ตอน 4
5 ผ่านไป
ผมเดินตามทางเดินในสนามบิน 5 ปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้กลับเมืองไทยเลย 5ปีที่ผมไปเรียนต่อ 5 ปีที่ผมห่างจากครอบครัว
ห่างจากเพื่อน หรือแม้แต่เขาคนนั้น เป็น 5ปีที่ผมคิดว่าตัวเองจะลืมอดีตได้เอาเข้าจริงทันทีที่ผมเหยียบผืนดินประเทศแม่ความทรงจำมากมายมันกลับทยอยผ่านเข้ามาในสมองซะจนผมรับแทบไม่ทัน
“ไอ้พี เว้ย ทางนี้” เสียงเรียกคุ้นหูพร้อมกับไอ้เบสที่โบกมือหยอยๆ
“ ไปอยู่เมืองนอกมา5 ปีนึกว่าจะโตขึ้นไหงตัวเล็กผอมกระหร่องเหมือนเดิมว่ะ” ไอ้เบสแซว
“ใครจะยิ่งโตยิ่งถึกเหมือนมึงว่ะ ไอ้เบส”
“แล้วนี่มึงบอกใครไหมว่ากูกลับมา”
“ใครที่มึงถาม หมายถึง “ใคร”ล่ะ ” มันถามกลับด้วยสีหน้ากวนๆ กูรู้ว่ามึงรู้อย่ามาทำตีมึนนะเว้ย
“ไอ้เบส อย่ากวน”
“ไม่ได้บอกหรอก รายนั้นยุ่งเรื่องงานที่แล้วก็น้องไลน์เบล ไม่มีเวลาสนใจใครหรอก ว่าแต่มึงเถอะมาเหนื่อยๆไปกลับบ้านกัน”
ไอ้เบสบอก นั่นสินะคนที่เขามีครอบครัวอบอุ่นมีลูกน่ารักๆแบบนั้นคงไม่มีเวลามาสนใจคนนอกอย่างผมหรอก
ผมไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองเลย คิดเอง เจ็บเอง พอซะทีเถอะไอ้พี
“อืม มึงมาคราวนี้จะอยู่กี่วันว่ะ”
“ตลอดชีวิตมั้ง” ผมตอบ ตอนนี้ผมเรียนจบแล้ว อืม ออกจะเร็วไปสักหน่อย จริงๆต้องขอบคุณเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนะครับเพราะมันทำให้ผมตั้งใจเรียนขึ้นเยอะ เลยสอบเทียบ ม 6 ได้ตั้งแต่อยู่ ม 4 เลยจบเร็วกว่าชาวบ้านเขาหลายปี
“เฮ้ย จิงดิ กูดีใจมากนะเว้ย มึงไม่ได้หลอกกูนะ”
“กูหลอกมึงแล้วกูได้ตังไหม”
“เฮ้ย อย่างนี้ต้องฉลองเว้ย” ไอ้เบสบอกก่อนจะลากผมออกจากสนามบิน ไม่เจอกัน 5 ปี มันก็ยังเกรียนเหมือนเดิม เล๊ย
วันนี้ผมมาเดินเล่นแถวสวนสาธารณะใกล้ๆโรงเรียนที่ผมเคยเรียนอยู่ ครับ บรรยากาศที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย ก็5 ปีแล้วนินะ
อะไรหลายๆอย่างมันก็คงต้องเปลี่ยนไป แม้แต่ใจคน
“พี่สาวๆๆ” เด็กผู้ชายอายุ สัก 4 ขวบ เดินเข้ามาสะกิดผม ใบหน้าน่ารักแต่ดูมอมแมมเหมือนเด็กซน ตากลมโตฉายแววฉลาด
เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวชะมัด
“อะไรครับ”
“พี่สาวมาเดินคนเดียวเหรอครับ” เอ่อ ไอ้เด็กนี่ชักจะไม่น่ารักแล้ว เห็นชัดๆว่า ผมใส่กางเกง เรียกพี่สาวตั้งเมื่อเมื่อกี้แระนะ
“ไม่ใช่ครับ พี่เป็นผู้ชายต้องเรียก พี่ชายไม่ใช่พี่สาวนะครับ” ผมบอกอย่างเอ็นดู
“เอ๋ แต่พ่อจ๋าบอกว่า คนสวยๆต้องเป็นพี่สาวนิครับ” เด็กน้อยยังถามเสียงใส ผมเจอเจ้าหนูจำไมหรือเปล่าครับเนี่ย
ว่าแต่พ่อกับแม่เด็กไปไหนซะล่ะ ทำไมปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆมาเดินคนเดียว
“ว่าแต่พ่อกับแม่ไปไหนครับทำไมหนูมาเดินคนเดียว”
“ไลน์เบล!!”
เสียงเรียกดังขึ้นก่อนที่ผู้ชายคนนึงจะวิ่งเข้ามากอดเด็กชายเอาไว้แน่น
“หายไปไหนมาลูกพ่อตามหาซะทั่วเลยรู้ไหมครับ” ผู้ชายคนนั้นบอกพลางลูบผมเด็กชายอย่างเอ็นดู
“ไลน์เบลมาวิ่งเล่นครับ อ้อ พ่อจ๋าครับไลน์เบลเจอพี่สาวใจดีด้วย” เด็กชายบอกก่อนจะยิ้มให้ผม
“เหรอลูก” คุณพ่อของเด็กชาย ถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม สงสัยเพิ่งสังเกตน่ะครับว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
“ขอบคุณมากนะครับ ……………………พี!!!!”
“กีตาร์!!!”
ทำไมล่ะ ทำไมผมต้องเจอกีตาร์ด้วย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันครับ ผมหนีคนๆนี้ไป 5 ปี หนีจนคิดว่าตัวเองหนีพ้นแล้ว
ทำไม ทำไม ผมต้องกลับมาเจอเขาด้วย เพราะอะไรกัน หรือโชคชะตาต้องการให้ผมขาดใจตายตรงนี้ให้ได้หรือยังไง
“พ่อจ๋ารู้จักกับพี่สาวด้วยเหรอครับ” ไลน์เบลถามทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด
“ รู้จัก / ไม่รู้จัก ”
“ตกลงยังไงครับเด็ก งง” เด็กชายยังซักต่อ ทำไมผมต้องเข้ามาอยู่ในบรรยากาศครอบครัวแบบนี้ด้วยครับ
ถึงสีหน้าผมจะเย็นชาเหมือนเดิมแต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ในใจผมมันเจ็บปวดแค่ไหน
“ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ”
“เดี๋ยวสิพี ใจคอจะไม่ทักพี่เลยเหรอ” คนตัวโตทัก
“สบายดีไหมครับพี่ตาร์”
“สบายกายน่ะ แต่ไม่ค่อยสบายใจ แล้วพีล่ะเป็นไงบ้างไม่เจอกันตั้ง 5 ปี ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” คนตัวโตถามก่อนจะอุ้มไลน์เบลขึ้น
“สวัสดี คุณอาพีหน่อยสิครับ อาพีเป็นเพื่อนอาเบสครับ”
เด็กน้อยยิ้มแฉ่งอวดฟันหลอก่อนจะยกมือไหว้ผม ทันทีที่พ่อพูดจบ
“สวัสดีครับอาพี” ไลน์เบลพูดอย่างน่ารัก จนผมอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ เด็กคนนี้คงเป็นแก้วตาดวงใจของเขาสินะ
เขาที่มีครอบครับที่อบอุ่นมีลูกชายที่น่ารัก เขาที่ตอนนี้เป็นได้แค่ “พี่ชายของเพื่อนสนิท” ผมเท่านั้น
“สวัสดีครับ พอดีอาพีมีธุระอาพีต้องไปแล้วนะครับ” ผมบอกลาเด็กชายก่อนจะเดินออกมาทันที ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมๆกับน้ำใสที่ไหลลงมาจากตาเป็นเครื่องบอกได้ดีว่า 5 ปีที่ผ่านมาผมหลอกตัวเองมาตลอด ทั้งๆที่ความจริงผมยังรักกีตาร์หมดหัวใจ
ผมยืนมองร่างบางที่ดูสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากค่อยๆเดินห่างออกไป ทั้งๆที่ในใจอยากดึงเข้ามากอดให้หายคิดถึง
ดึงเข้ามากอดแล้วถามว่า 5 ปีที่ไม่ได้เจอกันเขาไปทำอะไรมา สบายดีไหม แล้วคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า
แต่มันก็คงเป็นไม่ได้ สำหรับพีผมก็เป็นแค่ พี่ชายของเพื่อนสนิท เป็นแค่คนๆนึงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาเท่านั้น
ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่าคนคนทั่วไป
“พ่อจ๋าครับ ไลน์เบล หิวแล้วครับ” เสียงเล็กๆปลุกผมออกจากภวังค์ นี่สินะ คือความจริง คนที่อยู่ตรงหน้าผมตะหากคือคนที่ผมต้องดูแล ไลน์เบล เป็นครอบครัวที่ผมเหลืออยู่ ตั้งแต่วันที่ฝ้ายทิ้งผมไปกับสามีใหม่ จริงๆจะโทษฝ้ายก็ไม่ถูกทุกอย่างมันผิดที่ผมเอง เป็นใครก็คงทนไม่ได้ที่จะอยู่กับร่างที่ไร้หัวใจแบบผม ตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าพีไปเรียนต่อ ผมก็เหมือนคนที่ถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง ทำทุกอย่างเหมือนปกติแต่กลับไร้วิญญาณ ฝ้ายเองก็คงจะทนไม่ไหวและตัดสินใจจากไปตอนที่เจ้าหนูอายุแค่6เดือน ผมไม่โกรธฝ้ายที่ทิ้งลูกให้ผมเลี้ยงเพราะอย่างน้อยที่สุดในเวลาที่ผมไม่มีใครเจ้าหนูน้อยก็ยังเป็นที่ยึดให้ผมกลับมาต่อสู้กับปัญหาได้อีกครั้ง
“อยากกินอะไรครับ เดี๋ยวพ่อพาไป”
“ไม่เอา ไลน์เบลอยากให้พ่อจ๋าทำให้กินพ่อจ๋าทำกับข้าวอร่อยที่ซู๊ดดดดดดด”
เด็กน้อยบอกอย่างร่าเริง มันช่างเหมือนกับที่ใครบางทำเมื่อ 5 ปีก่อนเหลือเกิน
....................................................................
กลับมาแล้วค่า บังเอิญว่ากลับก่อนกำหนดเลยอัพก่อนกำหนด
ฮ่าๆๆ ผ่านไป 5ปีซะแล้วไงเหมือนนิยาย
จริงๆ เห็นหลายๆคนถอนหายใจกะเรื่อง อดทนอีกนิดนะคะ
ทุกอย่างใกล้จะกระจ่างแล้ว ^^