เมศก็สงสัยเหมือนกันค่ะว่า เรื่องสั้นประสาอะไรทำไมยาวนัก ที่ปรึกษา(เหยื่อผู้โชคร้าย)บอกว่า เรื่องสั้น ต้องบีบเอาเเต่เนื้อๆ เเต่ไหง๋ เขียนไปเขียนมาเหมือนเรื่องยาว55+
เอาน่า....เรื่อง(พยายามจะ)สั้น เป็นครั้งเเรกที่เขียนเรื่องสั้น อ่านเอาขำๆนะคะ มีอะไรเเนะนำได้นะคะ
เอาล่ะ เเปะต่อดีกว่า*****************************************************************************************************************
"ลากตัวมันเข้ามา"เสียงห้าวออกคำสั่งให้ลากร่างของศศิธรสุราลัยเข้ามา ร่างโปร่งบางที่บางอยู่แล้ว บัดนี้ผ่ายผอมลงจนน่าใจหาย ดวงหน้างามซูบลงจนเห็นโหนกแก้มชัด เสื้อที่สวมมีรอยเลือดจากการถูกเฆี่ยนมากมายจนแทบจะยอมเสื้อสีขาวนั้นเป็นสีน้ำตาลแดงไปเสียทั้งตัว
ศศิธรสุราลัยก้มลงหมอบคำนับอย่างงดงามเช่นทุกครั้ง แม้บาดแผลทั่วร่างกายจะร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดมากมาย แม้ร่างกายแทบแหลกสลายแต่ดวงตาสีอำพันนั้นยังทอประกายเช่นเดิม คือความว่างเปล่า....ราวกับดวงตานั้นมิได้ถูกสร้างมาให้ทอดมองชายผู้อยู่เบื้องหน้านี่เลย นายท่านกำหมัดแน่น มองร่างบางที่แทบสลายหายไปกับพื้นเบื้องหน้า ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาฟังรายงานจากผู้คุมเกี่ยวกับร่างบอบบางนี้ทุกวัน ศศิธรสุราลัยรับการสอบสวนทุกอย่างเช่นนักโทษอุจฉกรรณ์ได้รับ โดยไม่มีการขัดขืน คำถามที่ถูกถามได้คำตอบเพียงความเงียบกับเสียงครางอย่างเจ็บปวดที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอเพียงแผ่วเบาเท่านั้น อาหารที่ถูกส่งเข้าไปไม่ได้รับการแตะต้องมีเพียงน้ำดื่มเท่านั้นที่ถูกบังคับให้ดื่มเข้าไปซึ่งกว่าจะสำเร็จก็นานหนักหนา
"สองอาทิตย์ของเจ้าเป็นความทรงจำที่ดีใช่ไหม?"ความเงียบยังคงเป็นคำตอบทั้งหมดอยู่ดี
"ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่า เจ้าบอกอะไรกับเกษตริน"ร่างโปร่งบางยังคมเงียบงันไม่มีคำตอบ นายท่านค่อยผ่อนลมหายใจออกเบาๆ หวังอยากให้ริมฝีปากงามที่บัดนี้แห้งแตกเป็นสะเก็ดออกปากอะไรก็ได้ออกมาสักคำ อะไรก็ได้...แม้แต่ก่นด่าเขา....มิใช่เงียบงันราวไร้ชีวิตเช่นนี้
"ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ ผู้คุม เฆี่ยน!"เสียงไม้กระทบเนื้ออย่างหนักจนร่างบางไม่อาจหยัดกายขึ้นได้ด้วยเพราะอ่อนระโหยโรยแรง
"พอ เงยหน้าขึ้น เจ้าจะพูดได้หรือยัง" ผู้คุมจับร่างบางที่ปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาผ้าขึ้นนั่ง จิกดึงเส้นผมดำสนิทนั้นให้ดวงหน้าเงยขึ้น ดวงตาสีอำพันยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม และแน่นอนว่าไม่มีเสียงดังเปล่งออกมาจากลำคอนั้น นายท่านลุกขึ้นจากที่นั่ง ตรงเข้าไปหาร่างโปร่งบางที่หายใจรวยรินแล้วจิกทึ้งเส้นผมให้สบตา น้ำเสียงเหี้ยมออกจาปากหยักสวยเบาแทบเป็นกระซิบ
"ที่เจ้าปิดปากเงียบมาถึงเพียงนี้ เพราะเจ้ารักมันมากนักใช่ไหม ช่างบังอาจนัก!"
"นายท่าน ข้ามิบังอาจ"เสียงแหบพร่าดังเพียงกระซิบออกมาจากริมฝีปากนั้น ดวงตาสีดำสนิทมองจ้องลึกลงไปในดวงตาสีอำพันนั้น
"ถ้าเช่นนั้นก็พูดเสียสิว่าเจ้าบอกอะไรกับมันบ้าง"
"นายท่านเป็นนายแห่งข้า ข้ามิบังอาจเนรคุณ"
"นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้ามิได้ทรยศอย่างนั้นหรือ?" นายท่านถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจดี
"สุดแท้แต่นายท่านจะพิจารณา ข้ามีเพียงคำพูดเดียว..."เสียงแหบพร่านั้นหายไปเปลี่ยนเป็นการไออย่างรุนแรงก่อนจะหายใจอย่างเหนื่อยหอบ
"ความรักมิอาจห้าม" ดวงตาสีดำสนิทเกรี้ยวกราด มือใหญ่ผลักไสศรีษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีดำสนิทยาวระพื้นโดยแรงจนร่างนั้นล้มลงนอนตะแคง
"ดี! พวกเจ้าออกไปให้หมด"สิ้นเสียงสั่ง ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องเหลือเพียงนายท่านและศศิธรสุราลัยซึ่งพยายามลุกขึ้นนั่งจนสำเร็จ
"อีกสามคืนจะถึงวันเพ็ญ ข้าจะให้โอกาสเจ้าแสดงความซื้อสัตย์ออกไปชมจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย" มีดสั้นประจำกายของศศิธรสุราลัยที่ถูกปลดออกจากตัวเมื่อครั้งที่ถูกลากเข้าไปขังไว้ถูกนายท่านยื่นออกมาให้
"รับไปเสีย จันทร์เพ็ญคราหน้าต้องตัดหัวเกษตรินมาให้ข้า"ดวงตาสีอำพันเบิกโพลงอย่างตกใจ
"ข....ข้า มิอาจทำได้ นายท่านได้โปรด ฆ่าข้าเสียเถอะ"น้ำตาค่อยๆไหลลงอาบแก้มอย่างช้าๆ ตลอดหลายปีที่ศศิธรสุราลัยติดตามเขามาไม่เคยได้เห็นแม้แต่รอยยิ้มอ่อนหวาน แต่บัดนี้ดวงหน้าสวยที่ทรุดโทรมเต็มทีกำลังหลั่งน้ำตา ดวงตาสีอำพันงดงามกำลังทอประกายของความเจ็บปวดทรมานที่กรีดก้องอยู่ในอก....แต่ไม่ใช่เพื่อเขา
"นายท่าน ฆ่าข้าเถอะ ฆ่าข้าเสียให้จบๆกันไป ถือเสียว่านี่เป็นคำขอร้องเดียวในชีวิตข้า ฆ่าข้าซะ"
"เลิกร่ำไห้น่าสังเวชเสียที คำสั่งข้าคือประกาศิต เจ้าต้องทำ!"
"นายท่าน นายท่าน ข้าทำไม่ได้ ได้โปรดฆ่าข้าเสีย"มือบางไขว่คว้าตะเกียกตะกายเช่นครานั้น คว้าเอาฝักของมีดสั้นในมือนายท่านออกแล้วจ่อคมมีดเข้าที่คอตัวเอง
"เจ้าปรารถนาความตายเช่นนั้นหรือ?"ดวงตาสีอำพันแน่วแน่มองนายท่านนิ่งแม้น้ำตายังคงไหลอาบดวงหน้า
"หึ สิ่งที่เจ้าปรารถนาข้าจักช่วงชิงมันมาให้สิ้น"นายท่านกล่าวแล้วกระชากมือกลับเก็บมีดสั้นใส่ฝักดังเดิมแล้วยัดเยียดให้ศศิธรสุราลัยที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ศศิธรสุราลัยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เฝ้ามองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ากว้าง ดวงจันทร์ทอแสงเป็นสีเงินงามตระการบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ใกล้คืนวันเพ็ญเข้าไปทุกที น้ำตาใสวิ่งลงจากหางตาคู่สวยมาตามโครงหน้าก่อนจะหยาดหยดลงบนหลังมือซึ่งกุมมีดสั้นนั้นไว้ในมือ ศศิธรสุราลัยสูดลมหายใจเข้าลึกๆชักมีดสั้นนั้นออกจากฝักแล้วยกมันขึ้นพิศมองราวกับมิเคยพบเห็นมาก่อน ใบมีดจากโลหะชั้นดีตีจนบางเฉียบแล้วลับคมจนสามารถตัดทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ศศิธรสุราลัยทาบใบมืดลงที่ข้อมือตัวเอง พลางนึกไปว่าในวินาทีที่คมมีดกรีดเฉือนเข้าไปในเลือดในเนื้อจักเจ็บหรือไม่หนอ?.......
ข้อมือขาวบางหงายขึ้นรอให้ใบมีดคมกล้านั้นฝังเข้าไปในเลือดเนื้อนั้น เสียงลมหายใจที่ขัดทำให้รู้สึกตัวว่าร่ำไห้มามากเสียจนน้ำตาแทบจะไม่มีให้รินไหลอีกต่อไปแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง ก่อนหยดน้ำจะหยดลงถูกแขนอีกข้างที่หงายรอไว้ คำพูดในของใครคนหนึ่งกลับเข้ามาในห้วงคิดอีกครั้งราวกับหลอกหลอน
'ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดที่ทำร้ายจิตใจเจ้าเสียมากมาย ข้าขอเพียงสิ่งเดียว ขอเจ้าอย่าได้คิดสั้น ข้ายังอยากให้เจ้าอยู่บนโลกแห่งนี้ตราบสิ้นอายุขัย แม้จะไม่มีข้าอยู่เคียงใกล้'
"จะให้ข้าทำอย่างไรท่านเกษตริน นายท่านบังคับข้าให้สังหารท่าน ข้า...จะลงมือสังหารหัวใจตนได้อย่าง
ไร...แต่มันคือหน้าที่ หน้าที่ต่อผู้มีพระคุณของข้า ท่านบอกข้าหน่อยได้ไหม บอกข้าว่าควรทำฉันใด...."เสียงพร่านั้นกล่าวเพียงกระซิบอยู่ที่ริมฝีปาก ได้เพียงเเต่หวังว่าสายลมจะพัดพาคำถามจากหัวใจที่ปวดร้าวไปถึงใครอีกคน ก่อนความมืดอันหนาวเหน็บจะหอบพัดเอาสติที่เบาบางนั้นหายไปพร้อมกับสายลม
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เงาร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งที่แสนคิดถึงเดินฝ่าเงามืดของแมกไม้ออกมา ดวงตาสีอำพันงามที่ดูร่าเริงแต่แฝงแววเศร้าอย่างปิดมิมิด เกษตรินยื่นมือออกไปรับร่างบางเข้าไว้กับอก เมื่อสัมผัสก็รับรู้ได้ทันทีว่า ร่างนี้ผ่ายผอมลงไปจนน่ากลัว นิ้วมือเรียวสวยแตะหน้าคมสันของเกษตรินอย่างแผ่วเบา ดวงหน้าซูบซีดยิ้มให้อ่อนจาง เกษตรินสำรวจร่างเล็กในอ้อมกอดอย่างใจหาย อะไรที่ทำให้จันทร์สวรรค์ทรมานถึงเพียงนี้
"ศศิธร...."นิ้วมือเรียวรีบแตะลงที่ริมฝีปากหยักสวยมิให้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก
"ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน"ริมฝีปากบางกล่าวคำหวานเบาๆ แล้วสวมกอดบุคคลอันเป็นที่รักเอาไว้แน่น
"ข้าขอโทษที่จันทร์เพ็ญคราก่อนข้ามิอาจมาได้"
"เจ้าเป็นอะไรไปหรือ? เหตุใดจึงผ่ายผอมลงจนน่าใจหายเช่นนี้" นานกว่าจันทร์สวรรค์จะตอบกลับ
"ข้าป่วยเท่านั้นเอง...แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว"ดวงตาสีอำพันงามเสมองไม่สบกันดวงตาสีน้ำตาลของเกษตริน
"เจ้าแน่ใจหรือ?"ศรีษะเล็กๆของคนในอ้อมแขนพยักหน้ารับ
"ท่านเกษตรินข้ารักท่านนะ รักมากจนไม่อาจเอ่ยรำพันถึงมันได้หมด"ริมฝีปากอุ่นจุมพิตริมฝีปากบางที่พึมพำรำพันรัก แล้วเลื่อนไปจุมพิตซอกซอนที่ต้นคอขาว
"ข้ารู้...ข้ารู้ เพราะตัวข้าเองก็เช่นกัน"
"ข้าก็รู้ว่าท่านรักข้า....แต่อีกไม่นานเราก็ต้องแยกห่าง ห่างกันไกล เกินกว่าจะเอื้อมมือถึงกัน"
"เจ้าจะไปไหน?"เสียงกระซิบข้างหูที่เบาหวิวทำให้ใจของศศิธรสุราลัยวิบโหวง
"นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน ต่อไป ข้าจะต้องไปไกลเกินกว่าใครจะไขว่คว้า ไกลเกินกว่าใครจะคาดเดา"ร่างบางจูบตอบเขาอย่างร้อนเร่า
"แต่ขอให้ท่านระลึกไว้เสมอ ว่าหัวใจของจันทร์สวรรค์จะไปกับท่านทุกที่ ต่อให้เป็นวิญญาณ"ร่างของศศิธรสุราลัยถูกทาบทับอยู่ใต้ร่างหนาราวกำแพงของเกษตริน เขากำลังงวยงงกับรสรักที่ร่างบางนี้มอบให้ มือบางข้างหนึ่งจับที่สร้อยอันคล้องแหวนเงินที่เคยมอบให้เอาไว้ในมือ ขณะที่เจ้าของมันในปัจจุบันกำลังดื่มด่ำกับร่างขาวนวลที่ต้องแสงจันทร์อย่างหลงไหล
"จันทร์สวรรค์ของข้า ข้าขอนะ..."ศศิธรสุราลัยแย้มริมฝีปาก
"ตามแต่ใจท่านเถอะ ข้าคงมอบให้ท่านได้เพียงเท่านั้น" ดวงตาสีอำพันทอประกายพึงพอใจเมื่อมือแข็งแรงนั้นโอบประคองร่างตน เพียงชั่วครู่มันก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองสลดวูบ
เพื่อหน้าที่.....ข้าจำเป็นต้องยอมสละชีวิตจิตใจของตัวเอง....ข้าขอโทษ
เงามันปราบของโลหะต้องแสงจันทร์ไม่อาจหยุดยั้งการกระทำอันเร่าร้อนเอาแต่ใจของเกษตรินได้ เขายังคงดื่มด่ำอย่างหลงใหลกับร่างงามเบื้องล่าง โดยไม่รู้เลยว่าเหนือกายตนขึ้นไปคือมีดสั้นเป็นเงาปราบที่พร้อมจะจ้วงแทงเอาชีวิตเขา ศศิธรสุราลัยพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหล หากเพียงทิ้งมือลง ท่านเกษตรินก็จะหมดสิ้นซึ่งลมหายใจ เพียงทิ้งมือลงเท่านั้นง่ายเพียงนิดเดียว เพียงอึดใจเดียวจริงๆ.....มือเรียวขาวหากผอมแห้งเงื้อง่าขึ้นสูง ดวงตาสีอำพันหลับลงไม่อยากมองไม่อยากรับรู้ ก่อนจะทิ้งให้คมมีดแหวกอากาศลงสู่เป้าหมาย
"ข้า..ทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ" แขนเรียวขาวที่ในมือกำอาวุธมีคมไว้แน่นทิ้งลงข้างตัว แล้วปล่อยมีดสั้นนั้นออกจากมือ น้ำตามากมายไหลล้นจากดวงตาคู่งาม จนเกษตรินเห็นจึงเลื่อนกายขึ้นมองดวงหน้านั้น
"เป็นอะไรไปหรือ?"น้ำเสียงอบอุ่นหากพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ถามแล้วขบที่ใบหูเบาๆ
"ไม่เป็นไรขอรับ ทำต่อเถอะ"ศศิธรสุราลัยซ่อนดวงหน้าของตัวเองไว้หลังมือทั้งสอง ปล่อยให้เกษตรินทำเท่าที่อยากทำ เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
"ข้าแค่จะบอกท่านว่า ข้ารักท่านมากกว่าอะไรทั้งหมด....."
เมื่อความร้อนเร่าสิ้นสุดท้องฟ้าในยามนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด จันทร์เพ็ญที่เคยกระจ่างกลับเร้นกายอยู่หลังเงาเมฆเห็นเป็นพระจันทร์สีเลือดที่ย้อมท้องฟ้ายามราตรีกาลเป็นสีแดงไปทั่ว คนทั้งสองยังคงอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ศศิธรสุราลัยกอดผู้เป็นเจ้าของหัวใจตนไว้แน่น ดวงตาสีอำพันงามมองดวงหน้าคมสั้นที่อบอุ่นนั้นไว้ราวกับจะให้ภาพนั้นติดตาเป็นจนถึงลมหายใจสุดท้ายพลางสดับฟังเสียงฝนที่ร่วงหล่นจากฟาหฟ้ากระทบกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง ความสุขในศาลาหลังน้อยครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย และต่อไปย่อมไม่มีอีกต่อไปแล้ว ต่อให้โหยหาถึงกันสักเพียงไหน เพราะเมื่อกลับไปจันทร์สวรรค์ดวงนี้คงแตกสลายแน่แท้
"ท่านเกษตริน ข้ารักท่านนะ รักเสียจนไม่อาจขาดจากท่านได้"เกษตรินก้มลงมองคนรักในอ้อมแขนอย่างแปลกใจ
"วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมถึงพร่ำรำพันรักมิหยุดปาก ปรกติกว่าจะพูดออกมาได้สักคำข้าต้องออกแรงแทบตาย"ศศิธรสุราลัยซุกหน้าร้อนผ่าวลงกับอกแข็งแรงนั้น
"เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย"เสียงที่ตอบแผ่วเบาราวกับเป็นเพียงเสียงลมหายใจ หากคำพูดนั้นกรีดแทงเข้าไปในหัวใจคนฟัง
"เจ้าจะไปไหน?" มือขาวนวลแตะลงบนดวงหน้าคมสันอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีอำพันแสดงความรู้สึกรักอย่างลึกซึ้งออกมา
"ข้าตอบแล้วว่าข้า...ต้องไปในที่ไกลแสนไกล ณ เวลานี้ ณ ที่แห่งนี้ จะเป็นที่สุดท้ายและครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบเพื่อมอบความรักให้แก่กัน" เสียงอ่อนหวานกระซิบที่ข้างหูแข่งกับเสียงฝนตกปรอยๆ ท้องฟ้าเริ่มครวญพร้อมกับแสงแปลบปลาบ
"เจ้าจะไปไหนข้าไปด้วยดีไหม เราจะไปด้วยกัน"
"ท่านเกษตรินอย่าพูดเอาแต่ใจเช่นนั้น คนของท่านอีกมากมายยังต้องกลับบ้าน เขายังต้องการผู้นำเป็นหลักชัย ท่านไม่เหมือนข้าที่ไร้ญาติมิตร ต่อให้หายไปตลอดกาลก็คงไม่มีใครหวนไห้หา และคงไม่มีใครรู้หรอกว่าข้าได้แตกสลายไปแล้ว" ทั้งคู่เงียบไปนานต่างคิดเรื่องของตัวเองอยู่ในหัว มีเพียงเสียงฝนที่เริ่มลงเม็ดถี่และแรงขึ้น
"ท่านต้องสัญญากับข้าบ้าง แค่สองข้อเท่านั้น....ได้ไหม?"เกษตรินกระชับอ้อมแขนก่อนจะพยักหน้าหนักแน่นมองเข้าไปในดวงตาสีอำพันอย่างจริงจัง
"ท่านต้องสัญญาว่า จะไม่ออกตามหาข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าท่านจะได้ข่าวอะไร แต่ต้องไม่...ตามหาข้า สัญญาสิ..เร็วเข้า"เกษตรินมองเข้าไปดวงตาคู่งามอย่างค้นหาและไม่เข้าใจในที่สุดเขาก็ยอมรับปาก
"ข้าสัญญา"ศศิธรสุราลัยลุกขึ้นนั่ง แล้วคำนับอย่างงดงาม เส้นผมเป็นเงามันเลื่อนไหลจากหลังมาด้านหน้า
"ขอบคุณท่านเกษตรินมากขอรับ"
"แล้วข้อต่อไปล่ะ?"ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองริมฝีปากอิ่มสวยอย่างรอคอย แสงจากฟ้าผ่าทำให้ดวงหน้านั้นเหมือนรูปสลัก
"ขอให้ท่านลืมเลือนเรื่องของเราไปเสียให้สิ้น ลืมศาลาหลังน้อยแห่งนี้ และลืมข้า ลืมว่าเราต่างรักกันที่นี่ ลืมให้หมด ให้ความทรงจำเหล่านั้นไหลไปพร้อมกับสายฝนนี้....ได้โปรดลืมให้หมด"ศศิธรสุราลัยกลืนก้อนสะอื้นลงคอ น้ำตาที่เก็บกลั้นหยาดหยดลงอีกครั้ง ในอกรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บจนอยากจะหนีไปเสียให้พ้นๆ
"จันทร์คล้อยมากแล้ว ข้าต้องไปแล้ว" มือบางใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแล้วแสร้งยิ้มออกมา ก่อนจะก้มลงคำนับให้อีกครั้งแล้วลุกยืน ก้าวออกจากศาลาหลังน้อยแห่งนี้ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ฝนที่ตกค่อนข้างแรงตกลงปะทะใบหน้าและร่างกายจนเปียกปอน ร่างโปร่งบางนั้นกำลังจะหายไปกับเงาไม้อีกครั้ง
"เดี๋ยวก่อน!" อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดจากทางด้านหลัง ศศิธรสุราลัยชะงัก
"ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายถึงเพียงนี้ จะให้ลืมได้อย่างไร จะให้ข้าลืมหัวใจตัวเองได้อย่างไร จันทร์สวรรค์ของข้า เจ้าช่างใจร้ายนัก" น้ำตาไหลออกมาปะปนกับสายฝนจนไม่อาจแยกแยะได้ รู้สึกทรมานอย่างที่มิเคยพบพานมาก่อน ทรมานเสียยิ่งกว่าบาดเจ็บจากสาตราวุธหลายร้อยเท่านัก
"ท่านเกษตรินปล่อยข้าเถอะ"เสียงแผ่วเบานั้นกล่าวแทบจะไม่ได้ยิน
"อย่าไปเลย อยู่กับข้าเถอะนะ"
"ท่านขอในสิ่งที่ข้าให้ไม่ได้ ถึงข้าจะอยากทำสักแค่ไหน...ปล่อยมือจากข้าเสียเถอะ"อ้อมกอดที่อบอุ่นค่อยคลายออกเหลือเพียงรอยสัมผัส ศศิธรสุราลัยรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันทีความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง....ทรมาน
เมื่อศศิธรสุราลัยหันกลับไปเบื้องหลังอีกครั้ง เกษตรินได้หายไปจากที่นั้นแล้ว มีเพียงเสียงย่ำน้ำอยู่ไกลๆที่ค่อยๆจางหายไปกับเสียงฝนตกและฟ้าร้อง ร่างโปร่งบางหมดสิ้นเรี่ยวแรงซวนเซแล้วทรุดกายลง มือขาวบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง อยากให้สายฝนนี้ช่วยชำระความโศกเศร้านี้ไปเสียให้หมด แต่คงทำไม่ได้
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ศศิธรสุราลัยเดินเข้ามาในห้องของนายท่านอย่างเงียบๆ ดวงตาสีอำพันงามช้ำจากการร้องไห้ และแน่นอนว่าร่างกายก็ช้ำเช่นกัน ศศิธรสุราลัยทรุดกายลงนั่งแล้วหมอบคำนับนิ่งนานกว่านายท่านจะสั่งให้เขาขยับเข้าไปใกล้ ดวงตาสีนิลนั้นมองร่างบางที่บางเสียจนพร้อมจะแตกหักได้ทุกเวลาด้วยประกายตาแห่งความเวทนา
"ทำไม่สำเร็จสินะ" ศศิธรสุราลัยไม่ตอบ
"รู้ใช่ไหมว่าโทษของการทำไม่สำเร็จคืออะไร"ศศิธรสุราลัยยังคงหมอบนิ่งอยู่กับพื้น
"เจ้าหน้าที่" ร้องเท้าหนังดำมายืนอยู่ต่อหน้าเขา ดวงตาสีอำพันลอบมองมันอย่างเงียบๆ เขารู้ได้ทันทีว่าโทษของเขามีสถานเดียวจากลักษณะการวางเท้าเช่นนั้น ศศิธรสุราลัยจึงเงยหน้าขึ้น รับห่อกระดาษแดงมาจากเจ้าหน้าที่
เมื่อคลี่กระดาษออกมีดขนาดเล็กแค่คีบเดียวอยู่ในกระดาษนั้น มือขาวนวลไล้นิ้วลงไปแผ่วเบาก่อนจะแย้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย น้ำตาไหลลงช้าๆจากตาข้างหนึ่งซึ่งบัดนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วว่ามันจะไหลออกมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่แสบเสียจนไม่อยากมองสิ่งใดอีก หรือจากหัวใจที่แตกสลาย ไม่มีสำคัญอีกแล้ว...
"ข้าขอโทษที่ต้องผิดสัญญา แต่ในเมื่อข้าทำงานไม่สำเร็จ ข้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต" คมมีดบาดลึกเข้าไปในเนื้อ ไม่มีความรู้สึกใดๆอีกแล้ว เพราะความรู้สึกเจ็บนั้นอัดแน่นอยู่ในอกนี้ และมันจะไม่มีสิ่งใดที่เจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว
"ท่องกฎของผู้ติดตาม"
"ข้อหนึ่ง ข้าจักจงรักภักดีต่อนายแต่เพียงผู้เดียว..."เสียงที่ลอดจากริมฝีปากแผ่วเบา
"ดังอีก!"ศศิธรสุราลัยก้มกายลงคำนับอย่างงดงามแล้วท่องต่อไปด้วยเสียงที่ดังขึ้น
"ข้อสอง ข้าจักทำงานสนองพระเดชพระคุณให้ด้วยชีวิต ข้อสามข้าจักสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ตราบสิ้นลมหายใจ....."ศศิธรสุราลัยเปล่งเสียงท่องอยู่เช่นนั้นแล้วคำนับหนึ่งครั้งเมื่อจบหนึ่งจบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนไปเวียนมาอยู่เช่นนั้นตราบจนรู้สึกว่าโลกนั้นมืดสนิทไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆอีกต่อไป ในห้วงแห่งมรณะนั้นริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบา
"ข้าขอโทษที่ผิดสัญญา ข้าขอโทษ...."
ร่างโปร่งบางที่เลือดไหลออกจากข้อมือมิขาดสายทรุดลงกองกับพื้น ดวงหน้าซีกหนึ่งจมลงในกองเลือดของตัวเองเมื่อใกล้รุ่งสาง นายท่านหยัดกายขึ้นยืนมองร่างโปร่งบางที่บัดนี้เสื้อสีขาวที่สวมถูกย้อมด้วยโลหิตจนแดงฉานไปทั้งตัว นายท่านใช้เท้าเขี่ยให้ร่างนั้นหงายขึ้น แล้วส่งเสียงขึ้นจมูก
"หึ...เจ้าโง่ ตามหมอ"
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑