[เรื่องสั้นจบในตอน] เธอไม่อยู่แล้วหรือ...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้นจบในตอน] เธอไม่อยู่แล้วหรือ...  (อ่าน 7438 ครั้ง)

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
ไม่รู้ว่าเอามาลงในวันวาเลนไทน์แบบนี้มันจะดีหรือเปล่า
แต่ผมว่า...ความรักมันมีหลายรูปแบบน่ะนะครับ
เศร้าๆซึ้งๆหน่อยคงไม่เป็นไรเนอะ

...

ซากุระผลิกลีบสีชมพูอ่อนรับแสงอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว  กลีบดอกที่อ่อนหวานพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดมากระทบแผ่วเบา  กลีบบางทิ้งตัวลงกลางสายลมนั้น  บางดอกผละก้านร่วงหล่นลงมาทั้งดอก  ทำให้ทิวทัศน์ที่ปรากฏแก่สายตาทั้งสวยงามและแสนเศร้า

ร่างสูงโปร่งเดินตัดขึ้นเนินเขามาตามทางเดินที่ปูลาดด้วยหิน  ริมทางเดินมีต้นซากุระปลูกไว้เรียงรายเป็นระยะ  ชายหนุ่มหยุดยืนบนยอดเนินพลางทอดสายตาลงไปยังเมืองที่อยู่เบื้องล่าง...เมืองที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง...และเขาคนนั้น...

มือเรียวกระชับช่อดอกไม้เล็ก ๆ ในมือ  ช่อดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งใครคนนั้นเคยบอกชื่อของมันให้เขาฟังพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจความหมาย...จากตรงนี้  มองลงไปยังเห็นแมนชั่นอันเคยเป็นบ้านของพวกเขา  โรงเรียนเก่า  และสถานที่ที่เคยไปด้วยกัน...เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เปลี่ยนไปไม่มากนักแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว

เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขา...ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดมา

เขายังคงเจ็บปวด...และเศร้าโศก...ทุกครั้งที่คิดถึงเขาคนนั้น

ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่...ในวันนี้...

ชายหนุ่มถอดแว่นตาดำออกเพื่อปาดเช็ดน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลลงมาอาบแก้ม  พยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ  ในที่สุดก็หยุดมันได้  มือเรียวสวมแว่นคืนให้ตัวเองอีกครั้ง  เบือนหน้าจากทิวทัศน์ตรงหน้าแล้วก้าวต่อไปตามทางเดินที่ทอดลงจากเนิน  ต่ำจากตรงนั้นลงไปอีกนิดหน่อยคือที่หมายที่เขามุ่งหน้ามา

ร่างเพรียวหยุดยืนตรงหน้าแท่นหินอ่อนสีเทา  กลีบดอกไม้และใบไม้แห้งปกคลุมเหนือแท่นหินนั้นอย่างปราศจากคนดูแล  มือเรียวปัดสิ่งที่ปกคลุมออกอย่างเบามือ  ข้อความที่จารึกไว้ข้างใต้ค่อย ๆ ปรากฏแก่สายตา


“อิโนะอุเอะ  ชิโนบุ  ทอดความฝันลงที่นี่”


ละไอฝ้าร้อน ๆ เกาะเข้าที่ดวงตาอีกครั้ง  ในที่สุดก็กลั่นเป็นหยดน้ำกลบให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน  ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก  ปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนแท่นหินนั้น...หยดแล้ว...หยดเล่า...

กี่ปีแล้ว...ที่เวลาล่วงไป

ไม่มีอะไรสามารถเยียวยาความรู้สึกของเขาไปได้  แม้หน้าที่การงานและการดำเนินชีวิตประจำวันจะทำให้เขาไม่ได้มีเวลาคิดถึงผู้ที่ทอดกายอยู่ที่นี่มากนัก  แต่ทุกครั้งที่คิดถึง...ความทรงจำที่หวนคืนมาจะชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน  และทุกครั้ง...เขาก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้  คนรอบข้างบอกว่าเขาอ่อนไหวเกินไป  เขารู้และพยายามจะแก้ไข  หากเรื่องนี้เท่านั้น...ที่เขาทำไม่ได้

...ลืมไม่ได้...

“นั่น...คุเรฮะใช่มั้ย?”

เสียงห้าวดังขึ้นด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง  เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มร่างสูงผมดำยาว  ในมือมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่...เขาคงตั้งใจจะมาที่นี่เช่นกัน

“จุน...”  คุเรฮะลุกขึ้นพลางเช็ดน้ำตา

“นาย...มาที่นี่ทุกปีสินะ”  จุนพูดพลางก้าวเข้ามาใกล้

“ฮื่อ...”  รับคำเบา ๆ แล้วก้มหน้านิ่ง...วันนี้ของทุก ๆ ปี  ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงมุมไหนของโลก  เขาจะต้องกลับมาที่นี่...เพื่อมาพบเขาคนนั้น

“นายเป็นคนดียิ่งกว่าฉันที่เป็นพี่ของหมอนั่นอีกนะ”  จุนวางช่อดอกไม้ลงเหนือหลุมศพนั้นเบา ๆ

สายลมพัดผ่านเข้ามาในความเงียบงัน  ต่างก็ปล่อยให้ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับสายลมนั้น...ความทรงจำที่พวกเขาทั้งสามมีร่วมกัน...

“ยังร้องไห้อยู่อีกเหรอ?”  น้ำเสียงเอ่ยถามอ่อนโยน  มือใหญ่หยาบเช็ดน้ำตาให้เบามือ  “ผ่านไปหลายปีแล้วนะ”

“สำหรับฉัน...มันไม่ใช่...”

“ชิโนบุไม่อยู่แล้ว...คุเรฮะ”

คุเรฮะปิดเปลือกตาลง  น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม

...นายไม่อยู่แล้วงั้นหรือ...

...

“สุงิฮาระคุง  มานี่หน่อยสิ”  อาจารย์ประจำชั้นเรียกเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

“ครับ?  มีอะไรเหรอครับ”  สุงิฮาระ  คุเรฮะเดินไปหาอย่างว่าง่าย

“เธออยู่แมนชั่นเดียวกันกับอิโนะอุเอะใช่มั้ย?”

อิโนะอุเอะ...อิโนะอุเอะ...เอ...ชื่อนี้มันคุ้น ๆ ...อ้อ...เพื่อนร่วมห้องนี่เอง  แต่รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยได้เจอหน้าหมอนั่นเท่าไรนะ...อยู่แมนชั่นเดียวกันงั้นหรือ

“เอ้อ...คงงั้นละครับ”  คุเรฮะแบ่งรับแบ่งสู้...จะว่าไปเขานึกหน้าอิโนะอุเอะไม่ออกด้วยซ้ำ

“งั้น...ครูมีเรื่องจะไหว้วานเธอหน่อย”  อาจารย์ประจำชั้นส่งเอกสารปึกใหญ่ให้เขา  “คือว่าอิโนะอุเอะเขาไม่สบาย  หยุดเรียนมาหลายเดือนแล้ว  ครูเห็นเธอผลการเรียนดีแล้วก็อยู่แมนชั่นเดียวกับเขาด้วย  ถ้าสะดวกก็อยากให้เธอเอาชีทนี่ไปให้เขาหน่อย  แล้วถ้าช่วยติวให้ด้วยก็ดีนะ  ใกล้จะสอบแล้ว”

“เอ้อ...อืม...ครับ  ก็ได้”  มันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนักหรอก  ว่าแต่หมอนั่นเป็นคนแบบไหนกันนะ

“ขอบใจมากนะ  ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ”

“ครับผม”

คุเรฮะเดินครุ่นคิดไปตลอดทางกลับบ้าน...อิโนะอุเอะ...คงจะร่างกายอ่อนแอสินะถึงได้หยุดเรียนไปนานขนาดนั้น  ที่จริงดูเหมือนว่าเขาจะจำได้ราง ๆ นะว่าได้เห็นหมอนั่นเดินออกจากแมนชั่นพร้อม ๆ เขาเมื่อวันเปิดเทอม  แต่ก็ไม่ได้สะดุดตาอะไร...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอยู่ห้องเดียวกัน

เด็กหนุ่มสอบถามจากผู้ดูแลแมนชั่นจนรู้ว่าห้องของอิโนะอุเอะอยู่ชั้นไหน  เขาค่อย ๆ เดินไล่ไปตามชั้น 6 หาไปทีละห้องจนในที่สุดก็พบ  มือเรียวยกขึ้นกดกริ่งที่หน้าประตู  รออยู่ไม่นานนักก็มีเสียงตอบรับจากอินเตอร์โฟน

“ใครครับ?”

“สุงิฮาระครับ  เพื่อนร่วมชั้นของอิโนะอุเอะ  พอดีอาจารย์วานให้เอาชีทมาให้น่ะครับ”  คุเรฮะตอบกลับไป

“สักครู่นะ”

ประตูห้องค่อย ๆ ขยับและเปิดออก  คนที่ชะโงกหน้าออกมาดูคือเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุเรฮะ  มีเรือนผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม  ดวงตาที่ใสราวกับลูกแก้วจ้องมองมาที่เขา

“เอ้อ...เข้ามาก่อนสิ”  เสียงเบา ๆ พูดอ้อมแอ้ม

“รบกวนด้วยนะ”

ร่างเพรียวเดินตามเข้าไปในห้องชุดสำหรับครอบครัวที่มีแปลนเหมือนกับห้องของครอบครัวเขาที่อยู่บนชั้น 8  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากอิโนะอุเอะเพียงคนเดียว...คุณพ่อกับคุณแม่คงจะทำงานนอกบ้านสินะ...ในบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน

“นั่งก่อนสิ  เดี๋ยวจะไปชงชามาให้”  อิโนะอุเอะชี้ไปที่โซฟาหน้าโทรทัศน์

“อะ...อื้อ”

คุเรฮะรออยู่ไม่นานนักผู้เป็นเจ้าของบ้านก็กลับมา  เขามองตามร่างนั้นที่เดินออกมาจากในครัว...ร่างเพรียวที่ดูมีเนื้อหนังเต็มในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด  ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนป่วยหรือร่างกายอ่อนแอสักนิด...อิโนะอุเอะวางถ้วยชาให้ตรงหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟาอีกตัว  หลังจากนั้นก็เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด

“เอ้อ...อาจารย์บอกให้ฉันเอาชีทมาให้แล้วก็...ถ้าเผื่อว่านายต้องการน่ะนะ  ฉันจะติวให้ด้วย  ใกล้สอบแล้วอาจารย์กลัวนายเรียนไม่ทันน่ะ”  คุเรฮะทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด

“อือ...รบกวนด้วยนะ”  อิโนะอุเอะตอบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเลื่อนลอยเหมือนกับไม่เห็นความสำคัญในสิ่งที่คุเรฮะเอ่ยมา  ดวงตากลมคู่นั้นไม่ได้มองที่คู่สนทนาด้วยซ้ำ

คุเรฮะลอบถอนใจ  ดูท่าจะรับมือได้ยากกว่าที่คิดนะเนี่ย

“นายไม่ถนัดวิชาไหน?”

“ไม่ถนัด...เลย”

คุเรฮะชักรู้สึกจี๊ด ๆ ขึ้นหัวตะหงิด ๆ  ท่าทางเบลอ ๆ ของอิโนะอุเอะมันชวนโมโหน้อยอยู่เมื่อไร  ไหนจะน้ำเสียงและวิธีการพูดอีกเล่า  ทั้งที่ดูเฉยเมยเย็นชา...แต่ทำไมมันถึงได้กวนโมโหขนาดนี้

“เฮ้ย  เอาแบบจริง ๆ น่ะ  ฉันจริงจังนะ  อิโนะอุเอะ”  คุเรฮะพูดด้วยเสียงเข้ม

ดวงตาสีน้ำตาลใสเหลือบขึ้นมองเพื่อนร่วมชั้นอีกครั้งแล้วก็รีบหลบตาโดยเร็ว

“ฉัน...ก็พูดจริง ๆ เหมือนกัน”  เสียงแผ่ว ๆ ตอบอ้อมแอ้ม  “ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน  เลยไม่รู้เรื่องสักวิชา”

คุเรฮะนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง...ก็จริงอยู่ที่ว่าอิโนะอุเอะไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนเลย  คงจะอ่อนทุกวิชาจริงอย่างที่ว่า...แต่นี่แสดงว่าหมอนี่มีปัญหาเรื่องการใช้คำและการสื่อสารมากกว่าสินะ...หรือเขากันแน่ที่มีปัญหา

“เอาละ  เข้าใจแล้ว  เอาเป็นว่าอ่อนวิชาอะไรที่สุด”

“ภาษาอังกฤษ”

“งั้น...มาเริ่มกันเลยมั้ย?”

“ไปในห้องดีกว่า  หนังสือกับโต๊ะเล็กอยู่ในห้องน่ะ”  อิโนะอุเอะบอกพลางลุกขึ้นยืน

คุเรฮะรู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านนิดหน่อยที่มาที่นี่ครั้งแรกก็จะเข้าไปจนถึงห้องนอนเลย  แต่ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนเชิญเองก็คงไม่เป็นไรมั้ง

เขาเดินตามอิโนะอุเอะไปที่ห้องนอน  ทันทีที่เพื่อนร่วมชั้นเปิดประตูห้อง  เด็กหนุ่มก็ยืนตะลึงงัน

ห้องส่วนตัวของอิโนะอุเอะด้านหนึ่งกรุด้วยกระจกและมีประตูกระจกเปิดไปสู่ระเบียงข้างนอก  ในห้องจึงสว่างไสวด้วยแสงแดดที่สาดเข้ามาเต็มที่ดูสดใสและปลอดโปร่ง  แต่สิ่งที่ทำให้คุเรฮะต้องตกตะลึงไม่ใช่สิ่งนั้น  หากเป็นเฟรมผ้าใบหลายสิบแผ่นที่วางระเกะระกะอยู่ในห้อง  ทุกแผ่นแต่งแต้มด้วยสีสันสวยงาม  เป็นภาพของทิวทัศน์ในสถานที่ต่าง ๆ  ภาพของดอกไม้ต้นไม้  ภาพของสัตว์  และภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะปรากฏอยู่ในเฟรมหลายแผ่น  ทุกภาพล้วนสดใสและให้ความรู้สึกอ่อนโยน...แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

“นาย...อยู่ชมรมศิลปะเหรอ?”

“เคยอยู่...”  อิโนะอุเอะตอบเบา ๆ พลางเก็บเฟรมที่วางไว้เกะกะตรงกลางห้องไปพิงผนังรวม ๆ กันไว้

“ภาพสีน้ำมันเหรอ?”  คุเรฮะถามต่อไปอีก  เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะมากนักแต่ก็ชอบดูภาพเขียนแบบต่าง ๆ เหมือนกัน

“สีอะคริลิคน่ะ  สีน้ำมันมันเหม็น  ฉันไม่ชอบ”  เจ้าของห้องกางโต๊ะพับออกตั้งใกล้ ๆ กับขาตั้งเฟรมที่ยังมีภาพวาดค้างเอาไว้  โต๊ะเขียนหนังสือของเขารกไปด้วยอะไรหลายอย่างที่วางสุมเอาไว้จนใช้งานไม่ได้ในตอนนี้  ”โทษทีนะ  รกไปหน่อย”

“ช่างเถอะ  ภาพของนายสวยดีนะ”  คุเรฮะเอ่ยปากชมแล้วนั่งลงบนเบาะรองพื้นที่อิโนะอุเอะวางให้

คนถูกชมไม่พูดอะไรนอกจากหลบตา  “เอ้อ...ฉัน...จะไปเอาชามาให้อีก”

“ไม่ต้องหรอก  มาเริ่มกันดีกว่า  เดี๋ยวฉันมีเรียนไวโอลินตอน 6 โมง”

“เรียนไวโอลินเหรอ?  งั้น...เสียงไวโอลินที่ได้ยินทุกเย็นนั่นก็  สุงิฮาระเองหรอกเหรอ?”  อิโนะอุเอะหันมามองหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เอ้อ...ก็...งั้นแหละ”

“ฉันชอบมากเลยนะ”  ผู้เป็นเจ้าของห้องยิ้มบาง ๆ แล้วก็ไปหยิบหนังสือเรียนจากบนชั้น

คุเรฮะมองตามไปที่ชั้นหนังสือ  บนนั้นมีหนังสือเกี่ยวกับภาพเขียนและศิลปินนักวาดภาพหลายเล่ม  และทุกเล่มเป็นภาษาอังกฤษ

“ไหนนายว่าอ่อนภาษาอังกฤษไง  แล้วหนังสือพวกนั้นมันอะไร?”

“อ๋อ  พวกนี้น่ะเอาไว้ดูแต่รูป  ไม่เคยอ่านหรอก  เห็นสวยดี  ถูกใจก็ซื้อมา  อ๊ะ!”  อิโนะอุเอะคว้ากรอบรูปที่หล่นลงมาจากชั้นไว้ไม่ทัน  แต่ดีที่คุเรฮะระวังตัวอยู่แล้วจึงคว้าไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงพื้นและแตกกระจาย

“หือ...นี่นายเล่นเบสบอล?”  ภาพถ่ายนั่นเป็นภาพของอิโนะอุเอะในเครื่องแบบนักเบสบอลกำลังวิ่งอย่างเต็มที่อยู่ในสนามแข่ง

“ก็ตอนประถมเท่านั้นแหละ”  อิโนะอุเอะรับกรอบรูปนั้นไปวางไว้ที่เดิม

“เอ๊ะ...หรือว่า...รันเนอร์ชิโนบุ?”

อิโนะอุเอะเบิกตากว้างหันมามองหน้าคุเรฮะอย่างหลากใจ

“นายจำได้?”

“ก็...ไปนั่งเชียร์แทบทุกแมทช์เลย  นายเป็นตัววิ่งใช่มั้ยล่ะ  ฉันก็จำได้แต่ชื่อนั้นแหละ  ไม่รู้หรอกว่านายชื่อสกุลว่าอะไร”  คุเรฮะบอกยิ้ม ๆ

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะยังมีคนจำได้”  อิโนะอุเอะนั่งลงตรงข้ามคุเรฮะ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
“พอขึ้น ม. ต้น  นายก็หายไปเลย  ทำไมไม่เล่นเบสบอลต่อล่ะ?”

อดีตนักเบสบอลของโรงเรียนหรุบตามองโต๊ะ  “ก็...มาวาดภาพแทนไงล่ะ  มาเริ่มกันดีกว่า  สุงิฮาระ  เดี๋ยวนายจะไปเรียนไวโอลินไม่ทันนะ”

คุเรฮะไม่ทันสังเกตอาการตัดบทของอิโนะอุเอะ  เขาเริ่มต้นติวให้เพื่อนร่วมห้องตั้งแต่ต้น  อิโนะอุเอะไม่ได้หัวช้าเลย  แม้จะดูเหม่อลอยไปหน่อยแต่เขาก็ทำความเข้าใจสิ่งที่คุเรฮะอธิบายได้อย่างรวดเร็ว  ถ้าหากว่าได้ไปโรงเรียนทุกวันก็ไม่มีความจำเป็นต้องติวด้วยซ้ำ

คุเรฮะเอ่ยลาเมื่อได้เวลาสมควรพร้อมกับบอกว่าจะมาติวให้อีก

“ถ้ามีเวลานายก็อ่านหนังสือล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วกัน  โอเคนะ  อิโนะอุเอะ”

“นี่...สุงิฮาระ  เรียกฉันว่าชิโนบุก็ได้”  อิโนะอุเอะบอก  “ฉันชอบชื่อนั้นมากกว่า”

“เอางั้นเหรอ...ก็ได้  งั้นนายจะเรียกฉันว่าคุเรฮะแบบคนอื่น ๆ ก็โอเคนะ”

“อื้ม”  ผู้เป็นเจ้าของห้องยิ้มบาง ๆ แล้วก็อุทานออกมา  “อ๊ะ  จุน  กลับมาแล้วเหรอ?”

ผู้ที่ชิโนบุทักคือชายหนุ่มร่างสูง  ผมสีทองตัดสั้นและขยี้ยุ่ง ๆ  ท่าทางเหมือนเด็กเกเร  เป็นชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่อยู่ในภาพวาดของชิโนบุ

“กลับมาแล้ว  ชิโนบุ”  คนถูกเรียกว่าจุนทักตอบพลางเหลือบมองคุเรฮะ  “เพื่อนเหรอ?”

“อือ  สุงิฮาระคุงเรียนห้องเดียวกันน่ะ  เขามาติวให้  คุเรฮะ  นี่พี่ชายฉัน  ชื่อจุน”  ประโยคสุดท้ายหันมาบอกกับคุเรฮะ

“พี่ชาย?  รุ่นพี่โอโนเสะเป็นพี่ชายนาย?”

“รู้จักจุนด้วยเหรอ?”

“ตอนเรียน ม. ต้น  รุ่นพี่โอโนเสะเรียน ม. ปลาย ที่เดียวกันนี่นา”  ในเมืองเล็ก ๆ นี้มีโรงเรียนอยู่แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น  แต่วันนี้คุเรฮะรู้สึกว่าโลกมันกลมเหลือเกิน...ชิโนบุเรียนประถมที่เดียวกับเขา  ส่วนพี่ชายของชิโนบุเรียนมัธยมที่เดียวกัน...ว่าแต่...อิโนะอุเอะ...โอโนเสะ...แล้วเป็นพี่น้องกัน...?

ความสงสัยของคุเรฮะคงแสดงออกทางสีหน้า  ชิโนบุจึงอธิบาย

“พ่อของจุนแต่งงานกับแม่ฉันเมื่อหลายปีก่อนน่ะ”

คุเรฮะพยักหน้ารับรู้

“ชิโนบุ  เข้าบ้านได้แล้ว  เดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกหรอก”  คนถูกเรียกว่าจุนบอกน้องชาย

“อ๊ะ อื้อ...แล้วเจอกันนะ  คุเรฮะ”

“อื้ม  พรุ่งนี้นะ”  แล้วก็หันไปพูดกับพี่ชายของเพื่อน  “ไปก่อนนะครับ  รุ่นพี่โอโนเสะ”

“จะเรียกจุนเหมือนที่เขาเรียก ๆ กันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”  ร่างสูงบอกพร้อมกับยิ้มนิด ๆ  “แล้วเจอกัน”



คุเรฮะไปหาชิโนบุที่บ้านหลังเลิกเรียนทุกวัน  นอกจากติวหนังสือให้แล้วทั้งสองก็พูดคุยอะไรกันจิปาถะ  จนกระทั่งความสนิทสนมได้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ  ความสนิทสนมนั้นรวมไปถึงจุนด้วย  พี่ชายของชิโนบุคนนั้นทำงานพิเศษหลายอย่าง  บางทีก็ต้องกลับบ้านดึกดื่นจนต้องขอให้คุเรฮะมาอยู่เป็นเพื่อนชิโนบุ  ทำให้มีหลายครั้งที่คุเรฮะหอบผ้าหอบผ่อนมานอนค้างด้วยหลังเลิกเรียนไวโอลิน  และอีกหลายครั้งที่ถึงกับโดดเรียนไวโอลินตอนเย็น  การได้อยู่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันมันสนุกกว่าอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่และอาจารย์สอนไวโอลินที่เคร่งขรึม

“โอ๊ย~  ถูกดุอีกแล้ว”  คุเรฮะบ่นเมื่อเอาตัวมาขลุกอยู่ในห้องของชิโนบุในคืนวันหนึ่ง

“ก็คุเรฮะโดดเรียนนี่นา  ก็โดนดุน่ะสิ”  ชิโนบุว่าพลางป้ายสีลงไปบนเฟรมผ้าใบ

“แต่ฉันก็เล่นเพลงได้นี่นา  ไม่เห็นต้องดุเลย”  คุเรฮะยังโอดครวญพลางกลิ้งไปบนเตียง

“แต่ก็โดดเรียน  และเพราะนายโดดเรียน  ฉันเลยไม่ได้ฟังเพลงที่นายเล่นเลย”

คุเรฮะผุดลุกขึ้นนั่ง  “ถ้านายอยากฟัง  ฉันมาเล่นให้ฟังทุกวันก็ได้นะ”

“ไม่ต้องมาถึงนี่ฉันก็ได้ฟังทุกวันอยู่แล้ว...ถ้านายเข้าเรียนน่ะนะ”  ชิโนบุพูดด้วยเสียงเรื่อย ๆ ตามนิสัย

“นี่นายสอนฉันเรอะ?”

“ดุตะหาก”  แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็หันมายิ้มให้  “ถ้าไม่ได้ฟังเพลงที่คุเรฮะเล่นแล้วมันวาดภาพไม่ออก  รู้มั้ย  เพราะงั้นนายต้องไปเข้าเรียนไวโอลินทุกวัน  โอเค?”

“วาดภาพอะไร  หือ?  ถึงได้ต้องฟังเพลงน่ะ”  คุเรฮะชะโงกหน้ามาดูภาพที่ชิโนบุกำลังวาดอยู่

“วาดภาพนายไง”  ชิโนบุบอกยิ้ม ๆ พลางขยับให้คุเรฮะดูภาพชัด ๆ

คุเรฮะมองภาพตัวเองบนผืนผ้าใบแล้วนิ่งอึ้งไป  เขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าถูกวาดภาพเอาไว้แล้ว

“วาดแต่ภาพของจุนมานาน  คราวนี้ได้วาดภาพคนอื่นบ้างละ...เสียดายก็แต่ไม่ได้วาดภาพคุณพ่อกับคุณแม่ไว้...”  หางเสียงแผ่วหายไปในลำคอ

พ่อกับแม่ของจุนและชิโนบุประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน  เงินประกันชีวิตทำให้ทั้งคู่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายก็จริง  แต่นั่นทำให้สภาพความเป็นครอบครัวแตกสลาย  จุนกับชิโนบุไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันนอกจากทางกฎหมาย  แต่ที่จุนไม่ยอมแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพังเพราะเป็นห่วงที่จะทิ้งน้องชายต่างสายเลือดไว้คนเดียว  และเขาหางานพิเศษทำเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้เงินที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้มากนัก  เก็บมันไว้เผื่อน้องชายที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

“ชิโนบุ  เดี๋ยวฉันเล่นเพลงให้ฟัง”  คุเรฮะดึงชิโนบุกลับจากห้วงความคิด  “ขอเวลาไปเอาไวโอลินก่อน  แป๊บนึง”

ว่าแล้วคุเรฮะก็ผลุนผลันออกไปจากห้อง  ทิ้งให้ชิโนบุนั่งทำตาปริบ ๆ ...ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง  อยู่กับคุเรฮะแล้วเขาไม่เคยเหงาเลยจริง ๆ



“นายมีความฝันมั้ย  คุเรฮะ?”  จู่ ๆ ชิโนบุก็ถามขึ้น

“หือม์...?  ก็คงเรียนจบแล้วเล่นไวโอลินต่อไปมั้ง”  คุเรฮะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ  “ทำไมถามแปลก ๆ ?”

“ฉันฝันนะ...ว่าสักวันฉันจะมีนิทรรศการภาพวาดของตัวเอง”  ชิโนบุหยุดมือที่กำลังป้ายพู่กันลง  “และจะต้องเป็นภาพของจุนกับคุเรฮะเท่านั้น”

“อย่างงั้นเลย?”

“ฉันพูดจริงนะ  ลองคิดดูสิ  นิทรรศการที่มีแต่ภาพของคุเรฮะกับจุนเต็มไปทั้งหอศิลป์  แล้วคุเรฮะก็เล่นไวโอลินตอนเปิดงานไงล่ะ  ส่วนจุนก็...ก็...จุนทำอะไรดี...คนอย่างจุนเนี่ย...”  คิ้วเรียวขมวดมุ่นพยายามคิดอย่างเอาจริงเอาจัง

“คนอย่างฉันทำไมไม่ทราบ  เจ้าบ้า”  จุนยืนกอดอกกระดิกเท้าอยู่หน้าประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้

“ก็อย่างจุนน่ะ...มันไม่เหมาะกับนิทรรศการภาพวาดเลยนี่นา”  ชิโนบุว่าเอาตรง ๆ  “ไม่เป็นไร  จุนก็ไปเดิน ๆ ในงานแทนยามละกัน”

“อันนั้นเหมาะมาก”  คุเรฮะเสริม

“ใช่ม้า~  สุด ๆ เลย”

“ไม่อยากกินข้าวเย็นกันใช่มั้ย  ไอ้เด็กบ้าสองคนนี้นี่”  จุนยิ้มเหี้ยมเกรียม

“กิน!!”  ทั้งสองประสานเสียงกันตอบ

“อยากกินก็ออกมาได้แล้ว  ทำเสร็จแล้ว”  ร่างสูงหันหลังให้  พลันก็รู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ที่ดึงชายเสื้อไว้

“จุน  แต่ฉันอยากมีนิทรรศการของจุนกับคุเรฮะจริง ๆ นะ”  เสียงเบา ๆ ที่ดังขึ้นทางเบื้องหลังมีแววอ้อน...ชิโนบุมักจะกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจอยู่เสมอ  ทั้งที่เขาไม่เคยโกรธอะไรเด็กคนนี้เลย

“รู้แล้ว  นายพูดให้ฟังเป็นล้านรอบแล้ว  เพียงแต่รอบหลัง ๆ มันมีชื่อคุเรฮะติดมาด้วยก็เท่านั้น”  จุนหันไปลูบหัวผู้เป็นน้องชายเบา ๆ  “ไปกินข้าวไป๊”

“เออ  อาทิตย์หน้าจะมีงานโรงเรียน  ไปด้วยกันมั้ย  ชิโนบุ?”  คุเรฮะถามขึ้นมาในวงข้าว

ชิโนบุลอบสบตาจุน...ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉาบไว้ด้วยแววกังวล  จุนถอนใจเบา ๆ

“อยากไปเหรอ?”

“...อยาก...”

“แต่สภาพร่างกายนาย...”

“ไม่เป็นไรหรอก  มันไม่เป็นไรตั้งนานแล้วนะ  จริง ๆ นะ  จุน”  ชิโนบุรีบพูดขึ้นก่อนที่จะถูกขัด

“จะว่าไปแล้ว  ฉันไม่เคยเห็นว่าชิโนบุจะเป็นคนป่วยตรงไหนเลยนะ  จุน”  คุเรฮะเสริมมาอีกคน

“เห็นมั้ย  ไม่เป็นไรหรอก”  ชิโนบุพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

จุนมองหน้าผู้เป็นน้องชาย  ดวงตาของชิโนบุเป็นประกายอย่างที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว  ตั้งแต่คุเรฮะมาคลุกคลีอยู่ด้วยชิโนบุก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจนเขาก็รู้สึกดีไปด้วย

“โอเค...อยากไปก็ไป  ระวังตัวด้วยล่ะ”  จุนยอมในที่สุด

“เย้!  รักจุนที่สุดเลย”  ชิโนบุทิ้งตะเกียบแล้วกอดหมับเข้าให้

“ไม่ต้องมากอด  กินข้าวไป  โตแล้วนะเฟ้ย  เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้”



อาการป่วยของชิโนบุเป็นเรื่องที่คุเรฮะไม่เคยรู้สึกมาก่อน  ในวันงานโรงเรียนทั้งสองเที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งจบงาน  ทั้งคู่เดินกลับบ้านด้วยกัน  แล้วชิโนบุก็พูดขึ้น

“ฉันมีที่ที่อยากให้คุเรฮะเห็นหละ”

“หือ  จะแวะเหรอ  แต่ดูนายเหนื่อยแล้วนะ”  คุเรฮะท้วง  อาจเพราะชิโนบุแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลยจึงดูเหนื่อยอ่อนกว่าคนอื่น ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก  แค่นี้เอง”  ชิโนบุชี้ขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ ๆ  “ขึ้นไปบนนั้นน่ะ”

“เอ้า  ก็ได้”  คุเรฮะตกลงเพราะไม่อยากขัดใจคนที่นาน ๆ จะได้ออกจากบ้านเสียทีหนึ่ง

ทั้งคู่เดินตัดขึ้นเนินเขามาตามทางเดินที่ปูลาดด้วยหิน  ริมทางเดินมีต้นซากุระปลูกไว้เรียงรายเป็นระยะแต่ในตอนนี้หมดหน้าซากุระแล้วจึงมีแต่ใบสีเขียวเต็มต้น  อีกด้านหนึ่งของทางเดินเรียงรายไปด้วยสุสานน้อยใหญ่

“นึกว่าจะไปไหน...ที่แท้ก็ขึ้นมาบนสุสานเนี่ยนะ”

“กลัวเหรอ?”  ชิโนบุหันมาถามยิ้ม ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เกาะพราวทั้งใบหน้า  “ไปตรงนั้นอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

คุเรฮะส่ายหน้าแล้วก็เดินตามชิโนบุไปจนถึงยอดเนิน  เรื่องกลัวนั้นเขาไม่กลัวหรอกแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นที่สุสานนี่ด้วย

“ถึงแล้ว  คุเรฮะ  นี่ไง  ที่ที่ฉันอยากอวด”  ชิโนบุผายมือออกไปตรงหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง

คุเรฮะมองลงไปจากยอดเนินนั้นแล้วอ้าปากค้าง  ทิวทัศน์ตรงหน้าคือเมืองของพวกเขาทั้งเมืองซึ่งตอนนี้ต้องแสงแดดยามเย็นของฤดูร้อนย้อมให้กลายเป็นสีส้มแดงสวยงามราวกับจมอยู่ในก้อนอำพัน  สายลมพัดเฉื่อยฉ่ำกระทบกิ่งและใบของต้นซากุระให้ระบัดพลิ้วส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนจะร้องเพลง  ยอดหญ้าลู่เอนตามแรงลมนั้น  ภาพเมืองตรงหน้าเป็นประกายระยับต่างจากที่เคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างสิ้นเชิง

“สวยมั้ย?  สถานที่ลับของฉันเลยนะ”  ชิโนบุหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า

“สวยมาก...นายรู้จักที่นี่ได้ยังไงน่ะ?”  คุเรฮะนั่งลงข้าง ๆ  สายตายังคงจับจ้องไปที่ภาพตรงหน้า

“สุสานของคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่  คุณพ่อแท้ ๆ ของฉันก็ด้วย”  ชิโนบุชี้ไปทางด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย  “ตอนที่ขึ้นมาไหว้สุสานแล้วบังเอิญมองลงไปเห็นน่ะ  ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลินะ  ที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระเลยละ  แถมไม่มีคนด้วยนะ  ฉันยังวางแผนกับจุนเลยว่าจะมานั่งชมดอกไม้ที่นี่กันสักครั้ง”

“ผีหลอกกันพอดี”  คุเรฮะแหย่

“โหย...ถ้าแบบนั้นจะได้ชมดอกไม้กันทั้งครอบครัวเลยไง  ทั้งคุณพ่อฉัน  คุณแม่  แล้วก็คุณพ่อของจุนด้วย  แฮปปี้จะตายไป”  ชิโนบุพูดแล้วก็หัวเราะคิก ๆ ก่อนจะหันไปไหว้สุสาน  “ผมล้อเล่นนะฮะ”

ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับลงทางตะวันตกอย่างช้า ๆ  ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีกเป็นเวลานาน  ปล่อยให้อารมณ์ล่องลอยไปกับสายลมและดื่มด่ำกับความงามของภาพตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ

“ไม่ไปเรียนไวโอลินเหรอ  คุเรฮะ?”  ชิโนบุทำลายความเงียบขึ้น

“โดดแล้ว”  คุเรฮะตอบง่าย ๆ  ทั้งที่ตั้งแต่โดนดุคราวนั้นเขาก็ไม่เคยขาดเรียนอีกเลย  “อยากดูวิวที่นี่มากกว่า”

“แต่เย็นมากแล้ว...กลับกันดีกว่า”  ชิโนบุใช้มือยันพื้นตั้งท่าจะลุกขึ้นแล้วก็อุทานออกมา  “อ๊ะ  มีดอกไม้นี่ด้วย”

“ดอกอะไรเหรอ?”  คุเรฮะก้มลงมือดอกไม้ตรงมือชิโนบุ  มันเป็นดอกไม้เล็ก ๆ สีฟ้าอ่อนหวาน

“ไม่รู้จักเหรอ?”  ชิโนบุย้อนถามแล้วก็ได้รับการส่ายหน้าแทนคำตอบ

“Forget me not…อย่าลืมฉัน”

รอยยิ้มบาง ๆ ที่กลับมาพร้อมคำตอบนั้นถูกอาบไล้ด้วยแสงสลัวของยามพลบค่ำ

...ช่างแสนงดงาม...และแสนเศร้า...

คุเรฮะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง...ทั้งที่ชิโนบุกำลังยิ้มอยู่แท้ ๆ  แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นช่างเศร้านัก...ราวกับว่าในวินาทีต่อมา  คนตรงหน้าเขาจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างนั้นแหละ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
หากชิโนบุไม่ได้ร้องไห้  แต่พูดออกมาเบา ๆ

“คุเรฮะ...ฉันรักคุเรฮะ”

คุเรฮะไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจกับคำพูดนั้น...เขารู้...เพราะที่ผ่านมา  ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย...แต่ละภาพที่ชิโนบุวาด  แต่ละเพลงที่เขาบรรเลงเพื่อชิโนบุ  แต่ละค่ำคืนที่หลับไหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน  แต่ละนาทีที่อยู่ใกล้ชิดกัน...ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากขึ้นทุกขณะ  และแปรเปลี่ยนเป็น  “ความรัก”

...หากเขาไม่เคยพูด  และชิโนบุก็ไม่เคยพูด  จนกระทั่งถึงตอนนี้  ณ สถานที่แห่งความลับของชิโนบุ  ถ้อยคำที่เก็บซ่อนไว้ในหัวใจจึงได้ถูกถ่ายทอดออกมา

คุเรฮะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้  ริมฝีปากบางค่อย ๆ แนบลงกับเรียวปากอิ่ม...นุ่มนวล...แผ่วเบา...และแสนอ่อนหวาน  แม้จะเป็นรอยจูบเพียงผิวเผิน...หากลึกล้ำในความรู้สึก

ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีแดงราวกับจะแผดเผาผืนฟ้า...ความรู้สึกของพวกเขาถูกประทับลงที่นี่

...

จากวันนั้น  คุเรฮะพาชิโนบุไปไหนต่อไหนอยู่บ่อย ๆ  ทั้งไปดูหนังที่ชอบ  ไปกินขนมร้านอร่อย  หรือไปเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนและหนังสือของชิโนบุ  โดยเฉพาะเนินหญ้าท่ามกลางต้นซากุระ...คุเรฮะมักจะไปเล่นไวโอลินให้ชิโนบุฟังเสมอ

ช่วงเวลาแห่งความสุขล่วงเลยผ่านไป  โดยไม่มีใครรู้สึกถึงลางร้ายที่คืบคลานใกล้เข้ามา

“ชิโนบุ  กินข้าวได้แล้ว”  จุนเรียกน้องชายเมื่อทำอาหารเย็นเสร็จ

“อื้อ  จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”  ชิโนบุตอบรับก่อนจะเสียบพู่กันลงในกระป๋องล้างสี  เขากำลังวาดภาพคุเรฮะที่กำลังสีไวโอลินค้างไว้

เด็กหนุ่มมองดูผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ  ไม่รู้ว่าภาพนี้เป็นภาพที่เท่าไรของคุเรฮะแล้ว  ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็วาดภาพของคุเรฮะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้มันคงจะมีจำนวนมากกว่าภาพของจุนที่เขาวาดมาตลอดชีวิตแล้ว

ชิโนบุยิ้มน้อย ๆ กับภาพบนขาตั้งเฟรมแล้วลุกจากเก้าอี้  แต่แล้วเขาก็รู้สึกราวกับสองขาของตนไม่ได้เหยียบยืนอยู่กับพื้น  ราวกับก้าวลงไปในอากาศอันว่างเปล่า  เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้นห้อง  เขาก้มมองขาของตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น  ขาทั้งสองข้างสั่นระริกราวกับเป็นตะคริว...แล้วก็หยุดนิ่ง

ชิโนบุเบิกตากว้าง...เป็นไปไม่ได้...มันไม่น่าจะเร็วขนาดนี้...

“ชิโนบุ  กินข้าว”  จุนเคาะประตูห้องนอนของน้องชายเมื่อเห็นว่าชิโนบุเงียบหายไปนานผิดปกติหลังจากเสียงขานตอบเมื่อครู่
หากไม่มีเสียงตอบจากในห้อง  ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปอย่างสงสัย

“ชิโนบุ?”

ร่างของผู้เป็นน้องชายนั่งนิ่งอยู่บนพื้น  เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสายตาตื่นตระหนก  เสียงที่หลุดจากปากแหบเหือดและไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ

“จุน...ฉันยืนไม่ได้...”

“ชิโนบุ!?”



“ชิโนบุน่ะ  ป่วยมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว  อยู่ ๆ ร่างกายก็เหมือนไม่ฟังคำสั่งจนในที่สุดต้องไปหาหมอ  หมอบอกว่าโรคของชิโนบุเป็นอาการผิดปกติทางกรรมพันธุ์ที่จะทำให้กล้ามเนื้อค่อย ๆ ฝ่อไปทีละน้อย  ทีละส่วน  จนสุดท้ายก็จะเคลื่อนไหวไม่ได้อีกแบบเดียวกับคนเป็นอัมพาต  มันยากเสียจนฉันไม่ค่อยเข้าใจ  เพราะงั้น...แม้ว่าอาการจะยังไม่ปรากฏชัดนักแต่ฉันก็ไม่ไว้ใจให้หมอนั่นไปเป็นอะไรนอกบ้าน  ก็เลยไม่ให้ไปโรงเรียนอีก  ซึ่งหมอนั่นก็เข้าใจดี...ชิโนบุรู้จักร่างกายของตัวเองดีกว่าใคร  อาการมือชาเท้าชาที่เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ได้ทำให้ชิโนบุไว้วางใจเลย  หมอนั่นก็เลยอยู่บ้านมาตลอด...จนกระทั่งนายมา...คุเรฮะ  ชิโนบุอยากออกจากบ้านอีกครั้งเพราะมีนายอยู่ด้วย  แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะ...”  หางเสียงของจุนขาดหายไป  เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วก้มหน้านิ่ง

คุเรฮะนิ่งเงียบ...ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...ชิโนบุเดินไม่ได้แล้ว...มันไม่จริงใช่ไหม  ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้พวกเขายัง...

“แล้ว...จากนี้ไป...”

“อาการก็คงลุกลามไปเรื่อย ๆ ...สุดท้าย...หมอบอกว่า...”  จุนพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ในคอ  เขาเคยรับรู้และพยายามทำใจมาตลอด  แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง  เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจยอมรับความสูญเสียที่ใกล้เข้ามาได้  “...สุดท้าย  ปอดจะหยุดทำงาน  และหัวใจของชิโนบุจะหยุดเต้นไปเอง...ไม่มีทางเป็นอื่น”

เวลานั้นยังมาไม่ถึง  แต่หัวใจสองดวงของคนที่กำลังนั่งคุยกันราวกับจะแหลกสลายลงเป็นผุยผงในนาทีนั้น  คุเรฮะพยายามบังคับมือของตัวเองไม่ให้สั่น  แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย

“ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”

จุนส่ายหน้าช้า ๆ  “เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว  ชิโนบุก็รู้ดีถึงได้ไม่เข้ารับการรักษา...เพื่อที่...จะได้เก็บเงินที่พ่อกับแม่เหลือไว้ให้...ให้ฉัน”

คุเรฮะไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้หรือเปล่า  แต่เขาเห็นหยาดน้ำตาที่จุนพยายามซ่อนเอาไว้หยดลงบนโต๊ะ...น้ำตาของผู้ชายที่ผ่านการสูญเสียมาครั้งแล้วครั้งเล่า  จุนไม่ยอมเรียนต่อทั้งที่สามารถเรียนได้เพื่อที่จะได้มีเวลามากพอที่จะดูแลน้องชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่  ไม่ยอมย้ายออกไปอยู่คนเดียวเพื่อจะได้อยู่เคียงข้างชิโนบุจนถึงที่สุด...ทั้งที่จะผลักภาระนี้ให้พ้นตัวก็ได้  แต่ก็ไม่ทำ...เพื่อที่ชิโนบุจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ร่างเพรียวก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย  คนที่นอนอยู่บนเตียงละสายตาจากท้องฟ้าที่มองเห็นจากหน้าต่างหันมามอง  ริมฝีปากอิ่มคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ  แม้สีหน้าจะยังซีดเซียว  แต่ชิโนบุทำใจได้เร็วเหลือเกิน

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ  คุเรฮะ  ฉันยังไม่เป็นอะไรเสียหน่อย  แค่เดินไม่ได้เท่านั้นเอง  ยังนั่งรถเข็นได้นะ”  คนป่วยเสียอีกที่เป็นฝ่ายให้กำลังใจ

คุเรฮะเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง  ยกมือข้างหนึ่งของคนรักขึ้นมากุมไว้แน่น  จ้องมองชิโนบุด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

“ไม่ใช่ความผิดของคุเรฮะหรอกนะ  สักวันมันต้องเกิดขึ้น...ฉันแค่ไม่ได้บอกคุเรฮะ  เพราะฉันไม่อยากให้คุเรฮะเป็นกังวลเหมือนที่จุนเป็น”  ชิโนบุพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ ตามนิสัยก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นอีก  “นี่ไง  ฉันยังขยับมือได้  ยังวาดรูปได้นะ...แล้วก็ยังฟังคุเรฮะเล่นไวโอลินได้ด้วย”

คุเรฮะทำได้แค่พยักหน้า

“เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านไปแล้ว  ฉันจะไปวาดภาพของคุเรฮะต่อ  ภาพของจุนด้วย  พอมีภาพของทั้งสองคนเท่า ๆ กันแล้ว  เราก็จัดนิทรรศการกันนะ  ต้องรีบแล้วหละ  ขืนช้ากว่านี้เดี๋ยวฉันกล่าวเปิดงานไม่ไหวกันพอดี”

“นาย...พูดมากจัง...”

“ก็ซ้อมไว้  เผื่อตอนกล่าวเปิดนิทรรศการไง”  ชิโนบุพูดพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ

คำพูดของชิโนบุทำให้คุเรฮะอดหัวเราะด้วยไม่ได้...แม้จะเป็นการหัวเราะที่แสนขมขื่น...แต่ในเมื่อชิโนบุยังไม่ถอดใจ  แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องยอมแพ้ด้วย

...

อาการของชิโนบุลุกลามไปอย่างช้า ๆ อย่างที่หมอบอก  แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าตกใจเท่ากับอาการเฉียบพลันในตอนแรก  ทำให้จุนและคุเรฮะค่อยวางใจ

ชิโนบุใช้เวลาทั้งวันบนเก้าอี้รถเข็นเพื่อวาดภาพของจุนและคุเรฮะตามที่บอกไว้  ภาพแล้วภาพเล่า...แต่ในระยะหลังนี้คุเรฮะแทบไม่มีเวลามาพบชิโนบุเลย  เพราะเขาต้องซ้อมไวโอลินอย่างหนักเพื่อไปแข่งขันระดับนานาชาติ

“ฉันไม่อยากไปเลย  ไอ้การแข่งขันนี่มันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเสียหน่อย  มันสำคัญแค่กับพ่อแล้วก็อาจารย์เท่านั้นแหละ”  คุเรฮะบ่นอย่างอารมณ์เสีย

“แต่คุเรฮะเคยบอกว่าอยากเป็นนักไวโอลินระดับโลกนี่นา  นี่เป็นก้าวสำคัญนะ”  ชิโนบุพูดพลางเกลี่ยสีบนผืนผ้าใบ

“แต่ฉันอยากอยู่กับนายมากกว่า”

“ก็อยู่ด้วยแล้วนี่ไง...เต็มเลย”  ชิโนบุใช้พู่กันชี้กวาดไปรอบ ๆ ห้องที่มีภาพของคุเรฮะวางระเกะระกะเต็มไปหมด  จนถึงตอนนี้ต้องมีบางภาพระเห็จออกไปอยู่ที่ห้องโถงบ้างแล้ว

“กี่ร้อยภาพแล้วเนี่ย?...”  คุเรฮะพึมพำกับตัวเอง

“ยังไม่ถึงร้อยเสียหน่อย  ภาพของจุนกับคุเรฮะรวมกันยังได้ไม่ถึงร้อยเลย”

“จะว่าไป...นายไม่เคยเอาฉันเป็นต้นแบบเลยนะ  แล้ววาดได้ไง?”

“ก็...”  ชิโนบุหันมามองหน้าคนรัก  “ภาพของคุเรฮะน่ะมันอยู่ในหัวฉันอยู่แล้ว  จะต้องใช้แบบไปทำไม”

“ขนาดนั้นเลย?”  คุเรฮะลุกไปโอบกอดร่างบางที่นั่งอยู่บนรถเข็นจากทางด้านหลัง

“ขนาดนั้นแหละ...ทุกอย่างที่เป็นคุเรฮะ...ทุกอย่างที่เป็นจุน  ฉันจำได้ทุกอย่าง  เพราะทั้งสองคนเป็นคนที่สำคัญที่สุดของฉัน”  เด็กหนุ่มเอนศีรษะพิงกับอกของคุเรฮะ  “คุเรฮะจะแข่งเมื่อไหร่นะ?”

“อีกสามเดือน  ที่ฝรั่งเศส”

“เหรอ  งั้น...พอคุเรฮะกลับมาแล้วเราจัดนิทรรศการกันนะ”  ชิโนบุบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง

“โอเค  จะเอาเงินรางวัลมาเป็นสปอนเซอร์ใหญ่สำหรับจัดงานให้นะ”

“เอารางวัลที่หนึ่งเลยนะ”

“อื้ม”

...อีกสามเดือน...ยังมีเวลาเหลือพอไหม...เขาวาดภาพได้ช้าลงทุกที  มือของเขาเริ่มไม่ยอมขยับตามที่เขาต้องการแล้ว  มันจะเชื่อฟังเขาได้อีกนานแค่ไหน...จะวาดภาพของคุเรฮะได้อีกสักกี่ภาพ...

...

“การแข่งไวโอลินนี่กินเวลาแค่ไหนนะ?”  จุนถามขึ้นในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องของชิโนบุ  เขาเลิกทำงานพิเศษทุกอย่างและคอยดูแลชิโนบุที่เริ่มช่วยตัวเองได้น้อยลงตลอดเวลา

“เห็นบอกว่าอาทิตย์นึงได้น่ะ”  ชิโนบุตอบ  เขาลากพู่กันไปบนภาพอย่างยากลำบาก

อาการป่วยลุกลามขึ้นมามากขึ้นทุกที  มีเพียงจุนเท่านั้นที่รู้...ชิโนบุลุกขึ้นนั่งเองไม่ได้แล้ว  และสองแขนก็อ่อนล้าลงทุกที  หากเจ้าตัวยังฝืนทนลุกขึ้นมานั่งวาดภาพทุกวัน...ภาพของคุเรฮะภาพนี้ใช้เวลาวาดมากว่าสองอาทิตย์แล้ว...และมันยังไม่เสร็จ

“เหงาแย่เลยสิ  ไม่มีเสียงไวโอลินให้ฟังเสียด้วย”

ชิโนบุเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า

“จุนต่างหากที่เหงาน่ะ”

จุนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ  “ฉันเนี่ยนะ  เหงา...คนที่เหงาเพราะคุเรฮะไม่อยู่น่ะมันนายต่างหาก  ชิโนบุ”

“ไม่หรอก  ฉันอยู่กับคุเรฮะมามากพอแล้ว  ฉันไม่เหงาหรอก  แต่จุนน่ะ...”  ชิโนบุพูดต่อโดยไม่หันมามอง  “จุนน่ะ...ก็รักคุเรฮะเหมือนกันใช่มั้ย?”

“ชิโนบุ!?”

“อย่าเถียงฉัน  จุน...ฉันเห็นมาตลอดนะ  สายตาของจุนที่มองคุเรฮะน่ะ...อยากอยู่ใกล้ให้มากกว่านี้  อยากพูดคุยด้วยมากกว่านี้  แต่เพราะมีฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะ  จุนถึงได้กันตัวเองไว้ห่าง ๆ “

“เรื่องนั้นมัน...”

“ฉันเพิ่งนึกออก  คุเรฮะใช่มั้ยที่จุนเคยพูดให้ฟังเมื่อตอนเรียน ม. ปลายน่ะ  ที่ว่ามีรุ่นน้องที่น่ารักคนหนึ่งเห็นแล้วก็อยากจีบแต่จีบไม่ได้เพราะดันเป็นผู้ชายน่ะ...ใช่หรือเปล่า  ฉันเดาไม่ผิดใช่มั้ย?”  น้ำเสียงของชิโนบุเหมือนจะมีเสียงหัวเราะน้อย ๆ แทรกมาด้วย  เสียงนั้นดูมีความสุขกับความหลังที่ได้นึกถึง  “ถ้าจุนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองกว่านี้อีกนิดนะ  จุนคงได้คุเรฮะเป็นแฟนแล้วหละ”

“หมอนั่นรักนายนะ  ชิโนบุ”

“อื้อ  ฉันรู้  ฉันเองก็รักคุเรฮะมากเหมือนกัน  แต่ว่านะจุน...”  เสียงของผู้เป็นน้องชายแผ่วลง  “จากนี้ไป...ฉันอยากให้จุนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง  แล้วรักคุเรฮะให้ได้อย่างที่ฉันรัก  ได้หรือเปล่า?”

“พูดอะไรของนายน่ะ  นายก็รักเข้าไปเซ่  คุเรฮะเป็นของนายไม่ใช่หรือไง  จะมายกให้ฉันทำบ้าอะไร”  จุนวางหนังสือลงข้างตัว

“ถ้าจะมีใครที่ฉันไว้ใจอยากยกคุเรฮะให้...คนคนนั้นก็มีแต่จุนเท่านั้นแหละ  เพราะฉันรู้ว่าจุนสามารถรักคุเรฮะได้มากเท่าที่ฉันรัก...หรืออาจจะมากกว่าที่ฉันรัก  ใช่มั้ย”

“อย่ามาพูดอะไรพิลึก ๆ แบบนี้นะ  ชิโนบุ”  จุนพูดด้วยเสียงเข้ม ๆ

“ในตอนที่ฉันไม่อยู่แล้ว...จุนจะดูแลคุเรฮะให้ใช่มั้ย...”

“ชิโนบุ...?”

“...ในตอนที่ฉันไม่อยู่แล้ว...”

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2
น้ำเสียงสั่นพร่า  พู่กันพลัดหลุดจากมือพร้อมหยาดน้ำตา  ชิโนบุได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายร้องเรียก  อ้อมแขนแกร่งประคองร่างของเขาไว้  แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว...แขนของเขาไม่เคลื่อนไหว...นิ้วของเขาไม่ขยับ  ร่างกายของเขาไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว...ขอเวลาอีกนิดไม่ได้หรือ  คุเรฮะยังไม่กลับมาเลย...พวกเขายังไม่ได้จัดนิทรรศการด้วยกันเลย...เขายังวาดภาพของคุเรฮะไม่เสร็จเลย

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ใสราวกับลูกแก้วเอ่อท้นด้วยหยดน้ำใส ๆ ที่ค่อย ๆ ไหลรินลงอาบแก้ม...ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังภาพที่วาดค้างไว้บนเฟรม...รอยยิ้มของคุเรฮะ...รอยยิ้มที่ไม่ต้องมีต้นแบบก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมออยู่แล้ว...แต่ตอนนี้...เขาอยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง  รอยยิ้มของคุเรฮะตัวจริง...ไม่ใช่จากภาพบนเฟรม...

...

เสียงโทรศัพท์ที่ปลายสายดังขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีคนรับสายจนคนโทรชักหงุดหงิด  จนเมื่อคิดจะวางสายก็พอดีมีเสียงตอบกลับมา

“โมชิโมชิ...”

“ชิโนบุ!  ฉันทำได้แล้วนะ  ฉันชนะการแข่งขันแล้ว!”  คุเรฮะพูดกรอกลงไปในหูโทรศัพท์ด้วยความยินดี  หากปลายสายเงียบงันไป  “...ชิโนบุ?”

“คุเรฮะ...”

“เอ๊ะ...จุนเหรอ?”  เสียงจากปลายสายดูแปลกไปจนคุเรฮะเอะใจ  “จุน  เกิดอะไรขึ้น?”

“ชิโนบุน่ะ...”

คุเรฮะปล่อยหูโทรศัพท์หลุดมือหลังจากได้รับข่าวร้าย...เขาต้องกลับไป...เดี๋ยวนี้!

...

“มันเร็วเหลือเกิน...ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้”  ร่างสูงเปิดประตูห้องผู้ป่วยพิเศษให้ร่างเพรียวก้าวเข้าไป  คุเรฮะเพิ่งบินกลับจากฝรั่งเศสมาถึงเดี๋ยวนี้เอง

นักดนตรีหนุ่มก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง  ใบหน้าเรียวซีดเผือดราวกับคนไร้ชีวิต...ร่างของผู้เป็นที่รักนอนนิ่งอยู่บนเตียง  มีเครื่องช่วยหายใจและสายอะไรต่อมิอะไรเชื่อมต่อระโยงระยาง...ทั้งหมดมีไว้เพื่อยื้อชีวิตของชิโนบุ  เขาทรุดตัวลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเอื้อมมือไปกุมมือผอมซูบที่วางอยู่ข้างตัวเบา ๆ...มือนั้นยังมีสีที่ใช้วาดรูปติดอยู่เลย...มันผอมลงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

ดวงตาของร่างที่นอนอยู่ปรอยปรือขึ้นอย่างล้าแรง  ค่อย ๆ กรอกไปจับจ้องคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงช้า ๆ  ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม...รอยยิ้มนั้นสดใสเหมือนท้องฟ้ากลางฤดูร้อนที่อยู่นอกหน้าต่าง...หากอ่อนล้าเหลือเกิน...ชิโนบุพยายามขยับริมฝีปากเพื่อจะเอ่ยอะไรบางอย่าง  มันสั่นระริก...หากไม่มีเสียงใด ๆ ลอดออกมา

...เหลือเวลาอีกเท่าไร...ก่อนหัวใจจะหยุดเต้น...

ชิโนบุพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า  ทว่าไร้ผล...เขาอยากเรียกชื่อของผู้เป็นที่รักอีกสักครั้ง  อยากบอกให้ยิ้มให้เขา...อยากบอกว่าอย่าร้องไห้เพื่อเขาเลย...เขาจะหลุดพ้นจากความทรมานนี้ในอีกไม่ช้าแล้ว

“พอแล้ว...ชิโนบุ...ไม่ต้องพยายามแล้ว...ฉันเข้าใจ...”  หยาดน้ำตาหยดลงบนหลังมือที่ยกขึ้นมากุมไว้แน่น

ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน...ชิโนบุไม่รู้ว่าเพราะน้ำตาหรือเพราะดวงตาของเขากำลังอ่อนแรงลงทุกที...อย่าเพิ่งเป็นตอนนี้เลย  เขายังอยากเห็นหน้าของคุเรฮะให้นานกว่านี้อีกนิด...จุนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นก็ด้วย...เขาอยากเห็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาทั้งสองคนให้นานกว่านี้อีกนิด  เพื่อที่ภาพของทั้งสองจะได้ติดไปในความทรงจำแม้ในยามที่เขาได้พ้นไปจากร่างนี้แล้ว

ริมฝีปากขมุบขมิบเบา ๆ หากไม่มีเสียง...เขาทำได้เท่านี้เอง...ทำได้แค่เรียกชื่อของผู้เป็นที่รักอยู่ในใจ

...จุน...คุเรฮะ...

...คุเรฮะ...

มือหยาบใหญ่ของผู้เป็นพี่ชายลูบลงบนผมนิ่มแผ่วเบา  มือนั้นยังอบอุ่นเสมอแม้ในตอนนี้...มันสั่นน้อย ๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่อาจควบคุมได้...เป็นแรงสะท้านจากความสูญเสียที่คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะจิต

“ไม่ต้องห่วง...ชิโนบุ...ฉันจะรักหมอนี่ให้ได้...มากกว่าที่นายรัก”

เสียงของพี่ชายราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล...เขารู้ว่าพี่ชายจะไม่มีวันผิดสัญญา...

...ยิ้มให้ฉันหน่อย...คุเรฮะ...

...อย่าลืมฉันนะ...

...คุเรฮะ...

“ชิโนบุ...ฉันรักนาย  รักนายมากที่สุด...ฉันอยากอยู่กับนายมากกว่านี้...”  เสียงสั่นพร่าปนมากับเสียงสะอื้น  “ถ้าย้อนเวลากลับได้...ฉันอยากอยู่ข้าง ๆ นายมากกว่า...มากกว่าจะไปไล่คว้าความฝัน...นายสำคัญยิ่งกว่าความฝันไหน ๆ...ฉันรักนาย...ได้ยินหรือเปล่า...ฉันรักนาย”

ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม...หากภาพตรงหน้ามืดมัวเหลือเกิน...คุเรฮะกำลังยิ้มใช่ไหม...ในที่สุดก็ไม่ร้องไห้แล้วใช่ไหม...เสียงของคุเรฮะราวกับจะห่างไกลออกไปอีก  แต่เขาได้ยินชัดเจน...

“ฉันรักนาย”

ชิโนบุระบายลมหายใจยาว  ดวงตาสีน้ำตาลที่ใสเหมือนลูกแก้วค่อย ๆ ปิดพริ้มลง

...เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...

...

สิบกว่าปีผ่านไปแล้ว  คุเรฮะประสบความสำเร็จในชีวิตในฐานะนักดนตรีและนักแต่งเพลงระดับโลกด้วยวัยไม่ถึงสามสิบปี  เป็นความสำเร็จที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้...หากความสูญเสียในครั้งนั้นกลายเป็นช่องว่างที่ไม่มีวันถมได้เต็ม...ไม่มีใครมาแทนที่ชิโนบุได้

“นายหายตัวไปตั้งแต่วันนั้น  แต่ฉันก็รู้ว่านายมาที่นี่ทุกปี...แต่ไม่เคยได้เจอนายเลย”  จุนพูดเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนผู้ที่หลับไหลอยู่ ณ ที่นั้น

“ไม่เจอ...ก็ดีแล้ว”  คุเรฮะตอบพลางเช็ดน้ำตา

หลังจากสูญเสียชิโนบุไป  คุเรฮะเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่พักใหญ่  พ่อกับแม่ต้องพาเขาย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพื่อให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่จะทำให้คิดถึงชิโนบุ...ก่อนที่ความเสียใจนั้นจะทำลายเขาตามไปด้วย  แม้กระนั้นเขาก็เข้าออกโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน  ถึงตอนนี้เขาจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว  แต่ทุกครั้งที่คิดถึงความหลังที่มีร่วมกันแล้ว...หัวใจก็ราวกับเสียศูนย์

เขาสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง  ไม่เปิดรับใครเข้ามาในชีวิต  ขีดเส้นแบ่งโลกส่วนตัวไม่ให้ใครเข้ามาล่วงล้ำ...ไม่เปิดหัวใจให้ใครอีกเลย...ไม่อาจกลับไปเป็นคุเรฮะคนเดิมได้อีก

แม้จะกลับมาที่นี่ทุกปี  แต่ก็ไม่เคยกลับไปยังที่ที่มีความทรงจำที่เขามีร่วมกับชิโนบุ...เขาไม่มีความกล้าพอ

ไม่กล้า...แม้แต่จะไปเจอหน้าจุน...ผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีความทรงจำร่วมกับเขา

“ถ้าตอนนั้นฉันไม่ไปแข่งไวโอลิน...ถ้าฉันอยู่ด้วย...”  คุเรฮะพึมพำขึ้นเบา ๆ

“เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้  คุเรฮะ...ชิโนบุไม่อยู่แล้ว  นี่คือความจริง”

“แต่...”

“นายหนีความจริงมาตลอดสิบกว่าปีมานี้...จนลืมสัญญาที่ให้ไว้กับชิโนบุ”

“สัญญา...?”

“ลืมแล้วจริง ๆ เหรอ  คุเรฮะ?”  จุนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต  หยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ออกมายื่นให้คุเรฮะ
มือเรียวรับมันมาพลิกเปิดไปทีละหน้าอย่างช้า ๆ ...บันทึกของชิโนบุ...

น้ำตาหลั่งรินลงมาอีกครั้ง...ไม่มีตรงไหนเลยที่ชิโนบุเขียนถึงความทรมานจากความเจ็บป่วยเอาไว้  ทุกหน้าทุกตอนมีเพียงความทรงจำที่แสนสุข  แม้ลายมือที่เขียนจะอ่านยากเพราะชิโนบุได้พยายามบังคับมือของตัวเองอย่างเต็มที่ให้มันไม่สั่น


“คุเรฮะตกลงว่าจะจัดนิทรรศการกับฉันหลังจากกลับจากฝรั่งเศสแล้ว  ไม่ต้องชนะกลับมาก็ได้  เงินน่ะมีเหลือเฟือแล้ว  ขอแค่คุเรฮะกลับมาช่วยจัดงานก็พอ  ฉันอยากอวดคนรักของฉันให้ทุกคนรู้จัก”


...นี่สินะ  สัญญา...

ในหน้าสุดท้าย  มีข้อความสั้น ๆ เพียงไม่กี่บรรทัดที่ชิโนบุได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเขียนมัน


“หลักฐานของการมีชีวิตอยู่ของฉัน...คือความรักครั้งนี้”

“ฉันรักคุเรฮะนะ”


คุเรฮะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร...เขาทำอะไรไม่ได้เลย  เขารักษาสัญญาไว้ไม่ได้  ไม่สามารถปกป้องสิ่งมีค่าใด ๆ ในชีวิตไว้ได้เลย...ทั้งที่รักมากถึงขนาดนี้...แต่เขากลับเอาแต่ฝังตัวเองไว้ในความเศร้าจนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...ทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรเพื่อชิโนบุเลย

จุนโอบร่างเพรียวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไว้แนบอก  ลูบผมเบา ๆ เหมือนที่เคยทำให้น้องชายตัวน้อย

“อย่าร้องไห้อีกเลย  นายร้องมามากพอแล้ว...เรามาทำตามสัญญาของนายดีกว่ามั้ย?”

“...จัด...นิทรรศการน่ะเหรอ?”

“ใช่  ฉันหาแกลเลอรี่เอาไว้แล้ว  หาไว้นานแล้ว  แต่ขาดสปอนเซอร์รายใหญ่เพราะหาตัวไม่เจอ”

“หมายถึงฉัน...?”  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง

“แน่หละ  ฉันจะจัดนิทรรศการของชิโนบุได้ยังไงในเมื่อไม่มีนาย  จะตอบคนดูได้ยังไงว่าคนในภาพอีกครึ่งนึงของนิทรรศการเป็นใคร  ในเมื่อนายไม่อยู่น่ะ”  มือใหญ่เกลี่ยปอยผมที่ระลงมาบนใบหน้าและเช็ดน้ำตาให้  ”ฉันทำตามสัญญาของฉันได้แล้ว  เหลือแต่สัญญาของนายนั่นแหละ”

“สัญญาของจุน...อะไรเหรอ?”  มันไม่ได้มีแต่เรื่องนิทรรศการหรือไง

“สัญญาส่วนตัวของฉันกับชิโนบุ  ว่าจะรักนายให้ได้มากกว่าที่ชิโนบุเคยรัก”

คุเรฮะนิ่งอึ้งไป...นี่มันหน้าหลุมศพของชิโนบุนะ...เรื่องแบบนี้...

“ฉันทำสำเร็จแล้ว  เพราะจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรักนายอยู่  ใช้เวลาที่จะรักนายนานกว่าที่ชิโนบุเคยรักตั้งหลายเท่า...อ๊ะ  ไม่ต้องตอบอะไรก็ได้  ในสัญญาไม่ได้บอกว่านายจะต้องรักฉันตอบ”  จุนใช้นิ้วแตะริมฝีปากบางเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเอ่ยปากพูด  “นายไม่จำเป็นต้องรักฉัน  แต่จากนี้ไปขอให้ฉันทำสัญญาให้สมบูรณ์เสียทีได้มั้ย...ฉันยังต้องดูแลนายไปตลอดชีวิตอีกอย่างนึง...ให้ฉันอยู่กับนายได้มั้ย?”

ท่ามกลางกลีบซากุระที่โปรยปราย  ไม่มีคำตอบให้กับคำถามสุดท้ายนั้น  นอกจากน้ำตาที่ไหลรินและอ้อมกอดที่กระชับแน่น

สายลมพัดผ่านยอดหญ้าให้เอนไหว  เกิดเป็นสำเนียงราวกับเสียงกระซิบเมื่อวันนั้นได้หวนคืนมา


“คุเรฮะ...ฉันรักคุเรฮะ”

...

เดินข้ามผ่านท้องฟ้าสีครามกับเนินเขา  ตอนนี้ยังคงมองเห็นบ้านเกิดของเธอ
เธอผู้ไร้เดียงสาเมื่อสมัยที่วิ่งอย่างร่าเริงกลางทุ่งหญ้าไม่อยู่แล้วหรือ
เธอผู้แสนมีค่าที่เคยเกาะกุมมือกันไว้ไม่อยู่แล้วหรือ
เธอผู้ซึ่งไม่เคยเอ่ยถึงความเหงาไม่ว่าเวลาใดไม่อยู่แล้วหรือ

จะเอ่ยคำพูดใดได้
สิ่งมีค่าใดๆ ที่คงอยู่
จะไม่ปล่อยให้หายไป ตราบเท่าที่ยังหายใจ
แม้ในตอนนี้ก็ไม่อาจปกป้องใครได้เลยหรือ

อยากอยู่ด้วยกันบนแผ่นดินนี้ มากกว่าใช้ชีวิตไปเพื่อไขว่คว้าฝัน
กลางสายลมที่สดใส อยากพบเธอเหลือเกิน
ปรารถนาจะเดินไปด้วยกันบนถนนแห่งความเป็นจริง

เพื่อจะได้ไม่เสียใจกับฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เคยหวนมา จะไม่ละทิ้งเรื่องราวของตัวเองไปไช่ไหม
อยากมุ่งตรงกลับไปสู่ช่วงเวลานั้น เธอไม่อยู่แล้วหรือ

เธอไม่อยู่แล้วหรือ
คนคนนั้น เธอคนนั้น
เธอที่แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ยังเชื่อมั่น ไม่อยู่แล้วหรือ
เธอที่แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ยังรัก ไม่อยู่แล้วหรือ
ไม่มีเธออยู่แล้วหรือ

Kimi wa inai ka
TOSHI : X JAPAN

...

ได้ไอเดียมาจากเพลงนี้น่ะครับ
แด่ทุกความรักบนโลกนี้ครับ

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
น้ำตาตกในหัวใจ :impress3:

LUCKY STAR

  • บุคคลทั่วไป

อยากบอกว่าคนเขียนเก่งมากเลยค่ะ
ติดตามอ่านมาทุกเรื่องและชอบทุกเรื่อง

แต่เรื่องแนวนี้กลับไม่ค่อยจะมีใครสนใจเท่าไหร่
ทีเรื่องน้ำเน่าหวานเลี่ยนจนจะอ้วกแถมพล็อตก็ซ้ำๆเดิมๆ
กลับมีคนอ่านเยอะมาก---ตลกดีนะคะ

ยังไงก็ต้องขอบคุณคนเขียนนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
+ เป็ดแรกค่ะ

 :L1:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ไม่นึกว่าจะต้องมาอ่านนิยาแกล้มน้ำตา :monkeysad:หลังวันวาเลนไทน์
เป็นเรื่องสั้นที่เนื้อหากระชับลงตัวมากจ้ะ
เป็นการใช้ภาษาง่ายๆ แต่ให้จินตภาพแจ่มชัดและสะเทือนอารมณ์สุดเลย
ต้องให้ทั้งเป็ดและ+กับคนเขียนแล้วล่ะ
 :m12:ยกนิ้วให้ด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2012 15:56:32 โดย yayee2 »

ชั่วกาล

  • บุคคลทั่วไป
เจ๋งอ่ะ แอร๊ๆๆๆๆๆ
เขียนได้ดีมากเลย ชอบจังอ่ะครับ
เศร้ามาก ความรู้สึกเนื้อเรื่องมันบีบรัดหัวใจมาก
บรรยากาศหนาวๆ เศร้าๆ เย็นๆ จนสัมผัสได้เลยน่ะ

สู้ๆ นะครับ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ยังไงๆ ก็ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกนะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีรักครั้งใหม่ไม่ได้ เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
รักแรกที่งดงามแม้ต้องตายจากกัน แต่เก็บไว้เป็นความทรงจำได้ไม่มีวันตาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1567
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-2
It's just....another form of love.
No one understsnd but people who are.

โรคเดียวกับเรื่อง บันทึกน้ำตา๑ลิตรเลย สิ่งที่น่าสงสาร(หรืออาจเป็นความโชคดี)ของคนป่วยโลกนี้ คือ แม้ร่างกายจะเสื่อมถอย แต่สมองรับรู้ทุกอย่าง ความสุ เศร้า เหงา การเปลี่ยนแปลง มิตรภาพ ความดี ความชั่ว สิ่งสวยงาม รับรู้หมด แต่ร่างกายนะนับถอยหลังตามนาฬิกาทรายเลย

เรื่องนี้ก็แปลกดีนะ เราอ่านแล้ว เรารู้สึกถึง สี แสง ความสวยงามของบรรยากาศเป็นฉากๆเลย ห้องของชิโนบุน่ะ สวยมาก แต่ฉากที่เห็นเมืองน่ะ สวยกว่า
สงสัยเราจะคอเดียวกัน...เนอะ

ออฟไลน์ KOKURO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 331
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-2

เรื่องนี้ก็แปลกดีนะ เราอ่านแล้ว เรารู้สึกถึง สี แสง ความสวยงามของบรรยากาศเป็นฉากๆเลย ห้องของชิโนบุน่ะ สวยมาก แต่ฉากที่เห็นเมืองน่ะ สวยกว่า
สงสัยเราจะคอเดียวกัน...เนอะ

ดีใจที่คุณจิกิเห็นแบบนั้นครับ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ผมตั้งใจเขียนให้เห็นภาพอย่างนั้นเลย
มาสเตอร์พีซของเรื่องสั้นของผมเลยละครับ

ออฟไลน์ pedgampong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :m15: เศร้าใจ

ออฟไลน์ witchhound

  • เบื่อ เบื่ออ เบื่อออ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
ชอบหมดทุกอย่างเลย

ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
น้ำตาท่วมจอ
 :sad4:

รัตติกาล

  • บุคคลทั่วไป
ผลงานของคุณ KOKURO มีแต่เรื่องเศร้าๆ เป็นส่วนมากนะฮับ
แต่ถึงจะเศร้ายังไงผมก็ชอบ
 :mew4:

-Blackcloud-

  • บุคคลทั่วไป
ชอบค่ะ น้ำตาไหลกันเลยทีเดียว :mew6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด