Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)  (อ่าน 681758 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
91
พระอาทิตย์ขึ้น
[กาย...♥]

 


ผมไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่กี่อาทิตย์ก่อน ผมได้สูญเสียพี่เอกไป แต่มาอาทิตย์นี้ ผมได้พี่เอกกลับคืน ผมนั่งยิ้ม มองภาพพระอาทิตย์ยามเช้าที่ถ่ายเอาไว้ล่าสุดอยู่บนโซฟาในห้องพี่เอก
 

“ยิ้มอะไร”
พี่มันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ

“ภาพพระอาทิตย์ขึ้นน่ะ สวยดี”

พี่มันมองภาพที่ผมมองอยู่

“สวยดีแฮะ…” แล้วทำท่าคิด “จะว่าไปแล้ว เรายังไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันมาก่อนเลยนี่นา มีแต่ดูพระอาทิตย์ตก”

ผมหันไปยิ้มเห็นด้วย

“งั้นเราน่าจะหาเวลาว่างไปเที่ยวกันบ้างดีกว่า พี่อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับกายเหมือนกัน”

ผมยิ้มแป้น จุ๊บปากพี่มันไปที

ทำแล้วก็รีบก้มหน้า เผลอครับ ดีใจทีไร เผลอตัวทำเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย

“กาย”
พี่มันเรียก ผมไม่ได้มอง นั่งก้มหน้าเอาตาจ่อไว้ที่ภาพพระอาทิตย์นั่นแหละ
 
“กาย”
พี่มันเรียกอีกที ผมจำต้องเงยหน้ามอง พี่มันฉีกยิ้มกว้าง

“เอาแบบเมื่อกี้นี้อีกทีได้ไหม”

ผมนั่งหน้าร้อน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“กายง่ะ”
พี่มันทำเสียงหงุงหงิง

ผมกัดปากแน่น รีบหลับหูหลับตาจุ๊บปากพี่มันไปที

“หอมแก้มด้วยสิ”
พี่มันอ้อนอีก

มึง ได้คืบจะเอาศอกนะ
 
ผมหอมแก้มตามคำที่พี่มันขอ

“อีกข้าง”
พี่มันเอียงหน้ามาให้หอมอีกข้าง ผมก็ทำตาม พี่มันยิ้มแป้น รวบผมเข้าไปกอด หอมแก้มลงมาฟอดใหญ่จนแก้มผมบี้

“เมียพี่น่ารักที่สุด”
แล้วพี่มันก็หอมย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ

“เบา ๆ หน่อยพี่เอก แก้มช้ำหมดแล้ว”
ผมจับหน้าตัวเองไว้ไม่ให้พี่มันหอมอีก

“อ้าวเหรอ งั้นพี่จะหอมเบา ๆ ละกัน”
พี่มันทำหน้าเหรอหราก่อนทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก้มแตะปากกับแก้มผมเบา ๆ รุกคืบไปทีละจุด

เอ่อ…

กูเปลี่ยนใจ เอาแรง ๆ แบบเมื่อกี้นี้ดีกว่า ถึงจะเจ็บ แต่ไม่สยิวแบบนี้ พี่มันยังไม่หยุดหอมแก้มผมเบา ๆ ราวกับจะกลั่นแกล้ง

“พอ…พี่เอก”

“อะไรกัน พี่ยังหอมไม่หนำใจเลย”

มึง หอมกันแบบนี้ มาฟัดกูเลยดีกว่าไหม

อะจ๊ากกก!!!

ผมแค่คิดครับ ไม่คิดว่าพี่มันจะทำจริง ๆ พี่มันดันผมนอนลงบนโซฟา แล้วคร่อมทับลงมาอีกที แล้วหลังจากนั้นก็…

เซ็นเซอร์ครับ

แม่ม แฟนใครวะ หื่นจริง ๆ

 












 


“เป็นไรเต้ย”
ผมทักเพราะเห็นมันนั่งเหม่อแบบนี้มาหลายวันแล้ว

“กาย กูไม่ได้เป็นเกย์นะ แต่กูคิดว่า นอกจากพี่เป้แล้ว กูกำลังชอบผู้ชายคนหนึ่งอยู่ว่ะ”

“ใคร”

“กูไม่รู้ บังเอิญเจอกันในเน็ต”

“มึง พวกที่มาผ่านเน็ต ไว้ใจไม่ค่อยได้นะเว้ย”
ผมรีบเตือน

“กูรู้ กูก็แค่เข้าไปคุยเล่น ๆ แต่กูกับเขาดันคุยกันถูกคอซะนี่”

“เขาเป็นเกย์?”

“เปล่า ชายแท้ แต่ดันมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เลยยิ่งคุยกันถูกคอเข้าไปใหญ่”
มันเล่าแบบเพ้อ ๆ ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“ถ้าดีก็ขอให้มึงสมหวังละกัน จะชายหรือหญิง ถ้าทำให้มึงมีความสุขและตัดใจจากพี่มึงได้ กูก็ยินดีทั้งนั้น”

มันพยักหน้าแล้วกลับไปนั่งเหม่อต่อ

 

 




 

 

อาทิตย์นี้พวกเราตกลงจะไปเดินป่ากัน นำทีมโดยคุณแม่สุดสวย และ…

แม่ม

มากันยกยวงอีกแล้ว นี่ตกลงจะไปไหนก็ต้องไปกันเยอะ ๆ ใช่ไหมเนี่ย ตอนแรกผมจะไปกับพ่อแม่ ไอ้เต้ยแล้วก็พี่เอก แต่พวกพี่ ๆ มันอยากไปด้วยครับ

จากรถเก๋งบ้านธรรมดา เราเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นรถตู้แทน ขาดพี่เป้ไปแต่ได้มาเพิ่มคนหนึ่ง

พี่เก่งนั่นเอง

พอดีพี่แกชอบเดินป่า พอรู้ว่าพวกผมจะมา แกเลยขอติดมาด้วย (แกเป็นลูกป่าลูกเขามาก่อนน่ะ) ปกติพี่เก่งเป็นคนที่ทำงานหนักกว่าใครเพื่อนอยู่แล้ว (ทำงานเหมือนเป็นร้านตัวเองมากมาย) ผมเลยอนุญาตให้พี่มันมาด้วยได้

“เอาล่ะทุกคน สู้โว้ย!!”

พวกเราในชุดพร้อมรบ เสื้อผ้าแขนยาว หนา ๆ กันทั้งลมหนาวและสัตว์ป่าตัวเล็ก ๆ ที่จะกัด รองเท้าบูทหุ้มข้อ กระเป๋าเป้เดินทาง พร้อมเต็นท์ขนาดพกพา ถุงนอนและหมวกพร้อมสรรพ เราจะออกเดินทางกัน โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญทางเป็นคนดูแล

งานนี้แม่พกกล้องมาด้วยครับ ฝีมือการถ่ายไม่ดีเท่าไหร่ แต่อยากถ่ายเก็บไว้ด้วยตัวเอง

พวกเราเริ่มออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายก่อนค่ำ ยังดีที่พวกเรากรุ๊ปใหญ่ เลยอุ่นใจ ได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องโหยหวนด้วย ไกด์เดินนำ ตามติดด้วยไอ้เต้ย พ่อแม่ และผมกับพี่เอก ส่วนพวกเพื่อน ๆ พี่มัน เดินรั้งท้ายครับ เดินไปคุยกันไปชิว ๆ

“คุณระวังนะ!! อันนั้นมีพิษ อย่าไปจับ”

ผมหันไปมองตามเสียง เห็นพี่เก่งจับมือพี่อิงค้างไว้กลางอากาศ

“เขาห้ามจับพวกต้นไม้หรือเห็ดโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเห็ดสีสันสดใส ถึงไม่ได้เอาไปกิน แต่เห็ดบางชนิดแค่แตะก็มือร้อนคล้ายถูกไฟไหม้แล้ว”

พี่อิงพยักหน้าหงึก พี่เก่งปล่อยมือ เดินตรงมาทางผม หน้าพี่อิงแดงใหญ่เลย หรือว่า…พี่อิงจะถูกเห็ดพิษไปแล้ว!!

ผมรีบเดินไปหาพี่แกทันที

“พี่อิง เมื่อกี้ได้แตะเห็ดพิษไปหรือเปล่า!!”

“เปล่านี่ ทำไมเหรอ”

“ก็หน้าพี่ดูแดง ๆ”

พวกพี่ ๆ ด้านหลังพี่อิงพากันขำคิก ยังไม่ทันที่พี่อิงจะตอบ เอวผมก็ถูกรวบก่อนโดนรั้งให้เดินนำห่างออกไป

“พี่เอก! จะรีบเดินไปทำไม ผมเป็นห่วงพี่อิง สงสัยจะโดนเห็ดพิษนะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่า”

“ไม่ให้ห่วงได้ไง พี่อิงหน้าแดงซะขนาดนั้น เมื่อกี้มืออาจเผลอไปโดนเห็ดพิษแล้วก็ได้”
ผมยังท้วงต่อ ยื้อตัวจะกลับไปดูอีกรอบ

“ไม่ได้โดนเห็ดพิษหรอก โดนอย่างอื่นมากกว่า”

“อะไร?”

พี่เอกยิ้ม “ต้นไม้ชนิดนี้ โดนทีไร หน้าจะแดงทุกที”

ผมมองหน้าพี่มันงง ๆ 

กูไม่เคยเดินป่า กูไม่รู้ รีบ ๆ บอกมาเดะ อมพนำอยู่นั่นแหละ กูจะได้มีความรู้ไว้ประดับหัวบ้าง เวลามาเดินครั้งหน้ากูจะได้ไม่เผลอไปแตะ เกิดเป็นต้นไม้มีพิษ ทำให้เป็นผื่นพุพอง กูไม่อยากเสียโฉมนะเว้ยเฮ้ย

“อะไร” ผมถามย้ำพี่มันอีกที

“อืม… พิษของมันจะมีผลมากน้อย ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของคน อย่างของกาย ถ้าเป็นแต่ก่อน แค่แตะถูกมือ หน้าก็จะแดงแล้ว แต่ช่วงนี้ คงต้องมากกว่านั้นหน่อย”

ยิ่งฟัง ยิ่งงงครับ

“มากแค่ไหนล่ะ”

มึงรีบ ๆ บอกมาเดะ กูอยากรู้

พี่มันก้มหน้ามาหอมแก้มผมเบา ๆ ผมรีบจับแก้มตัวเองไว้ หน้าร้อนขึ้นมาทันที

“เนี่ย หน้าแดงแล้ว”

ผมอ้าปากพะงาบ ๆ ไอ้เต้ยเดินมาชนไหล่ผมเบา ๆ

“พี่เอก แม่.งเจ้าเล่ห์ หาทางหอมแก้มมึง มึงก็ยังไม่รู้ตัวอีก”

ผมหันไปมองมัน

“แล้วกูจะไปรู้ไหมล่ะ แล้วเกี่ยวอะไรกับเห็ดพิษ”

ไอ้เต้ยถอนหายใจเบา ๆ

“เขามึงงอกแน่ะกาย”
มันยังใช้มุขเดิม ผมคิ้วขมวด

กูไม่ได้โง่นะเฮ้ย แต่กูไม่รู้จริง ๆ

“ก็พี่อิงเขา…”
มันกระซิบข้างหูผมเบา ๆ

“เฮ้ย!! จริงดิ”

“มึงมองไม่ออกรึไง”

“ได้ไงง่ะ”

“พี่อิงเขาชอบอาหารนี่มึงก็รู้ เห็นอาหารเป็นต้องวิ่งเข้าหา แล้วพี่เก่งน่ะ เขาก็เป็นพวกชอบทำอาหารเหมือนกัน ยิ่งอยู่ร้านกาแฟ กลิ่นตัวพี่แกก็มีแต่กลิ่นกาแฟ พี่อิงจะชอบก็ไม่แปลก”

“เหรอ ไม่เคยสังเกต”
ผมหยุดเท้าไว้ หันหลังเดินกลับไปหาพี่เก่ง

“พี่เก่ง”
ผมเรียก พี่แกหยุดเท้ากึก ผมเดินเข้าไปชิด ดมไปทั่วทั้งอกพี่แก

“อืม ตัวพี่มีกลิ่นกาแฟจริง ๆ ด้วย ผมไม่เคยสังเกต นี่พี่ใช้นำหอมกลิ่นกาแฟด้วยเหรอ ได้ข่าวว่ามีแต่น้ำหอมกลิ่นช็อกโกแลต”

เอวผมถูกใครบางคนกระชากออก ผมหันไปมอง

พี่เอกนั่นเอง แล้วจะมาทำหน้าเหมือนพวกขี้ไม่ออกไปทำไม

พี่เก่งยืนขำ

“พี่ชอบคลุกอยู่กับกาแฟตลอดเวลาเพื่อศึกษาเรื่องกาแฟและเมล็ดกาแฟน่ะ อยู่ร้านก็เสิร์ฟ อยู่บ้านก็คิดสูตรกาแฟ เสื้อผ้าพี่เลยมีแต่กลิ่นกาแฟ”
พี่มันดึงเสื้อที่หน้าอกขึ้นไปดม

“ใช่ มีแต่กลิ่นกาแฟจริง ๆ”
ผมย้ำ

“รีบเดินกันดีกว่า พี่ไม่อยากถูกเอกฆ่าเอา”
พี่เก่งชวน ผมทำหน้างง หันไปมองพี่เอก เห็นพี่มันขมวดคิ้วใหญ่

“อ้าว เป็นอะไรฮะ”
ยังทำหน้าเหมือนพวกขี้ไม่ออกอยู่

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า หรือโดนต้นไม้มีพิษอีก”
แต่คงไม่ใช่พิษแบบที่พี่มันทำกับผมแน่ ๆ

“ใช่ พี่โดนพิษ แรงด้วย พิษมันกระจายไปทั่วทั้งตัวเลย”
ผมทำหน้าตกใจ

“โดนตรงไหนพี่ ทายาก่อนไหม”

พี่เก่งหัวเราะร่วน รั้งไม่ให้ผมเอากระเป๋าออกจากหลัง (เจ้าหน้าที่ให้ยาจำเป็นกับทุกคนครับ)

“อาการพวกนี้ไม่มีผลกับผิวหนังหรอก แต่มีผลโดยตรงกับหัวใจ”

ผมตาโต หยุดเท้าตัวเองลงกึก

“งั้นต้องพาพี่เอกกลับไปหาหมอน่ะสิ”

พี่เอกหน้าบูดยิ่งกว่าเดิม ส่วนพี่เก่ง หัวเราะงอหายไปเลย

มึงจะขำอะไรกันนักหนา คนกำลังไม่สบาย

“พี่หมายถึง…พิษรักแรงหึงต่างหาก”
พี่แกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินนำห่างไป ผมยืนอึ้งอยู่กับที่ ค่อย ๆ หันไปมองคนที่ทำหน้าหงิกอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเหมือนเขาตัวเองจะงอก ๆ ยังไงบอกไม่ถูก


ผมเดินเคียงพี่เอกไปเงียบ ๆ ไม่แวะไปทักทายใครด้วย กลัวพี่เอกจะโดนพิษรักแรงหึงเข้าอีก

หึ ๆ


 

 

 

 

 

เหนื่อยครับ ทางมันไม่ได้ราบ เดินขึ้น ๆ ลง บางทีต้องขึ้นเขาลงภูเขา ข้ามต้นหญ้ากิ่งไม้ไปเรื่อย ๆ พวกเรานั่งพักกันไปหลายรอบมาก เดินกันไม่นาน พวกเราก็มาถึงลานกว้าง ที่เป็นจุดพักและชมวิวกันแล้ว ด้านซ้ายสุดมีหน้าผาอยู่ ด้านล่างเป็นแม่น้ำ น้ำกำลังไหลเชี่ยวเชียว น่ากลัวสุด ๆ ตกลงไปคงตายลูกเดียว

เขาไม่ได้กั้นรั้วไว้ครับ ปล่อยตามธรรมชาติเพื่อความสวยงาม แต่เขาเตือนเอาไว้แล้วว่าห้ามเข้าใกล้หน้าผามากเกินไป   

นอกจากกรุ๊ปเราแล้ว ยังมีผู้คนจากกรุ๊ปอื่นมาเดินกันด้วย แต่เดินเส้นทางอื่นครับ เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ อายุไม่เกินสิบขวบมาเดินด้วย เก่งจัง

เห็นน้องวิ่งเล่นอยู่ในลาน ใส่ฮูดน่ารักเชียว ผมเลยเดินเข้าไปขอถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย ท่าทางน้องจะชินกล้องครับ ยิ้มหวานเก็กหล่อใหญ่เลย โตขึ้นท่าทางจะเจ้าชู้นะเนี่ย
 
อยู่ ๆ น้องก็วิ่งหนีไป เรียกเอาไว้ไม่ทันครับ พอหันไปมองด้านหลังตัวเองก็เห็นพี่เอกมายืนกอดอกเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่

“พี่เอกทำเด็กกลัว”

พี่มันเลิกคิ้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

พวกเรากระจัดกระจายเลือกจุดที่ชอบในการกางเต็นท์ รีบกางครับ จะได้ไปดูพระอาทิตย์ตกกัน วันรุ่งขึ้นค่อยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกที

ผมปล่อยให้พี่เอกกางเต็นท์ไป ส่วนผม ถ่ายรูปตอนที่พี่แกกางเต็นท์ พี่แกใจดีครับ กางให้พ่อกับแม่แล้วก็เพื่อน ๆ ผู้หญิงคนอื่น ๆ ด้วย

พอจบ พวกเราก็ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกัน หลังจากนั้น พวกเราก็มานั่งรอบกองไฟเพื่อพูดคุยกัน ที่นี่เราจะไม่ร้องรำทำเพลงครับ มันรบกวนสัตว์ป่า แค่สองทุ่ม พวกเราก็เข้านอนแล้ว หลังจากนั้นก็ตื่นกันอีกทีตอนตีห้าเพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

“กาย ตื่นได้แล้ว”
ทั้งที่ปกติผมจะตื่นยากตื่นเย็น แต่ถ้าพี่เอกมาปลุกจะตื่นง่ายมาก (ถ้าตอนกลางคืน ผมไม่โดนหนัก ๆ น่ะนะ)

เมื่อคืนปลอดพี่เอก พี่แกคงเห็นว่าคนเยอะ เลยไม่ทำอะไรผมมาก ได้นอนเต็มอิ่มหน่อย ผมตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ใส่ชุดให้มันทะมัดทะแมง แล้วเลือกจุดดี ๆ เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

คนอื่น ๆ ได้ที่นั่งกันตรงเนินบน แต่ผมกับพี่เอกได้เนินล่าง(มาช้า ต้องทำใจ) หน้าผาอยู่ไม่ห่างจากผมกับพี่เอกเท่าไหร่ เช้ามาวิวน่าจะสวยใช้ได้ พี่เอกนั่งชันเข่ากับพื้นโดยมีผมนั่งแทรกอยู่ระหว่างขาพี่แกอีกที ในมือถือกล้องคล้องสายไว้ที่คอ รอคอยพระอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทักทาย

เหลือเวลาอีกเยอะครับ คงเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงได้ (ที่รีบมากันเร็ว ๆ เพราะต้องมาจองที่นั่นแหละ ไม่งั้นมุมดี ๆ อาจโดนจับจอง) อากาศดีสุด ๆ ผมนั่งสูดอากาศเข้าปอดไปตั้งหลายรอบ

“กาย” พี่มันกระซิบเรียกข้างหู ผมหันไปมอง

“พี่รักกายนะ”

ผมยิ้ม จูบพี่แกไปเบา ๆ มันมืดครับ แสงจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นพื้นที่โดยรอบนิด ๆ แต่คงไม่มีใครมาสนใจเราหรอก บรรยากาศแบบนี้ ผมอยากแสดงให้พี่มันรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่มันบ้างเหมือนกัน

“ผมก็รักพี่เหมือนกัน”

พี่เอกกระชับอ้อมแขนโอบผมแน่นขึ้น แล้วเราสองคนก็พากันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านบนพร้อมกัน 

“น้องแจ็ค อย่าวิ่งลูก!!”
แม่ของเด็กที่ผมเคยถ่ายรูปตะโกนเรียก น้องแจ็ควิ่งหัวเราะร่าตัดหน้าพวกเราไป ผมกับพี่เอกทำหน้าตื่น เพราะตรงหน้านั้นเป็นหน้าผาที่ไร้รั้วกั้น พี่เอกรีบดันผมออกลุกจากที่นั่งวิ่งตรงไปหาเด็กทันที แต่พอเด็กเห็นพี่เอก เด็กตกใจวิ่งหนีเร็วขึ้น และกำลังวิ่งตรงไปยังริมหน้าผานั้น

พี่เอกวิ่งเร็วขึ้น จนฉวยคว้าข้อมือของเด็กน้อยเอาไว้ได้ พี่มันเหวี่ยงเด็กให้ลอยกลับมาที่เดิม แต่ตัวเองเสียหลักไถลล้มลงกับพื้น และหลังจากนั้น พี่มันก็หายลับไปกับอากาศว่างเปล่าตรงหน้า

“พี่เอก!!!!!”




 
To Be Con...

ใกล้จบแล้วน้าาา
ps. เรื่องนี้มี 100 ตอนจบค่ะ

ps.2 ฝากเรื่อง Feel คนเจ้าอารมณ์ด้วยน้า คนเขียนลงคู่ที่ 4 ให้อ่านกันจบแล้ว แต่เดี๋ยวกำลังจะเอาคู่ที่ 1-3 มาอัพเพิ่ม (สามคู่แรกไม่ยาวเท่าคู่แรกค่ะ คู่ละไม่ถึงสิบตอนจบ ตามลิ้งค์นี้ >>http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278






Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เปลี่ยนมาแล้วก็เปลี่ยนไป

เฮ้อออออ..หล่อเลือกได้


คงต้องปลง ถ้าเจอคนอย่างพระเอกเรื่องนี้
ข่วยยยยยยยยยยเหอะ

รักคนแต่งน๊าาาาาาาาาาา
จัดมาเล๊ยยยยย ยิ่งมาม่ายิ่งชอบ
อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ้าว..... อีพี่เอกตกเขาไปแล้ว คิดว่าไม่ตาย แต่ไปติดตรงยอดต้นมะม่วงแน่ ๆ ไม่ต้องเป็นกังวลนะ หากิ่งไม้ไปสอยไม่กี่ทีก็หลุดแล้ว พระเอกเรื่องนี้ ตายยาก  :laugh: 

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
92
ความจำเสื่อม
[เอก...☼]




 

ผมสะลึมสะลือตื่น ความรู้สึกหล่นวูบแปลก ๆ กระตุ้นให้ผมต้องเด้งลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั่วทั้งหัวจนต้องกุมมันไว้

“อย่าเพิ่งขยับนะ”
เสียงใส ๆ ของใครบางคนบอก ผมหันไปมอง เห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ทิ้งตัวลงมานั่งข้าง ๆ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง
 

“เจ็บตรงไหนบ้างล่ะพ่อหนุ่ม”
ก่อนจะมีชายสูงวัยเดินมาทิ้งตัวลงนั่งอีกฟากตามมาติด ๆ ด้วยคุณยายวัยไล่เลี่ยกัน ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ปวดหัวเอามาก ๆ ร้าวไปทั้วทั้งตัวเลย
 

ที่สำคัญหิวครับ

ท้องผมพากันร้องจ๊อก ๆ จนคุณยายต้องหันไปบอกน้องผู้หญิงให้ไปหาข้าวหาน้ำมาให้ผมกิน
 
“หลานนอนไม่ได้สติอยู่สองวันกว่า ๆ แน่ะ กะว่าถ้าวันนี้ยังไม่ฟื้น จะพาไปหาหมอในเมืองนะเนี่ย”
คุณตาว่า ผมพยักหน้า กำลังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น

ไม่นานน้องผู้หญิงก็ยกถาดอาหารเก่า ๆ มาวางไว้ตรงหน้า ภายในมีกับข้าวที่ทำจากปลาและผักเป็นหลัก ที่เห็น ๆ ก็มีแกงส้มดอกแค แค่เห็นน้ำลายก็ไหลลงมาพลั่ก ๆ แล้ว มีปลาทอด น้ำพริก ผักต้ม แล้วก็ผัดผักบุ้ง ตามมาติด ๆ ด้วยข้าวสวยสีขาวฟู ๆ ในหม้อเก่า ๆ รอบนอกดำไปหมด
 
พอน้องยื่นจานข้าวมาให้ ผมก็จัดการกินแหลกด้วยความหิวโหยทันที คุณตาคุณยายมองผมที่สวาปามอาหารอึ้ง ๆ ดูทีท่าว่าจะไม่พอด้วย คุณตาเลยเดินไปหยิบกล้วยที่กำลังสุกเหลืองน่ากินมาให้ทั้งเครือเลย พอข้าวหมด ผมก็ดึงกล้วยมาซัดแบบไม่เกรงใจใคร มาตอนนี้ มีช้างก็กินช้างครับ
 
หลังจากผมอิ่ม คุณตาก็ยื่นขันน้ำเก่า ๆ ที่ถูกขัดจนเลื่อมมาให้ ผมรับมาดื่มอึก ๆ จนน้ำเกือบหมด
 
“กินเก่งจริง ๆ”

ผมตบหน้าอกตัวเองแรง ๆ ให้น้ำที่ค้างอยู่ลงไป น้องผู้หญิงเขยิบมาลูบหลังให้เบา ๆ

“ดีแล้ว กินได้เยอะขนาดนี้ แปลว่าภายในไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
คุณตาว่า
 
แล้วน้องผู้หญิงก็ยกถาดข้าวที่ผมกินอิ่มไปเก็บ

“ขอบคุณครับ”
ผมบอกเสียงทุ้มที่ติดจะแหบพร่าเล็กน้อย

“ชื่ออะไรล่ะพ่อหนุ่ม”

ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะบอก

ว่าแต่…

กูชื่ออะไรวะ?

ผมขมวดคิ้วนั่งคิด มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีไปมา   

“ผม…ไม่รู้”

“อ้าว”
อันนี้เป็นเสียงคุณตา

“จำชื่อตัวเองไม่ได้เลยรึ”
อันนี้เป็นเสียงคุณยาย

“สงสัยสมองพี่แกจะได้รับการกระทบกระเทือน“
อันนี้เป็นคนหลาน

“ไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มมาจากไหนนะ แต่เห็นลอยน้ำมาเกยอยู่ริมแม่น้ำที่ตากับไอ้สาไปหาปลากันพอดี”

ผมพยักหน้ารับ พยายามนึกให้ออกว่าตัวเองเป็นใคร แล้วมาจากไหน

แต่นึกไม่ออก

ก้มมองตัวเอง ทั้งร่างใส่เพียงกางเกงเลเนื้อหนาสีน้ำเงินเก่า ๆ ท่อนบนเปลือยเปล่า

“พี่ตัวใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน มีแค่กางเกงเลของตาตัวนี้แหละที่พอใส่ได้ สลับกับชุดของพี่เอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ สาจะเข้าเมืองไปซื้อตัวใหม่ให้”
น้องผู้หญิงเป็นคนบอก

ผมพยักหน้า มองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนที่นอนตัวเองที่ปูด้วยเสื่อเก่า ๆ มีผ้าห่มบาง ๆ รองหลังและมีผ้าห่มบาง ๆ อีกผืนเอาไว้ห่ม และเพราะความหิวเมื่อกี้ ตอนผมลุกนั่งไม่ได้สนใจมอง มันเลยม้วนอยู่ที่ขา ผมดึงมันออกไปวางไว้ข้าง ๆ แทน

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทำจากหญ้าคา สภาพเก่ามากแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ภายในก็เก่าไปหมดทุกอย่าง แต่สะอาดสะอ้านดี ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย และถ้าให้เดา ไฟฟ้าก็น่าจะยังมาไม่ถึงด้วย แต่ตัวบ้านเย็นสบายดีครับ

รูปแบบบ้านสไตล์ไทยบ้านนอกแบบนี้ รู้สึกเหมือนใครบางคนจะชอบน้า

ใครสักคนที่ติดอยู่ในความรู้สึก แต่นึกไม่ออก

ใครหว่า….

“อันนี้ของพี่” น้องสายื่นสร้อยมาให้เส้นหนึ่ง “ของส่วนตัวของพี่อยู่ตรงนู้น ไม่มีบัตรติดตัว มีแต่แบ้งค์ยับ ๆ ติดอยู่ในกระเป๋ากางเกงพันเดียว พวกเราเลยไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน สายังไม่ได้ไปแจ้งข่าวกับพ่อผู้ใหญ่ กะว่าจะรอให้พี่ฟื้นก่อนแล้วค่อยไปแจ้ง”
ผมพยักหน้า รับสร้อยเส้นนั้นมาดู

“สัญลักษณ์อะไรน่ะนั่น”
คุณตาถามเพราะรูปทรงอันแปลกตาของมัน

“พระอาทิตย์น่ะครับ”

“อ้อ จะว่าไปตอนตาไปเจอหลาน ก็ตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดีเหมือนกัน”

ผมมองหน้าคุณตา ก่อนก้มมองสร้อยพระอาทิตย์อีกที พลิกด้านหลังขึ้นมาดู

“15 For 19”

ผมไม่รู้ว่าความหมายของตัวเลขเหล่านี้คืออะไร แต่ผมรู้สึกว่ามันต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมมากแน่ ๆ

“จำชื่อตัวเองไม่ได้ งั้นก็เรียกว่าพ่ออาทิตย์ไปก่อนละกัน”
คุณตาเสนอ

“ซัน”
ผมโพล่งขึ้น

“อะไรนะ”
คุณตาถามย้ำ

“เรียกผมซันก็ได้ครับ ผมคุ้นกับชื่อนี้มากกว่า”

“เหรอ เอางั้นก็ได้ อาจเป็นชื่อเล่นจริง ๆ ของหลานก็ได้”

“ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ซันเป็นภาษาอังกฤษ แปลว่าพระอาทิตย์น่ะครับ”
ผมจำเรื่องพวกนี้ได้ แต่ทำไมถึงจำเรื่องอื่น ๆ หรือครอบครัวไม่ได้หว่า

ใช่ว่าจะจำอดีตไม่ได้เลย แต่เหมือนภาพที่เห็นจะเบลอ ๆ จำได้ลาง ๆ แต่เหมือนความทรงจำมันไม่ชัด และขาด ๆ หาย ๆ มากกว่า

“เอาเถอะ พ่อซันลุกไหวไหม นอนมานาน จะไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย หรือจะนอนต่อ”
คุณยายถาม

“ขอผมเดินเล่นหน่อยดีกว่าครับ”
ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เซหน่อย ๆ เพราะไม่ได้ลุกมานาน จนสาต้องเข้ามาช่วยพยุง

“พาพี่เขาไปเดินเล่นทางใต้นะลูก กว้างหน่อย เดี๋ยวย่าไปดูผักให้ พรุ่งนี้สาจะได้เอาไปขาย”

น้องสาพยักหน้ารับ
 

ผมเดินสำรวจไปรอบ ๆ โดยมีน้องสาช่วยพยุงและเป็นไกด์นำทาง

“เราปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปีเพราะเหมืองเรามีน้ำไหลตลอด ผักหญ้าก็ปลูกกินเองทุกอย่าง เลยไม่เดือดร้อนต้องเข้าหมู่บ้านไปหาซื้ออะไรเท่าไหร่ สาจะเข้าเมืองอาทิตย์ละครั้ง เอาผักไปแลกกับชาวบ้าน หรือไม่ก็เอาไปขาย เพื่อซื้อน้ำปูน้ำปลามาเก็บไว้ที่บ้านเพิ่ม”
น้องสาอธิบาย

“พี่เหมือนไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาเลยนะ คงเป็นลูกคนรวย แต่ดูสุภาพเรียบร้อย ไม่ห่ามเหมือนพวกลูกชายนายอำเภอ”
น้องสาบ่น ทำหน้างอนิด ๆ น่ารักน่าเอ็นดูดี ผมได้แต่นิ่งฟัง พยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปในตัว

แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ ภาพทุกอย่างมันดูเบลอไปหมด เหมือน ๆ จะจำได้ แต่ก็จำไม่ได้
 

 

 

 

 




 

 

น้องสาไปแจ้งความกับพ่อผู้ใหญ่ให้ผมวันนี้ ใจจริงผมอยากตามไปด้วย แต่คุณตาห้ามไว้ เพราะระยะทางมันไกล ต้องเดินด้วยเท้าเป็นระยะทางมากกว่าสิบกิโล ล้มไป สาคนเดียวจะเอาไม่ไหว

“ไอ้สามันจะไปขายของที่ตลาดกลางหมู่บ้านทุกวันเสาร์ ยังไงก็รอไปวันนั้นละกัน”
คุณตาบอก ผมเลยจำต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านอย่างช่วยไม่ได้(คุณตาคุณยายไปทำงานครับ)

ผมนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้านจนเบื่อ พอตากับยายกลับมา ผมรีบเดินกะเผลกไปช่วยคุณตาหิ้วของทันที
 
“ไหวแล้วรึ”
คุณตาถาม ผมพยักหน้า

“ให้อยู่เฉย ๆ ผมคงต้องบ้าตายแน่ ๆ”

สองตายายพากันหัวเราะร่วน ถึงจะเจ็บขาเจ็บแขนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ได้เลย

“ไอ้สายังไม่กลับรึ”

ผมส่ายหน้า

“คงจะเข้าเมืองไปหาซื้อของหลายอย่าง”

ผมพยักหน้าเข้าใจ หิ้วของขึ้นบ้านช่วย หลังจากนั้นผมก็ช่วยตากับยายทำงานก๊อกแก๊กทั่วไป ตามวิถีชีวิตแบบชาวบ้านง่าย ๆ ครับ

“มีกันแค่นี้เองเหรอครับ”
ผมถามตอนช่วยคุณตาเก็บแห ส่วนคุณยายนั่งขอดเกล็ดปลาอยู่ในครัวนู่น คงทำข้าวเย็นเลย 

“มีกันแค่นี้แหละ พ่อแม่ไอ้สามันตายไปตั้งแต่มันเกิดใหม่ ๆ แล้ว มันเป็นเด็กดี แต่ก็น่าสงสาร ทั้งที่อยากเรียนหนังสือ แต่ติดตรงที่ต้องดูแลตากับยายนี่แหละ มันเป็นเด็กขยัน ขนาดไม่มีโอกาสได้เล่าได้เรียนเหมือนคนอื่น มันก็ยังขวนขวายไปหาหนังสงหนังสือมานั่งอ่านนั่งเรียนเอง บางวันมันก็ไปให้ชาวบ้านหรือครูสอนให้ มันเป็นเด็กฉลาดนะ มันเคยขนพวกผักและผลไม้ไปฝากพวกครู ๆ เพื่อแลกกับการสอนหนังสือให้มัน ให้มันได้รู้กอไก่กอกา หลังจากนั้น มันก็มานั่งอ่านเอง มันเป็นพวกชอบอ่านหนังสือน่ะ”
คุณตาชี้ไปยังกองหนังสือที่ถูกเก็บใส่ตู้ไม้เก่า ๆ น้องสาคงดูแลดี เพราะแทบไม่มีฝุ่นจับเลย

“มันอ่านหนังสือทุกชนิดนั่นแหละ ก็ไปขอ ๆ เขามา อย่างใครที่เรียนจบแล้ว หรือบ้านไหนที่มีแล้วโละ ๆ มันเอาหมด เห็นมันบอกว่า ตอนนี้มันอ่านไปถึงพวกปอตรีปอโทกันแล้วมั้ง ถ้ามันได้เรียนจริง ๆ ตาคงภูมิใจ”

ผมนิ่งฟังไปเรื่อย ๆ

“แต่โรงเรียนมันไกลบ้าน กว่าจะเดินทางไปกลับ มันใช้ระยะเวลานาน แล้วอีกอย่าง มันห่วงตากับยาย เป็นอะไรขึ้นมาระหว่างวันจะลำบาก”

ผมยิ้ม ไม่แปลกใจว่าทำไมน้องสาถึงได้ดูแสนรู้แสนซนขนาดนั้น

“กลับมาแล้วค่า!!!”
ได้ยินเสียงน้องสาดังแว่วมาแต่ไกล ตามมาติด ๆ ด้วยเจ้าตัวที่วิ่งเหงื่อโชกหอบของพะรุงพะรังเข้ามา ผมละจากคุณตาไปช่วยน้องสาหิ้วของเข้าบ้าน

ตัวก็เล็ก แต่หิ้วมาซะเยอะเชียว

“หาเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ ให้พี่ยากน่าดู สาเลยต้องนั่งรถเข้าเมืองไปอีกเพื่อหาซื้อให้”

“พี่ใส่ยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่โป๊ก็พอ”

น้องสาหัวเราะร่วน แล้วพวกเราก็ช่วยกันจัดเสบียงให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นน้องสาก็ไปช่วยคุณยายทำกับข้าวต่อ

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ผมใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านธรรมดา ตื่นแต่เช้า เข้าไร่บ้าง เข้าสวนบ้าง เข้านาบ้าง แล้วแต่ว่าคุณตาจะพาไป ไม่ก็ไปที่แม่น้ำหว่านแหหาปลา โดยมีคุณตาเป็นคนสอน

แกบอกผมหัวดี สอนแป๊บเดียวก็ทำได้แล้ว ส่วนน้องสาก็ไปช่วยคุณยายปลูกผักปลูกหญ้า หุงหาอาหารไป ผมช่วยงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่สมอง ก็พยายามจำให้ได้ว่าตัวเองเป็นใครและมาจากไหน

“สาแจ้งพ่อผู้ใหญ่ไว้แล้วล่ะ ว่าถ้ามีคนมาตามหาพี่ก็ให้มาหาพี่ที่นี่”
น้องสาบอกให้คลายใจ

เรากำลังจะไปเก็บผักบุ้งกันที่หนองน้ำขนาดเล็กด้านล่างนี้แหละ ที่นี่มีผักสะเทิ้นบกสะเทิ้นน้ำแทบทุกชนิด ๆ เหมือน ๆ คุณตาจะแพลนเอาไว้

มุมหนึ่งเป็นผักกระเฉด อีกมุมเป็นผักบุ้ง อีกมุมเป็นผักแว่น และยังมีผักอีกหลายอย่าง น้องสาพับขากางเกงสูงถึงสะโพก เดินลุยน้ำลงไปเก็บ ตอนแรกผมจะเดินลงไปด้วย แต่สาบอกไม่เป็นไร ให้ผมยืนอยู่เฉย ๆ เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ

เก็บเร็วมาก แป๊บ ๆ ได้มาหอบเบ้อเร่อ วันนี้คงเป็นผักจิ้มน้ำพริกและปลาย่างล่ะมั้ง 

น้องสาอายุ 14 กว่า ๆ อีกไม่ถึงเดือนก็จะ 15 แล้ว ตัวเล็ก ๆ หน้าตาดูน่ารักแบบเฉี่ยว ๆ ดี ดวงตาสีนิล ผิวคล้ำจากการตากแดด ผมสีเดียวกับดวงตา ยาวถึงกลางหลัง กตัญญู ทำอาหารเก่ง พูดเก่ง แล้วก็ร่าเริงดี   

นิสัยแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงใครขึ้นมาตงิด ๆ
 



 

 

 

 

 

 

ผมนั่งเหม่อ กอดเข่าหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์เกือบกลมท่ามกลางท้องฟ้าสีไม่มืดไม่สว่าง ทุกเย็น ผมจะต้องมานั่งอยู่ริมชาน แล้วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์แบบนี้เสมอ

ผมไม่รู้ว่าพระจันทร์มีความสำคัญกับผมยังไง แต่ทุกครั้งที่ผมมอง ผมจะรู้สึกสบายใจ

ผมจับสร้อยที่คอไว้ ก่อนปลดมันออก ยกดูเหนือใบหน้า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ทรงกลมของพระอาทิตย์ คลื่นของแสงแดด และลายแปลก ๆ ตรงกลาง รวมถึงตัวหนังสือด้านหลังด้วย ผมหย่อนมันลงมาเหนือริมฝีปาก และจูบมันเบา ๆ
 
มันให้ความรู้สึกเหมือน ๆ กับผมเคยสัมผัสกับอะไรบางอย่างมาก่อน บางอย่างที่คุ้นเคย ผ่านสร้อยพระอาทิตย์เส้นนี้ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“สาว่าสร้อยเส้นนี้ต้องเป็นของสำคัญสำหรับพี่แน่ ๆ เลย”
สาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมหันไปมอง

“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกอุ่นใจที่มีมันอยู่”

“ไม่แน่นะ บางที...คนสำคัญของพี่ อาจให้พี่มาก็ได้”

“คงงั้นมั้ง”
ผมบอกยิ้ม ๆ ใส่มันกลับลงคออีกครั้ง แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์อีกที
 

 

 

 

“สาเอ้ย!! ตื่นรึยังลูก”
เสียงปลุกน้องสาพาเอาผมต้องตื่นขึ้นมาด้วย ผมชะโงกหน้ามองนาฬิกาข้อมือที่ผมถอดวางไว้ข้างหมอน หกโมงพอดี

ผมลุกออกจากที่นอนไปด้านนอก เห็นคุณตาคุณยายเดินถืออุปกรณ์การหาปลามา สงสัยจะลงเหมืองไปหาปลากันแต่เช้ามืด ผมรีบเข้าไปช่วยทันที

“เสร็จแล้ว ๆ”
น้องสาเปิดประตูเดินออกมาในชุดน่ารัก

“โอ้ น่ารักเชียวไอ้สาหลานยาย”
ยายยิ้มแป้นเชียว

“หาโอกาสแต่งสวยยาก วันนี้มีคนไปด้วย เลยแต่งสวยได้”
น้องสาบอกยิ้ม ๆ

วันนี้น้องสาใส่กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาล เสื้อยืดเข้ารูป หน้าอกไม่มีครับ สงสัยจะยังไม่โต ไม่มัดผมด้วย

“พ่อซันไปล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวเถอะ”
คุณตาว่า ผมรีบไปอาบน้ำเตรียมตัว พอเรียบร้อยก็เห็นน้องสากำลังจะหิ้วของ ผมรีบเข้าไปแย่งทันที

“สาหิ้วได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ๊อย”

“พี่รู้”
เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่แรงเยอะครับ เฮ้วเอาเรื่อง

“ให้พี่หิ้วไปก่อนละกัน พี่เมื่อยเมื่อไหร่สาค่อยช่วย”
ถ้าไม่พูดแบบนี้ สาคงไม่ยอมให้ผมหิ้วแน่ ๆ “และอีกอย่าง…” ผมมองหน้าสาตรง ๆ “วันนี้สาแต่งตัวน่ารัก เดินเฉย ๆ ก็พอ”

สาหน้าแดงทันทีที่ผมพูดจบ ผมหัวเราะหึ ๆ

“เอาล่ะ ขายกันให้หมดนะ”
คุณยายสั่งเสีย

“โห เชื่อมืออีสาเหอะน่า”
สายกกำปั้นทำท่าฮึด ผมอมยิ้ม แล้วพวกเราก็พากันออกเดินทาง ปกติสาจะแต่งตัวมิดชิด เพราะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดี๋ยวมีคนมาฉุดมาฆ่ามันจะยุ่งเอา

เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้สลับกับริมคลองเล็ก ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ชั่วโมงกว่า ๆ เราก็เดินมาถึงถนนใหญ่ ยืนรอกันสักแป๊บ ก็มีรถวิ่งผ่านมา น้องสารีบโบกทันที

บ้านนอกครับ โบกใคร ใครก็จอด เป็นรถกระบะเก่า ๆ แต่ก็ดีกว่าต้องเดินเท้าเป็นไหน ๆ เราลงรถกันที่ตลาดใหญ่ ช่วงเช้าเป็นตลาดของกิน ช่วงบ่ายจะเป็นตลาดเที่ยว น้องสาเอาของไปปูขายกับพื้น ที่นี่ไม่เสียค่าที่ด้วย ทางการเขาจัดไว้ให้ชาวบ้านโดยเฉพาะ

เห็นลีลาการขายแล้ว ผมก็อดขำไม่ได้ ดีว่าวันนี้แต่งตัวน่ารัก หนุ่ม ๆ เลยเหมาไปซะเกือบหมดร้าน ซื้อแล้วก็อยากได้ของแถมเป็นเบอร์โทรของแม่ค้า แต่น้องสาบอกไม่มีเบอร์มือถือ มีแต่เบอร์รองเท้าจะเอาไหม 

กวนได้อีก

ไม่นานน้องสาก็ขายหมด ได้เงินหลายร้อยอยู่ น้องสาไปหาซื้อข้าวของที่ขาดเพิ่มเติม ที่เหลือก็เอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารหมู่บ้าน ถ้าไม่ได้ใช้ของฟุ่มเฟือย เงินก็เหลือเก็บเหลือใช้มากมายทีเดียวเชียว

“เสาร์หน้าเป็นเสาร์สิ้นเดือน ตลาดคนจะเยอะมาก เดี๋ยวสาจะพาพี่มาเดินเที่ยวด้วย”
และพวกเราก็จบการค้าขายไว้เพียงแค่นั้น

ผมกับสาเดินทางไปบ้านผู้ใหญ่อีกที เพื่อแจ้งความไว้ ผู้ใหญ่ไม่อยู่ เลยทิ้งเรื่องไว้กับผู้ช่วยอีกที

ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นเช้าเข้าไร่เข้านา ตกเย็นหาปูหาปลา จนลืมไปเลยว่าต้องออกไปตามหาครอบครัวตัวเอง อีกอย่างผมไม่รู้ว่าจะตามหายังไงด้วย

ให้ไปหาตำรวจ แล้วแจ้งว่าความทรงจำผมหาย ช่วยตามหาให้ที มันก็กระไรอยู่ ผมเลยปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยจนเข้าอาทิตย์ที่สอง

วันนี้เราจะหิ้วของไปขายกันในตลาดเหมือนเคย เอาของไปเยอะขึ้น เพราะมีผมช่วยแบก ผมเอาเงินที่ผมพกติดตัวมาด้วย

พอมาถึงก็จริงอย่างที่น้องสาว่า เพราะข้าวของเยอะมาก และจัดระเบียบดีกว่าวันปกติ เรานั่งขายของกันช่วงเช้า พอหมดเราก็เก็บของเตรียมเดินเล่นกัน วันนี้ไม่มีของที่ต้องซื้อ เลยมีเวลาเยอะ

“สาอยากได้กิ๊ฟติดผมอันใหม่ หวีใหม่ด้วย อันเก่าพังหมดแล้ว”
น้องสาบอกยิ้ม ๆ

“แถวนี้มีร้านหนังสือไหม”
ผมถาม น้องสาพยักหน้า

“มีค่ะ แต่เป็นหนังสือเก่านะ อย่างพวกหนังสือเรียน หรือหนังสือที่เขาเอามาบริจาคน่ะ ไม่แพงหรอก พี่อยากได้อะไรเหรอ”

“พาพี่ไปหน่อยสิ”
ผมไม่ตอบ แต่ถามต่อ น้องสาพาผมเดินตรงไปยังร้านนั้นทันที มันเป็นร้านหนังสือเก่า ๆ ครับ เป็นพวกหนังสือเรียน หนังสืออ่านเล่น และหนังสือทั่วไป ร้านใหญ่อยู่เหมือนกัน

“อยากได้เล่มไหนหยิบเอาเลย พี่ให้งบพันหนึ่ง”

น้องสาตาโต

“ไม่เอาดีกว่า เยอะขนาดนั้น”

“เอาเถอะน่า หยิบเอาเถอะ ถ้าไม่เอา พี่เอาไปให้คนอื่นนะ”
ผมทำท่าจะเดินไปจริง ๆ จนน้องสาต้องรั้งไว้

“หยุด ๆ!! สาเอาเองก็ได้”

ผมยิ้ม ยืนรอน้องสาเลือกหนังสืออยู่อีกมุมของร้าน

“เฮ้ยไอ้ปิง!! พวกเรามาตามหาคน ไม่ได้มาเดินช็อปปิ้ง!!”

“กูรู้น่า แต่ขอกูดูนิดหนึ่ง เผื่อมีหนังสือหายากอยู่แถว ๆ นี้ ไม่เกินสิบนาทีหรอกน่า”
ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกันอยู่อีกฝากของชั้นหนังสือ เสียงฟังดูคุ้นเคยยังไงพิกล แต่ผมไม่ได้สนใจ หยิบหนังสือที่วางกอง ๆ กันอยู่ขึ้นมาดู หนังสือมันเก่าได้ใจจริง ๆ

“รีบไปเถอะน่า!!”

ผมหันไปมอง เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง กำลังดึงคอเสื้อผู้ชายที่ตัวเล็กกว่านิดหนึ่งเดินผ่านหน้าไป

“เดี๋ยวเดะ กูดูแป๊บเดียว!!”
คนที่ถูกรั้งคอเสื้อพยายามยื้อใหญ่ ผมเลิกคิ้วมอง อมยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก้มดูหนังสือต่อ 

ตัวเล็ก

ไอ้ตัวเล็ก…

คำบางคำโผล่ขึ้นมาในหัว ผมละสายตาจากหนังสือมาทำท่าคิด แล้วคำคำนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป

ไม่นานน้องสาก็เดินหอบหนังสือจนสูงท่วมหัวมาหา ผมรีบเดินเข้าไปช่วยทันที พันหนึ่งได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ

“เล่มละไม่กี่สิบบาทเอง”
น้องสาบอก ผมพยักหน้า หอบหนังสือเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

“ไอ้โอ๊ค กูขอร้อง ขอกูดูนิดหนึ่ง!!”

“เอ้อ ๆ กูให้เวลามึงสิบนาที”

ผมหันไปมอง เห็นคนขอยิ้มแป้น เดินไปยังมุมที่ผมเพิ่งเดินจากมา ตามติดด้วยอีกคนที่ไปยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ข้าง ๆ

พอได้หนังสือ พวกเราก็ฝากเอาไว้ที่ร้านก่อน ขากลับค่อยมาแบกกลับ แล้วพวกเราก็พากันไปเดินดูของในงานกันต่อ

“กายไปดูทางนู้นละกัน ส่วนพี่จะไปดูทางนี้” 

ผมสะดุดหูชื่อของใครบางคนเข้า หันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเจ้าของชื่อนั้น แต่ไม่เห็นใครสะดุดตาเลยสักคน

...กาย

ทำไมผมรู้สึกคุ้นหูชื่อนี้พิกล

หรือว่าจะเป็นชื่อผมเอง?

พวกเราเดินเที่ยวกันอยู่ไม่นานก็เตรียมตัวกลับ

“เกือบลืมไปเลย! สาต้องไปซื้อสารส้มก่อน พี่ซันรออยู่นี่ก่อนนะ”
น้องสายื่นของที่ถืออยู่มาให้ผมหิ้ว ผมรับมาถือไว้งง ๆ

ผมเขยิบไปยืนรออยู่หลังร้านขายกิ๊ฟช็อป (จะได้ไม่ขวางทางคนอื่นเขาครับ ตัวผมใหญ่กินพื้นที่ทางเดินเล็ก ๆ น่าดู) ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล

ผมหยุดสายตาเอาไว้ที่คนคนนั้น ไม่แน่ใจว่าเพราะการแต่งตัวที่ดูเป็นคนเมือง หรือเพราะใบหน้าเศร้าสร้อยคล้ายคนจะร้องไห้แบบนั้น

เขายืนนิ่ง ทอดดวงตาคล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่างอยู่ แต่เขาไม่ได้มองมาทางผม

ผมรู้สึกคุ้นเคยยังไงพิกล

“กาย!!”

คนคนนั้นหันไปตามเสียงเรียก ผมหันไปมองตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งโบกมือเรียกเดินตรงเข้ามาหา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่เห็นคนชื่อกายพยักหน้า เดินตามชายคนนั้นไป ผมมองตามจนลับสายตา รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีจนผมต้องกุมมันไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ซัน”
น้องสาเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่ปวดหัวนิดหน่อย”

สาขมวดคิ้วมอง “สงสัยจะยังไม่หายดี แวะซื้อยากันสักหน่อยดีกว่า”

ผมพยักหน้าเดินตามน้องสาไป             

ขณะที่ผมยืนรอน้องสาซื้อยาอยู่ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นใครคนนั้นเข้าอีก เขายืนห่างจากผมไปอีกล็อก รู้สึกหัวใจผมเต้นแรงแปลก ๆ ผมมองใครคนนั้นแทบตาไม่กะพริบ หวังให้เขาหันมามองผมบ้าง

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะฮะ”
น้ำเสียงก็คุ้นเคยยังไงพิกล ผมกับเขายืนห่างกันแค่สองวาเท่านั้น

หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อคนคนนั้นกำลังจะหันมามอง

“กาย!”
แต่เสียงเรียกของใครอีกคนเบนสายตาและใบหน้าของเขากลับไปอีกด้าน แล้วคนคนนั้น ก็เดินตามเจ้าของเสียงนั้นไป

ความผิดหวังเข้าเกาะกุมจิตใจ

ไม่รู้ทำไม ผมถึงได้อยากให้เขาเห็นหน้าผมยังไงบอกไม่ถูก

ผู้ชายตัวขาว ๆ ที่ชื่อกาย



 

To Be Con....
  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:







Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM   

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รู้สึกสมใจผสมกับสะใจ ที่เอกตกระกำลำบากเสียบ้าง เอาหลาย ๆ ตอนเลยนะ ทำกายเจ็บมาหลายตอนแล้วนี้  :hao3:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
93
พรหมลิขิต
[กาย...♥]
Part 1





 
เหมือนโลกทั้งใบของผมพังทลายลงในพริบตา ผมตะโกนเรียกสุดเสียงตอนเห็นพี่เอกหายลับไป พอตั้งสติได้ ผมรีบวิ่งไปดู

แต่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว 

โลกของผมพังทลายลงมาแล้ว

พวกเรารีบเร่งแจ้งตำรวจและหน่วยกู้ภัยเพื่อตามหาพี่เอก แต่น้ำด้านล่างไหลเชี่ยวมากจากพายุฝนที่เพิ่งตกลงมาจากทางตอนเหนือ ทำให้การค้นหาเป็นไปได้อย่างยากลำบาก

และพวกเขา…ก็คว้าน้ำเหลว

จากชั่วโมงที่พวกเรารอคอยด้วยความหวัง ผ่านไปเป็นวันยิ่งร้อนรนห่วงหา จนเข้าวันที่สองที่สามก็ยังไร้ร่องรอย ยิ่งนานยิ่งท้อแท้ จนผ่านมาร่วมอาทิตย์ เราก็ยังหาพี่เอกไม่พบ

“กายกินข้าวหน่อยนะลูก”
ได้ยินเสียงเรียกจากแม่ ผมนอนอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก ในมือถือรีโมตกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ เผื่อว่าจะมีข่าวคราวพบเจอผู้ประสบภัยอะไรบ้าง 

“กาย”
แม่เรียกอีกครั้งเมื่อผมไม่ได้ขยับหรือตอบรับตามเสียงเรียก โซฟาข้างเอวยุบฮวบตามน้ำหนักที่ไม่มากนักของแม่ แม่ลูบหัวผมเบา ๆ

ผมละสายตาจากข่าวไปมอง

“กินข้าวหน่อยดีกว่านะ เมื่อเช้าก็ยังไม่ได้กิน แม่ไม่อยากให้กายป่วยนะลูก”

ผมมองหน้าแม่เลื่อนลอย

“แม่รู้ว่ากายเสียใจเรื่องเอก แต่กายก็ต้องมีชีวิตและมีแรงรอคอยข่าวสารนะลูก ถ้ากายป่วย แล้วเกิดพวกเราเจอเอกขึ้นมา กายกับเอกคงไม่ได้เจอกันอีก”
แม่พยายามหลอกล่อ ผมมองตาแม่อยู่พัก ก่อนยันตัวลุกขึ้นนั่งดี ๆ

“คุณ!…ลูกกินข้าวบ้างรึยัง”
ได้ยินเสียงพ่อดังมาจากทางหน้าประตู ผมกับแม่หันไปมอง เห็นพ่อยืนค้ำมือข้างหนึ่งไว้กับขอบประตู ส่วนอีกข้างพยายามดึงรองเท้าออกอยู่

ผมมองนาฬิกาข้างฝา เที่ยงกว่าแล้ว พ่อคงรีบกลับมากินข้าวกับผม พ่อเดินมาทิ้งตัวลงนั่งอีกด้าน ลูบหัวผมเบา ๆ ในขณะที่แม่ลุกเดินเข้าครัวไป

“ถ้ารอคอยแล้วมันทรมานมากนัก งั้นทำไมพวกเราไม่ลองไปตามหากันดูล่ะ”

ผมมองหน้าพ่อ

“ยังไม่พบศพ แปลว่ามีความเป็นไปได้สูงว่ายังไม่ตาย เรายังมีความหวังนะ เราลองเริ่มต้นตามหาจากจุดที่เอกเขาตกลงไป เผื่อมีใครเห็น แต่มาแจ้งข่าวไม่ได้ พ่อลองให้คนไปสืบข่าวดู แถบนั้นมีหมู่บ้านเล็ก ๆ เยอะมาก บางหมู่บ้านก็ตกสำรวจ ไม่ค่อยจะมีเครื่องมือสื่อสารหรือทีวีดู บางทีเอกเขาอาจบาดเจ็บกำลังรักษาตัวอยู่ หรือมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ออกมาแจ้งข่าวด้วยตัวเองไม่ได้ก็ได้”
พ่อบอกข้อสันนิษฐาน ผมรู้สึกวูบโหวงและทรมานใจยังไงพิกล 

“แม่เห็นด้วยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่ารอคอยอย่างทรมาน”
แม่ยื่นน้ำเปล่าเย็นฉ่ำให้พ่อแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม แม่ลูบหัวผมเบา ๆ

“ที่สำคัญ แม่ไม่อยากเห็นกายเป็นแบบนี้”

ผมมองตาแม่ เห็นแววความห่วงใยเต็มไปทั่วดวงตาคู่นั้น

พวกเรายังพอมีความหวังใช่ไหม

“ครับ ผมจะลองดู”

“งั้นกายต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะลูก พ่อทดลองอดมื้อเช้าแบบกายดู ทรมานสุด ๆ ไปเลย นี่กะว่าจะมากินข้าวกับกาย ถ้ากายยังไม่กินอีก พ่อคงต้องอดไปถึงมื้อเย็น งานนี้พ่อคงหมดหล่อ…จริงไหมคุณ”
ประโยคแรก ๆ พ่อพูดกับผมฮะ แต่ประโยคสุดท้ายบอกเลยไปทางแม่ ผมขำออกมาทันที

“พ่อไม่ได้พูดเล่นนะ ฟังเสียงเอาสิ”
พ่อให้พิสูจน์ โดยการพากันนั่งเงียบ ๆ

จ๊อก! โครก! คราก!

ชัดแจ๋วเลยครับ

“คุณ! มาทำแบบนี้ เดี๋ยวกระเพาะก็ถามหาหรอก”
แม่วีน

“โธ่คุณ ลูกยังทนได้เลย ผมก็ต้องทนให้ได้สิ”

“ทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ”
แม่งอนแล้วครับ ตาแดง ๆ แก้มป่อง ๆ จนทั้งผมทั้งพ่อต้องรีบเข้าไปกอด

“โธ่คุณ ผมจะกินข้าวแล้ว สงสารกระเพาะตัวเองเหมือนกัน แสบก็แสบ หิวก็หิว หงุดหงิดก็หงุดหงิด วีนลูกน้องไปหลายคนเลยวันนี้”

ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากจะทำร้ายตัวเองแล้ว ผมยังทำร้ายพ่อกับแม่ที่ห่วงใยผมอีกหาก โดยเฉพาะพ่อ ที่จงใจอดข้าวไปกับผมด้วย

“ป่ะ ไปกินข้าวกันได้แล้ว เก็บแรงไว้เยอะ ๆ เพราะเส้นทางที่เราต้องเดินทาง มันไม่ราบรื่นหรอกนะ ไม่มีทั้งถนน ทั้งไฟฟ้า ดีไม่ดี บางช่วงเราต้องเดินกันหลายสิบกิโลเลย พ่อทำเรื่องลางานไว้อาทิตย์หนึ่งสำหรับตามหาเอกโดยเฉพาะเลย”

ผมมองหน้าพ่อ 

นี่พ่อทำเพื่อพี่เอกขนาดนี้เลยเหรอ

ไม่ใช่สิ…

นี่พ่อ ทำเพื่อผมขนาดนี้เลยเหรอ…

มื้อนั้นผมกับพ่อเลยซัดข้าวกันจนหมดหม้อเลย (แม่โทรสั่งให้พี่วินซื้อข้าวมาเพิ่มด้วย ไม่พอครับ)

“เอาอีกไหมลูก”
แม่ถาม ผมตีพุงปุ ๆ ส่ายหน้าไปมา

“แล้วคุณล่ะคะ”
แม่หันไปถามพ่อบ้าง สภาพพ่อก็ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่ ตีพุงตัวเองปุ ๆ ให้แม่ดู

“ไม่ไหวแล้วคุณ ถ้าให้กินอีกคำ มันคงล้นมาถึงนี่”
พ่อชี้ไปที่คอหอยตัวเอง

“คุณ ช่วงนี้คุณออกกำลังกายบ้างรึเปล่าเนี่ย พุงยื่นแล้วนะ”
แม่หยิบเนื้อที่พุงขึ้นมาดู พ่อยิ้มแหะ ๆ

“ช่วงนี้ผมเร่งงานน่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะลางานตั้งอาทิตย์”

ผมสะอึก ก้มหน้าสำนึกผิด

“ขอโทษครับ”

พ่อลูบหัวผมเบา ๆ

“อย่าคิดมากนะลูก อะไรที่เราทำได้ เราก็ทำ แต่ก็ให้ทำใจเผื่อเอาไว้สักหน่อย ลูกจะได้ไม่เจ็บมาก”

ผมพยักหน้ารับคำ

พ่อกลับไปทำงาน ทิ้งให้ผมกับแม่เตรียมตัวเพื่อเดินทาง

ผมโทรไปหาพี่กิ๊ฟเพื่อใช้เส้นของพวกพี่แกในการลากิจที่มหา’ลัยเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ พอพวกพี่กิ๊ฟรู้ว่าผมจะไปที่ไหน พี่แกก็ขอร่วมขบวนไปด้วย ผมโทรบอกพ่อกับแม่พี่เอกด้วย พ่อถามว่ามีใครไปกับผมบ้าง ผมก็บอกว่ามีผม พ่อแม่ผมและพวกพี่ ๆ คุณพ่อกับคุณแม่เลยจะร่วมขบวนไปด้วย

น่าจะไปกันยกครัวนะนั่น

 

 






 

 

 

 

 

 

 

“คุณ!! เสร็จรึยัง”
พ่อตะโกนเรียก

“เสร็จแล้ว ๆ”
แม่วิ่งตึง ๆ ลงมาจากห้องนอน

วันนี้แม่ใส่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า กางเกงลายทหาร รองเท้าบูทหุ้มข้อสำหรับเดินป่า สวมหมวกแก๊ปรวบหางม้า ดูทะมัดทะแมงดี ด้านนอกสวมแจ็กเก็ตสีเขียวขี้ม้าเข้มกว่าสีเสื้อยืดด้านใน 

“คุณ จะไปรบกับใครเขาเนี่ย”
พ่อผมแซว

“รบกับคุณไง ต่างกันตรงไหนล่ะ”
แม่แซวกลับ ผมหลุดขำ หันไปดูทางพี่ผู้ชายหน้าหล่อเคราขึ้นข้าง ๆ วันนี้พ่อแต่งเท่ฮะ ออกแนวทหารราวกับนัดกันมา ยิ่งไว้หนวดไว้เคราบาง ๆ ดูขรึม ๆ แบบนี้ เหมือนท่านนายพลเลย

“เห็นคุณแล้วอยากกลับเข้าบ้านไปแต่งนิยายแนวทหารเลยแฮะ”
แม่พูดขึ้นมาลอย ๆ พ่อเลิกคิ้วสูง

แม่ไม่พูดอะไรต่อ เสหน้าแดง ๆ ไปด้านข้าง พ่อเลยหันมาทางผมแทน

“แม่เขาหมายความว่ายังไงลูก”
พ่อถามผม แต่ชี้นิ้วไปหาแม่ ผมยิ้ม

“แม่เขาคงอยากจะชมว่าพ่อน่ะทั้งหล่อทั้งเท่ เหมือนท่านนายพลเลย”

พ่ออมยิ้มเขิน

โดนเมียตัวเองชมทางอ้อมครับ

 

“ลูกพ่อก็หล่อเหมือนกัน”
พ่อลูบหัวผมเบา ๆ ผมไม่ได้แต่งทหารเหมือนพ่อกับแม่หรอก แค่ใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินด้านใน ด้านนอกเป็นแจ็กเก็ตสีเขียวเข้มกับกางเกงยีนสีซีดธรรมดา กันหน้าพังด้วยหมวกแก๊ปอีกนิดหน่อย และตบท้ายด้วยรองเท้าเดินป่า

พวกเรานัดเจอกันหน้าบ้านพี่เอก งานนี้พ่อพี่เอกจะออกค่าใช้จ่ายให้พวกเราทั้งหมดเลย เกรงใจอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นความคิดของครอบครัวผม แต่ท่านบอกว่ายินดีมากกว่า เพราะจะมีคนมาช่วยตามหาพี่เอกเพิ่มขึ้น

พอพวกเราไปถึง พวกพี่ ๆ ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันหมดแล้ว ทั้งพี่มอ พี่โอม พี่โอ๊ค พี่ปิง พี่อิง พี่อ้อย พี่สาว และพี่กิ๊ฟ จะขาดก็แต่พี่เป้เท่านั้นแหละ แต่พี่เป้ส่งตัวแทนมาครับ
 

“ไงมึง จะไปทำไมไม่ชวนกูสักคำ”
มันต่อว่าทันทีที่ผมก้าวลงจากรถ

“กูไม่ได้ไปเที่ยวนี่”

“กูรู้ แต่นี่สำคัญยิ่งกว่าการไปเที่ยวซะอีก มึงต้องคิดถึงกูเป็นคนแรก ไม่ใช่ให้กูรู้เป็นคนสุดท้ายแบบนี้”
มันพูดงอน ๆ ผมเดินไปผลักไหล่มันเบา ๆ

“เฮ้ย โทษทีนะเพื่อน กูไม่คิดจะลืมมึง แต่กูแค่เกรงใจ ไม่อยากพามึงไปลำบาก แล้วอีกอย่างงานนี้ เราอาจต้องเดินทางกันดึก ๆ ดื่น ๆ กูกลัวมึงจะไม่ไหว”

มันพยักหน้าเข้าใจ

“กูไม่รับปากหรอก ว่ากูจะไหวไม่ไหว แต่กูจะพยายาม พวกทโมนยังทำได้เลย”

ผมอมยิ้ม

“ถ้ามึงมั่นใจ กูก็โอเค”

“แต่กูยังงอนมึงไม่หายที่ไม่เล่าให้กูฟัง แล้วนี่มึงคิดจะบอกกูเมื่อไหร่”
มันไล่บี้อีก

คือมันกะทันหันน่ะ พอพ่อบอก พวกผมเตรียมตัว โทรหาพี่กิ๊ฟ โทรบอกคุณพ่อคุณแม่พี่เอก แล้วก็พากันมาเลย ลืมนึกถึงมันไปจริง ๆ

“เฮ้ยเต้ย กูขอโทษ มันฉุกละหุกจริง ๆ”
มหกรรมง้อยังมีต่อไป ตอนนี้ทุกคนพากันเงียบมองมาที่ผมกับไอ้เต้ยกันหมด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งครับ

“ไม่เป็นไร งั้นมึงเอาขนมมาง้อกูหนึ่งห่อ”
มันแบมือมาขอหน้าตาย ผมอ้าปากเหวอ ตีมือมันไปป้าบใหญ่

“ไอ้เชี่ย!! ไอ้งก กูก็คิดว่ามึงจะงอนกูจริง ๆ”

ผู้คนที่ยืนอยู่รอบด้านพากันหัวเราะร่วน ดึงบรรยากาศอึมครึมเมื่อกี้ให้หายไปเลย ผมยิ้มให้มันนิดหนึ่ง

“ขอบใจมากนะมึง”
ที่ทำให้กูหัวเราะได้หลังจากไม่ได้หัวเราะมานาน

“ไม่เป็นไร เพิ่มเป็นสองห่อ”
มันแบบมือมาสองข้าง ผมตีเพี้ยะอีกที ตามด้วยเบิ้ดกะโหลก

กูว่ามึงไม่ตลกล่ะ ท่าทางอยากได้ขนมจริง ๆ มากกว่า

“เอ้อ ๆ ระหว่างทางกูจะซื้อให้ละกัน คนที่บ้านให้อาหารไม่พอรึไง ถึงต้องมาเห่ามาหอนหาของกินข้างนอกแบบเนี้ย”
หมาครับ หมาในปากผมเริ่มอาละวาดแล้ว สงสัยจะเก็บกด ไม่ได้เห่าได้หอนมานาน

“มึง หมาอย่างกูเป็นพันธุ์หายากนะ ไม่รีบรับเลี้ยงมึงจะเสียใจ”
มันว่าหน้าเชิด ผมจับหลังหูมันเบา ๆ

“อะไร”
มันขมวดคิ้วถาม

“ขี้กลากขึ้นว่ะ สงสัยกูต้องจับมึงอาบน้ำด้วยน้ำยาชิลกี้แล้วล่ะ”

“ไอ้สาด”
แล้วมันก็ไล่ตื้บผมจนทุกคนพากันหัวเราะร่วนอีกระลอก

ผมรู้ว่าคุณแม่นั่งร้องไห้คิดถึงพี่เอกทุกวัน(พวกทโมนโทรรายงานแม่ผมตลอด แล้วแม่ก็มากรอกหูผมอีกที) อย่างน้อย ผมก็อยากทำให้ทุกคนได้ผ่อนคลายบ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม 

“เอาล่ะ ทุกคนพร้อมนะ!!”
พ่อผมตะโกนถาม ทุกคนขานรับ

พ่อกับแม่ผมแต่งตัวแนวลุย ๆ แต่พ่อกับแม่ของพี่เอกแต่งตัวแนวธรรมดาครับ พ่อใส่เสื้อยืดโปโล กางเกงยีนหนาหน่อยกับรองเท้าเดินป่า ไม่ต่างกับแม่ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนรองเท้าเดินป่าเหมือนกัน

หันไปมองสองหนุ่มที่ทำให้หัวใจผมเจ็บแปลบ เพราะใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคนที่พวกเราต้องการตามหา สองหนุ่มแต่งตัวคล้ายกันคือเสื้อยืดกางเกงยีนเหมือนกัน

“หยุดร้องไห้ได้แล้วน่าแอม”

“ก็เขาคิดถึงพี่เอกนี่”

“เดี๋ยวก็เจอ”
พวกทโมนเดินออกมาจากบ้านกันเป็นกลุ่มสุดท้าย พอเห็นผมเท่านั้นแหละ ก็พากันวิ่งเข้ามากอดหมับทันที
“พี่กาย เราจะเจอพี่เอกกันไหมคะ”

“แล้วพี่เอกจะปลอดภัยไหม”

“ไอกลัวจังเลย”

ผมลูบหลังพวกน้อง ๆ ตัวเองก็ยังเอาตัวแทบไม่รอดแล้วจะไปปลอบใจใครได้ แต่ผมแอบยืมการปลอบใจของแม่มาใช้นิดหน่อย

“พวกเราต้องมีความหวังนะ”

น้อง ๆ เงยหน้ามอง ผมเช็ดน้ำตาให้น้องแอมเบา ๆ 

“จนกว่าจะเจอพี่เอก ห้ามร้องไห้เด็ดขาดนะ ไปร้องต่อหน้าพี่เขาก็พอ”
พอผมพูดจบปุ๊บ น้องแอมก็ซู้ดน้ำมูกแรง เช็ดน้ำหูน้ำตาตัวเองออกพยักหน้ารับ

“ดีมาก เอาล่ะ สู้ ๆ”
ผมกำหมัดฮึดสู้ น้อง ๆ ทำตาม

ผมหวังแค่ว่าในหนึ่งอาทิตย์นี้ พวกเราจะได้ข่าวอะไรที่เกี่ยวกับพี่เอกบ้าง
 

 

 

 

 

 

 

 

พวกเราเริ่มต้นตามหากันตั้งแต่หมู่บ้านแรกล่องลงไปตามแม่น้ำทั้งสองฟากฝั่ง เราแยกออกเป็นสองทีมเพื่อความรวดเร็ว ถ้าเจอข่าวก็ให้ติดต่อกันทางมือถือ หรือถ้าจุดไหนไม่มีคลื่นก็ให้ใช้วิทยุติดต่อสื่อสารแทน (พ่อพี่เอกลงทุนให้ครับ)

พวกเราตามหากันแบบละเอียดยิบ อย่างน้อยถ้าพี่เอกไม่มีชีวิตแล้ว เราก็อยากได้ศพกลับบ้านก็ยังดี

ผมทำใบปลิวตามหาคนหายและรายละเอียดติดต่อกลับติดตัวมาด้วย เผื่อเอาไปแจกให้พวกชาวบ้าน

เราสอบถามกันทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทั่วไปว่ามีบ้านไหนเรือนไหน เห็นคนจมน้ำ หรือพบศพคนแปลกหน้าบ้าง สามสี่หมู่บ้านที่ผ่านมา เรายังหากันไม่พบ จะว่าโล่งอกก็โล่งอก จะว่าใจปิ๋วก็ใจปิ๋ว

แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อ ตั้งหน้าตั้งตาหากันต่อไป เดินเท้าบ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง รถกระบะบ้าง ตามแต่พื้นที่จะเอื้ออำนวย
 
ผ่านมาสามวันแล้ว พวกเราทั้งเหนื่อยและท้อ แต่ไม่มีใครคิดจะถอย เรามีเวลาเหลือกันอีกสี่วันเท่านั้น
















 

 

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นดิน ยกเข่าขึ้นกอดไว้หลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย รอบด้านสว่างจ้า พระจันทร์และดวงดาวแข่งกันสาดแสงอยู่ด้านบน

“พี่เอก”
ผมยกจี้ขึ้นมาจูบเบา ๆ

“พี่ต้องปลอดภัยนะฮะ”
ผมฝากคำขอผ่านดวงจันทร์ไปให้พี่แก

ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปมอง

ใจผมวูบไปชั่วขณะ แต่ความจริงก็คือความจริง ผมอยากให้คนใดคนหนึ่งที่เดินมาเป็นพี่เอกมากกว่า พวกเขาทั้งคู่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ 

“ไม่เป็นไรนะ”
พี่อิฐลูบหัวผมเบา ๆ ผมเพียงยิ้มอ่อนตอบรับ

ร่างกายน่ะ ไม่เป็นไร แต่หัวใจผมนี่สิ รู้สึกโหวง ๆ แหว่ง ๆ ยังไงพิกล

“พี่มั่นใจนะ ว่าพี่เอกยังปลอดภัยอยู่”
พี่อิฐบอก

“รู้ได้ไงละฮะ”

“ลางสังหรณ์น่ะ”
อันนี้พี่อาร์ตเป็นคนบอก ผมหันไปมอง

“พวกพี่หกคนพี่น้องลางสังหรณ์ดีกันทุกคน”

“มั่นใจได้แค่ไหนครับ”

“ถ้ามันยังไม่เน่าซะก่อนก็ล้านเปอร์เซ็นต์” พี่อาร์ตบอก ก่อนทำสายตาเจ้าเล่ห์มองตาผม “แต่ถ้าพี่เอกเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ พี่ก็ถือว่าพี่เอกทำบุญมาแค่นี้ สมบัติที่พี่เอกต้องได้ รวมถึงเมีย พี่จะได้รับช่วงมาดูแลต่อ”
พี่มันพูดทีเล่นทีจริงซะทำเอาผมสะดุ้งเลย

แม่ม ยังไม่เลิกคิดจะงาบกูอีกเหรอวะ

พี่มันหัวเราะหึ ๆ ผมนั่งเสียวสันหลังวาบ ๆ ก่อนหันไปสนใจพระจันทร์ด้านบนแทนคนสองคนที่ได้แท่นพิมพ์มาจากคนคนเดียวกัน

           
To Be Con....

คนเราเมื่อคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน
คิสยู คิสเลิฟ ^^
             




Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM               

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสารกายนะ แต่ก็สะใจกับเอก หายไปก่อนนะเอก สัก 4-5 ตอน  :hao3:

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
บทลงโทษพระเอ :ling3: :ling3: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สงสารกาย อย่าเพิ่งท้อนะ

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
 

93
พรหมลิขิต
[กาย...♥]
Part 2

 
วันนี้พวกเรามาเดินตามหาพี่เอกกันในตลาดครับ เป็นตลาดประจำเดือนของหลายหมู่บ้านในแถบนี้แหละ เท่าที่รู้มา ผู้คนจากทุกหมู่บ้านจะพากันเอาข้าวของมาขาย (ค่าที่ฟรีครับ) มีของทุกอย่าง พวกเราแยกย้ายกันตามหา ใบปลิวที่ผมทำมาหมดแล้ว เลยใช้วิธีถือกันคนละใบเพื่อสอบถามผู้คนกันแทน

คนเยอะแบบนี้ ผมหวังให้มีใครสักคนรู้ข่าวบ้าง

“พี่ซัน”
ได้ยินเสียงเล็กใสเรียกใครบางคนด้านหลัง ผมไม่ได้หันไปมอง เพราะกำลังสอบถามเรื่องพี่เอกจากคนขายผักอยู่ ที่นี่เป็นตลาดที่คล้ายถนนคนเดินนั่นแหละ ร้านค้าจะตั้งไว้สองข้างทาง เว้นพื้นที่ตรงกลางให้ผู้คนเดินกันได้ประมาณ 4 แถว   

“สาว่าน่าจะซื้อที่โกนหนวดอันใหม่ให้พี่ด้วยดีกว่า หนวดเคราขึ้นครึ้มหมดแล้ว”
เสียงเล็ก ๆ น่ารักว่าต่อ ผมกำลังจะหันไปมอง

“ไม่มีหรอกพ่อหนุ่ม คนหน้าตาโดดเด่นขนาดนี้ เห็นปุ๊บต้องรู้ปั๊บอยู่แล้ว”

ผมรีบหันกลับมามองคนพูดทันที

“ครับ ขอบคุณมากครับ ถ้าเจอยังไง ฝากติดต่อมาที่เบอร์นี้ด้วยนะครับ”
ผมยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ทำจากกระดาษเอสี่ตัดแบ่ง เขียนเพียงชื่อและเบอร์โทรลงไปเท่านั้น
 
หมดหวังไปอีกรายแล้ว

ผมถอนใจเบา ๆ เดินไปถามคนที่ร้านอื่นต่อ ผมเดินตรงไปยังร้านขายน้ำปั่น ข้างกันเป็นร้านขายพวกกิ๊ฟช็อปสำหรับผู้หญิง ผมยื่นใบปลิวพร้อมสอบถาม แต่คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิม

เหนื่อยครับ หิวแล้วด้วย ผมสั่งโอวัลตินปั่นแล้วยืนกินแก้กระหายอยู่ตรงนั้นแหละ

“พี่ซัน อันนี้น่ารักไหม”

ผมหันไปมองเจ้าของเสียงน่ารักอีกครั้ง เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนหันหน้ามาทางผม กำลังติดกิ๊ฟแหงนหน้าให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินตัวโคร่งกับกางเกงผ้าสีดำดูอยู่

เจ้าของร่างนั้นตัวใหญ่เอามาก ๆ ทำให้ผมนึกถึงพี่เอกขึ้นมาเลย ผมมองเสี้ยวหน้าของชายคนนั้น แต่ไม่ชัดครับ เพราะใส่หมวกมีปีกเก่า ๆ บดบังเอาไว้ หนวดเคราขึ้นครึ้มจนดูน่ากลัว

ผมเห็นด้วยกับน้องคนนั้นนะ ว่าเขาควรจะโกนหนวดโกนเคราออกซะที

ชายคนนั้นไม่ได้ตอบ แต่หยิบอีกอันมาติดให้แทน น้องคนนั้นดูดีใจมาก พวกเขาจ่ายเงิน แล้วเดินไปดูของที่ร้านอื่นกันต่อ

“กาย แถบนี้ไม่มีเลย เราไปแถบนู้นกันดีกว่า”

ผมละสายตาจากคนทั้งคู่หันไปมอง

เราจะยอมแพ้กันไม่ได้ฮะ ยังไงผมก็อยากให้พวกเราเจอพี่เอกกันเร็ว ๆ

 

 

พวกเรากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ดูสภาพใบหน้าของแต่ละคนแล้ว คงไม่ต้องถามหรอกว่าเจอกันหรือเปล่า

“ไม่เป็นไร ยังเหลืออยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง”
พวกเรามองแผนที่ที่เหลือด้วยความหวัง

พอรุ่งสาง พวกเราก็พากันออกเดินทางทันที เป้าหมายคือหมู่บ้านสุดท้ายที่อยู่ในแผนที่ พวกเรากระจายตัวกันไปสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านเหมือนเดิม

“เคยได้ยินมาว่า มีเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางป่ามาแจ้งเอาไว้ว่าพบคนพลัดตกน้ำลอยมาติดฝั่ง ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ลองไปถามพ่อผู้ใหญ่ของหมู่บ้านนั้นดูละกัน”

ข้อมูลที่เราได้มาล่าสุดจากชาวบ้าน พาเอาความหวังที่แทบสูญสิ้นเริ่มกลับคืน พวกเรารีบสอบถามเส้นทางเพื่อไปบ้านผู้ใหญ่ของหมู่บ้านนั้น มันไกลเอาการอยู่ครับ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตกสำรวจ ไม่มีในแผนที่เรา

ถ้าจะไปต้องงมทางกันนิดหน่อย เราสอบถามเส้นทางกันไปเรื่อย ๆ แต่ยังไม่ทันจะถึง เราก็ต้องพักกันก่อน เพราะมันมืดแล้ว เสี่ยงเกินไปที่จะเดินทาง

ส่วนคนใจดีที่ให้ที่พักพิงเรา ก็ชาวบ้านที่บอกทางเราคนล่าสุดนั่นแหละ (พวกเราเอาเต็นท์มากันครับ ขอให้มีพื้นที่กว้าง ๆ กับน้ำให้อาบก็พอ) 

พอรุ่งสางพวกเราก็เตรียมตัวกันแต่เช้าตรู่ คุณพ่อให้สินน้ำใจคุณลุงเจ้าของบ้าน แต่แกไม่เอา บอกว่าเป็นคนไทย เรื่องแค่นี้ ถือว่าช่วย ๆ กันและอวยพรให้พวกเราเจอพี่เอกด้วย พวกเรากล่าวขอบคุณกันยกใหญ่

เพราะสิ่งที่แกให้ ไม่ใช่เพียงแค่ที่พัก อาหารหรือเครื่องดื่ม แต่เป็นน้ำใจงาม ๆ ที่หาได้ยากแล้วในสังคมเมืองกรุง

ยังดีที่ทางไปบ้านผู้ใหญ่ยังพอเดินรถได้ (แต่ลำบากครับ) พวกเราเลยเหมารถของชาวบ้านแถบนั้นเพื่อเดินทาง พอไปถึง พวกเรารีบเข้าไปสอบถามกันยกใหญ่

“ใช่แล้วล่ะ บ้านตาหลาน่ะ เขาเจอคนจมน้ำลอยมาติดฝั่ง รายละเอียดมีไม่มาก พอดีผมไม่อยู่ มีแต่เด็กรับเรื่อง และใบที่จดรายละเอียดไว้หายไปไหนก็ไม่รู้ กะว่าถ้าเขามาแจ้งความคืบหน้าอีก ก็จะขอเอาไว้ ที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือ เป็นผู้ชาย ตัวสูงใหญ่ ได้รับบาดเจ็บมา นอกนั้นก็จำอะไรไม่ได้”

พวกเราพากันดีใจ อย่างน้อยข้อมูลคร่าว ๆ ที่ได้มาก็มากพอให้พวกเรามีความหวังและมั่นใจว่าน่าจะใช่พี่เอกแน่ ๆ

เส้นทางการไปบ้านหลังนั้นรถใหญ่ขับไปไม่ได้ เราต้องเดินเท้าอย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดจะยอมแพ้เลยแม้แต่คนเดียว พวกเราพากันเดินเท้ากันไปตามเส้นทางของป่าเขา โดยมีคนนำทางเป็นลูกบ้านแถวนั้นแหละ

เส้นทางร่วมสิบกิโลจากการเดินเท้า พาเอาพวกเราต้องพักแล้วพักอีกด้วยความเหน็ดเหนื่อย และตอนสายของวันนั้น พวกเราก็เดินทางมาถึงบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง

“สงสัยตาหลากับยายสมจะเข้านา คงต้องรอกันไปก่อน”
คุณลุงคนนำบอก พอดีคุณลุงเขาต้องกลับไปดูแลนาต่อ ลุงแกเลยขอตัวกลับก่อน คุณพ่อก็ให้สินน้ำใจตอบแทนไป พวกเรารีบแยกย้ายกันเดินสำรวจไปรอบ ๆ ตัวบ้านทันที

ลักษณะบ้าน เป็นบ้านไม้เก่า ๆ ยกสูงจากพื้นประมาณเท่าไหล่ผม มีบันไดเก่า ๆ ที่พี่มอกำลังถือวิสาสะก้าวขึ้นไปเช็คดูภายใน ตัวบ้านมีชานยื่นออกมา ลานหน้าบ้านเตียนโล่ง มีต้นมะม่วงและต้นขนุนให้ความร่มรื่น หน้าบ้านดูสะอาดสะอ้านจากการดูแลอย่างดีของเจ้าของบ้าน

ดูสวยจนผมอดใจไม่ไหว เผลอหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปไว้ตั้งหลายแชะ

ใต้ถุนบ้านมีอุปกรณ์การหาปลาหลายชนิดแขวนอยู่ มีแหที่กำลังถักค้างไว้ตรงเสาเรือน มีแคร่ขนาดห้าคนนั่งวางอยู่ และมีแคร่ขนาดใหญ่ขนาดสิบคนนั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงอีกที

“เจอชุดไอ้เอกอยู่ข้างในแน่ะ!!”
พี่มอโผล่หน้าออกมาพร้อมชุดพี่เอกในมือ พวกเรายิ้มออกกันทันที แม่รีบวิ่งขึ้นเรือนไปรับเสื้อมาดู

“ใช่ของตาเอกจริง ๆ ด้วย!!”
แม่บอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปะปนดีใจ มันเป็นชุดที่พี่เอกใส่ตอนพลัดตกเหวมานั่นแหละ

พวกเราพากันดีใจ รีบสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน ก็เจอรองเท้ากับนาฬิกาที่พี่เอกใส่ตอนล่าสุด คราวนี้พวกเรามั่นใจกันมากว่าพี่เอกต้องอยู่ที่นี่แน่ ๆ

แต่ผมสงสัยอยู่อย่าง ผ่านมาสองอาทิตย์ ทำไมพี่เอกถึงไม่ติดต่อกลับบ้างเลย ถ้าบาดเจ็บจนไม่ฟื้น ก็น่าจะนอนพักอยู่บนเรือน

คาดเดายากครับ ยังไงก็คงต้องรอให้พี่มันกลับมาอย่างเดียวเท่านั้น

พวกเรานั่งรอกันกระทั่งผ่านไปถึงสี่โมงเย็น ถึงได้เห็นคุณยายคนหนึ่งเดินกลับมา คุณยายดูตกใจไม่น้อย ที่เห็นคนแปลกหน้าเกือบยี่สิบชีวิตรอบบ้าน

ผมรีบถลาไปหาคุณยายทันที

“คุณยาย!! พี่เอก!! เจ้าของชุดนั้น คนที่ตกน้ำ แกอยู่ที่ไหน”
ผมเรียบเรียงประโยคถามแทบไม่ถูก คุณยายทำหน้าตื่นกลัวผสมงุนงงมองผม ก่อนมองไปยังผู้คนที่เหลืออีกที จนไปหยุดอยู่ที่พี่อาร์ตกับพี่อิฐ 

“มาตามหาพ่อซันกันใช่ไหม” คุณยายคาดเดา “ตอนนี้กำลังซ่อมฝายอยู่ที่ท้ายเหมืองนู่นแน่ะ อีกไม่นานก็กลับแล้วล่ะ”

“ไปยังไงฮะยาย ผมจะไปตามหาพี่เขา”
คุณยายดูตกใจไม่น้อยกับความกระตือรือร้นของผม

“ก็ตรงไปทางนี้แหละ ลัดเลาะไปตามคันนากับร่องน้ำนะ เดี๋ยวก็เจอ”

ผมรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่คุณยายบอกทันที

“แม่ไปด้วย!!”
เสียงคุณแม่เรียก แต่ถูกคุณพ่อห้ามเอาไว้ 

“คุณรอก่อนเถอะ ให้ตากายไปตามคนเดียวก็พอแล้ว”

ผมไม่ได้สนใจอะไรอีก รีบวิ่งลิ่ว ๆ ไปตามทาง

ระหว่างทางเห็นคุณตาแก่ ๆ คนหนึ่ง เดินหิ้วของมา ผมรีบวิ่งเข้าไปหาทันที

“ขอโทษนะครับคุณตา ไม่ทราบว่าพี่เอกอยู่ไหน”
ผมรีบละล่ำละลักถาม คุณตาทำท่างง ๆ

“ใครเรอะพ่อหนุ่ม”

“ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ที่ถูกคนบ้านนั้นช่วยเอาไว้จากการจมน้ำน่ะฮะ”

“พี่ซันน่ะเหรอ”
สาวน้อยแก้มเปื้อนดินเอียงหัวผ่านคุณตามาถาม พอดีเรายืนอยู่บนคันนาเลนเดียว น้องยืนอยู่ด้านหลังคุณตาอีกที หน้าตาน้องคุ้นเอามาก ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

“พี่แกกำลังซ่อมเหมืองอยู่นู่นแน่ะ เดี๋ยวก็ตามมาแล้ว”

ผมรีบขอทางวิ่งลิ่ว ๆ ไปตามเส้นทางที่น้องบอกทันที

ผมวิ่งบนคันนาไปเรื่อย ๆ จนเห็นเส้นทางของน้ำ ผมวิ่งเรียบลำน้ำต่อไป จนเห็นร่างของใครบางคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในน้ำที่สูงเพียงสะโพก ผมหยุดเท้าตัวเองไว้ ยืนหอบหายใจแรง จ้องมองเรือนร่างสูงใหญ่คุ้นตา

ร่างสูงภายใต้ชุดม่อฮ่อมสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว ตั้งแต่ช่วงอกลงไปเปียกน้ำหมด ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกสานจักตอกเก่า ๆ ผิวเนื้อดูคล้ามแดดจนจะกลายเป็นสีแทนเข้ม

หัวใจผมเหวี่ยงแทบไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจว่าเพราะเหนื่อยจากการวิ่ง หรือเพราะกำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอคนที่ตามหามานาน

จุดที่ผมยืนอยู่ เป็นสี่แยกให้น้ำไหล เพื่อปล่อยน้ำไปตามทุ่งนา เส้นทางที่ผมยืนอยู่ ไม่มีสะพานเพราะมันพังไปหมดแล้ว ผมต้องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อไปหาคนคนนั้น

แต่ผมยังไม่แน่ใจ ว่าคนตรงนั้นจะใช่พี่เอกหรือเปล่า นอกจาก…

“พี่เอก!!”
ผมเรียกเสียงดังตัดกับเสียงน้ำที่กำลังไหลหลาก ชายคนนั้นชะงัก หันมามอง และทันทีที่ผมเห็นหน้า ผมรีบก้าวเท้าข้ามสะพานเก่า ๆ นั้นไปทันที

“ระวัง!! อย่าวิ่ง!!”




To Be Con...

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
เจอกันแล้ววว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่อยากให้เจอกันเลยอ่ะ ยังเคืองอีพี่เอกไม่หาย นี่ก็คงจำน้องไม่ได้แน่ ๆ  :m16:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
94
เจอ
[เอก...☼]





 

ผมกำลังเสียบไม้กับผนังดิน เพื่อสร้างฝายน้ำเล็ก ๆ กันไม่ให้ปลามันว่ายหนี
 

“พี่เอก!!”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมอง

แปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะคนที่ผมเคยเห็นในตลาดวันนั้น มายืนอยู่บนสะพานไม้เก่า ๆ ห่างจากผมไปไม่ไกล และคนคนนั้นกำลังจะออกวิ่งเพื่อข้ามสะพานไม้ผุ ๆ ไปยังอีกฟากเพื่อตรงมาหาผม สะพานนั้นมันเก่ามากแล้ว เดินเบา ๆ ก็แทบจะหัก ถ้าวิ่งขนาดนั้นมีหวัง…

“ระวัง!! อย่าวิ่ง!!”
ผมรีบตะโกนห้าม

แต่ช้าไปแล้ว…

สะพานไม้หักลงกลางคัน คนคนนั้นเสียหลักตกลงไปในน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว และร่างนั้นกำลังไหลตามน้ำมาทางผม ผมรีบกางขาไว้ที่พื้นเป็นหลักยึด กางแขนออกกว้างรอรับ และทันทีที่ร่างนั้นไหลมาถึง ผมรีบโอบสองแขนรอบเอวไว้ทันที

คนในอ้อมแขนไอค๊อกแค๊กเกาะผมแน่น คงกินน้ำเข้าไปหลายอึก น้ำมันไหลแรง ต่อให้ว่ายน้ำเป็น ก็คงตั้งตัวไม่ทัน ผมตบหลังเบา ๆ ช่วยไล่น้ำ

สัมผัสมันดูคุ้นเคยยังไงพิกล

“ไม่เป็นไรนะ” ผมถาม 

“พี่เอก พี่เอกจริง ๆ ด้วย!”
พอตั้งสติได้ มันก็รีบละล่ำละลักพูด สองมือขาว ๆ จับหน้าจับหัวผมไปมา ผมมองคนตรงหน้างง ๆ

“พี่เอก พี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า!”

ผมไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่ผมรู้สึกผูกพันยังไงบอกไม่ถูก ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบหรือถามอะไรกลับ ไอ้คนตรงหน้าก็ยืดตัวขึ้นมาจูบผมแล้ว

...ผมยืนอึ้งอยู่กับที่

ผมรู้ว่าควรจะปฏิเสธ เพราะผมเป็นผู้ชาย และไอ้คนตรงหน้านี้ก็เป็นผู้ชายด้วยเหมือนกัน แต่ผมกำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ผมขยับปากบดเบียดตอบรับปากแดง ๆ ของมัน ซ้ำยังทะลวงลิ้นเข้าไปเกี่ยวลิ้นมันภายในด้วย ร่างกายมันนำไปเองครับ

เหมือน ๆ ผมเคยทำแบบนี้กับมันมาก่อน ผมไม่รู้ ผมบอกไม่ถูก รู้แค่ว่าตอนนี้ ผมกำลังหลงใหลรสจูบของมัน

ผมไม่รู้ว่าเรายืนจูบกันอยู่นานแค่ไหน แต่รู้แค่ว่า ยิ่งจูบยิ่งรู้สึกมึนเมา และร่างกายกำลังมีปฏิกิริยาตอบสนอง

คนตรงหน้าค่อย ๆ ถอนปากออกมามอง 

“ผมคิดถึงพี่นะ คิดว่าพี่จะไม่รอดซะแล้ว”
มันกอดคอผมแน่น ผมค่อย ๆ รั้งลมหายใจตัวเองกลับ ก้มหน้ามองมัน

“นายเป็นใคร”
คำถามผม พาเอามันรีบดันตัวออกไปมองหน้าผมงง ๆ ทันที 

“พี่เอก…”

“นั่นชื่อผมเหรอ”

มันยิ่งมีสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่

“พี่เอก เกิดอะไรขึ้นกับพี่!”
มันถามเสียงตื่น

“ไม่รู้เหมือนกัน ลอยน้ำมา จำอะไรไม่ได้เลย”

มันมองผมอึ้ง ๆ ผมมองตอบ สองมือผมยังคล้องอยู่ที่เอวมันอยู่

ไม่อยากปล่อยมือครับ ไม่รู้ทำไม

“พี่จำผมได้ไหม”

ผมส่ายหน้า

มันเบะหน้าทำท่าจะร้องไห้

ผมชะงัก อารมณ์นั้นคิดได้อย่างเดียว

น่ารักวุ้ย

บางส่วนของผมตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้ตัวเล็กมันไม่ได้สนใจครับ คงกำลังช็อกที่ผมจำมันไม่ได้

“ผมกายไง ผมเป็น…”
มันหยุดคำพูดไว้ หน้าแดงหน่อย ๆ ทำท่าเหมือนอยากพูดแต่พูดไม่ออก

“เป็น...?”
ผมทวนคำถาม มันก้มหน้า

“เป็นอะไร”
ผมถามอีกที มันเงยหน้าแดง ๆ ขึ้นมามอง

“เป็น…แฟน”

ผมเลิกคิ้วสูง

“แฟน?”

มันพยักหน้า

“กับผู้ชาย?”

มันพยักหน้าอีกที

ผมขมวดคิ้ว ละมือจากเอวมันข้างหนึ่งมาลูบหน้าตัวเองเบา ๆ

นี่กูเป็นเกย์หรือวะเนี่ย

ผมมองคนตรงหน้าอีกที มันก็ไม่ได้ดูเป็นตุ๊ดหรือเป็นกะเทยนี่หว่า แล้วทำไมมาชอบผู้ชายด้วยกันได้วะ

หรือว่าผมเอง ที่เป็นตุ๊ด?

“พี่จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
มันขมวดคิ้วถามย้ำอีกที ผมส่ายหน้า มันทำสีหน้าลำบากใจ

“แล้วพี่ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม”

ผมส่ายหน้า มันถอนหายใจเบา ๆ กวาดมองมาทั่วใบหน้าผม ผมเผลอลูบคางตัวเองด้วยความประหม่า ไม่รู้มันพูดจริงไม่จริงเรื่องที่ผมเป็นแฟนมัน แต่พอรู้ว่าแฟนตัวเองมายืนมองแบบนี้ มันก็แอบเขินอยู่เหมือนกัน หัวใจเต้นแรงด้วย รู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก

แล้วผมหล่อพอรึยังวะ เมื่อเช้าน้องสาโกนหนวดโกนเคราให้ แต่ไม่ได้เอาออกหมด เหลือไว้เป็นเคราบาง ๆ (น้องสาบอกว่า ไว้แบบนี้แล้วดูเท่สมชายดี)

มันก้มหน้า แก้มแดงปลั่ง

แล้วตกลงมึงชอบหรือไม่ชอบวะ

“พี่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
มันซบหน้ากับอกผม ยิ่งทำแบบนี้ใจผมยิ่งเต้นแรงเข้าไปใหญ่ มือไม้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหน เลยวางเอาไว้…

บนเอวของมันเหมือนเดิมนั่นแหละ

มันเงยหน้ามองผมอีกที

“ผมว่า เรารีบกลับกันก่อนดีกว่า พ่อแม่ น้อง ๆ แล้วก็เพื่อน ๆ ของพี่รอกันอยู่”

ผมพยักหน้า

“แต่รอแป๊บนะ ขอทำฝายให้เสร็จก่อน”

มันมองไปยังฝายที่ผมกำลังทำอยู่ พอดีเมื่อกี้เศษไม้จากสะพานที่หักมันไหลมากระทุ้งฝายที่อุดไว้ไหลหนี คงต้องเซตกันใหม่ มันพยักหน้า

“ผมจะช่วย”

ผมพยักหน้า ดึงไม้และเศษหญ้าแห้ง ๆ มาอุด โดยมีมันมาช่วยอยู่ข้าง ๆ

เนื้อตัวพวกเราเปียกมะลอกด้วยกันทั้งคู่ มันพยายามดันไม้อัดเข้ากับผนังดินด้านข้าง ผมเดินไปขนาบหลังมันและช่วยดันอีกที

ผมก้มมองคนตัวเล็กกว่านิดหน่อย รู้สึกหวิว ๆ แปลก ๆ กับการยืนท่านี้ยังไงพิกล ใจก็เต้นตึกตัก ผมมองแผ่นหลังเปียกปอนแนบเนื้อไล่ลงไปถึงสะโพกกลมมน และร่องก้นที่เปียกน้ำจนแนบเนื้อของมัน 

และ…

น้องผมก็ตั้งขึ้นมาทันที

ผมชักจะเชื่อแล้วล่ะ ว่ามันเป็นแฟนผมจริง ๆ ไม่งั้น ร่างกายผมคงไม่ตื่นตัวเร็วขนาดนี้หรอก

“เรียบร้อย”
มันหันมาบอก แต่ผมยังไม่ได้ขยับไปไหน หน้ามันเลยห่างจากหน้าผมแค่คืบเดียว

หัวใจผมเต้นแรง มองปากแดง ๆ ของมันอยู่นาน ก่อนหน้าผมจะเคลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ และปากผมกำลังแนบสนิทไปกับปากแดงนั้นช้า ๆ

ปากมันนุ่มชะมัด
 

ผมค้ำสองมือไว้กับกำแพงดินด้านหลัง บดเบียดปากมันมากขึ้นจนหน้ามันแหงน ยิ่งจูบผมยิ่งรู้สึกดี น้องผมด้านล่างก็ตื่นเต็มที่แล้วด้วย ผมขยับร่างบดเบียดมันจนชิดติดผนังดินด้านหลัง มือไม้ก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วลำตัวแขนขามัน ร่างกายผมร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัดกับสายน้ำเย็นด้านล่าง

มันรีบครางห้ามเมื่อเห็นว่าผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ผมถอนริมฝีปากออกช้า ๆ มามองปากแดง ๆ และดวงตาฉ่ำเยิ้มของมัน
 
“ระ เรารีบไปกันดีกว่า”
เสียงมันเบาหวิวเลย ผมยิ้มนิด ๆ พยักหน้าเขยิบตัวออก มันรีบเดินขึ้นฝั่งไปทันที ตามติดด้วยผม

 

 

 

 

 

“พี่เอกกกกกกก”
พอเดินไปถึงระยะที่สามารถมองเห็นกันได้ ผมก็ได้ยินเสียงเรียกเล็กใสคุ้นหูสองสามเสียงซ้อนกันดังมาก่อน ตามด้วยร่างของสามสาวที่มีหน้าตาพิมพ์เดียวกัน วิ่งโร่น้ำตานองหน้าเข้ามากอดแขนกอดเอวผมหมับ ผมแทบเซ ยังดีที่ไหวตัวทัน
 
ดูแล้วน่าจะเป็นน้องสาวฝาแฝดผมนะ

“อ้อนคิดถึงพี่เอกจัง”

“แอมด้วย”

“ไอด้วย”
พวกน้อง ๆ สลับกันบอก ผมมองคนซ้ายทีขวาที คนกลางที ตอนนี้ขยับไม่ได้แล้วครับ โดนกอดแน่นหนึบเลย

มองตรงไปด้านหน้า เห็นผู้คนมองมาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น 

ริมสุด มีชายวัยกลางคนยืนอยู่ ถ้าให้เดา น่าจะเป็นคุณพ่อ เพราะเค้าโครงหน้าตาหุ่นเหิ่นเหมือนผมเด๊ะ ๆ ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็น่าจะเป็นคุณแม่ เพราะมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับสามสาวที่กอดผมอยู่

แม่คงอยากจะวิ่งเข้ามาหาผมเหมือนกัน แต่โดนพ่อโอบไหล่เอาไว้หลวม ๆ สายตาพ่อ เต็มไปด้วยความตื้นตันดีใจ และผู้ชายตัวสูง ๆ สองคนที่ยืนเยื้องกับพ่อแม่นั่น น่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดผมเอง เพราะหน้าตาเหมือนผมอย่างกับแกะ

และรอบ ๆ ก็มีหนุ่มสาวหน้าตาดียืนมองมาที่ผมอีกโขยงใหญ่

“ทโมน เดี๋ยวเปียกนะ ให้พี่เอกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้ไหม”
ไอ้ตัวเล็กข้างผมมันบอก มันเองก็ทั้งเปียกทั้งเปื้อนไปด้วยดินโคลนไม่ต่าง (ที่เปื้อนโคลนเพราะผมดันมันติดกำแพงดินเอง) พวกน้อง ๆ รีบปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ จูงมือผมคนละข้าง เดินตรงไปด้านหน้าส่วนคนสุดท้ายเกาะชายเสื้อด้านหลัง

น่ารักเหมือนน้องสาเลยแฮะ แต่น้องสาไม่ขี้อ้อนขนาดนี้ พอเดินเข้าไปในบริเวณลานบ้าน ทุกคนก็รีบเข้ามาทักทันที

“เป็นไงบ้างตาเอก จำแม่กับพ่อได้ไหมลูก”
แม่รีบเดินเข้ามาจับหน้าจับตาผมด้วยความเป็นห่วง แกร้องไห้ใหญ่เลย ผมไม่ได้ตอบอะไร พอดีมันมึน ๆ อยู่

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมลูก”
พ่อจับบ่าจับไหล่เสริม ผมยิ้มให้ท่านเพียงนิด รู้สึกเคารพยำเกรงผู้ชายคนนี้ยังไงพิกล เป็นพ่อที่น่าเกรงขามจริง ๆ   

“สงสัยมันจะลืมจริง ๆ นะเนี่ย”
ใครสักคนพูดขึ้น ผมหันไปมอง

“มึงจำกูได้ไหม กูมอไง”

ผมส่ายหน้าหลังจากมองหน้ามันอยู่พัก

“แล้วกูล่ะ”
ไอ้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มันถามอีกที ผมส่ายหน้าอีก

“เออวุ้ย กูก็คิดว่ามันจะมีแต่ในละคร ที่พระเอกความจำเสื่อม ชีวิตจริงก็เป็นได้เหมือนกัน ว่าแต่มันจะเอ๋อหรือเปล่า ไม่พูดไม่จาอะไรเลย”
มันพูดไปด้วยสีหน้ากังวลใจ

ผมยิ้มนิดหนึ่ง 

“พอดียังไม่ชิน เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร”
ผมบอก

 “ตอบได้กวน ๆ แบบนี้ ก็ถือว่าใช้ได้ละนะ”
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาสวยหมดจดบอก ผมรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้เหมือนกัน

“ผมว่าให้พี่เอกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
ไอ้ตัวเล็กมันบอกสั่น ๆ มันเองก็คงอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหมือนกัน ทุกคนเลยปล่อยให้ผมกับมันไปอาบน้ำกันก่อน

ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำแบบตีฝาอ้อมกันลมหน้าหนาว ผมให้ไอ้ตัวเล็กมันอาบก่อน แล้วตัวเองอาบทีหลัง พอออกมาก็เห็นมันยืนรออยู่แถว ๆ ราวตากผ้า เสื้อผ้ามันพาดตากไว้เรียบร้อยแล้ว ผมเดินถือเสื้อผ้าตัวเองไปตากบ้าง ตอนนี้ผมใส่ชุดของน้องชายฝาแฝดผมอยู่ ไม่รู้คนไหนละ แต่งตัวแบบนี้แล้ว ดูเป็นคุณชายไปเลย

แค่อาบน้ำอย่างเดียวไม่ได้โกนหนวดโกนเครา มันเงยหน้ามอง ก่อนก้มหน้าแก้มแดงก่ำ ผมยิ้มนิดหนึ่ง

แฟนผมขี้อายดีแฮะ

ทุกคนนั่งรอกันบนเรือน พอไปถึง ทุกคนก็พากันแนะนำชื่อพร้อมฐานะ และความเกี่ยวข้องกับผมกันใหญ่ คุณตาคุณยายและน้องสานั่งมองพวกนั้นกันหน้าสลอน โดยเฉพาะอิฐกับอาร์ตที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผม

สรุป ที่มาตามหาผม มีแฟนผม พ่อแม่ผม พ่อแม่ไอ้ตัวเล็ก (ที่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนเป็นพี่ชายพี่สาวมากกว่า) ผู้ช่วยบวกเพื่อนสนิทอีก 8 ชีวิต น้องชายที่ไม่ใช่ฝาแฝดผมอีกสอง น้องสาวที่ไม่ใช่ฝาแฝดกันอีกสาม และน้องชายเพื่อนสนิทผมบวกเพื่อนสนิทแฟนผมอีกหนึ่ง

ใช้เวลาไม่เกินห้านาที ผมก็แยกอิฐกับอาร์ต รวมถึงสามสาวออก ทุกคนยังงงเลย (ไม่ใช่เพราะการแต่งตัว แต่แยกหน้าออกจริง ๆ)

สรุปคืนนี้ทุกคนตกลงกันว่าจะค้างที่บ้าน ยังดีที่ทุกคนมีอุปกรณ์การนอนของตัวเองมา ทั้งเต็นท์ และถุงนอนพร้อมสรรพ

 

 

 

 

 

ทุกคนกำลังกางเต็นท์กันอยู่ ผมเดินจุดยากันยุงและเอาไปวางไว้รอบ ๆ พื้นที่ โดยมีน้องสาเป็นผู้ช่วย น้องสามีสีหน้าสลด จนผมต้องหันไปถาม

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ก็พี่ซันจะไม่อยู่แล้ว สาคงเหงา”
น้องสาทำหน้าหงอยประกอบ ผมลูบหัวน้องสาเบา ๆ 

“สาอยากเรียนไหม” น้องสาพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้างั้น หลังจากพี่กลับไปแล้ว พี่จะหาหนทาง ทำให้สาได้เรียนหนังสือนะ”

น้องสาพยักหน้าอีกที
 

ดึกมากแล้วครับ คุณตาคุณยายหลับกันไปหมดแล้ว พวกเพื่อน ๆ และพ่อกับแม่ก็พากันเข้านอนแล้วเหมือนกัน คงเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการตามหาผมมาตลอดทั้งอาทิตย์ 

ผมรู้สึกดีใจเอามาก ๆ ที่มีคนห่วงใยผมเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งพ่อแม่ น้องชายน้องสาวและเพื่อน ๆ

รวมถึงใครบางคนที่มักมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักเสมอ

มันส่งพวกน้อง ๆ ผมเข้านอน ส่วนผมก็ส่งน้องสาเข้านอนเหมือนกัน พอทุกคนเข้านอนกันหมด ผมกับมันถึงได้พากันออกมานั่งรับลมยามดึกบนแคร่ใต้ต้นมะม่วง โดยมีตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างเรืองรองอ่อน ๆ

พวกเรานั่งนิ่ง ฟังเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยกลางป่าแข่งกันหวีดร้องจนดังระงม อากาศเย็นลงจนมันต้องกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัว รอบด้านไม่มืดมากนัก เพราะมีแสงจากดวงจันทร์ที่เกือบเต็มดวงส่องสว่างให้เห็นแนวไม้กำลังไหวเอน

บนกิ่งของต้นมะม่วง มีปลอกคอหมาขนาดใหญ่แขวนเอาไว้อยู่ ในเวลาที่มีลมพัดผ่าน มันจะส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเพราะพริ้งไปอีกแบบ

น้องสาเคยเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเคยเลี้ยงหมาอยู่ตัวหนึ่ง เป็นหมาพันธุ์ไทยสีน้ำตาลธรรมดา แต่มันแก่ตายไปเมื่อปีที่แล้ว ตาบอกว่าจะหาหมาตัวใหม่มาให้ ก็ยังไม่ได้หา มันชอบมานอนใต้ต้นมะม่วงต้นนี้ตลอด พอมันตาย เลยฝังไว้ที่นี่ และแขวนปลอกคอมันไว้ เพื่อให้มันอยู่เฝ้าบ้านตลอดไป

“พี่ลืมผมไปแล้วจริง ๆ”
มันพูดเสียงเศร้า

“พี่ไม่ได้อยากลืมนี่”

“ไม่เป็นไรฮะ ผมมั่นใจว่าสักวันความทรงจำของพี่ต้องกลับคืนมาแน่ ๆ ตอนนี้ขอให้พี่ปลอดภัยก็พอ”
มันยิ้มให้ผมเพียงนิด ผมเผลอสะกดสายตาไว้ยังใบหน้าต้องแสงตะเกียงของมัน

เราเงียบกันอยู่สักพัก ก่อนผมจะแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์ และทุกครั้งที่ผมมองพระจันทร์ ก็อดไม่ได้ที่จะจับสร้อยเอาไว้ในมือ
 
“สร้อยเส้นนี้พี่ได้มายังไง”

มันหันมามอง

“ทำไมเหรอฮะ”

“ไม่รู้สิ ถึงพี่จะจำอะไรไม่ได้ แต่พี่ชอบมานั่งมองพระจันทร์แบบนี้ทุกวัน แล้วก็ชอบดูไอ้นี่ด้วย มันรู้สึกอบอุ่นยังไงบอกไม่ถูก”

มันก้มหน้าลง ก่อนเงยหน้ามามองผมอีกที

“อันนี้ เราเรียกมันว่าสร้อยพระอาทิตย์”
มันเขยิบมาจับสร้อยผมไว้

“มันเป็นสร้อยที่ผมให้พี่ตอนเราไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน เป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมซื้อให้พี่น่ะ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ

มันล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากคอเสื้อตัวเอง

“ส่วนอันนี้ เป็นของขวัญชิ้นแรกที่พี่ซื้อให้ในวันเกิดผม”
มันยื่นจี้มันมาให้ผมดู ด้านหน้าเขียนเป็นตัวเลข 19 & 15 ส่วนด้านหลังเป็นภาษาอังกฤษ

You’r mine

ผมเข้าใจความหมายทันที

“แล้วตัวเลข 15 กับ 19 ล่ะ คืออะไร”

มันเงยหน้าสบตา

“เป็นสัญลักษณ์ของเราสองคนน่ะ เพราะสองหมายเลขนี้ทำให้เราได้มาคบกัน”

ผมเลิกคิ้วสงสัย

“คือ..พวกเราถูกจับสลากให้เล่มเกม เอ่อ…จูบน่ะ ผมจับได้หมายเลข 15 แล้วพี่จับได้หมายเลข 19”
มันหยุดคำอธิบายไว้แค่นั้น แต่ผมก็พอจะเดาอะไรออกได้ลาง ๆ เหมือนกัน ความรักของผมกับมัน เกิดขึ้นเพราะเหตุบังเอิญสินะ

เพราะดู ๆ แล้วตัวผมเองคงไม่ได้เป็นเกย์ และตัวมันเองก็คงไม่ได้เป็นเกย์เหมือนกัน

“ผมขอโทษนะฮะ”

“เรื่อง?”

“ถ้าผมไม่ชวนพี่มาเที่ยว พี่ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวและจำอะไรไม่ได้แบบนี้”
มันบอกเสียงหงอย

“พี่ไม่ได้โกรธกายนี่ และที่สำคัญ…พี่ยังหายใจอยู่”
ผมยิ้มอบอุ่นให้มันไปที

เรานั่งมองพระจันทร์กันอยู่สักพัก ถึงได้พากันเข้านอน ปกติผมจะนอนบนเรือน แต่วันนี้ผมให้พ่อกับแม่และน้อง ๆ ผู้หญิงไปนอนกันแทน ส่วนผมก็ระหกมานอนกับไอ้ตัวเล็กมัน

เต็นท์เรานอนกันได้สองถึงสามคน ปกติมันจะนอนกับเต้ยเพื่อนมัน แต่วันนี้ เพื่อนมันไปนอนบนเรือนแทน (เห็นบอกว่าเพื่อนมันเป็นโรคกลัวความมืดจัด ๆ นอนบนเรือนคงอุ่นใจกว่านอนข้างนอกแบบนี้)

ตอนนี้ดวงไฟทุกดวงถูกดับหมดแล้ว แสงสว่างหลัก ๆ จึงมาจากดวงจันทร์ด้านบนเท่านั้น ผมนอนหงายหายใจสม่ำ โดยมีมันนอนอยู่เคียงข้าง ดวงตาผมจ้องมองเพียงเพดานเต้นท์ที่ถูกสายลมพัดไหวจนกลายเป็นคลื่นอ่อน ๆ ให้ดูเพลินตา 

“พี่คิดอะไรอยู่”
มันถามเสียงเบาตัดความเงียบขึ้นมา

“พี่เป็นห่วงตากับยายแล้วก็สาน่ะ ตากับยายก็แก่ขึ้นทุกวัน สาเองก็ยังเด็ก ยังมีอนาคตอีกไกล สาเขาอยากเรียนหนังสือ แต่ติดภาระที่ต้องดูแลตากับยาย ห่างไกลความเจริญแบบนี้ คงไปเรียนลำบาก พี่เองก็อยากช่วย แต่ไม่รู้จะทำได้ไหม”

มันหัวเราะร่วน เขยิบตัวตะแคงข้างค้ำร่างตัวเองด้วยศอกขึ้นมามองหน้าผม

“ครอบครัวพี่เอกน่ะ รวยจะตาย เดือน ๆ หนึ่ง หาเงินได้เป็นล้าน ๆ แค่ส่งน้องสาให้ได้เรียนหนังสือ คงไม่ยากหรอก”
ผมเลิกคิ้วสูงมอง

“พี่รวยขนาดนั้นเลยเหรอ”

มันพยักหน้า ทำท่าคิด

“หรือถ้าพี่เป็นห่วงตากับยาย ทำไมพี่เอกไม่เอาพวกเขาไปอยู่ด้วยเลยล่ะ เพราะยังไง พวกเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของพี่เอก เพราะถ้าไม่มีพวกเขา พี่เอกก็คงจะ…”

มันเงียบเสียงไป   

ผมยันตัวด้วยท่าเดียวกับมัน แต่ในตำแหน่งที่สูงกว่า 

“พี่ยังไม่ตายนะกาย”

“ผมรู้ แต่ผมก็แค่…”

ผมยิ้ม โน้มหน้าไปจูบหน้าผากมันเบา ๆ

“พี่ปลอดภัยแล้ว”
ผมปลอบมันอีกที มันมองหน้าผมผ่านแสงอ่อนของดวงจันทร์ไม่ต่างกับที่ผมมองหน้ามันผ่านแสงจันทร์เช่นกัน ผมจูบหน้าผากมันอีกที
 
เลื่อนต่ำลงไปที่ริมฝีปาก

ผมอยากถอนปากออกเหมือนกัน แต่มันอุ่นและนุ่มเอามาก ๆ จนอดไม่ได้ที่จะขยับเบา ๆ ให้สองริมฝีปากแนบแน่นมากขึ้น

ยิ่งจูบผมยิ่งหลงใหล ผมบดเบียดริมฝีปากมันหนักขึ้น ทั้งยังแทรกลิ้นเข้าไปภายใน เคลื่อนร่างตัวเองคร่อมเรือนร่างที่เล็กกว่าเอาไว้ ลมหายใจของมันหอบถี่ไม่แพ้ผม

“พอพี่เอก”
มันรีบเบือนหน้าถอนริมฝีปากมากระซิบห้าม แต่ผมปิดปากมันไว้ด้วยปากตัวเองอีกครั้ง

ผมจำวิธีมีอะไรกับผู้ชายไม่ได้ แต่สัญชาตญาณบอกให้ผมทำตามความรู้สึกแค่นั้นก็พอ

พอรุ่งสาง ผมคุยกับพ่อแม่เรื่องที่ผมได้คุยกับกายเมื่อคืน ตอนแรกพวกท่านก็ว่าจะให้เงินไว้ใช้กันสักก้อนใหญ่ ๆ แต่เห็นการเดินทางอันยากลำบาก และเกิดเอ็นดูน้องสาขึ้นมาจริง ๆ (น้องสาคล้ายพวกทโมนน่ะ) พวกท่านเลยเห็นด้วย

ผมไปคุยกับคุณตาคุณยาย ตอนแรกพวกท่านทำท่าจะไม่ยอม เพราะอยู่ที่นี่กันมาหลายสิบปีแล้ว แต่เพื่อน้องสา พวกท่านเลยยอม

คงอยากให้น้องสา มีอนาคตดี ๆ ได้เรียนหนังสืออย่างที่ใจต้องการ

และอีกอย่าง…

พวกท่านกลัวว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง เกิดสิ้นพวกท่านขึ้นมา สาก็คงต้องอยู่คนเดียว และตัวผมเองก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร พอ ๆ กับพ่อแม่และคนอื่น ๆ ที่มารับผม พวกท่านเลยไว้ใจตอบตกลงไปในที่สุด 

ผมเดินทางกลับพร้อมครอบครัว แล้วจะกลับมารับคุณตาคุณยายอีกทีหลังจากจัดการเรื่องทางกรุงเทพเรียบร้อย 

ผมยังคงเกร็ง ๆ กับชีวิตใหม่ของผม บอกตามตรงว่ายังไม่ชิน ทั้งกับครอบครัว เพื่อนสนิท

หรือ…

แม้แต่กับคนรัก

To Be Con....

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:





 
Book & e-book: https://goo.gl/FSOuuM     

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จำไม่ได้ แต่สัมผัสยังจำได้สินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เออ...... ความจำเสื่อมนี่ ทำให้คนมันนิสัยดีขึ้นเยอะเลยนะ เสื่อมไปตลอดเลยดีกว่านะ  :hao3:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
95
กลับบ้าน
[กาย...♥]


ผมเคยเห็นแต่ในหนังที่พระเอกหรือนางเอกความจำเสื่อม แต่ไม่คิดว่าในชีวิตจริง จะเป็นไปได้ด้วย ทันทีที่เข้ากรุงเทพ พวกเราก็พาพี่เอกไปหาหมอเพื่อเช็คร่างกายทันที ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า ร่างกายโดยรวมของพี่เอกเป็นปกติดี แต่สมองได้รับความกระทบกระเทือนนิดหน่อย ส่วนเรื่องที่ความจำหายไป สามารถรักษาได้ อาจใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์ หรืออาจยาวนานเป็นเดือน ๆ

คุณหมอก็แนะนำให้ใช้การพูดคุย หรือทำสิ่งที่คนไข้เคยทำ เพื่อกระตุ้นความทรงจำกลับคืน

พี่เอกกลับมาเรียนเหมือนเดิม ซึ่งทางครูบาอาจารย์ก็ยกให้แกเป็นกรณีพิเศษ (เส้นใหญ่ครับ) ส่วนงานที่สภา ก็มีพี่อ้อยรักษาการแทน ช่วงนี้พวกพี่ปีสามเข้ามาดูแลร่วมด้วย เลยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะ พี่เอกเองก็กลับมาดูแลบ้างเป็นบางงาน

ส่วนงานที่บริษัท คุณพ่อก็ให้พี่อาร์ตกับพี่อิฐเข้ามาช่วยดูแล แต่ก็ยังไว้ใจให้พี่เอกเป็นหัวเรืออยู่ดี ขนาดความจำเสื่อม พี่แกยังทำงานเก่งเลย

หลังจากกลับมาเพียงอาทิตย์เดียว พี่เอกก็ดำเนินเรื่องจนสามารถรับน้องสาและคุณตาคุณยายมาอยู่ด้วยได้ แต่อยู่กันได้ไม่นาน ผมก็ต้องย้ายพวกเขาออกมาไว้ที่บ้านผมแทน เพราะพวกท่านรู้สึกอึดอัดกับความหรูหราใหญ่โตของตัวบ้าน ในขณะที่บ้านผม มีขนาดเล็กกะทัดรัด เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้พวกแกรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านสวนมากกว่า 

และผมก็หางานให้พวกท่านทำด้วย คนสูงวัยที่ทำงานมาตลอดชีวิต ให้อยู่เฉย ๆ กลัวเป็นโรคซึมเศร้าครับ ผมเลยให้พวกท่านทำขนมไทย ๆ แล้วก็เอาไปวางขายที่ร้านนั่นแหละ             

ฝีมือการทำขนมของคุณยายอร่อยมาก ๆ เป็นสูตรดั้งเดิมที่ถ่ายทอดกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น ใครได้กินก็ชอบกันทั้งนั้น คุณยายต้องตื่นเช้าเพื่อลุกขึ้นมาทำทุกวัน ซึ่งผมก็บอกให้ท่านทำเท่าที่ทำไหวก็พอ เพราะยังไงผมกับพี่เอกก็เลี้ยงดูพวกท่านอยู่แล้ว

ผมสั่งให้คนออกแบบแพ็คเกจให้ดูดีขึ้นมาหน่อยติดโลโก้ของร้านเข้าไปอีกนิด เพิ่มค่าให้สินค้า และเพราะคนทำมีน้อย แต่คนสั่งกันเยอะ ตอนนี้ยอดจองขนมไทยร้านผมเลยยาวเป็นวาเลย ผมจ้างเด็กนักเรียนแถว ๆ บ้านมาช่วยคุณตากับคุณยายทำขนมด้วย เด็กจะได้มีรายได้ และคุณตาคุณยายก็จะได้ไม่เหงา

โชคดีที่พื้นที่รอบบ้านผมกว้างมาก ผมเลยอนุญาตให้คุณตาปลูกต้นไม้หรือพวกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินไว้ใช้ ผมเคยไปเดินสวนของคุณตามาก่อน อยากบอกว่าฝีมือแกดีจริง ๆ เป็นคนมือเย็นด้วย ปลูกอะไรก็เจริญงอกงาม จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย พอมาอยู่ที่นี่แกก็ปลูกผักแทบจะทุกอย่าง เยอะหน่อยก็กล้วย กะว่าอนาคต จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อใบตองให้มันเปลือง   

น้องสาก็เป็นเด็กดี อยู่บ้านก็ช่วยงานคุณตาคุณยาย แถมยังมาช่วยงานที่ร้านผมทุกวันอีก (เห็นบอกว่าชอบ สนุกดี) น้องสากำลังเตรียมตัวเพื่อสอบเทียบวัดระดับอยู่ แต่ดูท่าให้เรียนปริญญาตอนนี้ น้องก็ทำได้ครับ

สาเป็นเด็กที่เก่งทั้งงานบ้านงานเรือน จนผมไม่ต้องจ้างแม่บ้านมาดูแลบ้านแล้ว พ่อกับแม่ก็หายห่วง เพราะผมมีคนอยู่เป็นเพื่อน ครอบครัวผมเลยเหมือนมีคุณตาคุณยายกับน้องสาวเพิ่มมาอีกคน อย่าลืมนะครับ ว่าแม่ผมอยากได้ลูกสาวมาก พวกน้องอ้อนก็เจอกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่บ่อยเท่ากับคนที่อยู่บ้านเดียวกันอย่างน้องสาหรอก น้องสาเลยกลายเป็นลูกรักของพ่อกับแม่ผมไปโดยปริยาย

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน น้องสาก็โดนแม่จับขัดสีฉวีวรรณ อาบน้ำแร่แช่น้ำนม จนสลัดคราบสาวน้อยบ้านนาทิ้งไป น้องสาที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ยิ่งดูสวยงามและน่ารักเข้าไปใหญ่ น้องสาเป็นเด็กหน้าคม มีดวงตาสีนิล เส้นผมสีเดียวกับดวงตายาวระกลางหลัง และมีสีผิวที่สวยเอามาก ๆ ด้วย แต่เป็นสีแทนครับ (อันนี้ขัดยังไงก็ไม่ขาว)

ผมชักเข้าใจความรู้สึกของพวกพี่ชายหวงน้องสาวขึ้นมาโดยทันที โดยเฉพาะตอนเห็นใครมาเจ๊าะแจ๊ะ ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม ผมจะแยกเขี้ยวกางปีกปกป้องน้องแทบจะทันที

น้องกูอย่ามายุ่ง แง่งงง ๆ !!

“พี่กาย ๆ อ้ะนี่ สาให้”
น้องสาในชุดพนักงานเสิร์ฟของร้านวิ่งดุ๊ก ๆ กระโปรงเปิดเอาคุกกี้ที่ตัวเองเพิ่งทำเสร็จมาป้อน ผมรู้ว่าสาชอบกินขนมสุด ๆ แถมยังชอบวิจารณ์รสขนมอีกด้วย 

สาเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ส่วนสูงก็พอ ๆ กับพวกทโมนนั่นแหละ แต่แรงเยอะกว่ามากจนผมยังอึ้ง

“อร่อยไหม”
น้องสาถามยิ้ม ๆ ผมเพียงอมยิ้มทั้งที่กำลังเคี้ยวคุกกี้อยู่ น้องสายิ้มแป้น

“สูตรใหม่ เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเพิ่มความหอมกลมกล่อม”
น้องสาสาธยาย ผมก็ตั้งใจฟัง

“อ๊ะ!! รถส่งของมาแล้ว”
น้องสาหันขวับไปมองรถส่งของ แล้วก็วิ่งกระโปรงเปิดไปที่รถต่อ (เด็กสาวบ้านนอกครับ ไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไหร่ วิ่งทีกระโปรงเปิดจนเห็นชั้นในทีเดียวเชียว อาหารตาหนุ่ม ๆ เขาล่ะ)

ผมเดินตามยิ้ม ๆ มองคนที่พยายามแบกลังใหญ่ ๆ ด้วยตัวเอง

“มาให้พี่แบกเองดีกว่า เราเป็นเด็กผู้หญิง เสิร์ฟเองอย่างเดียวก็พอแล้ว”
ผมแย่งลังขนาดใหญ่มาจากน้องสา

“ไม่เอาพี่กาย สาแบกได้ แค่นี้ขี้ปะติ๋ว ตอนสาอยู่บ้าน สาแบกของไปขายถุงใหญ่แล้วก็หนักกว่านี้ตั้งเยอะ”
ผมเลิกคิ้ว น้องสายิ้มแก้มบาน 

“นั่นมันแต่ก่อน ตอนนั้นสายังไม่มีใครช่วย แต่ตอนนี้สามีพี่เป็นพี่ชายแล้ว มีอะไรก็ต้องให้พี่ชายช่วย รู้ไหม”

น้องสามองผมตาปริบ ๆ

เออวุ้ย…

หรือว่าสาจะเป็นน้องผมที่พลัดพรากจากกันมานานวะ

“พี่กายให้สาเป็นน้องสาวพี่กายจริง ๆ เหรอคะ”
น้องสาถามตาแป๋ว ผมพยักหน้า

“หรือสาไม่อยากให้พี่เป็นพี่?”

น้องสาส่ายหัวพรืด

“มีพี่กายเป็นพี่ชายน่ะดีจะตาย พี่กายใจดี หล่อแล้วก็น่ารักเอามาก ๆ ด้วย”

ปลื้มครับ โดนน้องชม

ว่าแต่... ไอ้น่ารักกับหล่อนี่ มันอยู่ด้วยกันได้ด้วยเหรอวะ

“ดีแล้วล่ะ เพราะพี่ก็อยากมีน้องสาวมานานแล้วเหมือนกัน แม่กับพ่อก็ด้วย”

น้องสายิ้มแป้น ก่อนหุบยิ้ม ทำท่าคิด

“สามีอะไรจะบอกพี่กายด้วย”

ผมเลิกคิ้วรอฟัง

“จริง ๆ แล้วสาเป็น…”

“เป็น?” ผมทวนคำเมื่อน้องหยุดคำไปนาน

“เป็น...” สายิ้มแห้ง
               
“เป็นผู้ชายค่ะ”

ผมตาโต อ้าปากค้าง และผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในท่านั้นนานแค่ไหน จนน้องสาเข้ามาสะกิด ผมถึงได้ดึงสายตาค้าง ๆ มามองน้องสาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกที

มองยังไง ๆ ก็เป็นเด็กผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ตัวก็เล็ก ๆ หุ่นก็เหมือนผู้หญิงทุกอย่าง (ยกเว้นหน้าอกที่ยังเล็กอยู่ อาจเพราะยังไม่โตพอ) ถึงหน้าจะไม่หวาน แต่ก็คมเฉี่ยวน่ารักน่ามอง

น้องสายิ้มแห้งทำหน้าจืด ๆ มองกลับ

“ล้อพี่เล่นหรือเปล่า”

น้องสาส่ายหัวไปมา

“คือแม่สาตายหลังจากสาเกิดได้สามวัน แล้วพ่อก็มาตายตามสามวันหลังจากนั้น ตากับยายกลัวว่าพ่อกับแม่จะมาเอาสาไปอยู่ด้วย เลยพาสาไปหาพ่อใหญ่ของหมู่บ้าน พ่อใหญ่บอกว่าวิธีเดียวที่จะทำให้สารอด คือต้องเลี้ยงสาให้เป็นเด็กผู้หญิงเท่านั้น ตอนแรกสาชื่อแสง พ่อใหญ่ก็เปลี่ยนให้เป็นสา แล้วตากับยายก็เลี้ยงสาให้เป็นเด็กผู้หญิงมาตลอด คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านไม่มีใครรู้หรอก พ่อใหญ่ก็เสียไปเมื่อสองสามปีที่แล้ว จริง ๆ สาไม่อยากบอกใครหรอก แต่ถ้าพี่กายจะมาเป็นพี่ชายสาจริง ๆ สาก็อยากจะบอกให้พี่กายรู้ไว้น่ะค่ะ”

ผมมองคนตรงหน้าอึ้ง ๆ

“พี่กายผิดหวังไหม”
น้องสาทำหน้าสลด

ผมมองคนตรงหน้าให้ชัด ๆ อีกที ถอนหายใจแผ่วเบา ลูบหัวน้องไปที

“จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ขอให้สาเป็นคนดีก็พอ”

น้องสากอดเอวผมหมับ ให้ความรู้สึกเหมือนโดนพวกทโมนกอดยังไงบอกไม่ถูก

“แล้วใจจริง สาอยากเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายล่ะ แล้วเราต้องเป็นผู้หญิงแบบนี้ ไปอีกนานแค่ไหน”

สาผลักตัวออกมองผมยิ้ม ๆ
 
“เป็นอะไรก็ได้ เป็นผู้หญิงก็ดีนะ มีคนเอ็นดูเยอะดี แต่รำคาญพวกชอบเข้ามาจีบ ส่วนระยะเวลา อันนี้สาไม่รู้จริง ๆ ค่ะ พ่อใหญ่บอกให้เลี้ยงสาให้เป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้บอกว่าใช้ระยะเวลานานแค่ไหน เราไม่ได้ถามกันไว้ พอพ่อใหญ่ตายก็หาคนมาถามไม่ได้ ตากับยายก็กลัวว่าสาจะตาย เลยให้เป็นผู้หญิงมาตลอด วันไหนแต่งตัวแบบผู้ชายหน่อย ก็โดนด่าแล้ว”

น้องสาเจื้อยแจ้ว

“อืม เราก็พิสูจน์อะไรไม่ได้นี่เนอะ”

ผมทำท่าคิด

“เพื่อความสบายใจของตากับยาย สาเป็นผู้หญิงแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็ได้”

ผมมองหน้าน้องสาอีกที

“แล้วถ้าสาเจอผู้หญิงที่ชอบล่ะ”

น้องสาทำท่าคิด

“อันนั้นค่อยคิดกันอีกทีดีกว่า สาเพิ่งจะ 15 เอง”
เองของหนู แต่เด็กสาวสมัยนี้เขามีลูกกันแล้วนะ

“อืม สาอายุ 15 แล้วนี่นาเนอะ แต่ทำไมเสียงยังไม่แตก ลูกกระเดือกก็ยังไม่ขึ้นฮึ ขนเขินก็ไม่มี”
ผมมองหน้าแข้งน้องสา ถึงจะใส่ถุงน่องสีขาว แต่โดยพื้นแล้วเป็นคนขาเนียนครับ มีร่องรอยแผลเป็นที่เกิดจากการทำไร่ทำนาบ้าง (หรืออาจจะมาจากความซนโดยส่วนตัว) แต่โดยรวมแล้วถือว่าสวยอยู่ดี

“เสียงสาแตกแล้วค่า”

ผมเลิกคิ้วสูง

“แตกแล้ว?”
ผมถามกลับด้วยความสงสัย เพราะฟังยังไง เสียงสาก็ฟังดูใส ๆ เหมือนเด็กสาวทั่วไปมากกว่า

“ส่วนเรื่องขนกับลูกกระเดือก สงสัยต้องรอไปก่อน ผู้ชายใช้เวลาอีกตั้งหลายปีกว่าจะหยุดโต สาเกิดมาตัวเล็กด้วยแหละ โลแปดเอง ตัวเล็กตึ๋งหนึ่ง แถมได้กินนมแม่แค่สามวันเอง ที่เหลือก็กินแต่น้ำซาวข้าว เลยโตช้ากว่าคนอื่น อยู่บ้านก็กินแต่ผักกับปลา หรือไม่ก็…”
น้องสาหยุดคำทำท่าคิด

“จำได้ว่าตอนอายุเก้าหรือสิบขวบนี่แหละ ตากับยายเคยพาสาไปหาพ่อใหญ่เพื่อให้พ่อใหญ่ทำพิธีเรียกขวัญย่าให้ จำไม่ค่อยได้แฮะ คล้าย ๆ กับอัญเชิญแม่ย่าให้มาอยู่ด้วยอะไรทำนองนั้นแหละ สาจะได้เหมือนเด็กผู้หญิงหน่อย อันนี้เป็นความเชื่อนะคะ สาเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเหมือนกัน”
น้องสาพูดติดตลก ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก้ำกึ่งครับ อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่น้องสามียีนที่เหมือนผู้หญิง หรือไม่ก็คงเป็นเรื่องจิตใจโน้มนำให้ร่างกายเหมือนผู้หญิงเอง

“แล้วเอ่อ…ส่วนนั้น…”
ผมถามอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ น้องสาหัวเราะร่วน

“สาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีร่างกายเหมือนตาเด๊ะ ๆ เลย”
ชัดเลยครับ ผมยิ้มแหะ ๆ

“อยากพิสูจน์ไหม”
น้องสาล้อ ทำท่าจะเปิดกระโปรงให้ผมดูจริง ๆ ผมรีบส่ายหัว

“ไม่เป็นไร พี่เชื่อแล้ว”
น้องสาฉีกยิ้มกว้างอารมณ์ดี

“แล้วพี่จะเก็บเป็นความลับให้”

น้องสายิ้มแป้น

ผมขมวดคิ้ว สงสัยอีกอย่าง

“อ้าว แล้วตอนทำบัตรประชาชน คำนำหน้าคือ…”

“แหะ ๆ ยังเป็นนายอยู่เลยค่ะ” น้องสาชูสองนิ้ว “พ่อเห่อสาน่ะ รีบเอาไปแจ้งเกิดที่อำเภอ ถ้ารออีกนิดหน่อย ตาว่าจะแจ้งเปลี่ยนให้สาเป็นเด็กผู้หญิงไปเลย แต่ไม่ทันแล้ว เลยต้องทำใจ”

ผมพยักหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าร่างกายสาจะเป็นยังไง สำหรับน้องสา ถือว่าเป็นน้องที่น่ารักของพี่ที่สุด”
ผมลูบหัวน้องเบา ๆ ดันให้น้องไปทำงานต่อ
 

 

งานที่มหา’ลัยเยอะมาก ช่วงนี้แอบเหนื่อยครับ ยังดีที่มีเพื่อน ๆ มาคอยช่วยเหลือ

สามอาทิตย์แล้วตั้งแต่พี่เอกกลับมา พวกเราก็พยายามกันทุกวิถีทางเพื่อฟื้นความทรงจำพี่มัน ผมเองก็ยังทำตัวไม่ถูก ยังไม่ชินกับลุคใหม่ของพี่เอกเท่าไหร่ ปกติจะชอบบังคับขู่เข็ญหรือไม่ก็ใช้ความเจ้าเล่ห์เอาเปรียบผมตลอด แต่ตอนนี้พี่มันเรียบร้อยขึ้นเยอะครับ

ทุกคนพยายามทำทุกอย่างเหมือนเดิม เผื่อความคุ้นเคยต่าง ๆ จะทำให้ความทรงจำกลับมาเร็วขึ้น

...ยกเว้นผม

คือไม่ใช่อะไรหรอก เพราะตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่มันก็จะ…

จุด ๆ ๆ กับผมตลอด ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องรื้อความทรงจำกับพี่แกยังไง เลยอยู่กันแบบขัด ๆ เขิน ๆ แบบนี้แหละ ทำได้มากสุดก็แค่เอารูปที่เคยถ่ายด้วยกันมาให้พี่แกดู หรือไม่ก็เป็นพวกรูปที่พวกเราเคยไปเที่ยวด้วยกัน อะไรทำนองนั้น

ตั้งแต่พี่มันสูญเสียความทรงจำ ผมกับพี่เอกก็เจอกันน้อยลงด้วย (แกพักอยู่บ้านใหญ่เป็นหลักครับ) โดยปกติ ผมไม่ใช่คนที่จะเข้าหาพี่มันก่อนอยู่แล้ว พอพี่มันไม่เข้าหา ก็เลยกลายเป็นพวกเราเจอกันน้อยลง (เจอกันในมหา’ลัยบ้าง ผมไปหาแกที่บ้านพร้อมพ่อกับแม่บ้าง แค่นั้นเอง หรือไม่พี่แกก็จะมาที่บ้านเพื่อเยี่ยมตากับยายและน้องสา)

จนผมแอบกลัวว่าถ้าพี่มันยังจำไม่ได้อยู่แบบนี้ ความรักที่เรามีให้กัน อาจจบลงไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง 

หรือว่าผมต้องเป็นคนรุกซะเอง

แต่พี่มันบอกว่าไม่ชอบคนตามตื๊อและยุ่งวุ่นวายกับพี่มันนี่นา

“โอ๊ย!! แล้วกูจะทำยังไงดีวะเนี่ย”

“โดนอะไรกัดมารึไง”

ผมสะดุ้งโหยงไปกับเสียงทักคุ้นหู พอหันไปมอง ก็เห็นคนที่กำลังนึกถึงมายืนอยู่ด้านหลังพอดี
 
“เอ่อ พี่เอก มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมก้มหน้าหลบหนีดวงตาคม พี่เอกลุคใหม่จะไว้เคราหน่อย ๆ ให้เห็นเป็นไร ๆ ดูหน้าเข้มดุดันดี แต่ก่อนก็หล่อครับ แต่แบบนี้มันก็หล่อไปคนละแบบ

“เป็นอะไร”
พี่แกไม่ตอบคำถาม ซ้ำยังถามเพิ่มด้วย ผมเงยหน้ามอง

“ปะ เปล่าครับ”
วันนี้ผมชวนพี่เอกไปรับใครบางคนกับผมที่สนามบินด้วย พี่แกมาเร็วกว่าเวลานัดตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะ   

 

 

 

“พี่เป้!!”
ผมวิ่งโร่เข้าไปกอดพี่เป้หมับ สองเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน พี่เป้บินกลับมาเพราะคุณพ่อพี่เป้ป่วยหนัก ตอนนี้ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีไอ้เต้ยและคุณแม่เฝ้าดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด
 
“คิดถึงพี่จัง”

พี่มันลูบหัวผมเบา ๆ ก่อนเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผม
 
“ไงมึง จำอะไรไม่ได้เลยอะดิ”

พี่เอกพยักหน้า พวกเราทักทายกันไม่นานครับ เพราะพี่เป้เป็นห่วงคุณพ่อ ผมกับพี่เอกเลยพาพี่เป้ไปโรงพยาบาล ถือโอกาสไปเยี่ยมท่านไปในตัวเลย

คุณพ่อพี่เป้ทำงานหนักมากจนเส้นเลือดในสมองแตก ยังดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่หมอบอกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ฟื้นขึ้นมาแล้วอาจเป็นอัมพฤกษ์ได้

ตั้งแต่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาล คุณแม่ก็ยกเลิกงานทุกอย่างเพื่อมาดูแลคุณพ่อโดยเฉพาะ

นี่แหละครับ ผลของการทำงานโดยไม่สนใจดูแลตัวเองหรือครอบครัว สุดท้ายก็มานอนรักษาตัวด้วยโรคที่แม้แต่เงินก็ไม่อาจรักษาให้หายได้

ไอ้เต้ยมองพี่เป้อึ้ง ๆ ตอนผมพาพี่มันเดินเข้าไปภายในห้อง เพราะผมไม่ได้บอกมันไว้ก่อน ผมไม่รู้ว่าสองเดือนที่ผ่านมามันทำใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับพี่เป้แล้ว คงยังทำใจไม่ได้ เพราะยังเห็นแววตาวูบไหวจากดวงตาพี่มันอยู่เลย

คุณพ่อยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ที่หัวถูกพันด้วยผ้าพันแผล เนื้อตัวซูบผอม มีสายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางเต็มไปหมด

ในขณะที่คนเฝ้าไข้อย่างไอ้เต้ย ก็ดูซูบผอมและสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ผมอยู่พูดคุยกับไอ้เต้ยและพี่เป้อีกนิดหน่อย ก่อนปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับคนในครอบครัว

“พี่จะกลับบ้านเลยไหม”
ผมถามตอนพากันเดินไปที่รถ พี่เอกมองหน้าผมอยู่พัก

“พี่ว่าจะกลับคอนโด จะลองไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสักพักเผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

ผมยืนชั่งใจอยู่พัก

“ผมไปด้วย”
พี่มันมองตาผม ส่วนผมก้มหน้าลงต่ำ

พี่เอกเคยบอกว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพี่แก และตัวผมเอง ก็อยากได้พี่เอกคนเดิมกลับคืนมาด้วย ไม่ใช่พี่เอกคนปัจจุบันไม่ดี แต่ผมแค่กลัว กลัวว่าพี่เอกคนนี้ อาจรักผมไม่เท่าพี่เอกคนก่อน

ไม่นานเกินรอ พวกเราก็กลับมาถึงคอนโด ที่นี่ยังสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม เพราะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้ทุกวัน

ตอนนี้เหมือน ๆ ผมกับพี่เอกจะกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกันไปแล้ว และผมไม่อยากให้มันจบลงแบบนั้น

อย่างน้อย ถ้าความทรงจำเก่า ๆ ยังไม่กลับมา ผมก็อยากจะสร้างความทรงจำใหม่ ๆ กับพี่มันอีกครั้ง เท่านั้นเอง

เพราะไม่ว่าจะยังไง พี่เอกก็คือพี่เอก คือคนที่ผมรัก

และจะรักตลอดไป


To Be Con...





             ขณะนี้เวลา 0.09 นาที มาลงดึกมาก คนคงขี้เกียจรอกันแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะมารีไรท์นะคะ วันนี้มิไหวแล้ว เลยเวลานอนมาสองชั่วโมงกว่า ดึกกว่านี้ สงสารร่างกาย T^T

              ขอเวิ้นสักเล็กน้อยเกี่ยวกับน้องสา น้องสาเป็นหนึ่งในนายเอกซีรี่ย์ต่อ ๆ ไปของน้องคิสนะคะ ส่วนซีรี่ย์ไหนอย่าถามเลย เพราะแต่งยังไม่จบ คู่กับพี่เก่ง ผู้ช่วยน้องกายนั่นแหละ
             ออกแนวแปลกเล็กน้อยที่มีการเล่าเกี่ยวกับความเชื่อและการทำพิธีแปลก ๆ (ซึ่งบางคนจะคิดว่าไรท์มันบ้าเป่าว่ะ) อันนี้มันเป็นเรื่องความเชื่อค่ะ สำหรับคนต่างจังหวัดแล้ว เพื่อรักษาลูกหลานตัวเองไว้ สามารถทำได้ทุกเรื่อง อย่างจับพี่น้องฝาแฝดมาแต่งงานกันเองก็มีให้เห็นถมไป (ลองไปค้นได้ในเน็ต) ^^
             น้องสามาได้ไง อันนี้ไรท์บอกไม่ได้ ตามน้ำมาค่ะ ฮ่า ๆ
 
             จริง ๆ ไม่ชอบแต่งนิยายดราม่า ชอบแนวฮา ๆ มากกว่า แต่เวลาแต่งนิยายจริง บางทีอารมณ์และเนื้อเรื่องมันพาไป ไม่ต้องไปดูไหนไกล อย่างน้องซินเป็นต้น เริ่มเรื่องมาซะโอ้ว ชื่นมื่น แต่พอเข้าตอนที่สามสี่ห้า นายเอกเราร้องไห้ตลอดยันจบเรื่อง แต่มันก็สนุกดี รักมากเรื่องนี้ คงเพราะเป็นเรื่องแรกที่แต่งละมั้ง อะไรที่เป็นครั้งแรก เรามักประทับใจเสมอ ^^ว่าแล้วก็อยากกลับไปอ่านต่อ- -
           
            จริง ๆ เป็นคนไม่เคยซีเรียสเรื่องการเขียนนิยายเท่าไหร่นะ แต่งได้ทุกสภาวะการณ์ เครียดก็แต่งแนวหื่นหน่อย อารมณ์ดีก็แต่งหวาน ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ฮา ๆ แต่ยิ่งมีความสุขไอเดียยิ่งพุ่ง พลอตเพิดไม่ต้องถาม ไม่มี แต่งตามภาพที่ฉายเข้ามาในหัว หนุกไม่หนุกขึ้นอยู่กับมาตรฐานและเส้นความสนุกของแต่ละคน สนุกของคนบางคนอาจไม่สนุกสำหรับบางคน คงคล้าย ๆ กับเสื้อผ้าหรือหรือการแต่งบ้านนั่นแหละ จะมาบังคับให้คนชอบหรือไม่ชอบเหมือนเราก็ไม่ได้ ^^
             ทำให้ดีที่สุด ณ จุดที่เราอยู่ดีกว่า
             เวิ้นไรวะเนี่ย ฮ่า ๆ ดึกแล้ว นอนเถอะ ค่อยกลับมารีไรท์ใหม่พรุ่งนี้นะ รักคนอ่านทุกคน ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ด้วยนะคะ ดีใจที่ยังอยู่เคียงข้างกันเสมอ ฉากจบใกล้เข้ามาทุกที วันนี้จบไป ยังมีพรุ่งนี้ให้หายใจต่อ เราก็ก้าวต่อไปละกันเนอะ
             คิส ๆ ค่ะ ^^

             


 

รักเธอที่สุดAdd Fav. แฟนคลับน้องคีส

              กดไลค์ Facebook แฟนเพจ
                 (แล้วกด "เพิ่มในรายการที่สนใจ" หรือ "Add to interestiong List" ข้ามปุ่มไลค์นะคะ)

              onion05ทวิตเตอร์ฮับ


 



ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อึ้งน้องสานิดๆ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หมั่นไส้นายเอก ความจำเสื่อมยังทำงานเก่งเหมือนเดิม  ส่วนน้องสา อยากอ่านแล้วอ่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
96
คือ...พยายามฟื้นความทรงจำ
[เอก...☼]





มันเดินตามผมมาเงียบ ๆ กระทั่งถึงห้อง ผมกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง

ชีวิตต่างกันลิบลับเลย ตั้งแต่ผมฟื้นขึ้นมาที่บ้านนาต่างจังหวัดกับชีวิตร่ำรวยหรูหราแบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่าชีวิตแบบไหน ที่ผมอยู่แล้วมีความสุขมากกว่ากัน

กับหนึ่งชีวิต สองสไตล์

“พี่รีบไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
มันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนมายื่นให้ ผมรับมาถือไว้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ตั้งแต่ผมมีอะไรกับมันวันที่เจอกันครั้งแรก ผมก็ยังไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวมันอีกเลย(แม้แต่จับมือ) ครั้งนั้นมันคงเกิดจากบรรยากาศและอารมณ์พาไป

มาถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกับมันยังไงดีในฐานะแฟน อยู่กับพ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อน ๆ ก็ยังไม่รู้สึกอึดอัดเท่ากับอยู่กับมันเลย

ชุดนอนที่มันหยิบให้ เป็นเสื้อยืดเนื้อสบายพร้อมกางเกงเอวรูด คงเป็นชุดเก่งของผม พอผมออกมามันก็เข้าไปอาบต่อ ผมเดินไปนั่งบนโซฟา หยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวีดู

ไม่นานนักไอ้ตัวเล็กก็เดินออกมา กำเดาผมแทบจะกระฉูด ดีที่ระงับเอาไว้ได้ ผมพยายามตีสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้

มันออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบพอดีตัว เนื้อผ้าเรียบลื่นแนบไปกับผิวเนื้อ ชายเสื้อยาวคลุมเลยสะโพกลงไปถึงต้นขาขาว และให้เดาคงมีกางเกงขาสั้นอยู่ภายใน ชุดมันเน้นหุ่นมาก ถึงไม่ได้มีส่วนเว้าส่วนโค้งหรือนมโต ๆ แบบผู้หญิง แต่รูปร่างก็มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

มันเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำมาดื่ม โดยมีผมแอบมองตามหลัง ยิ่งมองน้องผมยิ่งตั้ง

ให้ตายสิ เป็นผู้ชายแท้ ๆ ทำไมเซ็กซี่ได้ขนาดนั้นวะ

หน้าผมมองตรงไปยังทีวี แต่ดวงตาเหลือบไปหาไอ้ตัวเล็ก มันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมแก้วสองใบและน้ำเปล่าหนึ่งขวด เสื้อมันไม่ได้กลัดกระดุมสามเม็ดบนจนผมเห็นร่องอกขาว ๆ ของมันรำไร

ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้อง พยายามนับหนึ่งให้ถึงสิบ

มันเทน้ำเปล่าใส่แก้ว เลื่อนมาไว้ตรงหน้า แล้วก็นั่งดูสิ่งที่ผมกำลังดูอยู่ ผมพยายามสะกดตัวเองไม่ให้หันไปมอง แต่เผลอทีไร สายตาผมก็เหลือบไปมองต้นขาขาว ๆ นั้นทุกที 

“พี่เอกเอาเป๊บซี่ไหม”

“หะ หือ!?”
ผมถามเสียงตื่น ไม่ได้ยินว่ามันถามอะไร กลัวว่ามันจะรู้ว่าผมแอบมองมันอยู่ 

“เอาเป๊บซี่ไหม หรือเบียร์ก็ได้”
มันหันมาเสนอ ผมหันไปมองมันตรง ๆ แต่ทำสายตาให้นิ่งเรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไร

“เบียร์ก็ได้ มีด้วยเหรอ”

มันพยักหน้า ลุกเดินไปเปิดตู้เย็นอีกรอบ ทันทีที่มันหันหลัง ผมรีบหยิบหมอนอิงมาปิดน้องชายตัวเองไว้ทันที เมื่อกี้ใช้แขนปิด ๆ ไว้ แต่ตอนนี้มันเอาไม่อยู่แล้วครับ ตื่นเต็มตัวแล้ว ยิ่งเห็นมันก้มหยิบเบียร์ที่น่าจะอยู่ด้านในสุดลึกสุด(ให้เดาคงกลัวพวกทโมนมาเปิดเจอ) เสื้อมันยิ่งเลิกสูงจนเห็นกางเกงขาสั้นโผล่พ้นออกมา

กำเดาแทบกระฉูดรอบสอง ใจอยากเดินไปกระชากกางเกงตัวนั้นทิ้งไปให้ไกล ๆ แล้วก็…

ผมรีบเบรกความคิดตัวเองลง

นี่กูหื่นได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

ผมรีบดึงสายตาจากมันหันมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ

มันเดินกลับมาพร้อมกับเบียร์สองกระป๋อง คงอยากผ่อนคลายด้วยเหมือนกัน มันนั่งที่เดิม แต่ยกเข่าขึ้นมากอดไว้ข้างหนึ่ง ชายเสื้อเลยร่นสูงขึ้นจนเห็นต้นขาขาว

ผมนั่งกลืนน้ำลายอึก ๆ แทนเบียร์

ผมนั่งกระดกเบียร์เข้าปาก ในขณะที่ดวงตาก็จ้องไปยังทีวี แม้มันพยายามจะเบี่ยงกลับมาที่คนตัวขาวด้านข้างก็ตาม

มันเองก็นั่งดื่มไปเงียบ ๆ เหมือนกัน ต่างคนต่างเงียบ ผมนั่งดูรายการสารคดีไปในขณะที่เนื้อหาในรายการนั้นแทบจะไม่เข้าหัวเลยสักนิด มีแต่เนื้อหนังมังสาของคนข้าง ๆ นี่แหละ ที่ปลิวว่อนเต็มหัวไปหมด ผมกระดกเบียร์เข้าปากแทบไม่รู้รสจนมันหมดกระป๋อง

“ยังมีอีกไหม”
ผมหันไปถาม มันพยักหน้า ทำท่าจะลุก

“เดี๋ยวพี่ไปหยิบเอง กายนั่งดูไปเถอะ”
ผมรีบหาทางเลี่ยงเดินไปให้ห่าง ๆ มันทันที

ผมมายืนสงบจิตสงบใจอยู่หน้าตู้เย็น เผื่อความเย็นของมัน จะทำให้น้องชายผมหดเล็กลงไปได้บ้าง มองไปยังคนตัวเล็ก มันสนใจเฉพาะทีวีตรงหน้าเท่านั้น

หันกลับมามองน้องชายตัวเอง มันยังตั้งโด่อยู่เลยครับ ผมพยายามไม่มองคนตัวเล็ก ให้น้องตัวเองต้องไอเย็นจากตู้เย็นให้มากที่สุด

ถ้าจับยัดช่องฟรีซได้ จับยัดไปแล้ว

ผมพยายามอดทนให้มากที่สุด แต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมลดสักที ซ้ำยังปวดเอามาก ๆ อีกด้วย

อดทนหน่อยสิลูกพ่อ เพิ่งเจอกัน จะมาทำหื่นใส่เขาไม่ได้นะ แต่ดูท่ามันจะไม่ยอมเชื่อฟังผมเลยสักนิด

ทำไงดีวะ เดินไปตอนนี้ รับรองมันต้องเห็นแน่ ๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ นับหนึ่งให้ถึงสิบ ยังดีที่ไอ้ตัวเล็กมันเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นรีบควานหาเบียร์ กับพวกอัลมอนด์มาเป็นกับแกล้มอีกนิดหน่อย แล้วเดินลิ่วกลับไปที่โซฟา

นั่งได้แล้ว แต่ยังไม่ทันจะวางกระป๋องเบียร์ มันก็เดินออกมา อารามตกใจ ผมรีบสลัดกระป๋องเบียร์ คว้าหมอนมาปิดน้องชายตัวเองไว้ เบียร์สองกระป๋องเลยตกพื้นกลิ้งหลุน ๆ ไปชนเท้าไอ้ตัวเล็ก มันก้มมองงง ๆ ก่อนเงยหน้ามองหาที่มา

ผมยิ้มแหะ ๆ กดหมอนบนน้องผมแน่น 

อดทนเข้าไว้ลูกพ่อ

มันก้มลงหยิบ

โอ๊ย! กูจะบ้าตาย กูไม่ได้ตั้งใจมอง แต่เมื่อกี้แอบเห็นหัวนมมันด้วย น้องชายผมมันเด้งขึ้นมาอีก จนผมต้องกดหมอนลงไปมากขึ้นจนตัวเองเบ้หน้าเจ็บปวด มันเดินกลับมานั่งที่เดิม และ...

...ท่าเดิม

มึง เห็นใจกูหน่อยเหอะ

กูปวดโว้ย!!

“ซ่าาา”
มันเปิดฝากระป๋องเบียร์ออก ฟองจำนวนมากมายไหลทะลักออกมาจนเลอะมือ กระป๋องมันคงโดนเขย่าตอนตกพื้น ผมมองอึ้ง ๆ ไม่ต่างกับมัน

แต่แทนที่มันจะเดินไปล้างมือหรือหาทิชชู่มาเช็ด มันกลับเลียฟองเบียร์ด้วยลิ้น

ผมเผลอสะกดสายตาตัวเองไว้ยังลิ้นแดง ๆ ที่ตวัดเช็ดหยาดน้ำเข้าปาก พอ ๆ กับเรียวปากได้รูปที่เม้มพาน้ำเบียร์ที่เปื้อน ๆ เข้าไป พอมันเลียหมด ก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอึก ๆ ผมจ้องมองลำคอขาว ๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวโดยมีก้อนน้ำรสขมไหลรินลงไป
 
มันตวัดปลายลิ้นเช็ดฟองเบียร์ตรงมุมปากเบา ๆ แล้วเช็ดอีกทีด้วยหลังมือ ผมมองตามแทบตาไม่กะพริบ พอได้สติ ผมรีบละสายตาหนีจากมัน แล้วเปิดฝาเบียร์ออก

แต่ผมลืมไป ว่าเบียร์กระป๋องนี้ มันคงมีสภาพไม่ต่างกับเบียร์ของมัน และผลที่ได้ก็คือ…

“ซ่าาา!”

ทั้งมือและแขนผม เต็มไปด้วยฟองเบียร์ไหลเลอะเป็นทาง มันหันมามอง

“พี่เอก เบียร์เลอะแน่ะ”

ผมจ้องมองฟองเบียร์ที่ยังไหลล้นไม่หยุด ก่อนหันไปมองมัน

“เช็ดให้พี่หน่อยสิ”
ปากเร็วกว่าความคิดครับ ห้ามไม่ทันแล้ว มันพยักหน้า กำลังจะลุก แต่ผมฉุดมันไว้

“ด้วยไอ้นั่น”
ผมชี้ไปที่ปากมัน

นี่กูพูดอะไรออกไปวะ! ทำเป็นตาหื่นเจ้าเล่ห์ไปได้

มันนั่งอึ้งจ้องหน้าผมเขม็ง ไม่นานแก้มขาวก็ค่อย ๆ แดงปลั่ง

“เอ่อ…”
ผมกำลังจะแก้ตัวว่า ‘ล้อเล่น’ แต่มันกลับเคลื่อนตัวมาที่มือผม ยื่นลิ้นแดง ๆ ออกมาเช็ดฟองเบียร์ให้

กระป๋องเบียร์ในมือผมร่วงตุบลงพื้น มันตกใจรีบหันไปมอง ผมเลยอาศัยจังหวะนั้น จับมันกดลงบนโซฟา แล้วคร่อมทับด้วยร่างสูงใหญ่ของตัวเองทันที 

ไม่สนแล้วว่ามันจะมองผมเป็นคนยังไง ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วครับ

“พี่เอก…”         
มันครางเรียกเสียงแผ่ว หน้าแดง ตาปรอยหน่อย ๆ มันคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ น้องผมกำลังทิ่มหน้าขามันอยู่   

“ขอโทษนะกาย แต่พี่ไม่ไหวแล้ว”
ผมรีบกดจูบและฉกลิ้นมันมาเกี่ยวกระหวัดทันที ได้ทั้งรสเบียร์และรสลิ้นนุ่ม ๆ ของมันเต็ม ๆ ผมขยับเนื้อตัวเบียดแทรกเรือนร่างสูงใหญ่ของตัวเองเข้าตรงหว่างขาของมัน มือไม้ก็ลูบไล้บีบเคล้นไปทั่วต้นขาขาว ๆ เข้าไปดึงกางเกงมันออกแรง     

“อึก...พี่เอกเบา ๆ”

เหมือนตัวเองเป็นโรคจิตยังไงบอกไม่ถูก ยิ่งมันห้าม ผมยิ่งอยากทำรุนแรงมากขึ้น ผมรีบปลดบางส่วนของตัวเองออกแล้วหาช่องทางอุ่น ๆ เพื่อเชื่อมร่างผมกับมันเอาไว้ด้วยกันทันที

มันทั้งคับและร้อนเอามาก ๆ

“อืม…”
ผมเผลอครางออกมาเบา ๆ จากแรงรัดของมัน ไม่สนแล้วครับ ขอทำตามใจตัวเองก่อนละกัน พอเข้าไปได้สุดทาง ผมก็ขับเคลื่อนตัวเครื่องอย่างเร็วทันที ผมใส่จังหวะไม่ยั้ง จนเนื้อตัวมันไหวขึ้นลงตาม

ปากแดงไหวระริก ดวงตามันปรอยจนฉ่ำเยิ้ม จ้องผมไม่วางตา

ทำไมมันถึงได้น่ารักขนาดนี้วะ

ผมทิ้งจังหวะทั้งรุนแรงสลับกับนุ่มนวล กลืนกินมันทั้งตัว พอจบบทแรก แทนที่จะหยุด ผมก็จับมันพลิกนอนคว่ำ แล้วเริ่มต้นจังหวะรักครั้งใหม่อีกครั้ง

มาถึงตอนนี้ ผมโคตรอิจฉาตัวเองเลยที่ได้ลิ้มลองร่างกายที่แสนมีเสน่ห์แบบนี้

ผมไม่รู้ว่าเมื่อก่อน ผมกินมันบ่อยแค่ไหน และครั้งละกี่รอบ เพราะผมไม่เคยถาม และมันคงอายที่จะตอบ แต่มาตอนนี้ ผมหยุดตัวเองยังไม่ได้ 

ผมอุ้มมันจากโซฟาเข้าห้องนอน ร่างมันระโหยโรยแรง ปากแดงยังคงครางห้าม แต่ยิ่งห้ามยิ่งกระตุ้นให้ผมรู้สึกร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีก

ผมจับมันให้อยู่ในท่าคลานสี่ขา โดยมีบางส่วนของผมเชื่อมเอาไว้ ผมเลิกเสื้อมันสูงโชว์ร่องเอวขาว ๆ ให้ชัด ๆ ผมลูบเบา ๆ มันก็อ่อนระทวย ผมเริ่มจับจุดมันได้แล้ว จุดอ่อนมันอยู่ที่หัวนม ช่วงเอวและต้นคอ พอสัมผัสสามส่วนนี้ทีไร ตัวมันจะอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟทุกที

“อ๊า พี่เอก”
มันครางสะท้านเมื่อผมพามันไปถึงปลายทางอีกรอบ

ผมหอบหายใจถี่ จ้องมองเรือนร่างข้างใต้ที่หมดแรงทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้ากับผืนที่นอน เหงื่อไคลไหลย้อยทั้งจากตัวผมและตัวมันเองจนเสื้อที่ใส่อยู่เปียกชื้นไปหมด ผมก้มหน้าจูบซับหลังคอมันเบา ๆ ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงไปนอนเคียงข้างมัน ไอ้ตัวเล็กหลับไปแล้ว ผมยิ้มเหนื่อย

นี่ผมเอามันกระทั่งมันสลบเลยเหรอเนี่ย   

 

 

 

ผมเสหน้าหลบแสงแดดที่ทแยงเปลือกตาเข้ามา

อืม…เช้าแล้วเหรอ

ใจจริงอยากนอนต่อ แต่วันนี้มีเรียนช่วงเช้า หันซ้ายหันขวา มองหาใครสักคนที่ผมนอนกอดเมื่อคืน

...แต่ไม่เจอ

คงอยู่ข้างนอก ผมลุกออกจากเตียงเดินสะโหลสะเหลหวังจะเข้าห้องน้ำ แต่เจอะกับใครบางคนที่กำลังเปิดประตูออกมาพอดี มันทำหน้าตกใจ แล้วก็ก้มหน้าแก้มเปลี่ยนสี

“อรุณสวัสดิ์”
ผมทักมันก่อน

“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ”
มันพูดกุกกัก ไม่กล้าสบตาและทำท่าจะเดินหนี ผมรั้งมือมันไว้ทันที เพราะขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งผมกับมันคงแย่ด้วยกันทั้งคู่

ผมว่า ผมน่าจะคุยกับมันเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนตรง ๆ ไปเลยดีกว่า จะได้ไม่อึดอัดด้วยทั้งคู่ด้วย

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย รอพี่อาบน้ำก่อน”

มันพยักหน้าเดินออกจากห้องไป ส่วนผมพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ออกไปหามันด้านนอก เห็นมันกำลังยืนทำอาหารอยู่ เป็นอาหารง่าย ๆ ครับ แต่จำนวนเยอะมาก พอผมทิ้งตัวลงนั่ง มันก็นั่งตาม แก้มมันยังแดงอยู่เลย

นี่คือท่าทีรังเกียจของมันหรือมันกำลังเขินผมอยู่กันแน่ แต่ให้เดาคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

“มีอะไรเหรอฮะ”
มันเปิดปากถามก่อน

“อย่างที่กายรู้ว่าพี่จำอะไรไม่ได้เลย พี่รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะพี่ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดีเวลาอยู่ต่อหน้ากาย”

มันเม้มปากแน่น

“แล้วพี่ยังมีความรู้สึกรักผมอยู่ไหม”

ผมนิ่งไปกับคำถามมัน มันก้มหน้าจนผมมองแทบไม่ออกว่ามันทำหน้าแบบไหนอยู่

“พี่บอกไม่ได้นะ พี่รู้แค่ว่า พี่รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เข้าใกล้กาย รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ และมีความสุขเวลาที่เห็นกาย โดยเฉพาะตอนที่กายยิ้ม และที่สำคัญ…เอ่อ…ถ้าพี่พูดแล้วกายอย่าว่าพี่นะ”
ผมขอคำตอบจากมันก่อน มันพยักหน้า ผมยิ้มแหยงใส่มัน

“ทุกครั้งที่เข้าใกล้กาย ไอ้เนี่ย…” ผมชี้ไปด้านล่างตรงกลางระหว่างขาตัวเอง “มันจะตื่นทุกที กับคนอื่นไม่เห็นเป็น แต่พอเข้าใกล้กายทีไรเป็นทุกที เมื่อวานก็นั่งอดทนแทบตาย แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ พี่ไม่ได้อยากถูกมองว่าเป็นพวกหื่นหรือพวกลามกหรอกนะ”

มันจ้องผมไม่วางตา จนผมเริ่มประหม่า

มึง กูรู้ว่ากูหื่น ไม่ต้องมามองกูจริงจังขนาดนั้นก็ได้

“พี่พยายามอดทนหรอกเหรอ ไม่ใช่ว่าไม่สนใจผม”

“เปล่า ไอ้นี่มันตื่นตั้งแต่เห็นกายเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว”

มันมองผมอึ้ง ๆ ก่อนก้มหน้าจนเห็นเพียงเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก

“จริง ๆ แล้วชุดนั้นพี่เป็นคนซื้อให้ผมเอง แต่ผมไม่ค่อยจะใส่มันหรอก เพราะมันดูโป๊ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก แต่เห็นพี่ชอบ ผมเลยลองเอามาใส่ดู เผื่อจะกระตุ้นความทรงจำของพี่ได้บ้าง แต่ผมเห็นพี่นั่งนิ่ง ๆ ไม่สนใจเลยคิดว่ามันคงไม่ได้ผล”

ตรงข้ามเลยต่างหาก กระตุ้นได้ดีเกินคาด แต่กระตุ้นอย่างอื่นนะ

ว่าแต่…

ผมเนี่ยนะ ที่เป็นคนซื้อชุดแบบนั้นให้มัน

นี่กูจะหื่นไปไหมฮึ?

“นี่พี่ถามจริงเหอะ”
ผมทำหน้าจริงจัง มันเงยหน้ามอง

“บอกพี่มาตามตรง เวลาที่พี่อยู่กับกายสองคน พี่เป็นคนยังไง ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่จะได้รู้นิสัยตัวเองไว้”

มันทำท่าอึดอัดเหมือนไม่อยากจะพูดเท่าไหร่

“บอกมาเถอะ”
ผมกระตุ้นต่อ มันก้มหน้า

“โหด”
อื้อหือ...เริ่มมาก็เลวได้ใจเลยกู

“หื่น”
สะอึกครับ

“เจ้าเล่ห์”
อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจแฮะ ว่าแต่เจ้าเล่ห์แบบไหนหว่า?

“โรคจิต”
ผมนั่งอึ้ง นี่กูมีดีอะไรมั่งเนี่ย

“ตื่นง่าย”
เอ่อ... ว่าแต่ตื่นง่ายของมึงเนี่ย ตื่นง่ายแบบไหนวะ แต่ให้เดาน่าจะทั้งคู่ เพราะผมตื่นง่ายจริง ๆ น้องผมด้วย

“ขี้หึงรุนแรง”
มึง ยังไม่หมดความเลวของกูอีกเหรอ

“บางครั้งก็เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนน้ำแข็ง แต่บางครั้งก็ใจร้อนเหมือนลาวา ทำอะไรบางทีก็ไม่ฟังฟ้าฟังฝนฟังเหตุผลให้ดีก่อน”
เลวครบสูตรจริง ๆ ว่ะกู

“เจ้าชู้”

หะ!? กูเนี่ยนะ

“หลายใจ”
เอ้า! มึงเอาให้พอ มีใครจะเลวเหนือกูอีกไหม

“ที่สำคัญ ชอบบังคับด้วย”

ยังไม่หมดอีก =*=

“นี่พี่มีดีบ้างไหมเนี่ย”
ผมบ่นกับตัวเองเสียงเบา มันเงยหน้ามอง พยักหน้าให้ด้วย

เฮ้อ...ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“พี่เป็นคนอบอุ่น”
ม่ะ ว่ามา กูอยากฟังความดีของกูให้ชื่นใจซะหน่อย

“ใจดี”
นี่แหละพระเอกตัวจริง

 

“รักน้อง รักครอบครัว ฉลาด ทำงานเก่ง”
แล้วมันก็เงียบไป

ผมรอฟังมันอยู่ครับ แต่มันยังเงียบอยู่

อ้าว เฮ้ย!! หมดแล้วเหรอ มึงพูดข้อเสียกูมาซะยืดยาว แต่ข้อดีกูมีแค่เนี้ย

“แค่เนี้ย!”
ปากเร็วครับ มันเงยหน้ามอง แล้วพยักหน้า       

กูเป็นพระเอกยังไงของกูวะ เลวได้ใจจริง ๆ =*=

“แล้วกายรักพี่ไปได้ยังไง เลวครบสูตรขนาดนี้”
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่รู้เหมือนกัน”
อ้าว มึง จะพูดให้ดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้

“แต่ผมรักไปแล้ว รักมากด้วย”
มันพูดเสียงหงอย และมันคงรู้สึกแย่ ที่ผมหลงลืมความรักที่มันมีให้ไป

เอาวะ ไหน ๆ กูก็เลวอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันละวะ ผมดึงมันมานั่งบนตัก มันไม่ได้ขัดขืนด้วย ผมรัดมันไว้ในอ้อมแขน

“แล้วกายรักพี่เพราะอะไร เพราะความเลวมากมายของพี่ หรือความดีอันน้อยนิดของพี่”

“ผมไม่รู้… ผมแค่รักพี่เท่านั้น รักจนให้คำตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่พี่คือพระอาทิตย์ มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ผมก็รักที่พี่เอกเป็นพี่เอก ไม่ว่าพี่เอกจะเป็นยังไงก็ตาม”

ผมมองตามัน

“พี่ขอโทษนะ ที่หลงลืมทุกความรักของกาย… พี่ไม่รู้ว่าพี่จะดึงความทรงจำเก่า ๆ กลับมาได้หรือเปล่า แต่พี่ขอสร้างความทรงจำครั้งใหม่กับกายได้ไหม”

“ครับ”

“พี่ไม่รู้ว่าแต่ก่อนพี่เป็นคนยังไงนะ แต่พี่จะเป็นตัวของตัวเอง ดีบ้างไม่ดีบ้างก็บอก ๆ กันหน่อยละกัน”

มันพยักหน้า ก่อนหน้าแดงก่ำ เพราะน้องผมมันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว มันรีบเขยิบยกตัวเองออก แต่ผมกดมันไว้เหมือนเดิม

“กาย…”
ผมเรียกมันยั่ว ๆ มันมองตาผมหวั่น ๆ

“ระ เรารีบกินข้าวกันดีกว่า”

“กายง่ะ…”
ผมทำเสียงหงุงหงิง และก่อนที่มันจะปฏิเสธ ผมรีบรวบจับมันมากดจูบทันที

ขอกินมันเป็นออเดิร์ฟก่อนอาหารเช้าละกัน
         

To Be Con..             
     

พี่เอกยังไงก็ยังพี่เอกอยู่วันยังค่ำ
อัพเสร็จไปนอนต่อ ง่วงมากกกก :katai5:                 
                   


          ปล. ไม่รู้ว่าคนในเล้าสงสัยเรื่องน้องสาไหมนะคะ แต่อันนี้คือคนที่เด็กดีเขาเคยสงสัยเลยยกเรื่องน้องสามาตอบอีกรอบยกยวง
           
             มีคนสงสัยว่า
            1. พี่เอกดำเนินเรื่องเพื่อพาน้องสาเข้ากรุงเทพ ทำไมถึงไม่รู้ว่าสาเป็นผู้ชาย
            คำตอบก็คือ : เพราะพี่เอกดำเนินเรื่องแค่พาตัวพวกเขาเข้ามาค่ะ ไม่ได้แตะต้องเรื่องเอกสารอะไร พวกตากับยายเขาก็กัน ๆ เรื่องนี้ไว้ด้วย ไม่ให้แตะหรือเห็นอะไรหรอก (ทำมาตั้งแต่สาเกิดแล้ว เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย) ไม่ได้ย้ายสำมะโนครัวมานะคะ ชื่อที่อยู่ยังเป็นที่เดิม เวลาไปดำเนินเรื่องอะไร สาจะไปทำด้วยตัวเองหมด หรือหิ้วตากับยายไปด้วย(เพราะตากับยายไม่ได้ขายบ้านนา ชื่อแกเลยยังเป็นเจ้าของอยู่ ^^) ทุกคนจะรู้เท่าที่สาและตากับยายบอก อีกอย่าง น้องสาอยู่บ้านพี่เอกได้ไม่นานก็พากันย้ายออกมาอยู่บ้านน้องกายแล้ว คนบ้านนั้นเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ และตามเนื้อหาจริง คนที่อาสาช่วยน้องสาดำเนินเรื่องต่าง ๆ นา ๆ คือน้องกายค่ะ (ทำแทนพี่เอก) และเป็นคนเสนอให้มาอยู่บ้านตัวเองด้วย เพราะรู้ว่าตากับยาย น่าจะชอบอะไรที่มันเป็นบ้านสไตล์ต่างจังหวัดมากกว่าด้วย

           2. น้องสาเคยถูกแม่จับขัดสีฉวีวรรณ ทำไมแม่ถึงไม่รู้ว่าน้องสาเป็นป้อจาย
           คำตอบคือ
           น้องสาเป็นสาวบ้านนาค่ะเด้อ คนต่างจังหวัด ต่อให้อยู่ให้ห้องน้ำมิดชิดปิดรูคนถ้ำมองขนาดไหน เขาก็นุ่งกระโจมอกอาบน้ำค่าาา ไม่ได้สลัดผ้าเดินเปลือยเหมือนคนกรุงหรอก น้องสาเราอาบแบบนี้มาตั้งแต่สามขวบแล้ว เพราะงั้นพอเข้ากรุง อิหนูเราก็ยังติดนุ่งกระโจมอกเข้าห้องน้ำอยู่(แม่ไรท์ก็เป็น- -) ต่อให้แม่แก้วเข้าไปอาบน้ำด้วย ก็บ่เห็นสาน้อยดอกเด้อค่า แม่ก็นั่งขัดไปสิ (นึกภาพแม่แก้วจับน้องสานั่งเก้าอี้เอามะขามเปียกผสมโยเกิร์ตขัดผิวน้องสาในชุดผ้าถุงกระโจมอกสีดำ ๆ นะ - -) นั่นแหละค่าาาา
          อีกอย่างแม่แก้วสอนครั้งเดียวค่ะ ที่เหลือน้องสาทำเอง - -
          เคลียร์เนอะ ^^

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่เอกก..จำไม่ได้แต่ึความหื่นนี่ยังอยู่นะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เออดี  สมองจำไม่ได้ แต่เอกน้อยจำได้  :impress2:
ส่วนน้องสา อยากจะออกเรื่องนี้ไว ๆ แล้วอะ  :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด