“...หัวใจจะพองโตทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้ แต่พอเราแยกกัน ความรู้สึกสับสนจะประดังประเดเข้ามาแทนที่ ... นี่ นี่ผมเป็นเกย์ไปแล้วหรือ ถ้าผมเป็นเกย์จริงๆ ชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร...”
การเข้ารอบสุดท้ายของรางวัล “นายอินทร์ อะวอร์ด” ประจำปี ๒๕๔๙ ย่อมการันตีถึงความยอดเยี่ยมของนวนิยายเรื่อง “สุดปลายสะพาน” ได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้แม้จะไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศมารับรอง หากเนื้อหาที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความตั้งใจ ทั้งสำนวนภาษาที่ขัดเกลาจนลึกซึ้งกินใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านตกอยู่ในห้วงความคิดคำนึงได้ไม่ยาก “สะพานที่ไม่อาจข้าม” คือชื่อที่ใช้ในการประกวดครั้งแรก “สุริศร วัฒนอุดมศิลป์” นักเขียนหน้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างคาดไม่ถึงจากผลงานชิ้นแรก
“สุดปลายสะพาน” เป็นเรื่องราวของ “ปรเมษฐ์” นายแพทย์หนุ่ม ผู้กำลังศึกษาโครงการ ”Mercy Killing” หรือ “กรุณยฆาต” เรียกว่าการเสนอทางเลือกสุดท้ายแก่ผู้ป่วย ในขณะที่ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะเลือก “ตาย” ด้วยความสมัครใจของตนเอง ทว่าเมื่อเรื่องถูกนำเสนอต่อคณะกรรมการ เขากลับไม่มีกรณีศึกษา เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือในโครงการของตัวเอง
เขาได้พบกับ “เนรัญ” เด็กหนุ่มนักดนตรีที่เล่นเล่นกีตาร์อย่างเดียวดายอยู่บน “สะพานขาว” ในสวนสาธารณะข้างโรงพยาบาลเพียงลำพัง “A time for us” คือเพลงแรกที่ปรเมษฐ์ได้ยินจากกีตาร์สีแดง และนิ้วที่พรมลงบนเครื่องดนตรีชิ้นโปรด
มิตรภาพครั้งแรกจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น
เมื่อได้อยู่กับเนรัญ ปรเมษฐ์สามารถพูดคุยกับเด็กหนุ่มได้ทุกเรื่อง เขารู้สึกสบายใจ เข้มแข็ง และความมั่นใจในตัวเองที่สูญหายไปกลับคืนมา เด็กหนุ่มคอยเป็นกำลังใจให้เขายามที่ท้อแท้สิ้นหวัง และต้องการกำลังใจ จากความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่าเพื่อน จึงพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็น “ความรัก”
หากทุกอย่างกลับเลวร้าย เมื่อปรเมษฐ์ ถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวที่บิดาเลือกให้ ด้วยความบาดหมางในใจของปรเมษฐ์กับบิดาอยู่ก่อนแล้ว เขาอยากปฏิเสธออกไป แต่การอาการป่วยของมารดา ทำให้เขาอยู่ในอาการน้ำท่วมปาก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อาการผนังหัวใจรั่วจากพันธุกรรมของเนรัญที่เขาไม่เคยทราบกำเริบขึ้นมา ซ้ำร้ายแฟนหนุ่มยังเสนอตัวเป็นกรณีตัวอย่างให้เขาเสนอโครงการที่กำลังทำอยู่อีกครั้ง
การต่อสู้ระหว่างหน้าตาทางสังคม การคลุมถุงชนที่ถูกบังคับโดยผู้มีพระคุณกับความรักที่ตนเองเป็นฝ่ายเลือก
สุดท้ายแล้ว...โศกนาฏกรรมที่ใครก็คาดไม่ถึง จึงเกิดขึ้น...
"สุดปลายสะพาน" สอดแทรกข้อคิดหลากหลาย ทั้งความรักหลายประเภท ความรักของบิดามารดา ที่มีการแสดงออกที่แตกต่างกัน ความรักของเพื่อนเป็นมิตรภาพอันยิ่งใหญ่
และสำคัญที่สุด...ความรักของคนรัก
ซึ่งเหมือนพลังให้ใครหลายคน ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคโดยไม่ท้อถอยอย่างเช่นปรเมษฐ์ มีความเชื่อมั่นจากเนรัญเป็นแรงผลักดัน “มือที่เปื้อนเลือด” ของคนรัก ที่เขามักย้ำกับตัวเองเสมอๆ ยังคงมีประโยชน์ต่อชีวิตใครต่อใครอีกมาก
และแท้จริงแล้ว...ผู้อ่านจะได้ทราบว่า “ชีวิต” มีค่าควรแก่การรักษามากกว่า “ทำลาย” เพราะอย่างน้อย ไม่ใช่การดำรงอยู่เพื่อ “ตัวเอง” แต่กลับเพื่อ “คนที่รัก”
เชื่อว่า “สุดปลายสะพาน” คงจะเรียก “รอยยิ้ม” บน “ใบหน้าเปื้อนน้ำตา” จากผู้อ่านได้ไม่ยาก รอยยิ้มน้อยๆ กับความรู้สึกเต็มตื้นในความสมบูรณ์ของเรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงอย่างตั้งใจ แม้วรรณกรรมเล่มนี้ไม่ได้จบแบบสุขนาฏกรรมอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง แต่...รอยยิ้มที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับคราบน้ำตากลับสามารถลบเลือนความโศกเศร้าที่ตัวละครถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้อย่างหมดสิ้น
เมื่อปิดกระดาษหน้าสุดท้ายลงแล้ว จึงเหลือเพียง “ความใจหาย” เท่านั้นเอง
ท้ายสุด...หลังจากวางหนังสือเล่มนี้ลง ผู้อ่านคงต้องทบทวนตัวเองอย่างถ้วนถี่ว่า...
ชีวิตที่มีอยู่นั้น เราใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อตัวเองและคนที่รักแล้วหรือยัง?