ผมเองเป็นพุทธ แต่ก็เรียนโรงเรียนคริสมาตั้งแต่ป.5 ก็ไม่เคยได้ยินนะครับว่ามันบาปด้วยหรอ แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมก็ไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ อันนี้ก็รอชาวคริสมายืนยันอีกทีดีกว่า
ตอนนี้เค้าเองก็คงจะสับสนอยู่พอสมควรละครับ ผมว่าคุณน่าจะให้เวลาเค้าหน่อยนะ ในขณะเดียวกันก็ให้เวลากับตัวคุณเองด้วย
ลองห่างๆ แล้วคิดทบทวนดูดีๆ ว่าคุณรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่ เพราะเท่าที่เล่ามา เรื่องราวมันเกิดค่อนข้างที่จะเร็วนะ และตัวคุณเองก็ปล่อยตัวไปตามอารมณ์มากเลย แต่ช่วงนี้ควรจะต้องใช้สติ มากกว่าการใช้อารมณ์ครับ
ถ้าคุณอยากจะได้แฟน ที่เป็นแฟนจริงๆ คุณต้องทำให้เค้ายอมรับคุณทั้งตัว ทั้งใจ ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์พาไป
ถ้าคุณกับเค้าคนนั้นยังอยู่ในสถานะแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะคลุมเครือไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆอ่ะครับ
มันจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นแฟนไหม ก็ไม่ใช่ แค่อาศัยได้กันไปวันๆ
แล้วถ้าวันนึงเค้าเกิดไปชอบผู้หญิงคนไหน (หรือผู้ชายก็ตามที) คุณก็จะอยู่ในสภาวะที่ จะพูดก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะไม่ได้เป็นแฟนกัน หมายความว่าคุณไม่มีสิทธิในตัวเค้านะ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณนะ ว่าจะยอมอยู่ในสถานะแบบนี้ได้รึเปล่า
ลองเปลี่ยนมาดูแลกันในฐานะ เพื่อนคนพิเศษไปก่อน ก็น่าจะดีนะครับ ให้เวลาเค้าซักพัก แล้วค่อยขอเป็นแฟนใหม่ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก เพราะเค้าก็คงชอบคุณอยู่ไม่น้อยเหมือนกันแหละครับ
edit : หลังจากไปลองหาอ่าน เกี่ยวกับเรื่องศาสนาคริสมาแล้ว ก็ขออธิบายตามนี้นะครับ
1. ต่อให้ ชาย-หญิงก็ตามที ถ้ามีอะไรกัน ก่อนแต่งงาน ก็ถือว่าเป็นบาปแล้วล่ะครับ
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่คุณกับเค้ามีอะไรกัน มันก็ยิ่งทำให้เค้ารู้สึกผิดมากขึ้นครับ
2. การเป็นเกย์เป็นบาปหรือไม่ อันนี้ค่อนข้างจะคลุมเครือ และอยู่ที่การตีความนะครับ
ขอยกบทความนี้มาละกัน ค้นเจอพอดี
ที่มาจาก
http://www.gconnex.com/philosophy-religion/t735/สำหรับชาวชายรักชายที่เป็นคริสต์แล้ว คำถามนี้ถือว่าเป็นคำถามที่สำคัญคำถามหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว หลาย ๆ คนคงเคยถูกสอนเสมอ ๆ ถ้าริจะเป็นเกย์ มีแฟนเป็นชายด้วยกันล่ะก็ จะเป็นบาปหนักหนาสาหัส พระเจ้าจะลงโทษถึงขั้นตกนรกหมกไหม้
ฟังดูออกจะโหดร้าย แต่ศาสนาคริสต์ ซึ่งมีผู้คนนับถือมากที่สุดในโลกนั้น เต็มไปด้วยมายาคติเช่นนี้จริง ๆ ใครที่รักเพศเดียวกันถ้ายังอยากจะนับถือคริสต์อีกต่อไป ก็ต้องปกปิดชีวิตด้านหนึ่งไว้อย่าให้แพร่งพรายส่วนคนที่เลือกยืนหยัดบนความจริงของตน ก็จะถูกผู้คนที่ยึดมั่นในคำสอนที่งมงายล้อเลียน ดูถูก เหยียดหยาม บ้างก็ถูกอเปหิออกจากโบถส์ บ้างก็จำต้องทิ้งศาสนาไปอย่างน่าเสียดาย
ต้นเหตุแห่งมายาคติที่เลวร้ายเช่นนั้นมาจากการตีความพระคัมภีร์ในศาสนา (คัมภีร์ไบเบิ้ล) ผ่านทางแว่นแห่งอคติ
บทพระคัมภีร์ทอปฮิตที่ถูกนำมาอ้างแล้วอ้างเล่า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนถึงปัจจุบัน เพื่อตัดสินว่าการรักเพศ เดียวกันเป็นบาป ก็คือ บทที่ว่าด้วยเมืองโสโดม (ปฐมกาล 19, 1-25)
เรื่องของเมืองโสโดมมีอยู่ว่า ชายผู้หนึ่งชื่อว่า โลท ได้ต้อนรับเทวดาของพระเจ้า 2 องค์ ที่แปลงกายมาในร่างของ มนุษย์ผู้ชาย เข้ามาพักค้างแรมในบ้าน แต่ยังไม่ทันที่แขกจะเข้านอน ชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ ต่างพากันมาล้อมบ้านโลทไว้ และร้องบอกให้โลทส่งแขกทั้งสองนั้นออกมาหลับนอนกับพวกเขา โลทปฏิเสธ แต่เสนอว่าจะส่งลูกสาวของตนที่ยังไม่เคยหลับนอนนกับชายใดออกไปแทน ให้ชาวเมืองทำอะไรกับ เธอก็ได้ แต่อย่าทำอะไรกับแขกของตนเลย ชาวเมืองไม่พอใจจะพังประตูเข้ามา แต่เทวดาทั้งสองนั้นทำให้ทุกคน ที่อยู่หน้าประตูตาบอดหมด แล้วในที่สุดพระเจ้าก็ส่งไฟมาทำลายเมืองนั้นทั้งเมือง
ด้วยการตีความเรื่องนี้อย่างผิวเผิน ทำให้ศาสนาสั่งสอนผู้คนว่า บาปของเมืองโสโดมคือ การรักเพศเดียวกัน ซึ่งร้ายแรงมากจนพระเจ้าต้องทำลายเมืองทั้งเมือง โดยแทบจะไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่าการที่โลทตั้งใจ จะ ส่งลูกสาวของตนออกไปให้ชาวเมืองแทนนั้น เป็นการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงหรือไม่
แต่ก็ยังดีที่ว่า ในปัจจุบัน เรามีนักพระคัมภีร์หัวก้าวหน้า ที่ช่วยกันศึกษาค้นคว้าจนได้บทสรุปที่ต่างออกไป พวกเขากล่าวว่า แท้จริงแล้วบาปของเมืองโสโดมเป็นบาปของการไม่ต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งในเขตทะเลทราย เช่นเมืองโสโดมนั้น มีกฎอยู่ว่าเจ้าบ้านจะต้องต้อนรับแขกผู้มาเยือน เพราะว่าทะเลทรายยามกลางคืนจะหนาว เหน็บมาก การไม่มีที่พักอาจหมายถึงอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
ใน พระคัมภีร์เก่าเองมีการกล่าวอ้างถึงเมืองโสโดมทั้งหมด 21 ครั้ง ไม่มีครั้งใดเลยที่กล่าวว่าบาปของเมือง โสโดมคือ การรักคนเพศเดียวกัน หากแต่เป็นบาปของความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง การโกหก แม้แต่พระ เยซูเอง ก็อ้างถึงเมืองโสโดมในแง่ของการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า
บทจดหมายของเปาโลเป็นอีกบทที่ถือว่าเป็นรองทอปฮิตจากเรื่องของเมืองโสโดมเปาโลนั้นประนามความสัมพันธ์
ระหว่างคนรักเพศเดียวกัน ว่าเป็นสิ่งที่ “ผิดธรรมชาติ” ก็ต้องขอบคุณนักพระคัมภีร์หัวก้าวหน้าอีกครั้ง
พวกเขาอาศัยข้อมูล ทางวัฒธรรมของอาณาจักรโรมันในศตวรรษที่ 1 แสดงให้เราเห็นว่า จริง ๆ แล้ว เปาโล ไม่มีภาพความรักระหว่างคนเพศ เดียวกันที่เป็นธรรมชาติเช่นในสมัยปัจจุบันเลย
พฤติกรรมที่เปาโลกล่าวประนามนั้น คือพฤติกรรมของชายนอกศาสนา ซึ่งจริง ๆ เป็นคนรักเพศตรงข้าม แต่ชอบมีเพศสัมพันธ์ อย่างทารุณ โหดร้ายกับเด็กชายหรือชายโสเภณีตามโบสถ์
นอกจากนั้นคำว่า “ผิดธรรมชาติ” ของเปาโลนั้นมิได้หมายถึง การทำผิดศีลธรรม หากหมายถึงการกระทำที่ผิดไป จากประเพณี ดังเช่น เปาโลกล่าวว่า การที่ผู้ชายมีผมยาวนั้นผิดธรรมชาติ (1 โครินธ์ 11, 14) หรืออีกตอนกล่าวว่า พระเจ้าทำผิดธรรมชาติ (โรม 11,24)
ส่วนพระเยซู ศาสดาของศาสนานั้นไม่ได้กล่าวถึงคนรักเพศเดียวกันไว้เลย สิ่งสำคัญสำหรับพระองค์คือ ความรัก ความยุติธรรม และการปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ดังนั้น เมื่อเราถอดแว่นแห่งอคติออกไปแล้ว บาปไม่บาปไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรักเพศเดียวกัน หรือต่างเพศ ขอให้เป็นรักที่แท้จริงเถิด
จะรักเพศไหน หรือทั้งสองเพศ ก็ไม่บาปทั้งนั้น.
บทความโดย กลุ่มอัญจารี
ความเห็นผมนะ ถ้ามันมีเมืองแบบนั้น แล้วมันโดนพระเจ้าทำลายจริงๆ ก็คงไม่ใช่เพราะเป็นเกย์ หรือไม่ต้อนรับแขกอะไรหรอก แต่มันเป็นเมืองที่แบบ โคตรมั่วเซ็กเลยมากกว่า มีอย่างที่ไหน ชาวเมืองมารุมล้อมให้ส่งตัวแขกมาเอากะพวกมัน -*- แถมไอ่โลทนั่น กับจะส่งลูกตัวเองให้คนอื่นทำมิดีมิร้ายแทนอีก แบบนี้มันตกต่ำสุดๆแล้ว แต่คนที่ตีความแรกๆดันบอกว่าเป็นบาปเพราะรักร่วมเพศ
คือต่อให้มันต่างเพศมันก็เสื่อมเหอะ - -*
และสุดท้าย ศาสนาคริส เน้นเรื่องความรักครับ
เพศสัมพันธ์ระหว่างช ญ = เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
เพศสัมพันธ์ระหว่างช ช = เกิดจากตันหาราคะล้วนๆ
ก็คงเป็นอีกเหตุผลนึงละมั้ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ถ้าคุณมอบความรักให้เค้าอย่างบริสุทธิ์ใจ เค้าจะต้องรับไว้แน่ครับ