ผมนั่งกินอาหารมื้อเช้า(เช้ามืดน่ะ)ร่วมกับพี่ภานุ คุยเรื่องงานเรื่องโน้นเรื่องนี้จนอิ่ม ความจริงถ้าวันนี้ไม่บังเอิญเจอพี่เขาตอนต้องขับมาส่งแม่ที่โรงแรม ก็คงไม่รู้ว่าเจต้องมาเตรียมงานด้วย ผมเลยอาสาไปรับมาให้ แต่ไม่คิดว่าจะไปเจอแจ็คพ็อต ยังไม่ทันจอดรถสนิทก็เห็นเจกับอั้มนั่งอยู่ในรถ หน้าแทบจะชนกันอยู่แล้ว รู้ครับว่าไม่มีอะไรหรอก แต่มันไปสนิทกันตอนไหนถึงได้มารับมาส่งกัน ไม่ได้คิดเหตุผลหรอกว่าทำไมต้องหงุดหงิด รู้ตัวอีกทีก็เผลอใส่อารมณ์กับมันบนรถแล้ว จะขอโทษมันก็เดินหนีอีก เหมือนอย่างตอนนี้ไง เดินหายไปไหนก็ไม่รู้
ผมเรียกพนักงานมาเก็บโต๊ะอาหาร เดินกลับมาหาพี่ภานุที่ห้อง มองไปตรงหลังเวทีเห็นไอ้เปี๊ยกนอนขดอยู่ที่พื้น มีเสื้อกันหนาวคลุมตัวอยู่ ตัวมันก็เล็กแค่นี้ แต่ทำอะไรตั้งหลายอย่าง ผมยังคิดเลยว่าผมจะทำได้อย่างมันไหม ทั้งเรียน ทั้งทำงาน มันทำทั้งสองอย่างได้ไม่มีที่ติ
“เจหลับเหรอครับ”พี่ภานุเดินมาข้างหลังผม
“ครับ ปกติเจมันก็ทำงานแบบนี้เหรอครับ”
“ถ้างานใหญ่ๆ ผมถึงจะให้มันมาลุยหน้างานด้วยน่ะ มันทำงานเก่ง รอบคอบดี พวกทีมผมก็ไว้ใจมันทั้งนั้น เรียกว่าคุมงานแทนผมได้เลยล่ะ”พี่ภานุพูดด้วยสีหน้าชื่นชมมากเลยครับ
“ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าตัวแค่นี้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง”
“ครับ ตอนแรกผมก็กลัวมันจะเสียคนเหมือนกัน เห็นมันเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไม่รู้ทนได้ยังไง”
“เรื่องพ่อแม่มันน่ะเหรอครับ”นี่แสดงว่ามันรู้จักพี่ภานุหลายปีแล้วแน่ๆ
“ครับ ผมรู้จักกับเจก่อนที่มันจะเสียพ่อแม่ไม่นาน ตอนไปร่วมงานศพ ใครที่ว่าตัวเองใจแข็ง ถ้าได้เห็นมันวันนั้นแล้วไม่ร้องไห้ตาม ผมยอมรับเลยครับ ขนาดเพื่อนมันช่วยกันปลอบยังเอาไม่อยู่เลย”พี่ภานุคงหมายถึงโก้กับตี๋
“พ่อแม่เจเสียเพราะอะไรเหรอครับ”
“อุบัติเหตุน่ะครับ เห็นว่าคนเมาขับรถมาชน ชนต่อหน้ามันเลย แต่ผมก็ไม่รู้รายละเอียดมากหรอกนะครับ”พี่ภานุเล่าถึงแค่ตรงนี้ ลูกน้องเขาก็เรียกหา พี่เขาเลยต้องเดินออกไป
ส่วนผมได้แต่นั่งนิ่ง รู้สึกจุกในอก สมองมันตื้อไปหมดครับ แค่พ่อแม่ตายก็แย่แล้ว แต่นี่มันเห็นต่อหน้าต่อตาเลย มิน่าถึงฝันร้ายบ่อยๆ แต่มันขอโทษอะไร ขอโทษทำไม ผมอยากรู้ ถ้าผมถาม มันจะตอบไหม หรือมันจะยิ้มให้เหมือนทุกครั้งเวลาที่มันไม่อยากพูดอะไร ยิ้มแบบที่ใช้กันตัวเองออกจากคนอื่น..บ่อยๆ
“อยากรู้เรื่องผมขนาดนั้นเลยเหรอ”อยู่ดีๆ คนที่ผมคิดว่านอนหลับก็ส่งเสียงมา น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ก็รู้ว่าโกรธ โกรธจริงๆ
“...คือ...พี่..แค่..เป็นห่วง”ผมรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อมองหน้าเจ เจที่กำลังมองผมเหมือนไม่รู้จักกัน
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ที่ผ่านมาผมคิดว่าคนที่ไม่สนใจอะไรเลยนี่แย่แล้ว แต่ว่ายังไงก็น่าจะดีกว่าพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น”เจพูดไว้แค่นี้แล้วก็ลุกเดินออกไปโดยไม่มองหน้าผม
นี่ผมทำผิดไปแล้วใช่ไหม ผมถามในเรื่องไม่ควรถาม รู้ในเรื่องที่เจ้าตัวเขาไม่อนุญาติเหรอ นี่ผมผิดเหรอ ความเป็นห่วงของผมนี่ผิดมากใช่ไหม
ตลอดระยะเวลาการเตรียมงานและซ้อมการแสดงที่จะใช้ในงาน ผมได้แต่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ เจไม่แม้แต่จะเหลียวมองมาที่ผม ช่วงเวลาที่ผมปลีกตัวออกไปหาแม่เพื่อเข้าร่วมประชุมย่อยๆ หัวผมไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้เลย มีเพียงภาพแผ่นหลังที่เจเดินหนีผมไป หลังจากประชุมเสร็จแม่ก็ให้ผมมางานเลี้ยงเป็นเพื่อน ก็งานที่คุณภานุจัดนั่นแหล่ะครับ ผมก็ไม่คิดปฏิเสธ เพราะยังไงผมก็ตั้งใจรอเจทำงานจนเสร็จอยู่แล้ว
“ตายแล้ว สงสัยผีเข้าลูกฉัน”แม่ผมทำเสียงตกอกตกใจมากครับ
“อะไรครับแม่”
“ก็ร้อยวันพันปีแกเคยยอมมางานกับแม่ง่ายๆ แบบนี้เหรอ เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า”
“แม่ก็ว่าไปนั่น ผมให้แม่ควงมางาน ไม่ดีใจรึไง”
“ดีใจจ้าดีใจ ไปๆ เดี๋ยวแม่ไปแนะนำให้เพื่อนแม่รู้จัก”นี่ไงครับ เหตุผลที่ไม่อยากมางานแบบนี้ ทำเหมือนมาเปิดตัวลูกชาย
ตลอดงานผมก็เดินไปไหว้คนนั้นคนนี้ จำไม่ได้สักคนหรอกครับ ก็มือผมไหว้ แต่ตาผมมองคนตัวเล็กที่อยู่กับพวกทีมงานคนอื่นๆ เห็นมันคุยมันยิ้มให้เขา แต่พอผมยิ้มให้มันก็แค่มองผ่านๆ ไม่ได้เชิดใส่หรือทำหน้าโกรธ มันไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย นี่สิที่เจ็บ
“มองอะไรลูก คนรู้จักเหรอ”แม่เดินมาสะกิดแขนผม ผมคงเผลอมองนานไป
“....ครับ รุ่นน้องน่ะ เขาเป็นคนจัดงานนี้ เป็นคนออกแบบน่ะครับ”
“ต๊าย จริงเหรอ ยังเด็กอยู่เลย แม่นึกว่าน้องสาวคุณภานุซะอีก”แม่นี่สมกับเป็นแม่ผมจริงๆ
“หึหึ.....น้องเขาเป็นผู้ชายครับแม่”ได้ยินแม่พูดแล้วนึกถึงวันที่เจรายงานตัวเลยครับ ทักผิดเหมือนกัน แล้วก็ตั้งแต่วันนั้นแหล่ะ ที่มีมันอยู่รอบๆ ตัวผมเสมอ
“อ้าวเหรอ เห็นหน้าตาน่ารักเชียว แล้วไม่ไปทักล่ะ”
“ไม่ต้องหรอกแม่ เดี๋ยวตอนกลับจะพากลับด้วย ห้องอยู่ติดกันน่ะ”
“แล้วไม่กลับบ้านกับแม่เหรอ แต่เอาเถอะ วันนี้อุตส่าห์ว่านอนสอนง่าย”แม่พูดซะผมเหมือนเด็กดื้อเลย
งานใกล้เลิกแล้ว ผมแอบไปถามพี่ภานุว่าเจจะกลับตอนไหน ต้องรอเก็บงานไหม พี่เขาก็บอกว่างานเลิกก็กลับเลย เก็บงานน่ะพวกลูกน้องเขาทำเอง ผมเลยรีบไปขับรถมาจอดรอหน้าโรงแรม ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วครับ เห็นเจเดินสะพายเป้ออกมา ผมเดินไปขวางหน้าไว้
“ไปขึ้นรถสิ กลับด้วยกันนี่แหล่ะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับเอง”เจพูดแล้วเดินเลี่ยงผม ผมคว้าข้อมือเอาไว้ได้ เจก็พยายามบิดข้อมือออก ผมรู้ว่าถ้าปล่อยต้องเป็นรอยแดงแน่ๆ แต่ถ้าไม่จับไว้แน่นๆ ก็จะเดินหนีไปอีก
“เจ...พี่ขอโทษ พี่แค่อยากรู้เรื่องเจ พี่เคยถามเจแล้วแต่.....เจไม่บอก”
“ก็เลยถามจากคนอื่นเขางั้นสิ”เจทำหน้าเหมือนตำหนิผมอยู่ในที
“พี่เป็นห่วงเจนะ รู้มั้ย”
“เป็นห่วงหรือสงสารผมกันแน่ แยกมันให้ออกนะ ความเป็นห่วงที่จะให้คนอื่นนี่ต้องเกิดจากอดีตของคนนั้นด้วยเหรอ ผมไม่ยักรู้”
“เจ....พี่ขอโทษ พี่แค่..อยากรู้ว่า ทำไมเจต้องนอนร้องไห้ ฝันร้ายเรื่องอะไร...ขอโทษ พ่อแม่..ทำไม ถ้าได้รู้บ้าง บางทีพี่อาจช่วยได้ อย่างน้อยก็ปลอบได้”เจพูดมาก็ถูก หลายๆ คนรอบตัวมันที่ไม่รู้เรื่องก็ยังเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมล่ะ...ก็แค่...อยากรู้ เรื่องที่บางคนรู้ และอยากรู้เรื่องที่คนอื่นๆ ไม่รู้
“...หึ จะปลอบผมเหรอ........พ่อแม่ผมตาย เพราะมาส่งผม ผมที่เอาแต่ใจ จะไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อนๆ ในวันเกิด ทั้งๆ ที่พ่อแม่ไม่อยากให้ไป แต่ผมก็จะไป จนพวกท่านต้องขับรถมาส่ง ผมรีบมากจนลืมกล้อง ผมบอก...บอกให้พวกท่านขับกลับไปเอาให้ ผมบอกให้ไปเอากล้องมาให้เร็วๆ แต่....ขับไปไม่ไกล ก็มีรถจากไหนไม่รู้ขับพุ่งมาชน....ด้านข้าง อัดรถพ่อแม่ผม......กับเสาไฟ..........เลือดอาบไปทั่วตัว.........ผมพยายามดึงพวกท่านออกมา....แต่มันติด...ประตูรถมันยุบ....ผมดึงพวกท่านไม่ออก”เจเล่าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เจ....พี่”ผมอยากจะห้ามไม่ให้เจพูดต่อ
“......วันที่ผมอายุ 18 ผมไม่เข้าใจว่าตายหมายถึงอะไร.......ต่อให้คิดถึงก็ไปหาไม่ได้.....ความรักผมส่งไปไม่ถึง.......คำว่าครอบครัวเหลือผมคนเดียว....หึหึ..จะปลอบผมเหรอ....... นี่ใช่ไหมที่คุณอยากรู้ ที่นี้ก็ไม่ต้องเที่ยวไปถามใครต่อใครแล้วนะ ทีนี้คงเลิกยุ่งเรื่องผมได้เสียที”ประโยคสุดท้ายที่ถามผมเจยิ้ม ยิ้มเยาะผม หรือเยาะเย้ยตัวเองไม่รู้ ยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่มีเสียงสะอื้น เหมือนไม่รู้ตัวว่าร้องไห้อยู่ เจบิดข้อมือออกอีกครั้ง ผมปล่อยแล้ว ผมไม่กล้ารั้งไว้ ได้แต่มองเจเดินห่างออกไป
ผมขับรถตามห่างๆ ขับตามแท็กซี่ที่เจเรียก ขับตามจนมาถึงหอ ผมจอดรถ แล้วเดินกลับห้อง คืนนี้ผมคิดว่าเจต้องออกไปยืนที่ระเบียงแน่ๆ ผมเปิดประตูออกไปแล้วนั่งลงพิงกำแพง นั่งสักพักได้ยินเสียงเจเดินออกมาที่ระเบียงจริงๆ ด้วย แต่ผมยังนั่งอยู่ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ได้ยินแต่เสียงสะอื้น.......ตรงนี้แหล่ะที่เจ็บ เจ็บที่รู้ว่าเจกำลังร้องไห้เพราะผม.....เพราะผมเอง
ผมนอนตื่นมาอีกทีก็ใกล้เที่ยง ขับรถหาโมทย์ที่บ้านมัน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่สอบเสร็จแล้วจะกินเหล้าข้ามวันข้ามคืนกัน ผมไปถึงก็ร่วมแจมทันที ตกเย็นก็ย้ายไปนั่งร้านประจำ ใครพูดอะไรด้วยก็พูดตอบ แต่จำไม่ได้หรอกว่าพูดอะไร พูดเรื่องเดียวกันไหม
“เป็นไรวะมึง”โมทย์ถาม ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นคนอื่นๆ มองมาทางผมก่อนแล้ว
“....เปล่า”
“เปล่าเชี่ยไร ทำหน้าอย่างกับอกหัก แอบไปชอบใครตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”คำพูดของโมทย์เหมือนเอาค้อนมาทุบหนักๆ ที่หัว ใช่เลยความรู้สึกนี้ แต่มันยิ่งกว่าอกหักอีก ก็ในเมื่อเพิ่งได้รู้สึกตัวว่ารัก ก็อกหักเสียแล้ว
“.......หึ หึ คงใช่ว่ะ”ผมหัวเราะเยาะเย้ยกับความโง่ของตัวเอง
“เฮ้ยยย จริงเหรอมึง กูแซวเล่นเฉยๆ นะ แม่งซุ่มว่ะ ใครวะ”มึงอย่าถามเลยโมทย์ น้องรหัสมึงไง
“พี่ๆ หวัดดีคร้าบบบ”เสียงร้องทักทายตั้งแต่ตัวยังไม่ถึงโต๊ะ เดินเข้ามาเป็นกลุ่มเลยครับ เสียงแบบนี้ไม่ใช่ใครหรอก น้องรหัสผมเองเดินมากับเก๋ ตามด้วยพวกรุ่นน้องไอ้เปา และสุดท้ายที่เดินรั้งท้ายกลุ่มคู่กับอั้ม...คนที่หักอกผมไง
********************************************************************************
คิดถึงทุกคนเลย เมื่อวานเอาตอนน่ารักๆ มาลงให้แล้ว
วันนี้ก็ขอ.....
ปอลอ : ถ้าเรียกร้องเยอะๆ จะเข้ามาต่อให้อีกตอน กลัวมีคนนอนไม่หลับ
แต่ตอนนี้ขอไปนั่งอ่านทวนก่อนนะ บอร์ดปิด คนก็หยุดเหมือนกัน เลยไม่ได้รีไรท์ให้หมดซะที