาอาจจะเป็นเขาเองก็ได้ พาราฯสักเม็ดสองเม็ดท่าจะดีขึ้น
“หือ?” คนยืนหลับตายอมเปิดตาอีกครั้งเมื่อรู้สึกของวงแขนของผมที่ยื่นไปกอดเอวของเขาไว้แน่ ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนที่ตัวสูงกว่า
“คนขี้หึง” ผมยิ้มจนตาหยี คุณซอลหัวเราะชอบใจ ก่อนโน้มหน้าเข้ามายอมรับใกล้ๆ
“ก็ใช่น่ะสิ” จากนั้นเขาก็เริ่มง้างปากผมด้วยลิ้นของเขาอีกรอบ..
“อื้อออ ..เดี๋ยว” ผมดันอกเขาออกอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าแผ่นหลังกำลังแตะกับที่นอน ถึงจะยังหายใจหอบถี่ แต่ก็มีเรื่องสงสัยอีกเรื่องให้ถาม
“แล้วมิคุนิมาจูบผมทำไม? คุณรู้ไหม?”
ผมคิดว่าถ้าถามเขาก็อาจจะได้คำตอบในเรื่องที่คาใจ แต่แทนที่จะตอบเป็นคำพูด เขาดันตอบเป็นมะเหงกเขกลงกลางหัวผมซะนี่
“โอ๊ยยยย”
TBC. 
ยิ่งอ่านก็ยิ่งบื้องิ น้องยูของเรา
หลงรักน้องยูแล้ว ก็ไปทำความรู้จักกับน้องเพชร ทายาทอสูรของน้องเอี้ยฟ้ากันเถอะค่ะ อิอิ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35826.0ปล. ขอบคุณคุณ jelatin99 ที่ช่วยแก้ไขคำผิดให้ค่ะ =))