บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 63 “กฤษกร”
มันจึงเป็นความรักที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า เป็นความรักที่ทั้งซึ้งทั้งเหงาอยู่ด้วยกัน จึงเป็นความรักที่มาพร้อมความอึดอัด และเป็นความรักที่ไม่เคยเห็นภาพชัดๆสักวัน มีแค่ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ
ผมพาน้องหยกมาที่โรงแรมแต่เช้า เพราะวันนี้เป็นวันเตรียมเปิดตัวโรงแรม “บ้านขนม” โฉมใหม่ในวันพรุ่งนี้ จึงค่อนข้างวุ่นวาย โชคดีที่มีอาหนึ่งมาคอยเป็นธุระให้พวกเราหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตกแต่งสถานที่ ดอกไม้สดประดับจุดต่างๆ อาหนึ่งส่งคนมาช่วยงานในวันนี้ และจะมีพนักงานมาช่วยเสิร์ฟอาหารด้วยในวันพรุ่งนี้ พี่แชริมกับพี่แดนนี่ก็รับปากว่าจะมาร่วมงาน แถมยังมีคุณบาสกับคุณโตโต้ที่ผมอยากจะเจอที่สุดในตอนนี้ พรุ่งนี้ทุกคนจะมาค้างที่โรงแรมของไอ้ทอง
อาหนึ่งดูท่าทางจะตื่นเต้นกว่าเจ้าของโรงแรมเสียอีก เป็นที่รู้กันว่าพรุ่งนี้อาหนึ่งกับน้องเจ จะได้เจอพ่อแม่ของไอ้ทองกับน้องพลอยที่นี่ และจะมีแขกที่เป็นญาติสนิทอีกหลายคนมาด้วย จึงเหมือนการพบญาติแฟนแบบชุดใหญ่เป็นครั้งแรก จึงค่อนข้างลงทุนในการจัดสถานที่ในครั้งนี้
ตัวผมนั้นทำหน้าที่เพียงปรุงอาหารที่น้องพลอยเป็นคนเลือกเมนู และจัดวัตถุดิบมาให้ซึ่งไม่มีอะไรวุ่นวายนัก อีกทั้งผมไม่สามารถอยู่ร่วมงานได้จนค่ำ ต้องขอตัวกลับบ้านเร็วเพราะคุณตาคุณยายยังอยู่ในช่วงพักฟื้น หากไม่ติดว่าถึงกำหนดเปิดโรงแรมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ผมก็จะขอลางานเสียด้วยซ้ำ
ผมกับน้องหยกกำลังเตรียมวัตถุดิบที่จะทำอาหารของวันพรุ่งนี้อยู่ในครัวกันสองคน มีผู้คนวิ่งเข้าวิ่งออกวุ่นวายไปหมด ผมจึงพาคนรักมาเตรียมของที่จะใช้อยู่หลังครัวเพื่อหลบความวุ่นวาย มีเพียงป้านวลแม่บ้านที่คอยช่วยล้างผักปอกเปลือก หรือหยิบจับโน่นนี่ให้ภายในครัวเช่นกัน เพราะข้างนอกมีคนช่วยมากพอแล้ว
“พี่กฤษครับ พี่บาสโทรมาบอกว่าจะมาที่อัมพวาวันนี้เย็นๆ ครับ คุณโตโต้บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยกับพี่กฤษ ตอนนี้ออกไปรับพี่บาสมาแล้ว เค้าบอกว่าคืนนี้จะค้างกันที่นี่เลยครับ” น้องเจเดินเข้ามาบอกผม ทำให้ผมอดใจเต้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่คุณโตโต้เป็นคนทักผมคนแรก ว่าหน้าตาผมเหมือนเพื่อนสนิทที่ชื่อพีทคนนั้น
“แล้วบอกไหมครับ ว่าจะคุยอะไรกับพี่” ผมถามออกไปเพราะความอยากรู้ ต้องหยุดมือจากการทำครัวชั่วคราว เพราะดูเหมือนจิตใจจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่า น้องหยกที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินผมถามกลับไปก็เหมือนจะรู้ใจผม เดินเข้ามาจับมือของผมบีบเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“ไม่มีครับพี่กฤษ พี่บาสบอกเจมาเท่านี้ เดี๋ยวเย็นนี้ก็คงรู้แล้วล่ะครับ พี่กฤษใจเย็นๆ น่า” น้องเจตอบพลางยิ้มมาให้เหมือนล้อผมอยู่ในที อาการร้อนรนของผมคงทำให้คนอื่นเดาได้ไม่ยาก ว่ากำลังกระสับกระส่ายกับการอยากรู้เรื่องราวของครอบครัวตัวเอง
“พี่กฤษครับ อย่ากังวลไปเลยนะ ยังไงเรื่องมันก็ไม่น่าจะผิดพลาดได้หรอกครับ ในเมื่อพี่โตโต้บอกว่าพี่มีหน้าตาเหมือนคุณพีทขนาดนั้น แถมยังมีจี้รูปครึ่งหัวใจที่สลักชื่อว่า “พลัส” ออกเสียงคล้าย “พีท” อีก ยังไงหยกคิดว่าพี่น่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกับคุณพีทล่ะครับ” น้องหยกสรุปให้ฟังอย่างง่ายดาย
“พี่ก็ขอให้เป็นแบบนั้น จะได้ไม่เสียเวลาไปตามหาครอบครัวพี่ให้วุ่นวาย แต่มันอดตื่นเต้นไม่ได้นี่ครับ พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรหัวใจมันกระตุกวูบๆ เอาทุกทีเลย” ผมบ่นออกไป เพราะตอนนี้ก็เริ่มรำคาญตัวเองเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นพี่กฤษรีบมาเตรียมกับหยกของให้เสร็จเร็วๆ ดีกว่า ตอนเย็นจะได้ว่างไปเจอคุณโตโต้ มัวแต่ยืนคิดอะไรไม่รู้ตอนนี้เดี๋ยวก็เตรียมของไม่ทันพอดีครับ” น้องหยกดึงมือผมให้ไปเตรียมวัตถุดิบทำอาหารสำหรับพรุ่งนี้ต่อ ผมจึงจำใจต้องรีบทำให้เสร็จโดยเร็ว เวลาที่เรากำลังรอคอยอะไรสักอย่างวันนั้นเหมือนเวลามันจะเดินช้าผิดปกติ ผมเอาแต่มองนาฬิกาพร้อมกับเตรียมงานไป จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว จากนั้นป้านวลก็ขอตัวกลับบ้านหลังจากเสร็จงาน
“ข้างนอกจัดเสร็จหมดแล้วเหรอครับ” ผมเดินออกมาข้างนอกกับน้องหยกก็ไม่เจอพวกพนักงานจากโรงแรมอาหนึ่งที่มาช่วยงานแล้ว มีเพียงพวกเราที่กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ น้องพลอยเดินเสิร์ฟน้ำดื่มเย็นๆ ให้กับทุกคน ผมรับเอามาสองแก้วแล้วส่งให้น้องหยกด้วย
“สถานที่เสร็จอาก็ให้กลับไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยให้อีกชุดที่เป้นพนักงานเสิร์ฟมาช่วยแทน กฤษต้องการผู้ช่วยทำครัวไหม อาจัดมาช่วยสองคน กฤษกับหยกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” อาหนึ่งหันมาถามด้วยความเป็นห่วง ทำเอาผมต้องหันไปมองหน้าคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ดีเหมือนกันครับอาหนึ่ง พรุ่งนี้หยกกับพี่กฤษจะได้มีคนช่วยเตรียมช่วยงานในครัว จะได้มั่นใจว่าพรุ่งนี้ครัวเราไม่ล่มแน่ๆ ขอบคุณอาหนึ่งมากครับ” น้องหยกตอบรับแทนผมไปเรียบร้อย ใจจริงอยากได้คนช่วยเหมือนกัน แต่ผมมันคนขี้เกรงใจจึงไม่กล้าตอบรับทันที
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไปกินข้าวข้างนอกกัน ไอ้กฤษจะได้เก็บแรงไว้ทำอาหารวันพรุ่งนี้ มื้อเย็นนี้พี่ทองกับน้องพลอยจะเลี้ยงเองนะครับ ไปทานอาหารทะเลแถวนี้กันดีไหม” ไอ้ทองมันชวนทุกคนไปทานมื้อเย็น แต่ผมยังไม่เห็นคุณโตโต้กับคุณบาสเลย
“ไม่รอคุณโตโต้กับคุณบาสก่อนเหรอวะ เดี๋ยวมาแล้วไม่เจอใคร ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วทำไมยังมาไม่ถึงอีก หลงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้” ผมถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“พี่กฤษไม่ต้องกลัวหรอกครับ ได้เจอพี่โต้แน่ๆ ให้เจโทรบอกให้พี่โต้ไปเจอที่ร้านอาหารก็ได้นี่ครับ” น้องเจพูดขึ้นมา ทำเอาทุกคนอมยิ้มมองหน้าผมกันไปหมด คงจะรู้ว่าผมรอเจอคุณโตโต้เพื่อจะสอบถามเรื่องราวของคุณพีทแน่ๆ ผมจึงได้แต่ยืนเขินอยู่คนเดียวเพราะคนรักที่ยืนข้างๆ ก็พลอยอมยิ้มล้อผมไปกับคนอื่นด้วย
ผมกับน้องหยกขับรถกันมาสองคน ที่เหลือน้องเจเป็นคนพาไป เรามาเจอกันที่สวนอาหารริมทะเล กำลังสั่งอาหารอยู่คุณโตโต้ก็เดินมากับคุณบาส เมื่อยกมือไหว้ทักทายกันครบแล้ว ทั้งสองก็เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารกับพวกเรา น้องเจจัดให้คุณโตโต้นั่งหัวโต๊ะข้างผมเหมือนรู้ใจ
“คุณกฤษครับ วันที่อาหนึ่งส่งรูปจี้ของคุณให้ผมนั้น ผมก็ส่งไปให้เพื่อนที่ชื่อพีททางอีเมล์ทันที วันนี้มันโทรมาหาผมแต่เช้าเลยครับ บอกว่าเพิ่งได้เช็คเมล์ก็เลยนอนไม่หลับอยากรู้จักกับคุณกฤษทันที” คุณโตโต้ไม่พูดพล่ามทำเพลง พูดเข้าประเด็นให้ผมต้องตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
“แล้วคุณพีทว่าอย่างไรบ้างครับเรื่องจี้” ผมถามต่อเพราะอยากรู้ใจจะขาดอยู่แล้ว คุณโตโต้ยิ้มขึ้นมาแล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปให้ผมดู พอก้มลงไปดูเท่านั้นผมแทบจะตกเก้าอี้ ในภาพมันเป้นจี้อีกอันที่มีรอยต่อที่สามารถประกบเข้ากับจี้ของผมได้ สลักด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า “PEET” อีกด้านเป็นตัวอักษรสลักว่า “ภัทรดิษฐ์”
“นี่มัน...นี่...เอ่อ...คุณพีท” ผมพูดไม่ออก เพราะไม่ว่าใครได้เห็นจี้อีกอันของคุณพีทก็ต้องรู้ทันทีว่ามันทำมาคู่กับของผม ผมเอาจี้ของผมออกมาเทียบกับรูปจี้ของคุณพีทในโทรศัพท์ของคุณโตโต้อีกที ทุกคนก้ชะโงกหน้ามาดูด้วยความสนใจ
“พี่กฤษค่ะ พี่กฤษเป็นพี่น้องกับคุณพีทจริงๆ ด้วย สงสัยคุณพ่อคุณแม่ของพี่คงทำจี้เอาไว้แบบนี้เพราะพี่กับคุณพีทเป็นฝาแฝดกันยังไงล่ะคะ” น้องพลอยเดาออกมาตามสถานการณ์ที่เห็นตรงหน้า ตอนนี้หัวสมองผมว่างเปล่าไปหมด มันวิงเวียนเหมือนจะอาเจียนออกมา
“พี่กฤษครับ พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” น้องหยกจับแขนผมเบาๆ ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมเพียงส่ายหน้าตอบช้าๆ แล้วใช้ฝ่ามือตัวเองอีกข้างกุมมือคนรักที่จับแขนผมอยู่ ทุกคนบนโต๊ะเริ่มเงียบ มองหน้าผมนิ่งเป็นตาเดียว ตอนนี้ในใจผมมันเต้นระส่ำยิ่งกว่ารัวกลอง
“พีทมันบอกว่าส่งโปรเจคสุดท้ายอาทิตย์หน้า ตอนแรกมันจะอยู่ที่โน่นเพื่อเที่ยวให้สนุกก่อนกลับเมืองไทยมารอรับปริญญา แต่มันบอกผมเมื่อเช้าว่าหลังส่งโปรเจคเสร็จมันจะกลับมาเมืองไทยทันที แล้วจะตรงมาหาคุณกฤษที่นี่เลยครับ” คุณโตโต้บอกให้ผมทราบ ยิ่งทำให้ใจผมเต้นหนักเข้าไปอีก
“แล้วคุณเลอสรวงกับคุณวิมลพรรณ พ่อแม่คุณพีทล่ะ เค้ารู้เรื่องรึยังล่ะโต้” คุณอาหนึ่งเอ่ยถามคุณโตโต้ ทำเอาทุคนรีบหันไปรอคำตอบจากคุณโตโต้ ด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้ผมเช่นกัน
“ผมยังไม่ได้บอกครับ พีทมันก็ยังไม่อยากให้ผมบอกใคร มันบอกว่าน้องมันหายไปยี่สิบสี่ปี มันอยากจะเจอน้องชายมันด้วยตัวเองก่อนคนอื่น” คุณโตโต้บอกว่าผมเป็นน้องชายคุณพีทเหรอนี่ แสดงว่าทางฝั่งนั้นทราบดีอยู่แล้วว่ามีเด็กหายไปเมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน
“คุณเลอสรวงไปติดต่อทำสัญญาขายเครื่องประดับกับอัญมณีที่อาหรับเอมิเรตครับ ส่วนคุณวิมลพรรณเพิ่งไปญี่ปุ่นติดต่อทำสัญญาส่งออกไขมุกกว่าจะกลับก็เดือนหน้าครับ” คุณบาสพูดแทรกขึ้นมาบ้าง ทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าคุณบาส
“คุณกฤษครับ ผมจำได้ลางๆ ว่าวันที่คุณเลอสรวงกับคุณวิมลพรรณมาจัดงานเลี้ยงครบรอบแต่งงานที่โรงแรม เรามีเซอไพร้ท์วันเกิดให้กับคุณพีทเป็นของแถมด้วย เพราะว่าวันเกิดคุณพีทอยู่ในเดือนเดียวกับวันจดทะเบียนสมรสนะครับ แต่วันนั้นเป็นความผิดพลาดของโรงแรมที่ไม่ทราบว่าคุณพีทไม่ชอบจัดงานวันเกิด” คุณบาสพูดออกมาทำให้พวกเราต้องสนใจฟังว่าเหตุผลคืออะไร
“ตอนนั้นพนักงานบอกว่าพอเอาเค้กเข้าไปให้คุณพีทเป่าเทียนวันเกิดครบรอบยี่สิบปี คุณวิมลพรรณก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอางงกันไปทั้งงาน คุณเลอสรวงต้องพาหลบเข้าไปในห้องพัก คุณพีทบอกว่าปกติจะไม่จัดวันเกิด เพราะจะทำให้คุณแม่ต้องคิดถึงน้องชายจนไม่สบายทุกครั้ง ผมจำได้ประมาณนี้อ่ะครับ” คุณบาสเล่ามาเสียยืดยาว ทำให้ผมพอจะเดาถึงความรู้สึกของคุณวิมลพรรณขึ้นมาได้
“ใช่ครับ ผมจำได้ดีเลยว่าไอ้พีทจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่ไม่ยอมให้พวกเราจัดงานวันเกิดให้ และเท่าที่ผมรู้จักมันมาก็ไม่เคยไปงานวันเกิดของมันเลยสักครั้ง ขนาดผมเป็นเพื่อนสนิทมันยังไม่เคยฉลองวันเกิดตัวเองกับผมเลย ผมเพิ่งจะรู้เหตุผลในวันนี้เอง” คุณโตโต้พูดตบท้ายให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้น
เราทุกคนนั่งกันเงียบจนผมเริ่มใจหาย น้ำตาพาลจะไหลออกมา มีเพียงคนรักที่คอยลูบแขนให้เบาๆ ด้วยอาการปลอบประโลมอยู่ข้างๆ ผมอยากเจอหน้าคุณพีทด้วยตาเหลือเกินว่าจะเหมือนผมขนาดไหน หลงอยู่ในภวังค์ไม่นานอาหารก็เริ่มนำมาวางตรงหน้า
“เฮ้ย...กฤษ กินข้าวก่อนเถอะมึง อย่าเพิ่งคิดมาก มาครับทุกคนทานข้าวกัน น้องหยกตักอาหารให้มันหน่อยเร็ว” ไอ้ทองร้องบอกผม และหันไปสั่งให้คนรักคอยดูแลผมด้วย มันคงจะเข้าใจความรู้สึกผมในตอนนี้ เพราะมันเป็นเพื่อนของผมคนเดียวที่รู้ว่าผมรอวันที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมานานแค่ไหนแล้ว
“คุณโตโต้ครับ เอ่อ...คุณพีทบอกไหมครับว่าน้องชายเค้าหายไปได้ยังไง” ผมเอ่ยถามคุณโต้ขณะที่กำลังทานอาหารไปด้วย ตอนนี้ร่างกายเหมือนไม่อยากทานอะไรเลย ในใจมันร้อนรนกังวลไปหมดแล้ว
“ไม่ได้บอกครับ รู้เพียงแต่ว่ามันเคยถามใครทุกคนที่รู้จักมันไปหมดเลย ว่าเคยเจอคนหน้าตาเหมือนมันบ้างไหม ตอนนั้นพวกผมก็คิดว่ามันบ้า เวลามันได้เจอเพื่อนใหม่หรือใครก็ตามมันจะถามอยากนี้จริงๆ ผมก็เข้าใจไปเองว่ามันคงพูดเล่นให้เป็นเอกลักษณ์ ใครจะไปนึกว่ามันถามถึงน้องชายฝาแฝดมัน เพราะมันก็ไม่เคยบอกใครว่ามีน้องชายอีกคน” คุณโตโต้ทานอาหารไปเล่าไปด้วยความขำ
“เท่าที่ผมทราบไอ้พีทมันเป็นลูกคนเดียว เป็นเพื่อนที่ดีมากครับ นิสัยมันดีจริงๆ แต่ชอบทำตัวแปลกๆ ชอบถามใครเล่นๆ ว่าเคยเจอคนหน้าตาเหมือนมันไหม เป็นคนไม่เคยจัดงานวันเกิด ขนาดแฟนมันอยากจัดงานวันเกิดให้มันยังไม่เอาเลยครับ แฟนมันบางคนถึงกับทะเลาะกันจนต้องเลิกคบเพราะเรื่องนี้ ตอนนั้นพวกผมก็ไม่เข้าใจ” คุณโตโต้อธิบาย
“อ้อ...แล้วมีอยู่พักหนึ่งที่มันคอยถามพวกผมว่าพ่อแม่พวกผมพอจะรู้จักบริษัทนักสืบที่เก่งๆ บ้างไหม ผมก็นึกว่ามันพูดเล่นๆ แล้วเวลามันเห็นเด็กแฝดมันจะชอบมองนิ่งๆ ทำหน้าประหลาดๆ แล้วก็จะขอตัวกลับบ้านทุกครั้ง พ่อแม่ของมันก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอกครับ ติดต่องานต่างประเทศทีไรหายไปเป็นเดือนเลย นี่ละครับที่พวกผมรู้จักมันมา” คุณโตโต้เล่าถึงเพื่อนรักให้พวกเราฟังโดยไม่มีใครซักถามอะไร
“แล้วที่มันไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะมันไม่อยากอยู่บ้านน่ะครับ เวลามันอยู่บ้านที่ไรมันจะต้องตามเพื่อนๆ ไปอยู่ด้วยตลอด มันเป็นคนอยู่คนเดียวไม่ได้ผมก็เลยโดนเรียกไปอยู่บ้านเป็นเพื่อนมันประจำ อย่างที่บอกครับ พ่อแม่มันไม่ค่อยอยู่เมืองไทย ทำแต่งานตลอด พีทมันเหมือนเด็กมีปัญหานะครับ แต่ถ้ารู้จักกันแล้วมันปกติร่าเริงดี นิสัยมันก็ดีครับ ไม่นานคุณกฤษก็คงได้เจอกับมันแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นพวกผมคงต้องเรียกคุณว่าคุณพลัสแล้วสิครับ” คุณโตโต้พูดอมยิ้มให้ผมในตอนท้าย
ไม่นานผมก็คงได้เจอครอบครัวที่แท้จริงของผมแล้ว ต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่สามารถเดาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมก็มีครอบครัวของผมเองที่นี่แล้วด้วย ผมจะไม่ทอดทิ้งคุณตาคุณยายเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านทั้งสองเลี้ยงดูผมมาอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบาย แต่ผมก็เติบโตมาได้ด้วยความรักความอบอุ่น อีกทั้งตอนนี้ผมยังมีคนรักที่คิดไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เท่านี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว